เบเกิลในวิมเบิลดัน! : ทำไมศัพท์ของกินไปโผล่ในวงการกีฬา

เบเกิล

ดับเบิลเบเกิล (double-bagel) เป็นคำที่ได้ยินและได้เห็นบ่อยที่สุด หลังจากที่เทนนิสหญิงเดี่ยววิมเบิลดันในปีนี้จบลงด้วยชัยชนะของ อิกา ชฟียอนแต็ก นักเทนนิสหญิงซึ่งเป็นชาวโปแลนด์และเป็นมือสี่ของโลกในช่วงเวลานั้นที่สามารถเอาชนะ อาแมนดา อนิซิโมวา นักหวดมือสิบสองของโลกในช่วงเวลานั้น

พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์หลายสำนัก แม้แต่นักวิเคราะห์ต่างพร้อมใจกันใช้คำว่า ‘ดับเบิลเบเกิล’ เพื่อเรียกผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นโดยมิได้นัดหมาย จากประเด็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าคำว่า ‘เบเกิล’ ไม่ใช่คำใหม่ในวงการเทนนิส แต่หากเป็นคำที่รู้กันดีในวงการและมีการใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้บ่อยนักก็ตาม

แต่หลังจากที่ผมได้ยินคำนี้เข้าหูก็อดคิดถึงที่มาไม่ได้ว่าคนอะไรช่างสรรหาเปรียบเทียบ จนหาเอาของกินมาเป็นสกอร์เทนนิสที่คนทั้งโลกเรียกตามๆ กันได้โดยไม่เคอะเขิน

นั่นเองที่นำมาสู่บทความที่ท่านกำลังไล่สายตาอ่านอยู่ในตอนนี้ และผมจะชวนกันไปหาคำตอบว่า เบเกิล กับเทนนิส มันมาร่วมทางเดินเดียวกันได้ยังไง

ที่มาและความหมาย

คำศัพท์ ‘เบเกิล’ (bagel) ในกีฬาเทนนิสหมายถึง เซตที่จบด้วยสกอร์ 6-0 การใช้คำนี้เนื่องจากรูปร่างของเบเกิลที่กลมเหมือนเลขศูนย์ โดยคำดังกล่าวมีที่มาจากแชมป์เทนนิสชาวยิวอย่าง แฮโรลด์ โซโลมอน และ บัด คอลลินส์ ผู้ล่วงลับ ผู้เป็นโค้ชเทนนิสคนแรกของมหาวิทยาลัยแบรนไดส์และเป็นผู้บรรยายกีฬาผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งการบรรยายเกมช่วยให้กีฬาเทนนิสเป็นที่นิยม

แฮโรลด์ โซโลมอน ปัจจุบันวัย 72 ปี (เกิด 17 กันยายน 1972) เคยเป็นนักเทนนิสอาชีพนาน 15 ปี และเคยขึ้นไปถึงอันดับ 5 ของโลก ใช้ศัพท์นี้โดยบังเอิญ หลังกล่าวว่า เอ็ดดี้ ดิบส์ คู่หูในประเภทคู่ของเขา เป็นคนที่ริเริ่มใช้คำว่า ‘เบเกิล’ ในการแข่งขัน

ในการพูดคุยกับคอลลินส์เกี่ยวกับเกมการแข่งขัน โซโลมอนเล่าว่า “ผมเอาเล่นงานเขาด้วยเบเกิล (I bageled the guy)” ซึ่ง บัด คอลลินส์ ได้ยินแล้วเข้าใจคำนี้ได้ทันที โดยที่เขาเสริมว่า “ถ้าคุณชนะสองเซตด้วยคะแนน 6-love คุณจะใส่เบเกิลสองเท่า เพราะศูนย์ดูเหมือนเบเกิล”

