ในซีรีส์ Reply 1988 ที่เคยโด่งดัง โบรา ลูกสาวคนโตของบ้านเป็นนักศึกษาครูที่ออกมาประท้วง ชอน ดูฮวาน (Chun Doo-hwan) ผู้นำเผด็จการยุคนั้น การสอดแทรกมิติทางสังคมการเมืองเอาไว้ ถือเป็นลักษณะเด่นของซีรีส์ย้อนยุคเกาหลีใต้ ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาอันมืดมนของประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ แต่ย้อนไปก่อนหน้านั้น เกาหลีใต้ก็มีประวัติศาสตร์การถูกกดขี่และการต่อสู้ทางการเมืองอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการอยู่ใต้อาณานิคมของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1910
ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่
ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนดินแดนเกาหลีใต้จากสังคมเกษตรไปสู่ฐานอุตสาหกรรมทางทหารของญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้และต่อต้านจักรวรรดินิยมในระลอกแรก ส่วนระลอกหลังเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลผ่านรูปแบบการศึกษาที่มีแนวคิดแบบทหารนิยมภายใต้นโยบายและปฏิบัติการแบบสงครามเย็น ยังไม่นับการต่อสู้กับประเทศเกาหลีเหนือที่เคยเป็นอาณาจักรเดียวกัน ดังนั้นการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตนเองจึงเป็นการขจัดอิทธิพลต่างชาติและมีลักษณะชาตินิยมมากพอตัว
ขบวนการความเคลื่อนไหวของของครูและแรงงานการศึกษาสัมพันธ์กับประเด็นต่างๆ เช่น การเชื่อมโยงกับขบวนการชาวบ้านในประวัติศาสตร์ที่นิยามวัฒนธรรมชาวบ้านอยู่กับความทุกข์ทนและก่อกบฏชาวนา ซึ่งจะกลายมาเป็นขบวนการของคนงานในยุคใหม่ ความเชื่อมโยงนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นเมื่อแรกเกิดขบวนการเคลื่อนไหวของครู เมื่อสมาชิกถูกจัดตั้งในโรงเรียนศึกษาภาคค่ำในย่านอุตสาหกรรม และจัดการศึกษาให้ผู้ใช้แรงงาน
หลังการปลดปล่อยตนเองจากญี่ปุ่น เกาหลีได้เข้าสู่ช่วงสับสนอลหม่าน เกาหลีกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและถูกครอบงำโดยความขัดแย้งช่วงสงครามเย็น สงครามเกาหลี (1950-1953) เป็นโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนนับล้าน นำไปสู่ปัญหาความยากจนและการแบ่งแยก เหนือ-ใต้ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังถูกทำลาย โรงเรียนถูกจัดสอนกลางแจ้งหรือในสภาพที่ย่ำแย่ ในเวลาต่อมาโครงสร้างพื้นฐานค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่ การยึดอำนาจของ ‘พัก จ็องฮี’ (Park Chung Hee) ในเดือนพฤษภาคม ปี 1961 นำไปสู่ทิศทางใหม่ของสังคม เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมส่งออกเป็นหลัก โดยมีแรงงานมีทักษะและค่าแรงต่ำเป็นข้อได้เปรียบในการขับเคลื่อนการพัฒนา ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้กลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมใหม่
ครูถือว่ามีบทบาทในฐานะผู้รับใช้ของสังคมตามรากวัฒนธรรมแบบขงจื่อ บทบาทนี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกดขี่โดยรัฐบาลฝ่ายขวาตลอดศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่รัฐบาลใต้อาณานิคมญี่ปุ่น ส่งต่อมาถึงรัฐบาลเผด็จการทหาร ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 คุณค่าทางวัฒนธรรมได้เปลี่ยนมาสู่คุณค่าการรับใช้ชาติเพื่อให้เกาหลีไล่ตามแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบ NIC (newly industrialized country) สหภาพแรงงานได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นองค์กรกรรมาชีพอุตสาหกรรมที่ต่อสู้กับนายทุนซึ่งเป็นทุนมนุษย์ราคาต่ำในยุคเศรษฐกิจเกาหลีบูม ครูคือผู้มีบทบาทในการจัดเตรียมแรงงานที่มีความรู้ เชื่อฟัง และไม่วิพากษ์วิจารณ์ต่อโรงงานผู้ขูดรีด พวกเขาจึงถูกคาดหวังให้เป็นผู้รักชาติ กระเหม็ดกระแหม่ และทำงานหนัก
เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย โรงเรียนและครูถูกขับเคลื่อนไปสู่การศึกษาในรูปแบบอุตสาหกรรมในสภาพที่ย่ำแย่ ห้องเรียนขนาดใหญ่ หลักสูตรที่รวมศูนย์ การแข่งขันอันเกรี้ยวกราดสำหรับที่นั่งจำนวนน้อยนิดในมหาวิทยาลัย ซึ่งเสนอทางออกที่จะหนีจากการเป็นแรงงานอุตสาหกรรมที่ถูกขูดรีด
ขบวนการสหภาพแรงงานครูประณามระบบเช่นนี้ว่า พวกเขาถูกใช้เป็นเพียง “เซลล์แมนกระจอกผู้ขายความรู้” เพื่อส่งให้นักเรียนไปสู่การสอบ ความคับแค้นท่ามกลางการขูดรีดครูในฐานะตัวแทนของโมเดลทุนมนุษย์นำไปสู่อีกประเด็นหลักของการจัดตั้งสหภาพแรงงานครู
การต่อสู้เพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานการศึกษา
ในยุคเผด็จการ ตามกฎหมายแรงงานแล้ว ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ข้าราชการเกาหลีใต้จะจัดตั้งและเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน เผด็จการฝ่ายขวาในห้วงสงครามเย็นให้ความสำคัญกับการแบ่งขั้วตามค่ายทางอุดมการณ์ แนวคิดสหภาพแรงงานนั้นไปกันได้ดีกับฝ่ายสังคมนิยม ซึ่งเกาหลีใต้มีเกาหลีเหนือเป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่ ดังนั้น การจัดตั้งสหภาพแรงงานโดยเฉพาะในด้านการศึกษาก็อาจมาจากการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือได้ในสายตาพวกเขา
ในปี 1989 เมื่อวันที่ 15 พฤษภา ซึ่งเป็นวันครูเกาหลี รัฐบาลได้ข่มขู่ว่าจะไล่ครูจำนวนมากออกหากยังดึงดันที่จะจัดตั้งสหภาพ ช่วงเวลาดังกล่าว รัฐได้ปราบปรามความพยายามจัดตั้งสหภาพในหลายรูปแบบ เช่น การบุกจับร้านหนังสือครูที่มีเนื้อหาปลุกปั่น การโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ประณามครูที่พยายามสร้างความร่วมมือกับเกาหลีเหนือเพื่อจะล้มล้างรัฐ
แต่พวกเขาก่อการอย่างไม่หวั่นไหว ครูเหล่านี้กำหนดพิธีเปิด The Korean Teachers and Educational Workers Union (สหภาพแรงงานครูและคนงานการศึกษาเกาหลี) หรือ Jeongyojo ไว้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 1989 อย่างเปิดเผย ทำให้ตำรวจกว่าพันนายเข้าสู่มหาวิทยาลัยฮานยางในฝั่งตะวันออกของโซล ณ จุดที่มีการเดินขบวน ซึ่งแต่เดิมตำรวจได้ห้ามจัดไว้แล้ว ดังนั้นการเดินขบวนจึงผิดกฎหมาย ผู้เข้าร่วมถือว่ามีความผิดและควรถูกจับกุมไปด้วย ตำรวจมาพร้อมอาวุธหนักครบมือ พวกเขาเข้ามาในมหาวิทยาลัยเพื่อป้องกันคนเข้าไปร่วมชุมนุม
ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนการประชุม ผู้จัดงานได้เปลี่ยนสถานที่ชุมนุมข้ามไปยังอีกฝั่งของเมืองที่มหาวิทยาลัยยอนเซ ซึ่งเคลื่อนเร็วกว่าตำรวจ 4,500 นาย ณ ที่นั้น ครูร้อยกว่าคนถูกล้อมรอบด้วยนักศึกษาผู้ที่เข้ามาปกป้อง จนสามารถจัดพิธีเปิด Korean Teachers’ and Educational Workers’ Union ได้สำเร็จ ประธานสหภาพวัย 54 ปีนามว่า ยุน ยองกยู (Yun Young Gyu) เป็นครูพลศึกษาที่กลายมาเป็นนักเคลื่อนไหวและผู้นำ ผู้สร้างแรงบันดาลใจและเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดปราบปรามความเคลื่อนไหวทางการเมืองและยอมรับสหภาพแรงงานเพื่อสร้างการศึกษาที่เป็นประชาธิปไตย ท่ามกลางกลุ่มผู้นำสหภาพ เขาได้ไปอยู่ในความคุ้มครองที่สาขาใหญ่ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่าง Reunification Democratic Party ผู้นำพรรคที่เสนอให้คุ้มครองเขาคือ คิม ยองซัม (Kim Young Sam) ประธานาธิบดีคนต่อไปของเกาหลี การสไตรก์อดอาหารประท้วงเกิดขึ้นนานถึง 9 วันและเป็นที่สนใจในระดับชาติในร่างกายที่ย่ำแย่ลงทุกของยุนและพรรคพวก
ขณะที่ยุนทำการอดอาหารประท้วง สาขาย่อยของ KTU ได้รวมตัวกันทั่วเกาหลีใต้กว่าร้อยโรงเรียนเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน ผู้ประท้วงมีสุขภาพที่แย่ สิบกว่าคนอ่อนล้าหมดแรง หลังยุติการประท้วงและออกจากอาคาร ยุนได้รับความคุ้มครองโดยสามนักการเมืองจากฝ่ายค้านที่ช่วยส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล Yondong Severance ขณะที่ตำรวจคอยจับพวกเขาพร้อมกับหมายจับ
