น้ำยาปรับพลังนุ่มที่ประเทศไทยต้องการ  

การผลิต วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นั้น

มีความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อ

ผมกล้าพูดได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า

เอเจนซีโฆษณาและสิ่งที่เรียกว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เสียอีก” 

เจมส์ ไดสัน

ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dyson 

การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกของฝรั่งเศสครั้งนี้ดูเหมือนจะได้รับความสนใจจากคนไทยมากเป็นพิเศษ ผมคิดเอาเองว่าส่วนหนึ่งเพราะปารีสนั้นมีภาพลักษณ์ของเมืองแห่งแฟชั่นและกระแสเรื่อง ‘พลังนุ่ม’ หรือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ที่จุดติดแล้วในบ้านเรา ขยับนิดขยับหน่อยก็กลายเป็นจุดสนใจไปหมด ฟากรัฐบาลมีการพูดถึงเรื่องการผลักดันพลังนุ่มให้เป็นเครื่องจักรทำเงินของประเทศไทยให้ได้ปีละหลายล้านล้านบาท ได้ยินได้ฟังแล้วก็น่าตื่นเต้นมากที่เราจะมีเงินทองจากการทำเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

แต่เราจะสามารถสร้างเงินสร้างงานจากพลังนุ่มของเราได้ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า เราต้องมีน้ำยาปรับพลังนุ่มของเราส่วนไหนไหม เพื่อให้มันนุ่มมากพอจะสร้างความประทับใจให้คนที่ได้ประสบพบเห็น 

และจริงๆ เราเข้าใจกระบวนการการสร้างพลังนุ่มของเรามากแค่ไหน

ผมอยากลองให้เราไปสำรวจพัฒนาการพลังนุ่มของเพื่อนๆ ดูบ้างว่าบ้านอื่นเมืองอื่นเขาทำกันอย่างไร 

ขอยกตัวอย่างของการพัฒนาเรื่องพลังนุ่มในประเทศที่ไม่ไกลจากเรานักอย่างไต้หวัน นอกเหนือจากชื่อที่ฝรั่งมักจะสับสนกันบ่อยๆ ว่าคุณมาจาก ‘ไต้หวัน’ หรือ ‘ไทยแลนด์’ กันแน่ ไต้หวันยังมีหลายอย่างที่คล้ายกับประเทศไทย

ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ไต้หวันเป็นประเทศที่ไม่มีใครนึกถึง ภาพลักษณ์ของไต้หวันขณะนั้นคือเกาะเล็กๆ ที่ยังไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่เก่งเรื่องอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กๆ พีซีบอร์ด หรือมอเตอร์ตัวเล็กๆ ที่ใช้ในไดร์เป่าผม อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากการเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ไม่มีใครนึกถึงชานมไข่มุก หรือนักร้องชื่อดังอย่างเจย์ โชว์ หรือเมืองหลวงแห่งสนีกเกอร์ หรือประเทศที่มีความเท่าเทียมทางเพศอย่างในปัจจุบัน

จริงๆ แต่ไหนแต่ไร ไต้หวันแทบจะมีทุกอย่างเหมือนที่ญี่ปุ่นมีนะครับ การเดินทางที่สะดวกสบาย ออนเซน ธรรมชาติที่สวยงาม บ้านเมืองสงบ แต่เรามองข้ามไต้หวันเสมอ พอจะไปเที่ยวเราก็จะนึกถึงเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น จีน ฮ่องกงเสียมากกว่า

ตัวเลขนักท่องเที่ยวเมื่อ 20 ปีก่อนของไต้หวันจากข้อมูลของหน่วยงานการท่องเที่ยวของไต้หวัน ในปี 2003 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเพียงสองล้านคนเท่านั้น เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำเงินได้น้อยมาก ไม่มีใครรู้ว่าไปไต้หวันต้องไปทำอะไรบ้าง มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง มีของอะไรน่าซื้อ มีอะไรน่ากิน การไปไต้หวันส่วนมากก็ไปเพื่อติดต่อธุรกิจ ไม่มีใครอยากอยู่นานๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไปกินอะไรกันดี

นั่นเป็นภาพที่คนรุ่นผมเมื่อสักสิบยี่สิบปีก่อนรู้สึกกับไต้หวัน แต่กาลกลับเปลี่ยนไปพร้อมการมาถึงของตึกไทเป 101

