ปีการศึกษา 2562 ‘เอ’ เข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความหวังว่าความรู้ที่ได้จากการเข้าเรียนคณะนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจมิติทางสังคมและความหลากหลายของความเป็นมนุษย์เหมือนเช่นที่เคยได้ยินคณาจารย์และรุ่นพี่กล่าวไว้ ในบรรดารายวิชาทั้งหมดของคณะอักษรศาสตร์ เอชอบเรียนวิชาของภาควรรณคดีเปรียบเทียบและภาคปรัชญา เขารู้สึกว่าการเรียนวรรณกรรมและปรัชญาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เขาคิดเชิงวิพากษ์เป็น เพื่อทำความเข้าใจโลกที่ซับซ้อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เห็นว่าวิชาบังคับตอนปี 1และปี 2 ก็จำเป็นไม่แพ้กัน ทั้งวิชาอารยธรรมไทย วรรณคดีไทย อารยธรรมตะวันตก อารยธรรมตะวันออก รวมถึงรายวิชาบังคับเลือก ที่ต้องเลือกระหว่างรายวิชาทักษะการค้นคว้าและการค้นสารสนเทศ ปรัชญาทั่วไป มนุษย์กับศาสนา ศิลปะการละครกับชีวิตประจำวัน วรรณคดีทัศนา หรือภาษาทัศนา เอตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นความเชื่อมโยงของอารยธรรมจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเอเชียใต้ ในวิชาอารยธรรมตะวันออก และรู้จักแนวคิดของนักปรัชญาหลากหลายสาขาในวิชาปรัชญาทั่วไป
ตอนนี้เอจบการศึกษาแล้ว หลายคนกล่าวว่าโลกการทำงานคือโลกแห่งความเป็นจริงที่บัณฑิตจบใหม่ทุกคนจะต้องเผชิญ และตั้งคำถามว่ามหาวิทยาลัยช่วยอะไรเราในการเตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงนี้ เอก็เช่นกัน เขากำลังทบทวนว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาเก็บเกี่ยวอะไรไปจากคณะอักษรศาสตร์ และมีวิชาไหนบ้างที่เขารู้สึกดีใจที่ได้เรียน
“วิชาสายคอนเทนต์[1] อย่าง WEST CIV (วิชาอารยธรรมตะวันตก รหัส 2204182) นี่ enlighten มากเลย เรียนแล้วรู้เลยว่าประชาธิปไตยมันมีรากฐานมาจากไหน แล้วทำไมมันถึงสำคัญ ได้เข้าใจความโหดร้ายของนาซี และได้รู้เรื่อง Menschlichkeit (ความเป็นมนุษย์)[2] ทำให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตเราและเพื่อนมนุษย์คนอื่น หลายวิชาคือถ้าไม่ได้เรียนคงจะรู้สึกพลาดมาก” เอกล่าวถึงวิชาอารยธรรมตะวันตกที่เขาชื่นชอบ
‘บี’ เพื่อนนิสิตที่เข้าเรียนในปีการศึกษาเดียวกันกลับไม่เห็นด้วยกับเอ “แต่สำหรับเราคิดว่าเอาเวลาตอนนั้นไปเรียนพวกวิชาสายสกิล[3]ที่เอาไปใช้ทำงานได้จริงน่าจะดีกว่านะ ไม่ใช่ว่าวิชาสายคอนเทนต์ไม่ดีหรอกนะ แต่ถ้าได้อัดวิชาแปลหรือการล่ามเยอะๆ ตั้งแต่ปี 1 สกิลการแปลเราอาจจะพัฒนาเร็วขึ้น หรือไม่ก็อาจเอาเวลาไปฝึกพวกวิชาการเขียนทางธุรกิจก็ได้ เพราะตอนไปสมัครงานไม่มีใครเขาถามหรอกว่าเข้าใจเชกสเปียร์หรือโพสโมเดิร์นไหม สุดท้ายเขาก็ดูแค่ว่าพูดภาษาได้ไหม แปลภาษาได้ไหม จิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ไม่ได้ช่วยให้มีงานทำหรอกนะ”
บีคิดว่าคณะอักษรศาสตร์ควรจะสอนวิชาทักษะให้มากขึ้น วิชาพวกอารยธรรม ปรัชญา วรรณกรรม เป็นวิชาที่เรียนไปก็สนุกดี แต่ก็นำไปใช้จริงไม่ได้ ในโลกการทำงานที่บัณฑิตคณะอักษรศาสตร์บ้างก็จบไปเป็นนักแปล ล่าม และเลขานุการ เขาน่าจะได้ฝึกแปลเยอะๆ ฝึกฟังพูดอ่านเขียนให้คล่อง เพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการ
