RFK Jr. ว่าที่ รมต.สาธารณสุขอเมริกา กับเรื่องชวนคิดต่อระบบสุขภาพไทย

ภาพปก REBECCA NOBLEGETTY / IMAGES NORTH AMERICA/Getty Images via AFP

ชั่งใจอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม เพราะพอผมเปรยกับคนรู้จักว่าอยากเขียนถึงโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ (Robert Francis Kennedy Jr. หรือ RFK Jr.) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเสนอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐคนต่อไป คำถามแรกที่ถูกถามคือรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวเหรอครับ (ถือเป็นคำถามที่ให้เกียรติ เพราะเขาเห็นผมเคยไปร่วมในโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยมีชื่อในอเมริกาอยู่หลายปี แถมเคยไปเป็น senior leadership fellow ในมหาวิทยาลัยนั้น) ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของผมคือไม่รู้จักครับ แต่ที่อยากเขียนเพราะมีโอกาสดูหนังสารคดีที่มีคุณ RFK Jr. เป็นตัวละครมาพูดถึงสุขภาพและระบบสุขภาพของอเมริกา แถมในบางเรื่องเขายังมีสถานะเป็นผู้อำนวยการสร้างหรือบางเรื่องก็ทำจากหนังสือที่เขาเขียนขึ้น

ส่วนตัวผมเคยไปใช้ชีวิตและรับเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาช่วงสั้นๆ และต้องเป็น ‘ลูกค้า’ ของระบบหลักประกันสุขภาพอเมริกา (เมื่อรับเงินเดือนจากองค์กรในอเมริกาก็ต้อง ‘ซื้อประกันสุขภาพในอเมริกา’ และ ‘เสียภาษี’ เหมือนคนอเมริกันคนหนึ่ง) นอกจากนี้ก็เคยไปเข้าหลักสูตรว่าด้วยการคลังเพื่อสุขภาพที่อเมริกาเมื่อครั้งยังหนุ่ม แล้วถูกคนอเมริกันถามว่ามาเรียนเรื่องนี้ที่อเมริกาทำไม ในเมื่ออเมริกาเป็นประเทศที่ใช้เงินเพื่อสุขภาพอย่างฟุ่มเฟือย และทำผู้คน (ที่ยากจน) เดือนร้อนกันมานาน แก้อย่างไรก็ยังไม่มีวี่แววดีขึ้น (ในปี 1988)

ที่เกริ่นมาก็เพื่อให้ผู้อ่านได้อ่านบทความนี้ตามบริบทที่เป็นจริงว่าผู้เขียนไม่รู้จัก RFK Jr. เป็นการส่วนตัว และไม่ได้ตั้งใจเขียนถึงตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ก็หลีกเลี่ยงยากเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสาระสำคัญ หลายประเด็นที่ RFK Jr. ถูกวิจารณ์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และควรถูกพูดถึงในสังคมไทยไม่ใช่น้อย ผมจึงอยากชวนคิดเรื่องนโยบายที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูด้วย

มารู้จัก RFK Jr. กันคร่าวๆ

ก่อนจะพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเหล่านั้น ผมหวังว่าผู้อ่านคงพอรู้ว่า RFK Jr. คือหลานของอดีตประธานาธิบดีผู้โด่งดังนามว่าจอห์น เอฟ. เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy หรือ JFK) ที่ถูกลอบสังหารขณะอายุเพียง 46 ปี ในปี 1963 ที่เมืองดัลลาส ในขณะเดินทางไปเยี่ยมประชาชนเพื่อเตรียมตัวรณรงค์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง หลังจากที่คะแนนนิยมในช่วงปลายสมัยที่หนึ่งเริ่มแย่ลง แต่หลังจากถูกลอบสังหาร ชื่อเสียงของตระกูลเคนเนดีในฐานะนักการเมืองกลับเป็นบวกต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี (Robert Francis Kennedy หรือ RFK) น้องชายของอดีตประธานาธิบดีเคนเนดีและพ่อของ RFK Jr. ก็ถูกสังหารในเวลาต่อมาขณะอายุ 42 ปี (เกิดเหตุในปี 1968 หรือราว 5 ปีหลังจากพี่ชายเสียชีวิต) ในช่วงที่มีข่าวว่าจะมาท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพี่ชาย 

