เคยอ่านเจอมาจากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว เขาว่าเอาไว้ดังนี้ครับ ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างนักเขียนเบสต์เซลเลอร์กับยักษ์ใหญ่ในแวดวงวรรณกรรมที่รังสรรค์ผลงานคลาสสิก คือฝ่ายแรก ‘สร้างเรื่อง’ ส่วนฝ่ายหลัง ‘สร้างโลก’
ฟังดูออกจะเป็นการตีฝีปากเล่นสำนวนโวหาร (และหนักเอียงไปทางเหมารวม) มากกว่าจะมุ่งให้คำอธิบายเป็นจริงเป็นจังนะครับ ผมเองก็ไม่ได้เข้าใจความหมายของเนื้อความดังกล่าวเท่าไรนัก คำว่า ‘สร้างเรื่อง’ นั้น พอจะระแคะระคายอยู่เลาๆ ว่า เกี่ยวโยงไปถึงการเล่าเรื่อง คิดพล็อต ดำเนินเหตุการณ์ให้ชวนติดตาม และเกิดรสความบันเทิง แต่คำว่า ‘สร้างโลก’ นั้น กว้างแบบครอบจักรวาล จนยากจะสรุปนิยามหรือแปลความให้แน่ชัดว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ผมนึกถึงข้อความที่หยิบยกมาเมื่อได้อ่านผลงานของโทนี มอร์ริสัน และรู้สึกว่านิยายของเธอเข้าข่าย ‘สร้างโลก’ โดยแท้
ส่วนจะสร้างออกมายังไง? เป็นโลกแบบไหน? ประเดี๋ยวเราค่อยย้อนกลับมาว่ากัน
จนถึงขณะนี้ นิยายของโทนี มอร์ริสัน ได้รับการแปลเป็นไทยแล้ว 3 เรื่อง ไม่เรียงลำดับตรงตามช่วงเวลาที่เขียน ประกอบไปด้วย Beloved (บีเลิฟด์), The Bluest Eye (ดวงตาสีฟ้าสุดฟ้า) และ Song of Solomon (บทเพลงโซโลมอน) ทั้ง 3 เล่ม มีเนื้อเรื่อง ประเด็นสาระ และท่วงทีลีลาในการเขียนผิดแผกต่างกัน แต่มีสรรพคุณอย่างหนึ่งที่เหมาะแก่การหยิบยกมาใช้แทนคำเชื้อเชิญร่วมกัน นั่นคือเป็นงานเขียนที่ยิ่งอ่านซ้ำบ่อยครั้งเท่าไร ก็ยิ่งสนุกเพิ่มขึ้น พบเห็นชั้นเชิงการเขียนขั้นเอกอุมากขึ้นตามลำดับ และชวนให้รู้สึกจับอกจับใจทบทวี
Song of Solomon (บทเพลงโซโลมอน) เป็นนิยายเรื่องที่ 3 ของโทนี มอร์ริสัน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1977 ถัดจาก The Bluest Eye (1970) และ Sula (1973)
ความประทับใจแรกสุดที่ผมมีต่อ Song of Solomon คือเนื้อเรื่อง เป็นนิยายที่มีพล็อตหลายชั้น เปลือกผิวภายนอกสุด กินความครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ถึง 1960 เล่าเรื่องชีวิตของตัวเอกชื่อ เมคอน เดด ที่สาม หรือชื่อเล่นซึ่งบรรดาชาวบ้านพร้อมใจกันเรียกขานว่า มิลค์แมน
เรื่องเล่าเริ่มจากเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะลืมตาออกมาดูโลกหนึ่งวัน (18 กุมภาพันธ์ 1931 ตรงกับวัน เดือน ปีเกิดของโทนี มอร์ริสัน ผมไม่แน่ใจว่าจะมีนัยความหมายอันใดเป็นพิเศษแฝงอยู่หรือเปล่า) จากนั้นก็เล่าสืบเนื่องผ่านไปถึงวัยเด็ก วัยรุ่น จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