“แต่ที่เราเรียนภาษาไปเพื่ออ่าน text ไม่ใช่เหรอ ภาษาเป็นเครื่องมือให้เราเข้าถึงความรู้ที่ต้องการ และวิชาสายคอนเทนต์ก็จะช่วยให้เรามีเลนส์ที่หลากหลายในการเข้าใจโลก เข้าใจผู้คน และยังสร้าง awareness ให้กับนิสิตที่เรียนด้วย” เอแย้ง
“นั่นก็ใช่ แต่เราก็ต้องทำต้องมาหากินนะ วิชาสายสกิลมันควรจะมีเยอะๆ สิ วิชาพวกการใช้ภาษาเพื่อธุรกิจ เพื่อการท่องเที่ยว หรือพวกวิชาที่ได้ฝึกใช้ทักษะภาษาเยอะๆ นี่เราเข้าอักษรมาเพราะคิดว่าจะได้ฝึกภาษาเยอะๆ นะ ถ้าจบไปแล้วใช้ภาษาไม่คล่อง ใครเขาจะไปจ้างเรา” บียืนยัน
ทั้งเอและบีไม่มีใครพูดผิดหรือถูก ต่างคนต่างก็เชื่อในจุดยืนของตน และทิ้งคำถามไว้ว่าหลักสูตรคณะอักษรศาสตร์ที่ดีควรเป็นแบบใด คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ควรเป็นจะเน้นสายคอนเทนต์ดังที่เอเสนอ หรือว่าควรจะเน้นสายสกิลแบบที่บีแย้ง แต่แท้จริงแล้วปัญหานี้ไม่ว่าจะตอบตามเอหรือบีก็เข้าข่ายเป็นตรรกะวิบัติประเภท false dilemma ที่นิสิตอักษร จุฬาฯ ทุกคนเคยเรียนในวิชา Reasoning (การใช้เหตุผล รหัส 2207143) ทั้งสิ้น กล่าวคือ เป็นทางเลือกที่เข้าใจผิดไปเองว่าถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างตัวเลือกที่จำกัดทั้งที่ความจริงไม่ได้จำเป็นต้องเลือกเช่นนั้น แรกเริ่มการศึกษาวิชาสายมนุษยศาสตร์ไม่ได้แบ่งเป็นสายคอนเทนต์หรือสายสกิล วิชาทั้งสองสายต่างส่งเสริมประสิทธิภาพของกันและกันอย่างแยกขาดไม่ได้
เราไม่มีทางอ่านวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก ค้นคว้าหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ หรือเข้าใจทฤษฎีปรัชญาที่มีความลึกซึ้งได้ หากไม่มีความรู้แตกฉานในการใช้ภาษาเหล่านั้น ขณะเดียวกันนักแปลไม่มีทางแปลได้ดีหากไม่เข้าใจบริบทความต่างในวัฒนธรรมของทั้งสองภาษา มัคคุเทศก์จะอธิบายคติความเชื่อแบบไทยให้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้อย่างไร หากไม่เข้าใจว่าฐานคิดของคนจีนถูกหล่อมหลอมมาแบบใด ล่ามที่ไม่เข้าใจบริบทคงทำงานได้ไม่ต่างจากกูเกิลแปลภาษาเท่าไหร่นัก กล่าวได้ว่าทั้งวิชาสายคอนเทนต์และวิชาสายสกิลจึงเปรียบได้กับขาทั้งสองของการศึกษาสายมนุษยศาสตร์ การจะจัดการเรียนการสอนด้านมนุษยศาสตร์จึงควรจำนึงถึงความสมดุลระหว่างวิชาสองสายนี้ โดยต้องบริหารให้ได้รับการศึกษาจากวิชาทั้งสองสายอย่างเหมาะสมและเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ข่าวเรื่องการปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่ของคณะอักษรศาสตร์ที่จะเริ่มดำเนินการใช้ในปีการศึกษา 2567 นี้ได้มีการปรับลดวิชาพื้นฐานสายคอนเทนต์หลายวิชาให้เป็นเพียงวิชาเลือก และเอาหน่วยกิตไปเพิ่มสำหรับการเรียนวิชาสายสกิลแทน นิสิตสามารถเรียนจบหลักสูตรได้โดยไม่ต้องเรียนวิชาสายคอนเทนต์ที่เคยเป็นพื้นฐานให้เด็กอักษรฯ มาหลายรุ่นอย่างวิชาปรัชญา วิชาอารยธรรมตะวันออก วิชาอารยธรรมตะวันตก วิชาอารยธรรมไทย เป็นต้น ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ตั้งคำถามได้ว่าตั้งอยู่บนฐานของการรักษาสมดุลดังกล่าวหรือไม่