RFK Jr. เคยเป็นผู้สมัครสมัครอิสระเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ถอนตัวหลังพรรคเดโมแครตเปลี่ยนตัวแทนมาเป็นกมลา แฮริส และเขาก็ประกาศสนับสนุนทรัมป์อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านั้นเขามีชื่อเสียงในฐานะผู้รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะการออกมาพูดต่อต้านธุรกิจยา เริ่มตั้งแต่เรื่องวัคซีนไปจนถึงเรื่องธุรกิจยาที่พยายามครอบงำการเมืองอเมริกาและวงการวิชาการ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เป็นผู้บริหารองค์กรวิจัยอย่างแอนโทนี เฟาชี (Anthony Fauci) ผู้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในช่วงโควิดระบาด โดย RFK Jr. เขียนหนังสือชื่อ The Real Anthony Fauci และยังมีหนังสารคดีที่ทำจากหนังสือเล่มนี้ด้วย แต่ผลงานที่ทำให้ RFK Jr. เป็นที่รู้จักในอเมริกาเป็นงานด้านสิ่งแวดล้อมตามพื้นฐานด้านกฎหมายที่สำเร็จการศึกษามา และเคยเป็นตัวแทนฟ้องบริษัทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม จนต่อมาจึงค่อยมาจับเรื่องสุขภาพ 

RFK Jr. ถูกวิจารณ์ในประเด็นไหนบ้าง

ด้วยเส้นทางการเมืองและการทำตัวเป็นบุคคลสาธารณะที่มักออกมาพูดในเรื่องที่ไม่มีใครพูด หรือออกมาช่วยผู้เดือดร้อนเรื่องสิ่งแวดล้อมในฐานะบริษัทกฎหมายและมูลนิธิ ทำให้ RFK Jr. กลายเป็น ‘ตัวป่วน’ 

การที่ RFK Jr. มักกล่าวโยงใยถึงองค์กรและบุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงบริษัทยา ธุรกิจอาหาร นักการเมือง และนักวิชาการผู้มีชื่อเสียง ทำให้ภาพพจน์ของการเป็น conspiracy theorist หรือผู้ชอบอ้างทฤษฎีสมคบคิดของเขา เป็นภาพพจน์หลักที่สังคมโดยทั่วไปรู้จัก RFK Jr. (เรื่องราวของกลุ่มบุคคลหรือผู้มีอิทธิพลในทฤษฎีสมคบคิดที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ของโลกมีอยู่มากมาย แต่มักเริ่มมาตั้งแต่ยุคต้นๆ ของประเทศอเมริกา หรือไม่ก็ในยุคกลางเลยทีเดียว)

เรื่องแรกที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องร้อนและเรื่องเด่นที่ RFK Jr. ถูกโจมตี หลังได้ข่าวว่าเขาอาจมาคุมกระทรวงสาธารณสุขคือเรื่องวัคซีน เพราะ RFK Jr. ออกมาพูดและเขียนถึงเรื่องวัคซีนในลักษณะที่ชี้ให้เห็นถึงผลแทรกซ้อนอันเกิดจากวัคซีน เริ่มตั้งแต่การถกเถียงเรื่องวัคซีนป้องกันโรคหัดที่ทำให้เด็กเกิดใหม่เป็นออทิซึมมากขึ้น หรือการออกมาวิจารณ์ว่าบริษัทใช้สารไทเมอโรซอลซึ่งมีส่วนประกอบของปรอทในวัคซีน

กรณีวัคซีนกับการเป็นออทิซึม เริ่มจากบทความทางวิชาการที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชื่อดังในปี 1998 ระบุว่าวัคซีนผสมสามตัว (หัด อีสุกอีใส และหัดเยอรมัน) ทำให้เด็กเป็นออทิซึม โดยเป็นผลจากการศึกษาในเด็ก 12 คน แม้บทความนี้จะถูกทางวารสารประกาศเพิกถอนการตีพิมพ์ในอีก 6 ปีต่อมา ด้วยเหตุผลทางจริยธรรมของผู้ประพันธ์บทความเพราะผลการศึกษาเป็นเท็จ แต่ก็ยังมีผู้พูดถึงเนื้อหาในบทความวิชาการชิ้นนี้และมีการยกเหตุผลทั้งทางธุรกิจ การเมือง และวิชาการว่าทำไมบทความนี้จึงยังน่าเชื่อถือ

