ซีเรีย
ภาพปกโดย AAREF WATAD/AFP
วิกฤตการณ์ในซีเรียที่เริ่มต้นเมื่อปี 2011 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางร่วมสมัย หากจำกันได้ เหตุการณ์นี้เริ่มจากการชุมนุมประท้วงอย่างสงบในช่วงปรากฏการณ์อาหรับสปริง เพื่อเรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar Al-Assad) ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านด้วยอาวุธ และขยายวงกว้างเป็นสงครามกลางเมืองที่ซับซ้อน ทั้งยังดึงดูดการแทรกแซงจากมหาอำนาจหลายประเทศที่ต่างแสวงหาผลประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้
ในระยะแรกของความขัดแย้ง จะเห็นการก่อตัวของกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่ม โดยมีกองทัพซีเรียเสรี (Free Syrian Army: FSA) เป็นกำลังหลัก ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวเป็นกองทัพแห่งชาติซีเรีย (Syrian National Army: SNA) ประกอบด้วยทหารที่แปรพักตร์จากกองทัพรัฐบาลและพลเรือนที่สนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย ในขณะเดียวกัน ชาวเคิร์ดในภาคเหนือของซีเรียก็ได้จัดตั้งหน่วยพิทักษ์ประชาชน (People’s Protection Units: YPG) ในปี 2011 เพื่อปกป้องดินแดนของตน โดย YPG ได้ควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียและประกาศเขตปกครองตนเองที่เรียกว่า ‘โรจาวา’ (Rojava)
FSA ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา และตุรกีที่สนับสนุน FSA เพื่อถ่วงดุลกับกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดที่มีปฏิบัติการข้ามพรมแดนเข้าไปในตุรกีหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีซาอุดิอาระเบียที่มีบทบาทหนุนเสริมเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาค ส่วน YPG แม้จะไม่ได้มุ่งโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดโดยตรง แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านกลุ่มที่มีอุดมการณ์สุดขั้วในมุมมองของสหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลอัสซาดได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังติดอาวุธที่จงรักภักดีและดำเนินการปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างเด็ดขาด รวมถึงได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากอิหร่านและรัสเซียในเวลาต่อมา
สถานการณ์ความขัดแย้งเปลี่ยนโฉมหน้าเมื่อกลุ่มมีอุดมการณ์สุดขั้วเริ่มมีบทบาทในฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มญับฮัต อัล-นุสรา (Jabhat al-Nusra) และกลุ่มที่เรียกตนเองว่ารัฐอิสลาม (Islamic State of Iraq and the Levant: ISIL) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Daesh (al-Dawla al-Islamiya fil Iraq wa al-Sham) ซึ่งเป็นคำย่อภาษาอาหรับ มีความหมายว่า ‘รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย’ กลุ่มดังกล่าวนี้เริ่มมีบทบาทในปี 2014 กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของกองกำลังนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย ต่อมา Daesh ค่อยๆ ลดบทบาทลงและมีกลุ่มอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลมิอาจควบคุมและปกครองพื้นที่ทั้งประเทศได้ เสมือนว่าซีเรียอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางอำนาจ
จะเห็นได้ว่าตัวแสดงในซีเรียมีความซับซ้อนและมีพลวัตตามช่วงเวลาของเหตุการณ์ มีตัวแสดงทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งกลุ่มที่ยังคงมีบทบาทในพื้นที่จนถึงปัจจุบัน อาจสรุปโดยคร่าวได้ตามตาราง 1
ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอัสซาด | ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอัสซาด | ฝ่ายชาวเคิร์ด | กลุ่มที่มีอุดมการณ์สุดขั้ว |
1. Syrian Arab Army (SAA) – Assad’s official military 2.National Defense Forces (NDF) 3. กลุ่มที่สนับสนุนโดยอิหร่าน คือ IRGC, Hezbollah, และกองกำลังชีอะห์อื่นๆ 4. กองกำลังสนับสนุนจากรัสเซีย | 1. Syrian National Army (SNA) หรือ FSA ในอดีต 2. สภาท้องถิ่นในพื้นที่ที่ตุรกีควบคุม (ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี) | Syrian Democratic Forces (SDF) ประกอบด้วย YPG (People’s Protection Units) และ YPJ (Women’s Protection Units) (ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา) | 1. Hayat Tahrir al-Sham (HTS) 2. Daesh/ISIL 3.กลุ่มที่มีแนวทางคล้ายคลึงกันอื่นๆ |