ไต้หวันเริ่มโปรโมตและสร้างภาพลักษณ์ของประเทศเสียใหม่ ในสมัยนายกรัฐมนตรี หยู ชิน คุน (Yu Shyi-kun) โดยเขาเริ่มจากการสร้างตึกที่สูงที่สุดโลก ซึ่งเป็นตึกที่ท้าทายความสามารถทางวิศกรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างตึกสูงขนาดนี้ใน ประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ถือเป็นเรื่องที่เรียกความสนใจได้ไม่น้อย ไทเป 101 เป็นเสมือนการจุดพลุให้คนหันมามองประเทศเล็กๆ แห่งนี้ เมื่อกระแสจุดติด รัฐบาลในยุคต่อๆ มาก็ใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ไต้หวันในมิติอื่นๆ เช่น การเปิดตัวโครงการ Taiwan Exellence ของนายกรัฐมนตรีแฟรงก์ เชย์ (Frank Hsieh) ซึ่งเป็นภารกิจต่อเนื่องจากการเปิดตัวตึกไทเป 101 ในปี 2004

Taiwan Exellence เป็นโครงการส่งเสริมสินค้าและบริการของไต้หวันไปสู่ระดับสากล โดยรัฐบาลจะมอบรางวัลนี้ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม มีคุณภาพและมูลค่าเพิ่มสูง แคมเปญนี้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกและการรับรู้ของแบรนด์สินค้าจากไต้หวันในตลาดโลก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำการตลาดประเทศและสร้างพลังนุ่มของไต้หวัน

ล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงการจ้าง Discovery Channel ทำสารคดีเกี่ยวกับไต้หวัน จ้างมิชลินไกด์มาโปรโมตอาหารการกินของประเทศ การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม จนกระทั่งไต้หวันได้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองที่คุ้มค่าน่าเที่ยวแห่งหนึ่งในเอเชีย ฯลฯ ไต้หวันใช้เวลาสองทศวรรษกว่าจะเขยิบนักท่องเที่ยวจากสองล้านคนมาเป็น 12 ล้านคนต่อปีอย่างทุกวันนี้ 

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นปัจจัยทางตรงที่ทำให้ไต้หวันเป็นประเทศที่ ‘รวย’ ขึ้นแต่อย่างใด

เพราะหากไปดูสัดส่วนของรายได้ของไต้หวัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นคิดเป็นรายได้เพียง 2% ของรายได้ทั้งหมด ตัวเลขนี้ไม่แตกต่างจากที่ฝรั่งเศสหรือเกาหลีใต้ทำได้จากการท่องเที่ยว การมีพลังนุ่มไม่ได้ทำให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้นในแง่ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่มันทำให้เราดูเซ็กซี่ขึ้น ดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นในสายตาของคนอื่น ส่งผลทางอ้อมกับความรู้สึกที่มีต่อประเทศในระยะยาวมากกว่า

ไต้หวันยังคงร่ำรวยและสร้างความแข็งแกร่งของประเทศจากจุดแข็งของพวกเขาที่เป็นมาตลอด นั่นคือการทำอุตสาหกรรมหนัก จากประเทศผู้ผลิตแผงวงจร ตอนนี้มาสู่ผู้ผลิตชิประดับนาโนเมตร ผู้นำการผลิตมอเตอร์ขนาดเล็ก รวมถึงเป็นแหล่งผลิตโปรแกรมเมอร์มือต้นๆ ของโลก เช่นเดียวกันกับฝรั่งเศสซึ่งมีอุตสาหกรรมการบินอย่าง Airbus, Safran และ Thales เป็นแหล่งทำเงิน มีอุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมอาหารเป็นเสาหลักมากกว่าธุรกิจแฟชั่นที่เราเห็น อุตสาหกรรมหนักเหล่านี้ยังเป็น cash cow ที่สร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ และเอาฮาร์ดแวร์ที่แข็งแรงมาหล่อเลี้ยงส่วนอื่นๆ รวมถึงพลังนุ่มด้วย