เล่าแบบอ้อมค้อมไม่ลงลึกสู่รายละเอียด (ซึ่งสนุกมากๆ) ช่วงต้นของนิยายพาผู้อ่านไปพบปัญหาต่างๆ ในตัวของมิลค์แมน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่ขาดความรักใคร่ไยดีต่อกัน, ความแปลกแยกที่ไม่สามารถเข้ากับใครได้สนิท, ความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร, มีแนวโน้มเป็นพวกวัตถุนิยม และที่หนักหนาสาหัสคือการเป็นคนผิวดำผู้รังเกียจสิ่งที่ตนเองเป็น มีความคิดจิตใจหรือทัศนคติแบบคนขาว (ในความหมายติดลบ)
สรุปโดยรวม มิลค์แมนเป็นคนไร้ราก มีชีวิตเคว้งคว้างไร้หลักยึดเหนี่ยว
นิยายแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคแรกเล่าดำเนินความไปจนถึงจุดอันเป็นที่สุดแห่งปัญหาของตัวเอก ส่วนภาคสอง มิลค์แมนออกเดินทางจากเหนือลงใต้ ด้วยจุดมุ่งหมายแรกเริ่มอย่างหนึ่ง แต่แล้วการได้พบพานเรื่องราวและผู้คนมากมายตามรายทาง กลับนำชายหนุ่มสู่บทสรุปลงเอยอีกแบบที่เบนไกลไปจากเป้าประสงค์เดิม
จากพล็อตข้างต้น Song of Solomon เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง กับการออกรอนแรมเดินทางไกล เพื่อค้นหาหรือหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเอง กระทั่งได้เรียนรู้ บรรลุวุฒิภาวะ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปในทางเข้าใจชีวิตดีขึ้น
พูดให้ขลังขึ้นอีกนิด จากเดิมที่เคยเป็นคนตายซากทางจิตวิญญาณตรงตามคำแปลของนามสกุล ถึงบั้นปลายท้ายสุด มิลค์แมนก็ ‘เกิดใหม่อีกครั้ง’ (แง่มุมเกี่ยวกับการเกิด-การตาย เป็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง ซึ่งโทนี มอร์ริสัน นำเสนอไว้หลายครั้งในนิยายเรื่องนี้ ในลักษณะปรากฏขึ้นพร้อมๆ หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งจะมองว่าเป็นการให้ภาพคู่ตรงข้าม หรือแสดงถึงวงจรวัฏจักรความเป็นไปในชีวิต หรืออื่นๆ ผิดไปจากนี้ก็สุดแท้แต่อัธยาศัยนะครับ)
หลายย่อหน้าข้างต้นอาจทำให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นและหมดเท่หมดหล่อไปเลย ด้วยการระบุแบบโยนโครมทุบเปรี้ยงว่านิยายเรื่องนี้เป็น coming of age แต่ด้วยฝีมือระดับโทนี มอร์ริสัน ความเป็น coming of age ในนิยายเรื่องนี้ ก็ล้ำลึกพิสดาร เหนือกว่างานตามขนบทั่วๆ ไปอยู่หลายขุม
ความเหนือชั้นประการแรก เรื่องราวสิ่งละอันพันละน้อยที่มิลค์แมนประสบพบเจอขณะเดินทางไกล ออกจากบ้านไปผจญภัย ทำให้เกิดอีกเนื้อเรื่องหนึ่งเหลื่อมซ้อนเข้ามา นั่นคือการสืบสาวประวัติของวงศ์ตระกูล ย้อนถอยไปถึงปี 1865 ซึ่งสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง
พูดอีกแบบคือปัจจุบันขณะตามท้องเรื่อง (1930-1960) บอกเล่าเรื่องราวของมิลค์แมนแบบเรียงตามลำดับเวลา ส่วนที่เป็นประวัติครอบครัว ซึ่งแทรกสลับเข้ามาทีละท่อน กลับเป็นไปในลักษณะค่อยๆ เล่าถอยหลัง สอดคล้องกับทิศในการเดินทางมุ่งจากเหนือลงใต้ของมิลค์แมน