ในที่สุด ยุน ยองกยู ก็ถูกขังคุกในช่วงเวลาของความขัดแย้งและการรณรงค์ ช่วงเวลาดังกล่าวมีการประท้วงบ่อยครั้ง โดยครู นักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้สนับสนุน อีกทั้งยังมีการอดอาหารประท้วงมากขึ้นไปอีก ทำให้มีการไล่ครูออกเป็นจำนวนมาก ตามมาด้วยการรณรงค์เข้าไปในห้องเรียนโดยครูที่ถูกไล่ออกเหล่านั้น และยังมีโศกนาฏกรรมจากการที่นักเรียนฆ่าตัวตายประท้วงจากการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อครู เช่น การไล่ครูออก มีผู้ตายอย่างทุกข์ระทมในรถและอีกคนที่รมแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ในห้องใต้ดิน สื่อและประชาสังคมล้วนหมกมุ่นในวิกฤตที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของสหภาพแรงงาน และชี้ต้นเหตุไปที่ระบบโรงเรียนและเงื่อนไขอันย่ำแย่ที่ส่งผลให้ครูมีปฏิบัติการที่สุดขั้ว สำหรับพวกเขา ครูผู้ถูกไล่ออกได้จัดตั้งปฏิบัติการคล้ายกับโรงเรียนโค้ชการสอน บริษัทการผลิต หนังสือพิมพ์ และกิจกรรมตีพิมพ์ทั้งหลายและได้รับการสนับสนุนทางการเงินมาจากเงินของครูที่อยู่ในโรงเรียน พวกเขารณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อยั่วยุให้เกิดกระบวนการทางกฎหมายและการรับรู้ถึงความข้องใจของเขา
นี่คือ เรื่องราวของการต่อสู้ของพวกเขา
Jeongyojo ก่อตั้งขึ้นพร้อมด้วยสมาชิกกว่า 15,000 คน ท่ามกลางการสนับสนุนจากนักศึกษาและนักสหภาพกว่าแสนคน รวมถึงนักเรียนและครูผู้เห็นอกเห็นใจนับล้านในเกาหลีใต้ ในเวลาดังกล่าว ได้มีสมาชิกถูกจับกุมและถูกสอดส่องโดยตำรวจ การตั้งสหภาพนำมาสู่ความขัดแย้งและก่อวิกฤตในระบบการศึกษาเกาหลี ในสภาพที่การศึกษาอยู่ในวิกฤตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะปัญหานักเรียนฆ่าตัวตาย การคอร์รัปชันทางการเงิน และการเน้นความเป็นทหารนิยมในโรงเรียนอย่างสูง
ว่ากันว่า Jeongyojo เป็นสหภาพแรงงานครูที่มีอิทธิพลและกระตือรือร้นที่สุดในเอเชียตะวันออก หรืออาจจะมากที่สุดในเอเชียด้วยซ้ำ ความสำคัญด้านการศึกษานั้นอยู่ในใจกลางของความห่วงใยทางการเมืองและสังคมมาตลอด 50 ปี ซึ่งมีวัฒนธรรมสัมพันธ์กับแนวคิดขงจื่อและพุทธศาสนามากว่าพันปี และยังทรงอิทธิพลต่อคุณค่าในยุคปัจจุบัน
ตัวตนของครู ภายใต้การกดขี่ทางประวัติศาสตร์
อัตลักษณ์ของครูในเกาหลีย้อนไปถึงยุคโบราณ ตั้งแต่สมัยที่อาณาจักรแบบพุทธครองอำนาจอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลที่ยึดคุณค่าขงจื่อ ราว 600 ปี ครูกลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของการเป็นแบบอย่างชาวขงจื่อที่ดี แนวคิดนี้เริ่มถูกบิดเบือนภายใต้เผด็จการญี่ปุ่น ครูต้องรับผิดชอบตามแผนระเบียบการศึกษาปี 1911 ที่สาระหลักของการศึกษาคือการเป็นผู้ใต้บังคับที่ดีและภักดี ครูจะต้องลงนามสาบานว่าจะอุทิศตนให้กับจักรพรรดิญี่ปุ่นพร้อมกับกฎ 5 ข้อสำหรับครูที่อยู่ในคู่มือการศึกษาแบบอาณานิคม กฎนี้ยังรวมถึงการเป็นสายลับที่ส่งข่าวฝ่ายต่อต้านรัฐให้ด้วยทั้งในโรงเรียนและชุมชน รวมไปถึงหน้าที่การจัดการแรงานเด็กสำหรับระบอบอาณานิคม
หลังทศวรรษ 1960 ครูได้ร่วมกับโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม ครูถูกเรียกร้องให้มีหน้าที่แนวชาตินิยมในการพัฒนาประเทศ ประธานาธิบดีพัก จ็องฮี รำลึกถึง “ห้วงขณะประวัติศาสตร์ที่ให้คำมั่นว่าจะถึงชัยชนะ” สำหรับการเสียสละที่ไม่รู้จบ พักได้อ้างว่า กฎบัตรเพื่อการศึกษาแห่งชาติในปี 1978 ทำให้ครูต้องเป็นผู้มีบทบาททางประวัติศาสตร์ในฐานะผู้รับใช้ผลประโยชน์ของชาติ ครูจึงกลายเป็นเพียงเครื่องโฆษณาชวนเชื่อของพวกชาตินิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ต่อต้านข้อมูลและอุดมการณ์ในการพัฒนาทุนมนุษย์
ในการประกาศรวมตัวแห่ง Jeongyojo ในเดือนพฤษภาคม 1990 เหล่าครูประกาศว่า
เนื่องจากการศึกษาที่ถูกบิดเบือน ที่ถูกบีบบังคับโดยระบอบเผด็จการ พวกเราสูญเสียบทบาทของครูและกลายเป็นเพียงผู้ขายความรู้และเทคนิคที่แตกกระจายเพื่อเตรียมให้นักเรียนไปเพื่อสอบเท่านั้น ใครจะเรียกเราว่าครูได้อีก?