หาก ‘ซี’ ที่เป็นนิสิตน้องใหม่ที่เข้าเรียนหลักสูตรใหม่ในปีการศึกษา 2567 ผ่านมาได้ยินเอและบีเถียงกัน คงจะคิดในใจว่า “พวกพี่เถียงอะไรกัน วิชาพวกนั้นไม่ใช่วิชาบังคับแล้ว ” เพราะรายวิชาที่เอและบีเคยเรียนถกเถียงกันไม่มีสภาพเป็นวิชาบังคับอีกต่อไป นอกจากนั้น ซียังได้เรียนรายวิชาเปิดใหม่ที่วางกรอบเนื้อหาให้สอดคล้องกับ ‘ทักษะทางวิชาชีพ’ และ ‘ความเป็นพลเมืองโลก’ ซึ่งสามารถเลือกลงรายวิชาที่ตนเองสนใจ และในท้ายที่สุด ก็จะจบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้เรื่องปรัชญา ประวัติศาสตร์โลก และที่มาของอารยธรรมมนุษย์แต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วรากฐานร่วมของเด็กอักษรศาสตร์ จุฬาฯ จะเหลืออะไร และครูอาจารย์ ผู้สั่งสอนวิชาสายมนุษยศาสตร์ปรารถนาจะเห็นบัณฑิตจบใหม่เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ
การแย่งชิงนิยามของคำว่า ‘อักษรศาสตร์บัณฑิตที่พึงประสงค์’
การปรับปรุงหลักสูตรคณะอักษรศาสตร์ผ่านการถกเถียงในหมู่คณาจารย์มาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว จากบทความ ‘ทำไมการแก้หลักสูตรอักษรถึงสำคัญ’[4] ของโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เห็นว่าคำถามสำคัญที่ส่งผลต่อการแก้ไขหลักสูตรคือ ‘คณะอักษรศาสตร์จะผลิตบัณฑิตอักษรศาสตร์เป็นแบบใด’ ซึ่งโสรัจจ์แบ่งความคิดเห็นของคณาจารย์ออกเป็นสามกลุ่ม
คณาจารย์กลุ่มแรกมองว่า บัณฑิตอักษรศาสตร์คือ ‘นักวิชาการอาชีพ’ คณะควรผลิตบัณฑิตเพื่อปูทางไปสู่การศึกษาในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก จนสำเร็จการศึกษาเป็นนักวิชาการในท้ายที่สุด
คณาจารย์กลุ่มที่สองมองว่า คณะควรผลิตบัณฑิตเพื่อเป็น ‘นักวิชาชีพ’ บัณฑิตอักษรศาสตร์ควรสำเร็จการศึกษาแล้วมีศักยภาพในการไปประกอบต่างๆ ในตลาดแรงงาน เช่น นักแปล เลขานุการ เป็นต้น
คณาจารย์กลุ่มที่สามมองว่า คณะควรผลิตบัณฑิตเพื่อเป็น ‘ผู้มีการศึกษา’ ซึ่งเป็นเป้าหมายดั้งเดิมของคณะสายมนุษยศาสตร์ กล่าวคือบัณฑิตจะสำเร็จการศึกษาแล้วไปประกอบอาชีพอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาจะต้องได้จากคณะนี้คือรากฐานการคิดเชิงวิพากษ์ การไตร่ตรองหาเหตุผล และแนวทางการศึกษาเพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งโสรัจจ์เองก็มีความเห็นสอดคล้องกับกลุ่มนี้
เป้าหมายทั้งสามแบบที่แตกต่างกันนี้ ส่งผลต่อกรอบคิดในเรื่องการวางหลักสูตรคณะอักษรศาสตร์ เนื่องจากเนื้อหาและรายวิชาจะแตกต่างกันไป ตามแนวทางของบัณฑิตในแต่ละรูปแบบ
โสรัจจ์กล่าวในบทความว่า แนวโน้มของหลักสูตรคือให้นิสิตสามารถเลือกได้เองว่าต้องการสำเร็จการศึกษาเพื่อเป็นบัณฑิตแบบใด ซึ่งก็สะท้อนออกมาให้เห็นในหลักสูตรใหม่ที่จะเริ่มต้นใช้ในปีการศึกษา 2567 นี้เอง ที่นิสิตสามารถเลือกเน้นเรียนเฉพาะกลุ่มวิชาที่ตรงกับความสนใจของตน
คณะอักษรศาสตร์สอนอะไร