ข้อเขียนของอาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ จากหนังสือ 2 เล่ม คือ ‘สัจนิยมมหัศจรรย์: ในงานเขียนของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ, โทนี มอร์ริสัน และวรรณกรรมไทย’ กับ ‘นายคำ:ตำนานนักเขียนโลก’ อธิบายว่าการเดินทางของมิลค์แมนนั้น ‘ย้อนศร’ จากเหนือลงใต้ “แทนที่จะเป็นจากใต้สู่เหนือเหมือนที่อดีตทาสผิวดำหนีนายทาสจากใต้ขึ้นทางเหนือเพื่อหาอิสรภาพ”
การเจาะเวลาหาอดีตของมิลค์แมน จึงเล่า 2 สิ่งประกอบกัน อย่างแรกคือคนผิวดำในชั่วรุ่นเดียวกับมิลค์แมนเป็นผลลัพธ์ตกทอดของการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ การกดขี่ข่มเหง และความอยุติธรรมจากอดีต เมื่อถึงยุคสมัยของมิลค์แมน ปัญหาเหล่านี้ยังคงมีอยู่ แต่รายละเอียดหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หนักเบาผิดแผกลดหลั่นกันไป พร้อมกันนั้นก็มีปัญหาใหม่ๆ สุมเพิ่มเข้ามา ที่เด่นชัดคือค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ที่คนขาวสร้างขึ้น และคนผิวดำก็รับไว้ ไม่ว่าจะโดยสมยอมหรือขัดขืนก็ตาม
ท้ายสุดสิ่งเหล่านี้ก็กลืนกิน กระทั่งทำให้เกิดคนผิวดำที่มีทัศนคติแบบมิลค์แมนหรือเมคอน เดดผู้พ่อ (อาจรวมถึงกีตาร์ เบนส์ ซึ่งมุ่งไปในทางต่อต้าน ตอบโต้การกระทำของคนผิวขาวด้วยความรุนแรง แบบเลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้นจึงจะสาสม)
อย่างต่อมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางของมิลค์แมน เชื่อมโยงรำลึกไปถึงประวัติของคนในครอบครัว จากเรื่องราวของคนรุ่นพ่อ แม่ (และอา คือไพเลต) ไปสู่เรื่องราวของปู่กับย่า และจบลงที่การโบยบินได้ของทวด ได้รู้เรื่องราวชีวิตความเป็นมาของแต่ละคน ชื่อนามที่แท้จริง รวมถึงต้นตอสาเหตุที่ทำให้มีอันต้องแปรเปลี่ยนเป็นอื่น
มากไปกว่านั้น มันยังพามิลค์แมนหวนคืนไปสัมผัสกับวิถีชีวิตเก่าก่อน วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนผิวดำ คุณค่าความดีงามที่ยังคงดำรงอยู่ การชำระสะสางเขียนประวัติศาสตร์คนผิวดำฉบับชาวบ้านขึ้นมาใหม่ รวมถึงการสืบสาวรากเหง้าของปัญหาเหยียดผิว
ทั้งพล็อตและสาระสำคัญของ Song of Solomon เข้าอีหรอบของนิยายที่ ‘คิดการใหญ่’ เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานขั้นสุด แต่ก็เขียนออกมาได้ดีเยี่ยมแบบ ‘ทำถึงฝีมือถึง’
ที่ผมนึกถึงคำว่า ‘สร้างโลก’ เมื่ออ่านนิยายของโทนี มอร์ริสัน ก็เป็นไปในลักษณาการทำนองนี้นะครับ
