ในหลายครั้งดนตรีและเสียงเพลงมักถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแทรกแนวคิดและอุดมการณ์ จนถึงกลายเป็นพื้นที่แสดงจุดยืนทางการเมืองของศิลปินได้เช่นกัน ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าเสียงดนตรีถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างขวัญและกำลังใจ รวมไปถึงปลุกใจผู้คนในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าดนตรียังถูกใช้เพื่อการเรียกร้องสันติภาพหรือต่อต้านสงครามด้วย
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกการแสดงออกจุดยืนทางการเมืองผ่านดนตรีคลาสสิก หรือการใช้ดนตรีคลาสสิกเรียกร้องต่อต้านสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วดนตรีคลาสสิกถูกใช้เป็นเครื่องมือในลักษณะดังกล่าวได้เช่นกัน
Shostakovich คีตกวีผู้หยัดยืนต่อต้านเผด็จการ
Dmitri Shostakovich (ดมิทรี ชอสตาโควิช) เป็นคีตกวีชาวรัสเซีย เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1906 (25 กันยายน ตามปฏิทินใหม่) ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในยุคที่รัสเซียยังคงเป็นจักรวรรดิและมีพระเจ้าซาร์ปกครอง ชอสตาโควิชเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักดนตรีในปี 1919 ด้วยการเข้าเรียนในสถาบันดนตรีแห่งเมืองเปโตรกราด (Petrograd Conservatory) และประสบความสำเร็จจากการประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในปี 1924-1925[1] พร้อมกันนั้นยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับตนเองในการประพันธ์ยุคใหม่ที่มีการแหกขนบและนำดนตรีแจ๊ซเข้ามาผสมผสาน อีกทั้งยังสร้างสรรค์คอร์ด DSCH อันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ให้กับวงการเพลงคลาสสิก
ชอสตาโควิชเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดและหาแนวทางใหม่ๆ ให้กับดนตรีคลาสสิกอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากการประพันธ์อุปรากรเรื่อง Lady Macbeth of Mtsenk ในปี 1934 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานแนวอาวองการ์ด (avant-garde)[2] ในยุคดังกล่าว อย่างไรก็ดี ภายหลังการปฏิวัติรัสเซียแนวทางการประพันธ์ดนตรีย่อมมีกฎเกณฑ์ใหม่เกิดขึ้นเพื่อให้ทิศทางของงานศิลปะทุกแขนงภายในประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ รูปแบบสัจนิยมแนวสังคมนิยม ที่เน้นการเข้าถึงง่ายเพื่อให้ดนตรีคลาสสิกสามารถเข้าถึงผู้คนในทุกชนชั้น โดยภายหลังจากการเถลิงอำนาจของโจเซฟ สตาลิน มีการจัดตั้ง Union of Soviet Composers ในปี 1933 ที่พยายามเข้าควบคุมคีตกวีและศิลปินในงานศิลปะแขนงต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ส่งผลให้คีตกวีหลายคนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์เพลงของตนให้เข้ากับแนวทางของรัฐบาล แน่นอนว่าชอสตาโควิชย่อมหนีไม่พ้นแนวทางของรัฐบาล[3] ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการประพันธ์ดนตรีของตนให้มีความเรียบง่าย เพื่อตอบสนองต่อแนวทางดังกล่าว แต่กระนั้นชอสตาโควิชยังคงมีความหัวขบถอยู่ในตัวเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 5 ที่มีท่าทีและน้ำเสียงในการต่อต้านเผด็จการสตาลิน รวมไปถึงสรรเสริญชัยชนะของประชาชนผ่านมูฟเมนต์สุดท้ายของซิมโฟนีชิ้นดังกล่าว