คอลลินส์ได้นำคำดังกล่าวไปใช้ในการบรรยายเทนนิสของเขา จนทำให้คำว่า ‘เบเกิล’ แปลว่าชนะด้วยสกอร์ศูนย์ (6-0) เป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ ผู้บรรยายคนดังยังตั้งฉายาให้กับ โซโลมอน และ ดิบส์ ว่า ‘ฝาแฝดเบเกิล’ (bagel twins) จากที่มาของเรื่องเล่าที่ โซโลมอนเล่าให้เขาฟัง และหลังจากนั้นไม่นานทุกเซตที่สกอร์ 6-0 ก็กลายเป็น ‘เบเกิล’ ไปโดยปริยาย

นอกจากเทนนิสแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งคำว่า ‘เบเกิล’ ยังแพร่หลายไปสู่วงการเทนนิสในยุโรปด้วย และมันก็กลายเป็นคำสากลในหมู่ผู้เล่นโค้ชและนักเขียนทุกคน ถึงขั้นมีนิตยสารเทนนิสฉบับใหม่ชื่อ ‘เบเกิล’ ด้วย

บางครั้งในบางโอกาสสกอร์ 6-0 ก็ถูกเรียกว่า ‘โดนัท’ ได้ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เรียกว่า ‘เบเกิล’ เพราะของกินทั้งสองต่างมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก นั่นคือสามารถดูเป็นเลข 0 ได้เหมือนกัน กล่าวคือหากสกอร์ 6-0 คือ ‘เบเกิล’ แต่ถ้าชนะด้วยสกอร์ 6-0 ทั้งสองเซตจึงกลายเป็น ‘ดับเบิลเบเกิล’ (double-bagel) ไปโดยปริยาย เพราะเลขศูนย์สองตัวก็ดูเหมือนเบเกิลสองชิ้น

นั่นเองจึงกลายเป็นที่มาของพาดหัวคำว่า ‘เบเกิล’ ที่เต็มหน้าสื่อไปทั่วยุโรปหลังจากที่ อิกา ชฟียอนแต็ก เอาชนะ อาแมนดา อนิซิโมวา ในรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันเทนนิส วิมเบิลดัน เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั่นเอง

ไม่ใช่แค่ ‘เบเกิล’

แน่นอนว่า ‘เบเกิล’ ไม่ใช่ศัพท์อาหารเพียงคำเดียวที่มาโผล่ในวงการเทนนิส เพราะหากเบเกิลที่รูปร่างเหมือนเลข 0 ถูกเรียกแทนสกอร์ 0 แล้วทำไม ‘ขนมปังขาไก่’ (Breadstick) ที่รูปร่างเป็นแท่งๆ เหมือนเลข 1 จะไม่ถูกเรียกบ้าง

ใช่แล้ว ‘ขนมปังขาไก่’ ถูกเรียกแทนสกอร์ 6-1 เฉกเช่นเดียวกับที่เบเกิลถูกใช้แทนสกอร์ 6-0 และการใช้คำดังกล่าวก็อยู่คู่กับกีฬาเทนนิสมายาวนานพอๆ กัน

นอกจากสองขนมปังที่ว่ามาแล้ว แม้กระทั่ง ‘แยม’ (Jam) ยังเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ของกินที่มาโผล่ในกีฬาเทนนิส โดยคำว่าแยมมีความหมายถึงการเสิร์ฟลูกเข้าตัวผู้เล่นฝั่งตรงข้ามโดยตรง ซึ่งจะบังคับให้ฝั่งตรงข้ามออกอาการอึดอัดหรือติดขัดในการรีเทิร์นลูกกลับมา จึงอาจกล่าวได้ว่าคำว่า ‘แยม’ ในที่นี้จึงมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ‘รถติด’ (Traffic Jam) มากกว่า

นอกจากนี้ยังมีอีกคำที่หากไม่พูดถึงคงหลุดกรอบของเทนนิสไปบ้าง เพราะมันเป็นหนึ่งในศัพท์ที่ได้ยินบ่อยทีเดียวคือคำว่า Love ที่แปลว่า 0 ซึ่งเราจะได้ยินในตอนที่กรรมการขานคะแนน

แน่นอนว่า Love ไม่ได้เป็นศัพท์ของกิน แต่ถ้าหากเป็น ‘ไข่’ ล่ะ?