นอกจากความประทับใจเนื้อเรื่องและเนื้อหาแล้ว ความบันเทิงอย่างยิ่งยวดของผมขณะอ่าน Song of Solomon (รวมถึงเรื่องอื่นๆ ของโทนี มอร์ริสันด้วย) คือการติดตามเหตุการณ์ต่างๆ แบบคาดเดาอะไรล่วงหน้าไม่ได้เลย และเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ได้เป็นเพราะตัวพล็อตมีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน หรือโลดโผนพิสดารด้วยจินตนาการสุดล้ำหรอกนะครับ แต่เป็นที่การสร้างตัวละคร ซึ่งมีบุคลิกนิสัยและพฤติกรรมแปลกประหลาด (ไพเลตเป็นตัวละครที่เด่นชัดมากในแง่นี้) จนคาดคะเนได้ยากว่าจะพูดจาหรือทำอะไร บวกกับฝีมือการเขียนของโทนี มอร์ริสัน ซึ่งควบคุมสั่งได้ตลอดว่าอยากให้ผู้อ่านรู้สึกเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหยิบยกกล่าวอ้างอะไรสักอย่างขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นก็ค่อยๆ ตะล่อมเข้าสู่เรื่องราวที่ต้องการจะเล่า
ท่วงทีลีลาการเขียนของโทนี มอร์ริสันนั้นเป็นสิ่งที่ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความพิเศษพิสดารขณะอ่านนะครับ แต่อธิบายหรือสรุปเป็นรูปธรรมอย่างกระชับสั้นให้คนที่ไม่เคยอ่านนึกภาพคล้อยตามได้ยาก และควรต้องกล่าวไว้ด้วยว่า ในการอ่านนิยายทุกเรื่องของโทนี มอร์ริสันเที่ยวแรก ผมรู้สึก ‘ขมปี๋’ ตลอด
พระอาจารย์แม่นั้นเป็นนักเขียนพิเศษ มีวิธีคิดวิธีเขียน ต่างจากครรลองปกติที่เราท่านคุ้นเคยอยู่มาก และมีท่วงทีลีลาการเขียนที่ผมอยากจะเรียกว่าประณีต วิจิตรบรรจง เรียกร้องต้องการสมาธิและความตั้งอกตั้งใจของผู้อ่านเป็นอันมาก ต่อเมื่อคุ้นชินปรับตัวคล้อยตามได้แล้วนั่นแหละ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นงานเขียนที่อ่านอร่อยทุกถ้อยคำ
สิ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือนิยายของโทนี มอร์ริสัน ทรงพลังในทุกๆ ด้าน ทั้งการดำเนินเรื่องที่ตรึงตราตรึงใจ การเร้าอารมณ์ด้วยวิธีและฝีมือที่เหนือชั้น ไม่ดาษดื่นตื้นเขิน ที่สำคัญคือความเข้มข้นเชิงเนื้อหาที่กินความทั้งกว้างทั้งลึก
ว่ากันเฉพาะเรื่อง Song of Solomon วิธีสื่อสารเสนอแง่คิดสาระ ก็มีตั้งแต่ตรงไปตรงมา อย่างเช่นการให้ตัวละครถกเถียงปะทะคารมกัน และมีการไล่ระดับจากง่ายไปจนถึงซับซ้อนคลุมเครือ
มีรายละเอียด 2 อย่างที่โทนี มอร์ริสัน ให้เป็นเบาะแสแก่ผู้อ่านไว้บ่อยครั้ง อย่างแรกคือ ‘การโบยบิน’ ซึ่งปรากฏให้เห็นตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง (Song of Solomon เป็นนิยายที่เขียนฉากเปิดได้โอ่อ่าตระการตามาก ไม่ใช่ด้วยความมโหฬารหรือความสำคัญสูงส่งของเหตุการณ์ แต่เป็นความยิ่งใหญ่สง่างามอันเกิดจากวิธีเขียน การแนะนำตัวละคร วิธีพรรณนา ความแยบยลในการเปรียบเปรยอุปมาอุปไมย การเล่าเหตุการณ์โกลาหลด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งราบเรียบ ที่สำคัญคือฉากดังกล่าวมีจำนวนแค่ไม่กี่หน้า แต่สิ่งที่บอกเล่านั้นอัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ตัวละคร ช่วงเวลา และเหตุการณ์มากมายร้อยเรียงกันอย่างสละสลวย)