ที่มา: Al-Jazeera, 2017[1] และ Al-Jazeera, 2024[2]
การยึดเมืองอเลปโป
เหตุการณ์ในซีเรียเสมือนกับอยู่ในภาวะคงตัวมานับตั้งแต่ช่วงปี 2020 เมื่อรัสเซีย ตุรกี อิหร่าน และสหรัฐอเมริการ่วมกันรักษาข้อตกลงหยุดยิงและความเข้าใจด้านความมั่นคงหลายฉบับ ยกเว้นแต่ความขัดแย้งระหว่างกองกำลังตุรกีกับพื้นที่ปกครองของชาวเคิร์ดในปี 2023 หรือการโจมตีของอิสราเอลที่เข้ามาในซีเรียตั้งแต่ต้นปี 2024 เหตุการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมานับว่าส่งผลให้สถานการณ์ในซีเรียมีแนวโน้มจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ซึ่งนักวิเคราะห์หลายท่านได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เนื่องจากกระบวนการสันติภาพของซีเรียที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้รากของปัญหาได้คลี่คลายไป ประกอบกับปัญหาคอร์รัปชั่น การบังคับผู้คนให้ปฏิบัติที่ขัดแย้งกับความเชื่อ และอย่างทราบกันดีว่าวิกฤตมนุษยธรรมในซีเรียยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ชาวซีเรีย 90% อยู่ใต้เส้นความยากจน กว่า 50% พลัดถิ่น และ 75% ต้องการความช่วยเหลือรายวัน เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ยังคงมีโอกาสที่จะปะทุเป็นความรุนแรงได้ตลอดเวลา
ปฏิบัติการยับยั้งการรุกราน (Operation Deter Aggression) ของกลุ่ม HTS และพันธมิตร มีเป้าหมายคือการขยายการควบคุมของฝ่ายต่อต้านในชนบททางตะวันตกของอเลปโป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองกำลังของรัฐบาลซีเรียใช้ยิงถล่มพื้นที่พลเรือนอย่างไม่เลือกเป้าหมายมาหลายปี ภายในเวลาเพียงสามวัน กว่า 80 หมู่บ้านและเมืองถูกยึด กระทั่งเข้ายึดอเลปโปได้ในที่สุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2024 หลังจากนั้นกองทัพแห่งชาติซีเรียหรือ SNA (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสนับสนุนโดยตุรกี) กลุ่มร่มใหญ่ของฝ่ายต่อต้านอีกกลุ่มที่มีฐานอยู่ในชนบททางเหนือของอเลปโป ได้ประกาศการโจมตีอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือเมืองเทลริฟัต (Tel Rifaat) ทางเหนือ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลซีเรียและกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ที่นำโดยชาวเคิร์ด
เหตุการณ์นี้นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวิกฤตซีเรียที่จะเข้าสู่ปีที่ 14 ในมีนาคม 2025 นี้ เนื่องจากอเลปโปเป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ เป็นจุดศูนย์กลางของการสู้รบมาตั้งแต่เกิดวิกฤต แม้ว่าเรื่องราวของผู้คนในซีเรียจะค่อยๆ หายไปจากความสนใจของโลก หลายคนมองว่าสงครามจบไปแล้วหลายปี และอัสซาดได้ชัยชนะไปเมื่อ 6 ปีก่อน หากแต่วิกฤตและความรุนแรงยังคงดำเนินต่อมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2024 มีผู้เสียชีวิตทั่วซีเรีย 35-100 คนต่อสัปดาห์ ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นนี้ กลุ่ม HTS ได้พัฒนาศักยภาพทางทหารและปรับโครงสร้างให้เป็นกองกำลังแบบกองทัพปกติ รวมถึงพัฒนาหน่วยพิเศษสำหรับปฏิบัติการลับ การโจมตีฉับพลัน และปฏิบัติการกลางคืน[3]
การยึดส่วนสำคัญของเมืองโดยกองกำลังฝ่ายต่อต้านเป็นการสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลอัสซาด แม้จะยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน พัฒนาการนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลในการรักษาการควบคุมในพื้นที่ที่มีการแย่งชิง ต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2024 Al Jazeera[4] รายงานว่า กองกำลังซีเรียและรัสเซียได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศในเมืองอิดลิบและพื้นที่ต่างๆ ในเมืองอเลปโป โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการรุกคืบของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มต่อต้านยึดพื้นที่สำคัญได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่งผลให้แนวรบในสงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อยาวนานเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ทั้ง HTS และ SNA ยังคงปฏิบัติการต่อเนื่อง พร้อมเปิดช่องทางให้มีความพยายามทางการทูตเพิ่มขึ้น