ส่วนเรื่องวัคซีนที่มีสารที่อาจเป็นอันตรายก็มีข้อมูลว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเลิกใช้สารดังกล่าวมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ไม่จำเป็นที่ประชาชนจะต้องวิตกกับสารดังกล่าวอีกต่อไป

นอกจากสองประเด็นเรื่องวัคซีนดังกล่าว เมื่อเกิดโควิดระบาด ประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงและ RFK Jr. นำมาพูดต่อกับสาธารณะในอเมริกาอย่างจริงจังคือปัญหาจากวัคซีน mRNA โดยมีประเด็นสำคัญสามประการ

ประเด็นแรก เขาอ้างคำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งซึ่งมีผลงานและชื่อเสียงในวงการพอสมควร ว่าการใช้ mRNA ในวัคซีนหรือยาอื่นๆ ในอนาคตจะส่งผลต่อสุขภาพและร่างกายของผู้ได้รับ mRNA เข้าไปในร่างกาย ไม่ต่างจากการกินอาหารจีเอ็มโอที่มีการตัดต่อพันธุกรรม ทำให้พืชและสัตว์ที่กินเข้าไปเอาสารพันธุกรรมที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเข้าไปในร่างกาย

ประเด็นที่สอง นอกจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ยังมีข้อวิจารณ์ว่าวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติผ่านการวิจัยในเวลาอันรวดเร็ว จนไม่อาจติดตามผลข้างเคียงในระยะยาวแบบเดียวกับการทดลองยาหรือวัคซีนที่มีมาก่อน จนโยงไปถึงประเด็นที่สาม ด้วยการตีแสกหน้าคนดังและกล่าวหาว่ามีการสมคบคิดระหว่างนักวิชาการ อย. และบริษัทยาที่จะเร่งรัดและอนุมัติการใช้โดยขาดความรอบคอบ จนเกิดปัญหาแทรกซ้อนทางสุขภาพตามมาสารพัด

นอกจากนี้ยังมีข้อวิจารณ์เกี่ยวกับวัคซีนตัวอื่นๆ ที่เริ่มจากการศึกษาหรือการเก็บข้อมูลที่พบปัญหาจากวัคซีนอื่นๆ อีกหลายตัวที่บริษัทและแพทย์กำลังส่งเสริมการใช้ให้กว้างขวางขึ้น อย่างวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV)

เรื่องที่สอง ที่เป็นประเด็นสำคัญที่คนวิจารณ์ RFK Jr. คือการที่เขาออกมาบอกว่าหากได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯ จะประกาศหยุดการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มทั่วอเมริกา เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว

อันตรายจากฟลูออไรด์ก็คล้ายกับเรื่องวัคซีน คือเริ่มต้นจากการมีผู้ออกมาให้ข้อมูลถึงผลเสียของการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป เช่น ในพื้นที่ที่มีฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำธรรมชาติสูงจะปรากฏคนที่มีฟันตกกระ แต่ก็มีข้อมูลว่าเป็นปัญหาเรื่องความสวยงามเท่านั้น ไม่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ส่วนผลทางสุขภาพที่มีการอ้างถึงอีกอย่างน้อยสองประการ คือทำให้กระดูกบางและอาจมีผลต่อสมอง (ไอคิวต่ำ) ซึ่งก็มีข้อมูลทางวิชาการออกมาโดยส่วนใหญ่ชี้ว่ามักเกิดในกรณีที่ได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณมากหรือความเข้มข้นสูง หรือในบางกรณีก็พบปัญหาเด็กเกิดใหม่ในหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีฟลูออไรด์สูง หรือคนงานที่ได้รับฟลูออไรด์จากการทำงานในโรงงานที่ใช้ฟลูออไรด์มาก