เชื่อกันว่าที่มาของคำว่า Love ที่ใช้แทนการไม่มีคะแนนนั้นมาจากเลขศูนย์ที่คล้ายกับไข่ ในวงการกีฬามักนิยมเรียกคะแนนศูนย์ว่าไข่เป็ดหรือไข่ห่าน และคำว่าไข่ในภาษาฝรั่งเศสคือ l’œuf ซึ่งการออกเสียงนั้นไม่ได้ต่างจากคำว่า love ในภาษาอังกฤษมากนัก

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับคำว่า Love โดยเชื่อกันว่ามาจากภาษาดัตช์และเฟลมิช คำว่า lof ซึ่งหมายถึงเกียรติยศ ดังนั้นในบริบทของกีฬาส่วนใหญ่ ใครก็ตามที่พยายามทำคะแนนก็ยังถือว่าเล่นเพื่อเกียรติยศอยู่

แต่ทฤษฎีคำว่า lof นั้น ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับทฤษฎีคำว่า l’œuf ในภาษาฝรั่งเศส ดังนั้นเราจึงอาจเหมารวมคำว่า ‘ไข่’ หรือ l’œuf ให้กลายเป็นหนึ่งในศัพท์ของกินที่เจอในโลกกีฬาก็ได้

ไม่ใช่แค่ในเทนนิส

จากที่เราพูดถึงรายการอาหารต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบในวงการเทนนิสข้างต้นนั้น อันที่จริงวงการกีฬาอื่นๆ ก็มีศัพท์อาหารแฝงมาให้เห็นตลอดเช่นกัน ซึ่งบางครั้งคนดูกีฬาก็อาจจะเรียกมันไปจนชินโดยที่ไม่ได้เอะใจว่ามันมาจากอาหารจริงๆ

ยกตัวอย่างคำว่า ‘แพนเค้ก’ ในกีฬาวอลเลย์บอลซึ่งหมายถึงทักษะสุดโหดที่เป็นไม้ตายสุดท้ายที่ผู้เล่นจะพุ่งเข้าหาลูกบอลและเลื่อนมือราบไปกับพื้นเพื่อป้องกันการเสียแต้มจากการที่ลูกวอลเลย์สัมผัสกับพื้น โดยที่มาของมันคือการทำมือแบนๆ เหมือนแผ่นแพนเค้กซึ่งต่างจากท่าทางปกติ

ส่วนอีกตัวอย่างคือ ‘กะหล่ำปลี’ (Cabbage) ในวงการกอล์ฟ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของพื้นหญ้าที่หนา ขรุขระ และสูงถึงเข่า ซึ่งหญ้าประเภทนี้ เมื่อนักกอล์ฟตีลูกกอล์ฟไปตกใส่ก็จะเป็นเรื่องยากต่อการหาลูกเหมือนต้องค่อยๆ แหวกกลีบกะหล่ำปลีออกทีละกลีบเพื่อให้เจอลูกกอล์ฟ

อีกทั้งกีฬายังเต็มไปด้วยศัพท์แสงที่มาจากของกินอันน่าสนใจ เช่น คำว่า ‘ฮอตดอก’ (Hot Dog) ไม่ได้หมายถึงไส้กรอกบนขนมปังจริงๆ แต่เป็นการเรียกนักกีฬาที่พยายามอวดฝีมือด้วยท่าทางฉูดฉาดหรือเกินจริง ซึ่งเรียกเสียงเชียร์หรือเสียงเยาะเย้ยจากฝูงชนและผู้ชม