ในด้านการสนับสนุนระหว่างประเทศ อิหร่านได้ส่งกองกำลังติดอาวุธจากอิรักเข้าไปเสริมการป้องกันของกองทัพซีเรีย ขณะที่รัสเซียก็ยังคงเป็นพันธมิตรหลักที่สนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ ด้านตุรกีซึ่งสนับสนุนกลุ่ม SNA ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่อง ‘การแทรกแซงจากต่างชาติ’ โดยระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการขาดการเจรจาระหว่างกลุ่มต่อต้านและรัฐบาลอัสซาด ส่วนสหรัฐอเมริกาได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความตึงเครียดและปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกของกลุ่มต่อต้าน แต่ยังคงยืนยันจุดยืนที่มีต่อบาชาร์ว่าเป็น ‘เผด็จการที่โหดร้าย’ และเรียกร้องให้ทุกประเทศใช้อิทธิพลของตนผลักดันให้เกิดการลดความรุนแรง การปกป้องพลเรือน และกระบวนการทางการเมือง
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรีย สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (Office for the Coordination of Humanitarian Affairs: OCHA) รายงานว่า การสู้รบได้คร่าชีวิตพลเรือน 44 คน และส่งผลกระทบต่อประชาชนอีก 48,500 คน ในช่วงระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2024 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสงครามซีเรียนับตั้งแต่ปี 2020 ที่แนวรบส่วนใหญ่ค่อนข้างคงที่ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในเวลาเพียงไม่กี่วัน
บทบาทของตัวแสดงต่างประเทศ
บทบาทของตัวแสดงต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งในสงครามซีเรีย เห็นได้จากการแทรกแซงของรัสเซียในปี 2015 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความขัดแย้ง ด้วยแรงจูงใจทางภูมิรัฐศาสตร์และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงการรักษาฐานทัพเรือในเมืองตาร์ตุส รัสเซียได้ให้การสนับสนุนทางอากาศที่สำคัญแก่กองกำลังของอัสซาด การเข้ามามีส่วนร่วมทางทหารของรัสเซียได้เปลี่ยนดุลอำนาจ ทำให้อัสซาดสามารถยึดคืนดินแดนสำคัญได้ รวมถึงเมืองอเลปโปในปี 2016 ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายต่อต้านในเวลานั้น
นอกจากนั้น อิหร่านก็เป็นพันธมิตรสำคัญอีกประเทศของรัฐบาลอัสซาด โดยมีบทบาทผ่านกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps: IRGC) และกองกำลังพันธมิตรอย่างเฮซบุลลอฮฺ (Hezbulloh) การสนับสนุนของอิหร่านมาจากความต้องการรักษาอิทธิพลในซีเรีย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของ ‘แกนต่อต้าน’ ในภูมิภาคที่ต่อต้านอิสราเอลและประเทศมุสลิมนิกายซุนนี กำลังภาคพื้นดินของอิหร่านผสานกับกำลังทางอากาศของรัสเซียช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของอัสซาด ทำให้รัฐบาลของเขาสามารถอยู่รอดท่ามกลางการก่อความไม่สงบหลายด้าน
ในขณะที่บทบาทของตุรกีในสงครามซีเรียได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในช่วงแรกรัฐบาลตุรกีสนับสนุนฝ่ายต่อต้านอัสซาด โดยมองว่ารัฐบาลอัสซาดไม่ชอบธรรมและสร้างความไม่มั่นคง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของกลุ่มชาวเคิร์ด โดยเฉพาะหน่วยพิทักษ์ประชาชน (YPG) ซึ่งตุรกีมองว่าเป็นส่วนขยายของพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Workers’ Party หรือ PKK) ทำให้ตุรกีเปลี่ยนจุดสนใจ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ดตามแนวชายแดนทางใต้ ตุรกีจึงหันมาให้ความสำคัญกับการต่อต้านอิทธิพลของชาวเคิร์ดมากกว่าการโค่นล้มอัสซาด
ตุรกีได้เปิดปฏิบัติการทางทหารหลายครั้ง เช่น Operation Euphrates Shield (ปี 2016) Operation Olive Branch (ปี 2018) และ Operation Peace Spring (ปี 2019) รวมถึงปฏิบัติการทางอากาศในปี 2023 ปฏิบัติการเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่ที่ควบคุมโดยชาวเคิร์ด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเขตกันชนและตั้งถิ่นฐานใหม่ให้กับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตุรกีได้ขยายอิทธิพลในซีเรียตอนเหนือ โดยสนับสนุน SNA และรักษาฐานทัพในอิดลิบ ซึ่งทำหน้าที่ถ่วงดุลกับกองกำลังของอัสซาดและกลุ่ม HTS
ตุรกีมีบทบาทสำคัญในการรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกว่า 3.6 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะรับไว้ได้ แม้ว่าตุรกีจะได้รับคำชื่นชมสำหรับความพยายามให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่แผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ผู้ลี้ภัยในซีเรียตอนเหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ‘เขตปลอดภัย’ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่โต้แย้งว่ามาตรการดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงลักษณะทางประชากรของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้านที่รวมถึง SNA นั้น ตุรกียังคงยืนยันว่าไม่ได้แทรกแซงและยังคงคาดหวังให้มีการพูดคุยเพื่อยุติสถานการณ์