ดังนั้น ประเด็นของอัตลักษณ์จึงกลายเป็นประเด็นศูนย์กลางในรูปแบบของสหภาพแรงงานครูผ่านเสียงของเหล่าพวกพ้องและปฏิบัติการ ครูปฏิบัติตนเพื่อที่จะเปลี่ยนตัวเองไปสู่อัตลักษณ์ของนักปฏิรูปการศึกษาและผู้นำความเปลี่ยนแปลงทางสังคมประชาธิปไตยในเกาหลี
นอกจากนั้น การปลูกฝังค่านิยมด้านการทหารที่มาจากความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ ทำให้ครูถูกคาดหวังให้สอนว่าเกาหลีเหนือคือปีศาจโดยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ อันเป็นนโยบายสงครามเย็นที่มาจากสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับเยอรมนีตะวันตกในช่วงสงครามเย็น
ในเกาหลีใต้ นักเรียนถูกเรียกร้องให้มีส่วนร่วมใน Student Defence Corps หนังสือเรียนชื่อว่า ‘การศึกษาวิชาทหาร’ ซึ่งฉายภาพเกาหลีเหนือเป็นศัตรูคู่แค้นจะถูกสอนในโรงเรียน ทศวรรษ 1980 ได้มีการรณรงค์ ‘purification campaigns’ ในโรงเรียนเพื่อค้นหานักเรียนที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับรัฐบาล นักเรียนยังถูกเรียกร้องให้ทำการบ้าน ทำโปสเตอร์ และขับร้องสโลแกนต่อต้านคอมมิวนิสต์ การศึกษานำไปสู่การประณามเกาหลีเหนือและแสดงให้เห็นความเหนือกว่าของเกาหลีใต้ ครูนักปฏิรูปเห็นว่านี่คือการรักษาการแบ่งแยกทางอุดมการณ์ โครงสร้างทางอำนาจที่ชอบธรรมของเผด็จการและการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนในเกาหลีใต้ ภายใต้ระบบที่การรวมชาติไม่มีวันเป็นไปได้
KTU ได้พัฒนาแคมเปญเพื่อการสร้างสรรค์รูปแบบการสนทนาฉันมนุษย์ในฐานการศึกษาที่จะสร้างความเป็นเอกภาพ พวกเขาได้เสนอการศึกษาที่เป็นอิสระจากอิทธิพลต่างประเทศทำให้มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ที่ทำให้สองเกาหลีเข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน และได้ละทิ้งทางที่จะสร้างความเป็นปีศาจให้กับเกาหลีเหนือไปด้วย ทั้งยังรับรองสิทธิ์ชาวเกาหลีเหนือและสร้างสรรค์แนวทางที่จะร่วมมือกับเกาหลีเหนือ
ประสบการณ์ของครูกับความคาดหวังต่อสหภาพฯ ในฐานะกลไกการปฏิรูปการศึกษา
พวกครูทั้งหลายได้เป็นประจักษ์พยานต่อระบบการศึกษาตั้งแต่ยุคใต้อาณานิคมญี่ปุ่น โรงเรียนถูกใช้เป็นกลไกสอดส่องและการโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งแต่ยุคดังกล่าว โรงเรียนจึงเป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมทางสังคม เกาหลียังไม่ได้ก่อรูประบบการศึกษาในระบบตะวันตกมาจนถึงยุคสงครามเย็น พวกเขาพบเจอปัญหาอย่างน้อย 3 ส่วน ได้แก่
- ส่วนผสมของบทบาทที่ถูกกดขี่ที่คาดหวังให้ครูแสดงออก เช่น ให้ครูทำหน้าที่ธุรการ, ครูเป็นตัวแทนของนโยบายแบบอาณานิคม, ครูเป็นนักต่อต้านคอมมิวนิสต์, ครูเป็นผลผลิตของทุนมนุษย์, ครูในฐานะตัวแทนของการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเผด็จการ และครูในฐานะผู้ระดมทุนให้โรงเรียน
- ขอบเขตของคุณค่าเกี่ยวกับความรุนแรงและแนวปฏิบัติในโรงเรียน เช่น นรกการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย, การควบคุมความรู้และหลักสูตรจากส่วนกลาง, การใช้ห้องเรียนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ, ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์และกายภาพในโรงเรียน, การโกงกินและขูดรีด, สภาพแวดล้อมการศึกษาที่ย่ำแย่, สภาพการจ้างงานที่กดขี่สำหรับครูและแรงงานการศึกษา และกฎหมายและอุดมการณ์ที่บีบบังคับให้ทำตาม
- ผลกระทบของการกดขี่ทางสังคมของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นภาระทางการศึกษาของครอบครัวและเด็ก การใช้เงินมหาศาลสำหรับการเรียนกวดวิชา และการแข่งขันอย่างกว้างขวางในโรงเรียน ปัญหานักเรียนฆ่าตัวตาย การเน้นการสร้างทุนมนุษย์เพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนทางธุรกิจ หรือการสร้างโรงเรียนให้มีลักษณะทหารนิยม