ชอสตาโควิชถูกสั่งแบนผลงานการประพันธ์หลายชิ้นด้วยข้อหา ‘ตกอยู่ใต้อิทธิพลตะวันตก’ นอกจากนีเขายังเคยกล่าวถึงแนวทางการประพันธ์เพลงของรัฐบาลว่า “หากไม่มีแนวทางของพรรค [คอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต – ผู้เขียน] แล้ว ผมจะแสดงความสามารถได้มากกว่านี้ และจะใช้การถากถางและอีกหลายๆ อย่าง”[4]
ซิมโฟนีหมายเลข 7 บทเพลงที่ตีแผ่ความยากลำบากในยามสงคราม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี 1939 ตามมาด้วยนานาประเทศเริ่มยาตราเข้าสู่สงคราม สหภาพโซเวียตเลือกอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรและต่อสู้กับเยอรมนี ภายใต้การนำของสตาลิน โดยกองทัพของเยอรมันบุกตีไปทางตะวันออกเรื่อยๆ จนเข้ามาถึงชายแดนของสหภาพโซเวียตและเริ่มล้อมเมืองเลนินกราด (ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เอาไว้
ช่วงที่มีการปิดล้อมเมืองเลนินกราด ชอสตาโควิชประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 7 เพื่อสะท้อนบรรยากาศของเมืองที่ถูกทหารเยอรมันปิดล้อม รวมถึงสะท้อนความยากลำบากของผู้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับสงคราม เขาประพันธ์ช่วงแรกของผลงานในฤดูร้อนปี 1941 และประพันธ์ท่อนอื่นๆ จนแล้วเสร็จและออกแสดงครั้งแรกในปี 1942
ในมูฟเมนต์แรกมีเสียงการเดินสวนสนามของทหารเยอรมันที่อยู่นอกเมือง เคล้าคลอไปกับเสียงปืนกลที่ระดมยิงตลอดการล้อมและบุกเมือง พร้อมทั้งมีเสียงการบุกเข้ามาและอาวุธสงครามอื่นๆ ร่วมด้วย รวมไปถึงเสียงไซเรนที่ดังขึ้นเพื่อแจ้งเตือนชาวเมืองให้เตรียมหลบภัย นอกจากจะเป็นมูฟเมนต์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้ฟังเพลงคลาสสิกหลายคน ยังเป็นดนตรีที่สะท้อนถึงความยากลำบากและความน่ากลัวของสงครามผ่านเสียงที่ค่อยๆ ดังขึ้น แสดงให้เห็นถึงการบุกเข้ามาใกล้ขึ้นของทหารเยอรมัน พร้อมๆ กับความหวาดกลัวของผู้คนจากการมีเครื่องบินทิ้งระเบิดลงมาทำลายเมืองเป็นระยะๆ และเสียงปืนใหญ่ที่ยังคงระดมยิงอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ดี ในมูฟเมนต์แรกที่ชอตสตโกวิชได้รับแรงบันดาลใจจากการบุกเข้าเมืองของทหารเยอรมัน ตัวเขาก็ได้สอดแทรกความหมายในเชิงอุปมาเอาไว้ด้วย เพราะชอสตาโควิชได้พิจารณาถึงศัตรูประเภทอื่นๆ ของมนุษย์เช่นกัน[5]
ในขณะที่มูฟเมนต์ที่สองและสามอยู่ในอัตราและจังหวะที่ช้ากว่ามูฟเมนต์แรก โดยในมูฟเมนต์ที่สองได้ใช้จังหวะ scherzo เป็นหลัก[6] ในขณะที่มูฟเมนต์ที่สามมีลักษณะคล้ายคลึงกับ funeral march หรือดนตรีที่ใช้ประกอบการสวนสนามในงานศพ แม้ว่าชอสตาโควิชจะไม่เคยตั้งชื่อหรือกล่าวเอาไว้ก็ตาม[7] และเมื่อเข้าสู่มูฟเมนต์ที่สี่หรือช่วงสุดท้ายของซิมโฟนี ดนตรีได้กลับเข้าสู่ธีมที่คล้ายคลึงกับมูฟเมนต์แรกอีกครั้ง โดยมีลีลาที่สดใสยิ่งขึ้น รวมไปถึงการใช้ดนตรีที่แสดงถึงชัยชนะของประชาชน ซึ่งคล้ายคลึงกับซิมโฟนีหมายเลข 5 ที่เจ้าตัวเคยประพันธ์มาก่อน