แล้วคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ สอนอะไร? คณะอักษรศาสตร์เป็นคณะสายมนุษยศาสตร์ (humanities) ซึ่งต้นกำเนิดของของมนุษยศาสตร์นั้น อาจกล่าวได้ว่าเริ่มต้นในยุคกรีกโบราณ เป็นการเรียนการสอนที่มีจุดมุ่งหมายคือการสร้างความเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ และการศึกษาธรรมชาติมนุษย์ (humanitas – human nature)
ต่อมาในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) มนุษยศาสตร์ก็เริ่มมีแบบแผนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีการใช้คำว่า ‘studia humanitatis’ (studies of humanities) โดยนักมนุษยนิยมชาวอิตาลี studia humanitatis มุ่งเน้นศึกษาวรรณกรรมและวิชาการต่างๆ เช่น ไวยากรณ์ วาทศิลป์ กวีนิพนธ์ ประวัติศาสตร์ จริยปรัชญา และการศึกษาภาษากรีกโบราณและภาษาละติน ซึ่งแนวทางเหล่านี้ก็ได้เป็นรากฐานของการศึกษามนุษยศาสตร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน สาขามนุษยศาสตร์ที่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย จึงเป็นสาขาวิชาที่มุ่งเน้นการศึกษามนุษย์ วัฒนธรรม โดยใช้วิธีการวิพากษ์และวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งครอบคลุมทั้งการเรียนการสอนด้านภาษา วรรณกรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และปรัชญา[5]
ทั้งหมดนี้กล่าวได้ว่า สำหรับคณะอักษรศาสตร์นั้น การเรียนการสอนของภาควิชาต่างๆ ในคณะ ทั้งภาควิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาอังกฤษ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาภูมิศาสตร์ ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ ภาควิชาปรัชญา ภาควิชาศิลปการละคร ภาควิชาภาษาตะวันออก ภาควิชาภาษาตะวันตก ภาควิชาภาษาศาสตร์ และภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้เพื่อทำความเข้าใจความซับซ้อนและหลากหลายของมนุษย์
วิกฤตมนุษยศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การศึกษาสายมนุษยศาสตร์ทั่วโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอน จำนวนผู้เรียนที่ลดน้อยลง และตลาดแรงงานที่ต้องการบัณฑิตสาย STEM และสายวิชาชีพอื่นๆ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ใช้อ้างการปรับเปลี่ยนหลักสูตรในหลายมหาวิทยาลัย
ในงานเขียนเรื่อง ‘The End of the English Major’ ของ Natha Heller พบว่าผลสำรวจในปี 2022 มีนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัย Harvard เพียง 7% เท่านั้นที่ต้องการศึกษาในวิชาเอกมนุษยศาสตร์ ตัวเลขนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจาก 20% ในปี 2012 และเกือบ 30% ในปี 1970 ยิ่งไปกว่านั้น ในภาพรวมทั้งประเทศ อัตราการเข้าเรียนในสายมนุษยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาลดลงถึง 17% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