สิ่งเหล่านี้คือประเภทของประสบการณ์ของครูที่บังเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ของระบบการศึกษาที่พวกเขาต้องการจะปฏิรูปผ่านการสร้างสหภาพแรงงานขึ้นมา
ความสัมพันธ์ทางการจ้างสำหรับครู
สถานการณ์หลักในความสัมพันธ์ทางการผลิตที่กำหนดสถานการณ์ครูช่วงการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในเกาหลี มีอยู่ 2 ประการ
ประการแรกคือผลกระทบต่อสภาพการจ้างงานครู ในสังคมกำลังพัฒนา งานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือแหล่งงานอื่นเติบโตคู่ขนานไปกับโรงเรียน ด้วยค่าจ้างที่ต่ำ ชั่วโมงการทำงานยาวนาน การทำงานอย่างยากลำบากและผู้อำนวยการที่กดขี่ โรงเรียนได้ผลิตนักเรียนทั้งด้านพฤติกรรมและทัศนคติให้สอดรับกับการเป็นแรงงานที่เหมาะกับความรุนแรงเชิงสถาบันและระบบการสอบ
ประการที่สอง บริบททางกฎหมายของครูในโรงเรียน เช่น กฎหมายสหภาพแรงงาน และกฎหมายข้ารัฐการและความมั่นคงแห่งชาติ (National Public Servants Act and the National Security Law) ไม่อนุญาตให้ครูสามารถรวมกลุ่มต่อรองหรือพูดถึงสถานการณ์ของพวกเขา กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติซึ่งใช้เป็นกฎหมายต้านคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี 1948 ได้ปฏิเสธสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงออก และการรวมตัวในเกราะกำบังของความมั่นคงซึ่งมักจะใช้ตอบโต้กับผู้นำแรงงานในหลายภาคส่วน เช่นเดียวกับนักศึกษา ผู้นำโบสถ์ และผู้นำประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
สหภาพแรงงานครูได้เข้าสู่ชุดของการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิแรงงานและสิทธิทางการเมืองสำหรับครูด้วยเหตุผลนี้
สู่การเป็นสหภาพแรงงานถูกกฎหมาย
หลังจากการรณรงค์อย่างยาวนานและการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกลุ่มผู้ปกครองชื่อ ‘พ่อแม่เพื่อการศึกษาที่แท้จริง’ และองค์กรต่างประเทศอย่าง Education International, Human Rights Watch และ ILO KTU ได้รับสถานะทางกฎหมายในเดือนกรกฎาคม 1999 สถานการณ์ระดับชาติเอื้ออำนวยเมื่อเกาหลีใต้สมัครเพื่อเข้าร่วม OECD ในปี 1995 หนึ่งเงื่อนไขที่จะรับรัฐบาลเกาหลีใต้เข้าร่วมกับ OECD Education Review คือการยอมรับการดำรงอยู่ของ KTU และยุติสถานะอันผิดกฎหมายของสหภาพแรงงานครู
หลายปีผ่านไปจากวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 1997 หนึ่งในเงื่อนไขเงินกู้ IMF คือการปรับโครงสร้างและปฏิรูปแรงงานในสเกลใหญ่ ประธานาธิบดีคิมแดจุงตกลงในข้อต่อรองกับ KCTU (Korean Confederation of Trade Unions หรือ สหพันธ์สหภาพแรงงานเกาหลี) ว่ารัฐบาลจะยอมรับเงื่อนไขที่จะร่วมมือกับสหภาพแรงงานในการปฏิรูปเศรษฐกิจ หนึ่งในนั้นคือการยอมให้ครูจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อการันตีสิทธิแรงงานในการร่วมกิจกรรมทางการเมือง ในครั้งนั้น มีการสนับสนุนอย่างมากผ่านชนชั้นกลางที่สนับสนุนประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ องค์ประกอบเช่นนี้สอดคล้องไปกับความต้องการของประธานาธิบดี จึงนำมาซึ่งกระบวนการเน้นย้ำปักหมุดประชาธิปไตยลงในเกาหลีใต้ในเชิงสถาบันและการบริหารการปกครอง เช่นเดียวกับนโยบาย ‘Sunshine Policy’ ที่มีต่อเกาหลีเหนือที่เปิดทางในการยอมรับ KTU
ในปี 2007 KTU มีสมาชิกกว่า 100,000 คน นับเป็น 27% ของแรงงานครูทั้งหมด มีผู้สนับสนุนอีกกว่า 5,000 คนเมื่อมีการเดินขบวนครบรอบ 18 ปี ของสหภาพ และยังมีสมาชิกในคุกที่ถูกจับข้อหาภัยความมั่นคงและบางคนอยู่ในการรอลงอาญาและการลงโทษจากกระทรวงศึกษาธิการ