ที่เล่ามาคืออยากให้ทุกคนเห็นภาพว่า ประเทศอาจไม่สามารถพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ได้อย่างยั่งยืน หากว่าเรายังไม่สามารถพัฒนาหรือหาอุตสาหกรรมหลักๆ ที่จะเป็น cash cow ของประเทศได้ ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรต้องให้ความสำคัญกับการมีฮาร์ดแวร์ที่ทำเงินมากขึ้นเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีความมั่นคงประมาณหนึ่ง ไม่อย่างนั้นการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลานานและซับซ้อน จะไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน หากเรายังจำกันได้ ในปี 2005 รัฐบาลที่นำโดยพรรคไทยรักไทยและคุณทักษิณ ชินวัตร ก็มีความตั้งใจจะผลักดัน creative economy และการสร้างภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่น (Bangkok City of Fashion) แต่ก็น่าเสียดายที่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนทำให้สองทศวรรษของเราหมดไปกับการแข่งกีฬาสี    

ตัวอย่างอีกประเทศที่ดูเหมือนว่าน่าจะไปได้สวยกับพลังนุ่มที่พวกเขามี ซึ่งโดดเด่นที่สุดในโลกประเทศหนึ่งนั่นคืออียิปต์

เมื่อนึกถึงอียิปต์ ปฎิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงคือความยิ่งใหญ่ของพีระมิดและสิ่งก่อสร้างที่ไม่เหมือนใคร อียิปต์มีวัตถุดิบชั้นดีและมีเรื่องราวมากมายที่สามารถนำมาต่อยอดได้ไม่รู้จบ เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครก็อปปี้ได้ แต่ทำไมพีระมิดของอียิปต์ถึงไม่สามารถสร้างอิทธิพลเทียบเท่าหอไอเฟลของฝรั่งเศส นั่นเพราะความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาของชาวต่างชาติจึงเป็นไปในทางลบ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การทำงานที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้การนำเสนอพลังนุ่มของประเทศไม่ได้สร้างอิมแพคอย่างที่คิด ไหนจะเรื่องการจัดการทรัพยากรและเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ดีพอ ก็ส่งผลต่อความน่าสนใจและภาพลักษณ์ของประเทศเช่นกัน

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการขาดการส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นส่วนสำคัญของพลังนุ่ม คือมันต้องสามารถส่งต่อ ผลิตซ้ำและมีความน่าสนใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ปัจจุบันอียิปต์พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนมากถึง 10% ของรายได้ของประเทศ แต่ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความมั่นคงทำให้ไม่มีใครอยากไปเที่ยว และแน่นอนมันไม่ดีกับอียิปต์ที่ความมั่งคั่งเดียวที่พวกเขาฝากความหวังไว้ คือซากปรักหักพังที่มีมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน โดยที่ยังไม่สามารถสร้างอะไรเพิ่มเติมได้

มังงะและคาร์แรกเตอร์การ์ตูนจากญี่ปุ่นจะไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้หากอุตสาหกรรมพลาสติกในประเทศไม่แข็งแรง กระเป๋าแอร์เมสจะไม่สวยขนาดนี้หากอุตสาหกรรมฟอกหนังและห่วงโซ่อุปทานของการบริโภคเนื้อวัวไม่เฟื่องฟู เคป็อปของเกาหลีใต้จะไม่ประสบความสำเร็จหากสมาร์ตโฟนของซัมซุงหรือโทรทัศน์จากแอลจีขายได้ไม่ดีไม่มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ต่างเชื่อมโยงกันครับ หากคุณอยากประสบความสำเร็จในการพัฒนาพลังนุ่ม คุณต้องพัฒนาจุดแข็งให้แข็งมากพอจะเป็นป้อมปราการที่ใครก็ยากจะพังทลาย

ปีเตอร์ ดรักเกอร์เคยบอกไว้ว่า การพัฒนาที่ดีที่สุดไม่ใช่การพัฒนาวัสดุหรือระบบการเมืองและเศรษฐกิจ  แต่เป็นการพัฒนาคน นั่นคือทรัพยากรที่จำเป็นที่สุด ไม่ว่าเราจะพัฒนาอะไรก็ตามต้องเริ่มจากคน การขายพลังนุ่มโดยขาดความแข็งแรงของฮาร์ดแวร์ การไร้เสถียรภาพทางการเมือง และการส่งต่อถึงคนรุ่นหลังได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มลงบนผ้าไหม

มันพร้อมฉีกขาดและอาจเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่สุดอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ 

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save