Omer Ozkizilcik นักวิจัยร่วมของ Atlantic Council ระบุว่าว่าตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนกับกลุ่ม HTS ซึ่งตุรกีไม่ได้สนับสนุน และพยายามต่อต้านการขยายอิทธิพลของกลุ่ม HTS เข้าไปในเขตความมั่นคงทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียที่ตุรกีมีบทบาท นอกจากนี้ยังกดดันให้ตัดความสัมพันธ์กับ Al-Qaeda รวมถึงกดดันไม่ให้ HTS โจมตีชนกลุ่มน้อยชาวคริสเตียนและชาว Druze
ตามข้อมูลของ Ozkizilcik ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ Charles Lister ผู้เชี่ยวชาญจาก Middle East Institute ในวอชิงตัน การรุกครั้งนี้มีการวางแผนมาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม แต่ตุรกีได้หารือเพื่อระงับปฏิบัติการไว้ก่อน กระทั่งความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับบาชาร์และการผลักดันให้เกิดทางออกทางการเมืองของตุรกีต่อสถานการณ์ในซีเรียไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้ตุรกีจะไม่ได้มีบทบาทโดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลต่อสถานการณ์ในซีเรีย[5]
ส่วนสหรัฐอเมริกามีบทบาทที่หลากหลายในความขัดแย้งในซีเรีย แม้ว่าตอนแรกจะสนับสนุนกลุ่มที่มีแนวคิดสายกลาง แต่ได้เปลี่ยนจุดสนใจไปที่การต่อสู้กับ Daesh โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ซึ่งเป็นกองกำลังผสมที่นำโดยชาวเคิร์ด แต่การจับมือกับ SDF นี้ก็สร้างความตึงเครียดให้กับตุรกี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ลดการมีส่วนร่วมโดยตรง โดยเหลือกำลังทหารจำนวนเล็กน้อยในซีเรียตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อรักษาแหล่งน้ำมันและต่อต้านภัยคุกคามที่เหลืออยู่ของ Daesh ซึ่งการลดบทบาทของสหรัฐฯ ก็ได้เปิดโอกาสให้มหาอำนาจอื่น โดยเฉพาะรัสเซียและตุรกี ขยายอิทธิพลในซีเรีย
ในขณะที่บทบาทของอิสราเอลก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อสื่อของอิสราเอลอ้างว่าปฏิบัติการในเดือนพฤศจิกายน 2024 เกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอของอิหร่านและเฮซบุลลอฮฺที่ทำให้กลุ่มต่อต้านมั่นใจในปฏิบัติการ[6] อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอิสราเอลได้ปฏิบัติการทางทหารโดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีอิหร่านในอาณาบริเวณของซีเรียหลายครั้ง รวมถึงการโจมตีสนามบินนานาชาติอเลปโป และการโจมตีสถานทูตอิหร่านในดามัสกัสด้วย นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ว่าสถานการณ์การยึดอเลปโปในปลายปี 2024 อาจได้รับแรงบันดาลใจจากสถานการณ์ในเลบานอนที่มีการสู้รบจนอิสราเอลต้องอนุมัติข้อตกลงหยุดยิง
ในภาพรวมจึงอาจกล่าวได้ว่า ด้วยบทบาทที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มและมหาอำนาจหลายฝ่ายที่ยังคงมีอิทธิพลในซีเรีย จึงยากที่จะคาดหวังให้เกิดขึ้นสันติภาพในเร็ววัน อีกทั้งพลวัตของสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในสถานการณ์โลกที่กำลังจะเข้าสู่ยุคการปกครองของทรัมป์ 2.0 ในสภาวะที่สงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนของจีนที่เริ่มมีบทบาทในซีเรียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอน และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป ซีเรีย
ซีเรีย
ซีเรีย
↑1 | Al Jazeera. (2017, December 13). Russian, Syrian jets hit Aleppo, Damascus countryside. |
---|---|
↑2 | Al Jazeera. (2024, December 2). Hayat Tahrir al-Sham and the Other Syrian Opposition Groups in Aleppo. |
↑3 | Lister, C. (2024, November 30). Syria’s conflict is heating up once more. The Spectator. |
↑4 | Al Jazeera. (2024, December 2). Syria, Russia forces step up air raids in a bid to slow opposition advance. |
↑5 | France 24. (2024, December 2). Turkey could benefit from rebel offensive in Syria: Experts. |
↑6 | Berman, L. (2024, December 1). Rebels in Syria take advantage of Israel’s successes against a weakened Iran axis. The Times of Israel. |