แต่ในภาพรวม เกาหลีใต้มี 3 องค์กรที่เกี่ยวกับครูตามสิทธิและสถานภาพทางกฎหมาย นั่นคือ สมาคมครูในส่วนครูเอกชนที่ทำงานร่วมกับ KTU และยังมี Korean Federation of Teachers Associations (KFTA: สหพันธ์สมาคมครูเกาหลี) อันถือว่าเป็นองค์กรของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาล ถือว่าเป็นคู่แข่งสายอนุรักษนิยมและเป็นศัตรูกับ KTU แต่ KTU เป็นองค์กรที่มีจุดยืนในการรณรงค์เพื่อสภาพการจ้างงานและสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมอันเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ไม่มีสิทธิสไตรก์ KTU ยังเป็นสมาชิกของ Federation of Trade Unions (สหพันธ์สหภาพแรงงาน) รวมไปถึง International Labour Organisation (ILO) และ Education International (EI)
การรวมตัวของปรัชญาการศึกษาที่แท้
เมื่อ KTU ถูกกฎหมาย ก็ได้ขยายสมาชิกและโครงสร้างองค์กรออกไปและได้ลดทอนภาพลักษณ์ความรุนแรงแบบเดิมลง มีผู้กระตือรือร้นที่จะปฏิรูปหลักสูตร หนังสือเรียน การบริหารจัดการโรงเรียน และการเงิน เช่นเดียวกับประเด็นการจ้างงาน เช่น เงินเดือนครูและเงื่อนไขการจ้างงาน อย่างไรก็ตามประเด็นใหม่ๆ ทางการศึกษาก็ได้ผุดบังเกิดขึ้น โดย KTU ตอบรับต่อประเด็นเหล่านี้อย่างรวดเร็วและมักจะเผชิญหน้ากับกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล
KTU ได้ตอบสนองต่อประเด็นในหลักการของ ‘การศึกษาที่แท้’ (Chamgyoyook) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากขบวนการสหภาพแรงงานครูในช่วงแรกๆ มี 3 ศูนย์กลางของกรอบการศึกษาที่แท้คือ ประชาธิปไตย (ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียน และครูมีส่วนร่วมในหลักสูตร และการวางนโยบายโรงเรียน) ความเป็นมนุษย์ (การห้ามใช้ความรุนแรงทางโครงสร้างและการใช้อำนาจเผด็จการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน) และชาตินิยม (อิสระจากการแทรกแซงจากต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา) การประชุมระดับชาติของ KTU ในปี 2002 ได้รับรองหลักการการศึกษาที่แท้ที่อัพเดตแล้ว ซึ่งมี 14 แพลตฟอร์ม นั่นคือ
- เราให้การศึกษากับผู้คนทั้งหมด ผู้ที่เคารพชีวิต
- เราจะมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งชาติที่เป็นอิสระและการรวมชาติเกาหลี
- เราจะให้การศึกษาเพื่อประชาธิปไตย
- เราจะปกป้องสุขภาพจิตและกายของนักเรียน
- เราสอนเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ
- เราสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
- เราเคารพคุณค่าและสิทธิ์แรงงาน
- เราสอนการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ
- เราจัดทำหลักสูตรโรงเรียนอย่างสร้างสรรค์
- เราโฟกัสในการช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับผู้อื่น
- เราเคารพและพัฒนาความเป็นอิสระของนักเรียน
- เรากำลังวิจัยและปฏิบัติร่วมกับเพื่อนร่วมงาน
- เรากำลังทำงานร่วมกับผู้ปกครองและชุมชน
- เราเผชิญหน้ากับความเหลวไหลของระบบการศึกษา
NEIS ข้อมูลส่วนตัวนักเรียน และกระแสต่อต้านจาก KTU
หนึ่งในแคมเปญที่เข้มแข็งที่สุดของ KTU คือการเข้าไปเกี่ยวข้องกับแผนรัฐบาลที่จะนำเอาระบบบริหารการศึกษาอิเลกทรอนิกส์ หรือ New Educational Information system (NEIS: ระบบข้อมูลข่าวสารการศึกษาใหม่) เข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นระบบข้อมูลเบ็ดเสร็จที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ e-government เพื่อจะเชื่อมโยงข้อมูลโรงเรียนทั่วประเทศผ่านระบบอินเตอร์เน็ต รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในฐานะที่วางตำแหน่งตนเองเป็นชาติแห่งความรู้ที่มีเทคโนโลยีเป็นฐานในระดับโลก นโยบายการจัดตั้งโรงเรียนแบบไฮเทคได้รับการรับรองโดยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