เรื่องที่สาม มีคนพูดถึงน้อยคือเรื่องอาหารขยะ (junk food) และอาหารแปรรูป (processed foods) ซึ่งโดยความหมายจะแตกต่างกันในแง่ที่อาหารขยะหมายถึงอาหารปรุงสำเร็จพร้อมกิน แต่มีส่วนประกอบที่ไม่ดีจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่ถูกพูดถึงกันบ่อยก็คงเป็นอาหารจานด่วน (fast food) ที่มีชื่อเสียงขนาดเคยมีคนทำสารคดีเล่าประสบการณ์ที่ยอมเป็นหนูทดลองด้วยการกินอาหารจานด่วนติดต่อกันโดยไม่กินอย่างอื่นเลยเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม แล้วพบว่าความดันสูงมาก ไม่นับความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวที่วัดออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ที่มอร์แกน สเปอร์ล็อกเล่าไว้ในหนังชื่อดังเรื่อง Super Size Me

ส่วนอาหารที่เรียกว่า processed foods หมายถึงอาหารที่เป็นวัตถุดิบซึ่งยังต้องนำไปผ่านการปรุงให้กินได้ มีข้อมูลออกมาเป็นระยะว่ามีโทษต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เป็นโรคอ้วนและมะเร็ง เพราะมักมีไขมันและสารเคมี (สารกันบูด) ผสมอยู่มาก ไม่นับส่วนประกอบในอาหารอย่างเกลือและไขมันที่มาจากกระบวนการผลิตอาหารเพื่อให้ดูน่ากินและเก็บได้นาน

คนอเมริกันที่อ้วนมีมากในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเศรษฐฐานะต่ำ นักการสาธารณสุขเห็นตรงกันว่าสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการเข้าถึงอาหารกลุ่ม processed foods ที่มีราคาถูก เพราะส่วนใหญ่มาจากส่วนที่นำไปคัดแยกตัดแบ่งขายตามวิธีปกติเดิม แล้วใช้กระบวนการนำเอาส่วนที่เหลือมารวมกัน ใส่สารต่างๆ ลงไปแล้วนำไปขึ้นรูปใส่บรรจุภัณฑ์เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ ตัวอย่างที่น่าจะชัดเจนที่สุดคือเนื้อ ‘เบอร์เกอร์’ ที่เกิดจากการเอาส่วนที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ มาผสมรวมกัน จนกลายเป็นก้อนเหมือนชิ้นเนื้อ

ประเด็นเรื่องอาหารที่มีการพูดถึงว่าอาจถูกกระทบหาก RFK Jr. มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขยังมีอีกอย่างน้อยสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือนม ที่เป็นเหมือนอาหารประจำวันของคนอเมริกัน (และอีกหลายประเทศ แม้จะไม่ได้เลี้ยงวัวนมหรือดื่มนมเป็นประจำมาก่อน) โดยประเด็นที่ถูกทำให้เป็นเป้าคือการที่อุตสาหกรรมโคนม (รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ) ใช้สารเคมีอย่างมากมาย จนอาหารที่กินเป็นประจำอาจกลายเป็นช่องทางเอาสารเคมีเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ยังมีประเด็นคล้ายนมแต่มาจากกลุ่มที่ใหญ่กว่า คือการใช้สารเคมีต่างๆ ในกระบวนการปลูกพืช (โดยเฉพาะผัก) และกระบวนการเลี้ยงสัตว์ (ในกรณีอเมริกาคือการเลี้ยงวัวและเลี้ยงไก่) ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเร่งการเติบโต การให้นมและเนื้อในวัวและไก่ การใช้ยาฆ่าเชื้อโรค ไปจนถึงการปนเปื้อนในอาหารสัตว์ที่มาจากปัญหาของแหล่งอาหารสัตว์ที่ขาดการควบคุม