เมื่อปี 2018 University of Wisconsin–Stevens Point ประกาศแผนการที่จะปิดเอกหลักสูตรสายมนุษยศาสตร์ 6 สาขาวิชา[6] ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ศิลปะสองมิติและสามมิติ และประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอัตราการเข้าเรียนในสาขาเหล่านั้นลดน้อยลงและภาครัฐไม่ส่งเสริมการศึกษาสายมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาถูกตัดงบประมาณ มหาวิทยาลัยจึงต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยวิธีการต่างๆ เช่น การรวมหลักสูตรเข้าด้วยกัน การปลดคณาจารย์บางส่วนจากการดำรงตำแหน่งประจำ และการลดบริการต่างๆ ในมหาวิทยาลัย แต่สำหรับ University of Wisconsin–Stevens Point การเลือกปิดเอกต่างๆ ในสายมนุษยศาสตร์ดูเหมือนจะเป็นทางออกในช่วงเวลานั้น
สำหรับในไทย เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน เพราะในปีเดียวกันนั้น มีแนวโน้มว่ามหาวิทยาลัยศิลปากรจะลดสภาพภาควิชาปรัชญาให้กลายเป็นสาขาวิชาปรัชญา[7] ซึ่งตาม พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.2559 และระเบียบมหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่องการจัดการส่วนงานภายในและการยุบเลิก พ.ศ.2561 แล้วนั้น สาขาวิชาไม่ถือเป็นหน่วยงาน และอำนาจในการจัดการภายในสาขาวิชาจะรวมศูนย์ที่คณะ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะส่งผลให้สาขาวิชาปรัชญาไม่มีอำนาจการตัดสินใจในตนเอง และจะค่อยๆ สูญเสียหลักประกันเสรีภาพทางวิชาการไปในที่สุด
มนุษยศาสตร์กับการสร้างสังคมประชาธิปไตย
แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสเรื่องการยุบภาคหรือปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรมนุษยศาสตร์ แต่ในท้ายที่สุด มนุษยศาสตร์นั้นก็ยังสำคัญ และเป็นศาสตร์ที่จะขาดไปไม่ได้ในการเรียนการสอนระดับมหาวิทยาลัย เห็นได้จากที่ Martha C. Nussbaum[8] ได้ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับความสำคัญของมนุษยศาสตร์ไว้อย่างน่าสนใจ
สำหรับ Nussbaum แล้ว ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพราะความรู้ทางมนุษยศาสตร์ เพราะการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงที่เหนือไปจากการท่องจำหรือคำตอบตายตัว ทำให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มนุษยศาสตร์ได้รับความสนใจมากขึ้นในเอเชีย มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์และจีนเริ่มมีนักศึกษาเข้าเรียนในสาขามนุษยศาสตร์มากขึ้น เนื่องด้วยการที่รัฐพยายามส่งเสริมการศึกษาศาสตร์นี้ไปในแนวทางที่ตอบสนองต่อความต้องการทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม Nussbaum เน้นย้ำว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ใช่บทบาทสำคัญที่สุดของมนุษยศาสตร์ Nussbaum มีจุดยืนว่า มนุษยศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตย เพราะการเรียนมนุษยศาสตร์ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการวิเคราะห์ เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เข้าใจสังคมโลกที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเองทั้งเรื่องชนชั้นและสถานะทางสังคม ซึ่งความเข้าใจในมนุษย์ด้วยกันนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจปัญหาสังคม ความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรม การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น อันเป็นคุณลักษณะสำคัญของการเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ในระบอบประชาธิปไตย