สหภาพแรงงานครูท้าทายนโยบายดังกล่าวอย่างกว้างขวางต่อบันทึกข้อมูลส่วนตัวของนักเรียนและครูซึ่งควรจะเป็นความลับ ตั้งแต่เรื่องสุขภาพนักเรียนหรือข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองของครู เช่น การเป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจของสหภาพแรงงานซึ่งถือว่าเสี่ยงจะละเมิดสิทธิมนุษยชน โดย KTU ดำรงตำแหน่งอยู่ในกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนด้วย ในเดือนพฤษภาคม 2003 กรรมาธิการดังกล่าวได้ประกาศว่ามีความห่วงใยเกี่ยวกับ NEIS และได้ให้คำแนะนำรัฐมนตรีเพื่อที่จะส่งคืนข้อมูล 3 ชุดที่เกี่ยวข้องกับเกรด สุขภาพ และบันทึกข้อมูลเพื่อการบริหารจาก NEIS ไปสู่ระบบระบบเก่าอย่าง Client Server (CS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลระดับโรงเรียน คณะกรรมาธิการยังย้ำว่าข้อมูลส่วนบุคคล ควรถูกแยกออกมาจาก NEIS และความปลอดภัยควรได้รับความคุ้มครองเหนือข้อมูลดังกล่าว เช่น ใครจะสามารถเข้าถึงได้และอะไรสามารถนำไปใช้ได้บ้าง อย่างไรก็ตามกระทรวงไม่สนใจคำค้านนี้และเดินหน้าดำเนินการต่อไป
ในตอนแรก กระทรวงประนีประนอมด้วยการพยายามถอนเพียง 1 ใน 3 ชุดข้อมูลหลัก นั่นคือ สุขภาพ สหภาพแรงงานจึงประกาศสไตรก์และเดินขบวน ผู้นำ KTU หลายคนเริ่มอดอาหารประท้วง รัฐบาลประกาศว่าการหยุดโรงเรียนประท้วงถือว่าผิดกฎหมาย และพยายามที่จะป้องกัน ‘ปฏิบัติการต่อรองทางการจ้าง’ (industrial action) สิ่งเหล่านี้ยิ่งกระตุ้นให้ KTU ประท้วงในประเด็นที่กว้างขึ้น นั่นคือสิทธิการรวมตัวของครู
การคัดค้านของสหภาพฯ ได้รับการสนับสนุนจากครูส่วนใหญ่ จากการสำรวจโดย Hangil Research รายงานว่ากว่า 72.7% ของครูแสดงความห่วงใยต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนใน NEIS ในที่สุดกระทรวงยอมถอยและประกาศว่าได้ยุติการใช้ข้อมูลทั้ง 3 ชุด และจะทบทวนการดำเนินการทั้งหมดใหม่
ช่วงปี 2007 รัฐบาลพยายามสร้างระบบประกันคุณภาพรวมศูนย์และระบบบำนาญแบบใหม่สำหรับครู KTU ชี้แจงว่าพวกเขาไม่ได้รับการปรึกษาใดๆ ประเด็นได้ยกระดับขึ้นมาเมื่อครู 430 คน ถูกจับและถูกปรับในฐานะมีส่วนในการประท้วงระบบใหม่นี้ การลงโทษร่วมเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากการตั้ง KTU ในปี 1989 ซึ่งถูกประกาศแม้ว่าเหล่าครูจะลาพักร้อนเพื่อมาประท้วง เมื่อพวกเขาถูกปฏิเสธโดยผู้อำนวยการโรงเรียน พวกเขาจึงแลกตารางเรียนเพื่อเข้าร่วมชุมนุมได้
KTU ภายใต้การสนับสนุนจาก Education International ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2007 ได้มีสาส์นไปยังประธานาธิบดีเกาหลีเพื่อปกป้องสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมของสหภาพ และประณามการที่ครูถูกตำรวจข่มขู่และถูกปฏิเสธสิทธิในการปกป้องตัวเองจากคณะกรรมการสอบวินัยที่จัดตั้งขึ้น
การประเมินครูโดยตัวมันเองถูกวิจารณ์โดย KTU ว่าเป็นแผนของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อที่จะหาครูที่เป็นแพะรับบาปนโยบายการศึกษาที่กำลังล้มเหลวต่อนักเรียนและครู
กาต่อต้านสงครามและการศึกษาเพื่อสันติภาพ