ในกีฬาอย่างฮอกกี้น้ำแข็งก็จะมีศัพท์ว่า ‘ไอซิ่ง’ (icing) ซึ่งใช่แล้ว มันคือคำเดียวกับน้ำตาลไอซิ่ง แต่คำดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการโรยน้ำตาลลงบนบางอย่าง แต่มันหมายถึงการหยุดเล่นแบบเฉียบพลันราวกับทั้งสนามเป็นน้ำแข็ง เพราะลูกพัคที่ถูกตีจากแดนหนึ่งไปยังหลังประตูโดยไม่ถูกตัวใครเลย

อีกคำที่แฟนบอลน่าจะเคยได้ยินหรือได้เห็นกันมาบ้าง คือคำว่า ‘ลูกจันทน์เทศ’ (nutmeg) ซึ่งหมายถึงการเลี้ยงบอลลอดขาคู่แข่งอย่างรวดเร็ว โดยที่คำดังกล่าวกลายเป็นท่าเทคนิคการเลี้ยงหลอกสุดแพรวพราว เนื่องจากในอดีตมีการหลอกลวงจากพ่อค้าหัวใสบางรายที่นำแบบจำลองไม้มาผสมลงในสินค้าเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ พฤติกรรมหลอกลวงนี้ที่เรียกว่า being nutmegged กลายมาเกี่ยวข้องกับการถูกหลอก จึงทำให้ในเวลาต่อมาถูกตีความว่าเป็นความอับอายจากการถูกฝ่ายตรงข้ามหลอกด้วยการเตะบอลลอดขา

‘อาหาร’ ในฐานะวัฒนธรรมร่วมในการเปรียบเทียบ

จากที่เล่ามาข้างต้น แม้ทั้งหมดจะเห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างของกินกับกีฬา แต่ในความเป็นจริงการเปรียบเทียบที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกับของกินดูจะเป็น ‘วัฒนธรรมร่วม’ มากกว่าแค่ต่างชาติเท่านั้น

ยกตัวอย่างในประเทศไทย หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ‘ตีไข่แตก’ ที่หมายถึงการมีคะแนนจากเดิมที่ไม่มีคะแนน หรือสกอร์เป็น 0 เหมือนกับไข่ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับ love หรือเบเกิลในเทนนิส

แต่เอาที่ชัดกว่าคือการเปรียบเทียบการแข่งขันง่ายๆ ว่าเป็น ‘หมู’ หรือ ‘กล้วย’ ซึ่งจากตัวอย่างที่กล่าวมาก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะเปรียบเทียบอะไรกับของกินอยู่แล้ว

ไม่ใช่แค่กีฬา เพราะการใช้อาหารในการเปรียบเทียบหรือยกตัวอย่างจนกลายเป็นสุภาษิตหรือคำพังเพย มันก็เป็นเหมือนวัฒนธรรมร่วมของคนทั้งโลก อย่างคำว่า ‘ง่ายดาย’ ในไทยก็เป็นคำว่า ‘กล้วยๆ’ หรือ ‘หมูๆ’ แบบที่ได้กล่าวไป แต่ภาษาอังกฤษก็ใช้คำว่า ‘a piece of cake’ ซึ่งก็เป็นของกินเช่นกัน

และนั่นก็คงจะพออธิบายอะไรบางอย่างได้ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาแค่ไหนที่ศัพท์ของกินจะไปโผล่ในวงการกีฬา เพราะแท้จริงแล้ว มันอยู่คู่กับการเปรียบเทียบของมนุษย์มาตลอดนั่นเอง


อ้างอิง

Flashscore Focus: Football food phrases from around the world

Covering the bases: making sense of baseball slang

5 Common Food Idioms In Sports And What They Actually Mean

5 Tennis Terms You Might Not Know

Bagel in Tennis: Easy Meaning & Notable Records 2025

What A Bagel Means In Tennis + Why It’s Used & Stats

Why all the bagel talk at the US Open? : Here’s why they use ‘bagels’ to keep score in tennis

Why do we say love? And other tennis jargon

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save