ข้อเสนอของ Nussbaum สอดคล้องกับบทความของวริตตา ศรีรัตนา[9] อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ที่เคยเขียนไว้ในเว็บไซต์ประชาไทโดยระบุว่าการเรียนวรรณกรรมช่วยให้ผู้เรียนได้สำรวจประสบการณ์หลากหลายแง่มุมของมนุษย์ ผ่านการวิเคราะห์และตีความตัวบท เช่น ประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ชนชั้น เพศสภาพ การเมือง และประเด็นทางสังคมต่างๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยชุดคุณค่าสากลที่ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจ เป็นคำอธิบายหรือเรื่องเล่าหลักที่ครอบงำสังคม ที่เรียกว่า grand narratives การเรียนวรรณกรรมจึงมีความสำคัญในการจะสร้างผู้เรียนให้สามารถคิดเชิงวิพากษ์ เพื่อจะถอดรื้อ narratives เหล่านั้นที่คอยสืบสานอำนาจและความไม่เท่าเทียมในสังคม นักวิชาการสายมนุษยศาสตร์ โดยเฉพาะด้านวรรณกรรม จึงมีบทบาทในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เช่น ประเด็นความไม่เท่าเทียมทางเพศ สิทธิ LGBTQINA+ ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนวรรณกรรม เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ใช้มันในการเปลี่ยนแปลงสังคม
นอกจากการเรียนวรรณกรรมแล้ว การเรียนประวัติศาสตร์ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกันในสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้เคยกล่าวถึงความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ไว้ว่า ประการแรก การเรียนประวัติศาสตร์ตามรูปแบบที่ควรจะเป็นนั้น ไม่ใช่การท่องจำ แต่คือการตั้งคำถามถึงสาเหตุที่มาของเหตุการณ์และวิเคราะห์เหตุการณ์เหล่านั้น รวมถึงผลของมันที่ส่งอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน กล่าวคือเราเรียนประวัติศาสตร์เพื่อเข้าใจที่มาทั้งของตัวเราเองและโลกใบนี้ วาสนากล่าวว่าการเรียนประวัติศาสตร์ไม่สามารถที่จะศึกษาเรื่องเล่าจากมุมมองใดมุมมองหนึ่งได้ แต่ต้องศึกษาจากหลายมุมมองประกอบกัน จึงจะสามารถวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรอบด้านแง่มุมนี้ของการเรียนประวัติศาสตร์ทำใหัผู้เรียนรู้จักการตรวจสอบความน่าเชื่อถือและวิพากษ์หลักฐาน ที่จะนำมาสนับสนุนข้อโต้แย้งของตนต่อประเด็นต่างๆ ซึ่งสำหรับวาสนาแล้ว หากผู้คนมีความเป็นนักประวัติศาสตร์ มีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การโต้แย้งถกเถียง และสืบหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จะทำให้เราสามารถสร้างบทสนทนาที่ทุกคนสามารถตรวจทานข้อมูลกันและกันได้ในสังคมประชาธิปไตย
บทบาทของคณะอักษรศาสตร์?
เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากหลักสูตรใหม่ไม่ได้ทำให้นิสิตสัมผัสมนุษยศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น เพราะการวางหลักสูตรวิชาพื้นฐานที่จะนำนิสิตเข้าสู่การทำความเข้าใจศาสตร์ที่ตนเองศึกษา ให้กลายเป็นเพียงวิชาเลือก การปรับเปลี่ยนนี้ก็อาจเป็นการลดทอนความสำคัญของศาสตร์ หากมุ่งเน้นแค่การเรียนการสอนในรายวิชาใหม่ๆ ที่สร้างเพียงทักษะการฟังพูดอ่านเขียน และปล่อยให้นิสิตเลือกเรียนในรายวิชาที่ตนคิดว่าสำคัญต่อการเป็นแรงงานในตลาด คณะอักษรศาสตร์ก็คงไม่ต่างอะไรจากโรงเรียนสอนภาษาทั่วไป ที่สุดท้ายแล้ว AI หรือโปรแกรมแปลภาษาก็จะเข้ามามีบทบาทในงานลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด และแม้เราจะเข้าใจกันดีว่า AI แทนที่มนุษย์ไม่ได้ เพราะ AI ขาดความเข้าใจในบริบทและความสามารถในการตีความปรากฏการณ์ทางสังคมต่างๆ แต่หากนิสิตอักษรศาสตร์เลือกจะไม่เรียนมนุษยศาสตร์เพื่อเข้าใจมนุษย์ เขาจะมีหน้าที่ในสังคมทั้งต่อตนเองและต่อโลกใบนี้แทบไม่ต่างจากหน้าที่ของ AI เลย ยิ่งไปกว่านั้น ดังที่ได้กล่าวไปว่า AI ขาดความเข้าใจในปรากฏการณ์ทางสังคม และยังต้องการการพัฒนาอีกมาก นักวิชาการสายมนุษยศาสตร์จึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนา AI[10] ทั้งนักปรัชญาที่ศึกษาลักษณะของ AI และตั้งคำถามถึงความสามารถของมัน นักประวัติศาสตร์ที่ตรวจสอบความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์ฐานข้อมูลดิจิทัล และนักภาษาศาสตร์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หากขาดบุคคลในสายมนุษยศาสตร์ไป AI จะไม่สามารถพัฒนาและใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย
ตลอดระยะเวลาที่วิกฤตมนุษยศาสตร์ก่อตัวขึ้นทั่วโลก มีนักศึกษาและนักวิชาการในหลายมหาวิทยาลัยในต่างประเทศลุกขึ้นมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากกรณีตัวอย่างที่ได้กล่าวไปในบทความ ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีการต่อสู้เพื่อให้การเรียนการสอนมนุษยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยยังคงดำเนินต่อไปได้ มหาวิทยาลัย Wisconsin–Stevens Point ตัดสินใจยกเลิกแผนการยุบเอกสายมนุษยศาสตร์ หลังจากมีกระแสโต้กลับจากคณาจารย์และศิษย์เก่า รวมถึงการยุบภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรก็เช่นกัน เพราะหลังจากที่ภาควิชาปรัชญาส่งหนังสือถึงอธิการบดีให้มีการแก้ไขระเบียบมหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยเห็นชอบกับการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ทำให้ภาควิชาปรัชญายังคงสภาพเป็นภาควิชาได้จนถึงปัจจุบัน หรือกรณีที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ในสหรัฐอเมริกา นักศึกษาและอาจารย์จากภาควิชาต่างๆ ในสายมนุษยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Mary Mount[11] ก็รวมตัวกันต่อต้านแผนการยุบเอกสายมนุษยศาสตร์ ด้วยความเชื่อที่ว่า การศึกษาศาสตร์นี้เป็นหนึ่งในการสืบสานพันธกิจของมหาวิทยาลัย