ในเดือนมกราคมของปี 2007 ครูผู้เป็นสมาชิก KTU อันโดดเด่น 2 คนในโรงเรียนมัธยมถูกตำรวจจับภายใต้กฎหมายความมั่นคงในข้อหาสนับสนุนเกาหลีเหนือ ทั้งคู่ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับรัฐบาลในประเด็นการศึกษาเพื่อการรวมชาติ หนึ่งในนั้นมีผลงานจนได้รับรางวัลจากรัฐบาล ขณะที่อีกคนได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการที่ร่วมมือกับครูในเกาหลีเหนือเพื่อพัฒนาแผนการสอนในการศึกษาเพื่อการรวมชาติ แต่ทั้งคู่ก็ถูกจับกุมเนื่องจากเกรงว่าพวกเขาจะทำการล้างสมองเด็กด้วยโวหารที่นิยมเกาหลีเหนือ เห็นได้ชัดว่า KTU ได้สนับสนุนครูทั้งสอง ทั้งคู่เคยเป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการการศึกษาเพื่อการรวมชาติของ KTU ในต่างวาระกัน
จุดยืนการต่อต้านสงครามแสดงออกในทฤษฎีการศึกษาที่แท้และยังปรากฏในประเด็นการศึกษาเพื่อการรวมชาติ ได้ปรากฏมิติอื่นเมื่อ KTU สนับสนุนสมาชิกผู้คัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลเกาหลีในการส่งทหารไปอิรักในปี 2004 KTU ได้โพสต์จุดยืนในเว็บไซต์ของพวกเขา ห้องเรียนต่อต้านสงครามของพวกเขาจัดขึ้นอย่างเข้มข้นหลังจากล่ามชาวเกาหลีถูกฆ่าในอิรัก รัฐบาลเตือนสหภาพแรงงานเรื่องห้องเรียนที่ต่อต้านนโยบายและอุดมการณ์ของรัฐบาล และเตือนให้รักษาความเป็นกลางโดยเคารพนโยบายของรัฐบาลต่ออิรัก แต่ KTU ไม่เห็นด้วยและตอบกลับว่า จุดประสงค์ของห้องเรียนต่อต้านสงครามก็เพื่อสอนถึงความสำคัญของสันติภาพและชีวิต เราจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เราจะเพิ่มเนื้อหามากยิ่งขึ้น
KTU ยังมีส่วนร่วมในประเด็นทางการเมืองตามบริบทที่เกิดขึ้น มากกว่าการศึกษาที่กำหนดจากส่วนกลาง ในปี 2004 ผู้นำ KTU ถูกจับหลังจากออกแถลงการณ์ต่อต้านการถอดถอนประธานาธิบดีโน มูฮย็อน (Roh Moo Hyun) เหล่าครูถูกจับในข้อหาละเมิดกฎหมายที่ห้ามข้ารัฐการในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ทั้งสองกรณีแสดงให้เห็นถึงการยืนยันสิทธิ์ของครูในการเข้าร่วมกระบวนการทางสังคมประชาธิปไตยได้ดี
ด้านมืดของสหภาพแรงงานครู ก่อนเข้าสู่ทศวรรษ 2010
ความนิยมของ KTU ได้ลดลงอย่างน่าใจหาย สถิติในปี 2008 พบว่า เหลือสมาชิก 83,000 คน จำนวนคนที่ลดลงใน 4 ปีมีนับหมื่นคน จนทำให้มีการประชุมเพื่อปรับภาพลักษณ์องค์กรในฐานะผู้สร้างปัญหาจากภาพการประท้วงบนท้องถนนและการสไตรก์ รวมถึงพยายามเสนอทางเลือกทางการศึกษาที่เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าจะคัดค้านรัฐบาลอย่างรุนแรง ขณะนั้นมีเรื่องใหญ่ในการศึกษาสมัยอี มยองบัก(Lee Myung-bak) ที่ต้องการจะปฏิรูปการศึกษาภาษาอังกฤษ, การอนุญาตให้มหาวิทยาลัยเปิดสอบนักศึกษาโดยตรงและการจัดอันดับโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตามกลุ่มครูที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ KTU แต่เป็น Korea Federation of Teacher’s Associations (KFTA หรือ สหพันธ์สมาคมครูแห่งเกาหลี) ที่ในปี 2008 มีสมาชิกกว่า 180,000 คน[1]
เป็นไปได้ว่าเหล่าผู้ปกครองและสาธารณะเหนื่อยหน่ายกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและยังมีเรื่องอื้อฉาวที่คอยทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร เช่น ความพยายามปิดบังการละล่วงทางเพศของสมาชิก เช่นเดียวกับการล่วงละเมิดทางเพศของครูฝึกสอนโดยสมาชิก KTU[2]
สหภาพแรงงานการศึกษาของเกาหลีใต้ก็ยังคงต้องแสวงหาทางเดินของตนต่อไปว่า ในสภาพการณ์เช่นนี้จะรื้อฟื้นความเชื่อมั่น และก้าวต่อไปอย่างทรงพลังได้อย่างไร
[1] The Korean Times. “Teachers Union to Shed Radical Image”. Retrieved on 24 May 2023 from http://www.koreatimes.co.kr/www/news/nation/2008/02/113_19811.html (28 February 2008)
[2] The Korean Times. “Teachers Union Has Image Problem”. Retrieved on 24 May 2023 from http://koreatimes.co.kr/www/news/nation/2009/05/117_45034.html (17 May 2009)