ภายใต้ความยากลำบากในสงคราม นอกจากความเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการทำสงครามของกองทัพทั้งสองฝ่ายแล้ว อีกผลพวงหนึ่งที่ตามมาจากสงครามคือ ความหิวโหยของประชาชนจากการถูกปิดล้อม ความทุกข์จากการขาดแคลนอาหารนั้นอาจยากที่จะส่งเสียงออกมาท่ามกลางความรุนแรงของสงคราม ในหลายครั้งผู้ประสบภัยมักจากไปอย่างเงียบๆ เพราะไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงในการบอกกล่าวใคร ซิมโฟนีหมายเลข 7 พยายามตีแผ่ความยากลำบากหลากมิติที่เกิดขึ้นจากการทำสงครามอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อดนตรีดังกล่าวถูกนำไปแสดงยังโลกตะวันตก เป็นการบรรเลงภายนอกรัสเซียครั้งแรกโดยอาตูโร ทอสกานินี (Arturo Toscanini) ในปี 1942 ที่สหรัฐอเมริกา[8] นอกจากจะได้รับเสียงชมจากผู้ฟังและนักวิจารณ์ถึงการใช้เทคนิคที่มีความซับซ้อนทางดนตรีแล้ว การแสดงนี้ยังแสดงถึงความสามัคคีของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงเวลาดังกล่าว จนชอสตาโควิชกลายเป็นไอคอนทางวัฒนธรรม (และตัวแทนของการโฆษณาชวนเชื่อจากสหภาพโซเวียต) ซิมโฟนีหมายเลข 7 ยังเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังทั่วโลกเกิดความคิดว่า นาซีไม่มีทางที่จะชนะรัสเซียได้[9]
ด้านชอสตาโควิช ซึ่งเป็นคนหัวขบถและต่อต้านเผด็จการ เขากล่าวถึงซิมโฟนีชิ้นนี้เอาไว้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ยากของผู้ที่อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ ถึงแม้ว่าจะมิใช่ในรูปแบบของนาซี แต่เป็นทุกรูปแบบของการกดขี่ การก่อการร้าย หรือรูปแบบอื่นใดที่เป็นการรวมอำนาจเบ็ดเสร็จ[10]
ส่งท้าย
แม้ว่าบทเพลงดังกล่าวจะได้รับคำชม คำสรรเสริญ หรือคำครหาติเตียนมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้คือสงครามและความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงในเมืองเลนินกราด ซึ่งชวนให้ผู้เขียนนึกถึงสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบันที่กำลังร้อนระอุและเต็มไปด้วยการยุยงปลุกปั่นให้ก่อสงคราม อันมาจากการรักชาติโดยมิคำนึงปัจจัยอื่นๆ และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมา ซึ่งผู้เสียหายที่แท้จริงมิอาจส่งเสียงหรืออุทธรณ์ได้ มิใช่เพียงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในมาตุภูมิเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงสงครามกาซา รัซเซีย-ยูเครน ที่กำลังดำเนินไปโดยมิอาจทราบได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ท้ายที่สุดนี้ หนึ่งในเสียงที่กึกก้องที่สุดของซิมโฟนีหมายเลข 7 คือ เสียงของความหวาดกลัว ความอดอยาก ความสูญเสีย และความยากลำบากนานัปการที่แพร่ออกไปในหมู่ประชาชน
ผู้อ่านทุกท่านสามารถฟังซิมโฟนีชิ้นดังกล่าวได้ทางยูทูบและสปอติฟาย
↑1 | Encyclopedia Britannica, s.v. “Shostakovich,” accessed July 24, 2025. |
---|---|
↑2 | Clemency Burton-Hill, “Shostakovich: The composter who was almost purged,” BBC, August 7, 2015. |
↑3 | จุฬมณี สุทัศน์ ณ อยุธยา, ดนตรีตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 20, (กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2565), 121-129. |
↑4 | Clemency Burton-Hill, Ibid. |
↑5 | John Mangum, “Symphony No.7, ‘Leningrad’,” LA Phil, n.d. |
↑6 | Ibid. |
↑7 | Encyclopedia Britannica, s.v. “Shostakovich symphony no.7,” accessed July 24, 2025. |
↑8 | Ibid. |
↑9 | Tom Service, “War Music: the humanity, heroism and propaganda behind Shostakovich’s Symphony No 7,” The Guardian, January 2, 2016. |
↑10 | John Mangum, Ibid; Tom Service, Ibid. |