สุดท้ายขอฝากคำถามแก่คณาจารย์ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจไว้ว่า บทบาทของคณะในฐานะพื้นที่แห่งองค์ความรู้ทางมนุษยศาสตร์อาจเปลี่ยนไปเป็นการผลิตบัณฑิตที่ไร้ความเข้าใจในศาสตร์ของตนหรือไม่ จะขาดความสามารถในการใช้เครื่องมือทางมนุษยศาสตร์เพื่อวิพากษ์ วิเคราะห์ และตีความสังคม ไม่สามารถถอดรื้อ ต่อยอด หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่แก่โลกใบนี้ได้หรือเปล่า คณบดีและคณะผู้บริหารของคณะอักษรศาสตร์จะทำอย่างไรต่อวิกฤตที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ นิสิตคณะอักษรศาสตร์และบุคลากรทางการศึกษาสายมนุษยศาสตร์ของเราควรลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นก็น่าเป็นกังวลว่าแนวโน้มของการศึกษาไทยและสังคมไทยจะเป็นไปในทิศทางใด หากขาดการเรียนการสอนในที่เป็นแก่นแท้ของสายมนุษยศาสตร์อันเป็นศาสตร์ที่สำคัญยิ่งต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เราปรารถนา
หมายเหตุ – หลังจากที่บทความนี้ถูกเผยแพร่ ทางคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีการชี้แจงเรื่องการปรับหลักสูตรใหม่ โดยยืนยันว่ายังคงมีรายวิชาพื้นฐานที่เน้นการคิดวิเคราะห์และปูพื้นความรู้ด้านมนุษยศาสตร์ไม่ด้อยไปกว่าเดิม
“… นิสิตที่จะได้เข้าเรียนในหลักสูตรใหม่นี้รับรองได้เจอรายวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์เหมือนเดิม ไม่ได้พร่องแต่อย่างใด แต่จะมีรายวิชาใหม่ๆ ให้เลือกเรียนมากขึ้น ในระบบใหม่ที่เอื้อให้นิสิตได้ปรับประยุกต์เลือกรายวิชาต่างๆ ตามที่ตนต้องการจะวางแผนชีวิตได้ดียิ่งขึ้น”
อ่านคำชี้แจงฉบับเต็มได้ที่: bit.ly/3NZdJVU
↑1 | หมายถึงวิชาเนื้อหา เช่น วิชาประวัติศาสตร์ วิชาปรัชญา วิชาวรรณกรรม เป็นต้น |
---|---|
↑2 | เอกำลังพูดถึงคำศัพท์ที่เด็กอักษรทั้งคณะรู้จักกันดีจากวิชา WEST CIV |
↑3 | หมายถึงวิชาที่ฝึกทักษะการใช้ภาษา เช่น วิชาการล่าม วิชาการแปล ไวยากรณ์ เป็นต้น |
↑4 | โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์, ทำไมการแก้หลักสูตรอักษรถึงสำคัญ |
↑5 | Britannica, humanities |
↑6 | Adam Harris, The Liberal Arts May Not Survive the 21st Century |
↑7 | เยี่ยมยุทธ สุทธิฉายา, ‘มนุษยศาสตร์’ วิชาที่กำลังจะสูญหาย? จำเป็นอยู่ไหม เมื่อตลาดไม่ต้องการ |
↑8 | William D. Adams, Martha C. Nussbaum Talks About the Humanities, Mythmaking, and International Development |
↑9 | Verita Sriratana, Literary Studies in the age of “Productivity” |
↑10 | Australian Academy of the Humanities, Why the Humanities Are Essential to Artificial Intelligence |
↑11 | Jon Simkins, Marymount University Students Plan Protest as School Looks to Cut Humanities Majors |