เช่นเดียวกับฉากจบทิ้งท้าย ซึ่งคลุมเครือเปิดกว้างให้ผู้อ่านครุ่นคิดตัดสินใจตามแต่จิตศรัทธาว่าการพุ่งทะยานโผบินของตัวละครเป็นไปด้วยเจตนารมณ์ใด (ถึงแม้จะไม่มีคำตอบตายตัว แต่บทสรุปก็ทิ้งทางเลือกไว้ให้ผู้อ่านครุ่นคิดว่าคำตอบเป็นข้อ ก.ไก่ หรือ ข.ไข่ ไม่ได้เป็นปริศนาธรรมยากระดับมืดแปดด้าน อ่านแล้วเกิดปมด้อยแต่อย่างใด)
พ้นไปจากนี้ ยังมีรายละเอียดเกี่ยวเนื่องกับการโบยบินอยู่อีกหลายหนหลายครา ไปเสาะหาอ่านกันเอาเองนะครับ
โทนี มอร์ริสันมอบกุญแจไขปริศนาไว้ในบทนำว่า “การโบยบินเป็นได้ทั้งการหลบหนีและการเลือกเผชิญหน้า” จากถ้อยอธิบายนี้ สามารถนำไปใช้ทาบจับอ่านความหมายของการโบยบินในนิยาย ไล่เรียงไปถึงการหลบหนีและการเลือกเผชิญหน้าของตัวละครในอีกหลายเหตุการณ์ (ซึ่งไม่มีคำว่าโบยบินเข้ามาเกี่ยวข้อง)
อีกรายละเอียดหนึ่งที่กล่าวถึงไว้เยอะ คือการตั้งชื่อและการเรียกขาน เช่น ที่มาของชื่อนามสกุลพิลึกพิลั่นอย่างเมคอน เดด ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดที่น่าขบขันระคนขมขื่น, วิธีการตั้งชื่อของไพเลต ที่มีความหมายไม่เป็นมงคล แต่เจ้าตัวกลับน้อมรับและปฏิบัติต่อชื่อที่ได้รับอย่างหวงแหนทะนุถนอม, การถือกำเนิดของชื่อมิลค์แมน ซึ่งแฝงด้วยนัยความหมายไปทางบัดสีบัดเถลิง, กีตาร์ เบนส์ (ซึ่งพ้องเสียงกันระหว่างคำว่า bains กับ banes), ถนนที่มีชื่อเป็นทางการว่า ‘เมนส์อเวนิว’ แต่ชาวบ้านต่างพากันเรียกว่า ‘ถนนบ้านหมอ’ ครั้นสภาเทศบาลพยายามอธิบายข้อเท็จจริงเพื่อให้เรียกขานกันอย่างถูกต้อง ชื่อจึงเปลี่ยนใหม่โดยได้รับการแก้ไขให้ตรงตามความหมาย กลายเป็น ‘ถนนไม่ได้ชื่อบ้านหมอ’
ผมยังไม่มีเวลาคิดจริงจังกับรายละเอียดเหล่านี้นะครับ แต่เท่าที่ประมวลอย่างฉาบฉวย น่าจะเกี่ยวกับคู่ความสัมพันธ์ ทั้งสิ่งที่เป็นอยู่เดิม-การถูกทำให้เป็นอื่น, การยอมรับ-การปฏิเสธ ฯลฯ รายละเอียดทำนองนี้ (ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีกมากที่ยังจับสังเกตไม่ออก) เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำทำให้ Song of Solomon เป็นนิยายที่ยิ่งอ่านซ้ำก็ยิ่งสนุก ดีขึ้นและน่าประทับใจเพิ่มขึ้น
คำเชิญชวนแบบขายของที่ดีที่สุด คือข้อเขียนของอาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ตามนี้ครับ
“มอร์ริสันบรรยายความรักอันสูงส่งและความเจ็บปวดอันร้าวลึกของหญิงผู้สูญเสียคนรักได้อย่างกินใจ โดยเฉพาะในฉากงานศพ…
“เศร้าสลด สะเทือนอารมณ์ ทว่าแฝงด้วยศักดิ์ศรีและพลังอันกร้าวแกร่ง ถือเป็นบทอาลัยที่ยอดเยี่ยมบทหนึ่งที่เคยมีในโลกวรรณกรรม
“เพียงบทนี้บทเดียวก็ทำให้มอร์ริสันคู่ควรกับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมได้แล้ว”