ไม่นานมานี้ มีรายการข่าวทางโทรทัศน์ในอเมริกา พูดถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลไบเดนมีนโยบายให้เบิกยาลดความอ้วนรุ่นใหม่ๆ ได้ในระบบหลักประกันสุขภาพที่รัฐเป็นผู้จ่าย มีผู้ร่วมถกประเด็นนโยบายนี้ว่าเหมาะสมและจำเป็นหรือไม่ แบ่งได้เป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าปัญหานี้ใหญ่โตมากและยาสมัยใหม่ก็ได้ผลดีมาก แม้ยาส่วนใหญ่จะออกมาใช้รักษาเบาหวานเป็นหลักแต่ก็ช่วยให้คนทั่วไปลดน้ำหนักได้ ส่วนคนเป็นเบาหวานก็ดูเหมือนคุมเบาหวานได้ดีขึ้นผ่านการคุมน้ำหนักได้มากกว่าไปเรียกร้องหรือให้ความรู้เพื่อไปปรับพฤติกรรม

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าปัญหาความอ้วนมาจากอาหารที่กินซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คล้ายที่เล่ามาในย่อหน้าก่อนนี้ ถ้าอยากแก้ปัญหาต้องไปแก้ที่ต้นตอ แทนที่จะมาแก้ที่ปลายเหตุด้วยการใช้ยา (ที่มีราคาแพง) แต่ที่แน่ๆ ไม่มีคนที่เห็นว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างที่เราพูดกันอยู่มากในสังคมไทยจะเป็นทางออกของปัญหาโรคอ้วน แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อมูลและความเห็นจากรายการทางโทรทัศน์ในอเมริกา ซึ่งปัจจุบันก็ต้องรับสารด้วยการคิดไตร่ตรองอีกหลายชั้น ถ้าไม่อยากถูกครอบงำ

ผมมีคำถามระหว่างดูว่าคนที่มาร่วมรายการและพูดถึงเรื่องการจัดการกับอาหารที่ส่งผลทำให้อ้วน ไม่เน้นเรื่องยามาจากทีมงานหรือเครือข่ายหรือเป็นแฟนคลับของ RFK Jr. แค่ไหน อย่างไร (แต่รายการไม่ได้บอก) ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน (หรืออาจไม่ชอบ RFK Jr. เป็นการส่วนตัว เพราะเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่) ก็อาจยิ่งทำให้เห็นว่าเรื่องนโยบายการแก้ปัญหาโรคอ้วนมีได้หลายแบบ ส่วนท่านว่าที่รัฐมนตรีจะแก้แบบไหน เดี๋ยวเรามาดูกันต่อไป

RFK Jr. ตั้งใจจะทำอะไร และมีปัญหาอย่างไร

มีบทความและบทวิจารณ์มากมายว่า RFK Jr. มาพร้อมกับวาระทางนโยบายที่ไม่ปกติ (คำแปลของผมเองสำหรับคำว่า controversy ในกรณีนี้) แต่ถ้าแปลแบบตรงๆ น่าจะเป็นนโยบายที่ ‘ไม่ถูกต้อง’ หรืออาจจะแค่ ‘อยากโต้แย้ง’ หรือแค่ ‘น่าถกเถียง’ (ในความเห็นของผู้วิจารณ์ ซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นนักวิชาการ) คนอเมริกันที่กังวลกับการมารับตำแหน่งของ RFK Jr. มองหรืออยากให้จัดการกับ controversy แบบไหน คงจะได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ (ถ้า RFK Jr. ได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่ง)

อีกคำวิจารณ์หนึ่งมาจากผู้สนใจเชิงนโยบายที่บอกว่าสิ่งที่ RFK Jr. อยากทำในเชิงนโยบาย น่าจะเป็นเรื่องเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะนอกจากแรงต้านทางวิชาการแล้วยังมีแรงต้านทางการเมืองที่อาจจับมือกับธุรกิจ พูดอีกอย่างก็คือภาคธุรกิจคงไม่อยู่เฉยๆ ให้ RFK Jr. ทำอะไรได้อย่างที่ตั้งใจ

ด้วยความที่ไม่รู้จักกลไกหรือรูปธรรมการทำให้เกิดนโยบายโดยฝ่ายการเมืองในอเมริกามากมาย ผมจึงลองถามแชทจีพีที (ChatGPT) เพื่อเรียนรู้ว่าสิ่งที่ RFK Jr. อยากทำจะถูกแปลงเป็นนโยบายได้อย่างไรบ้าง แน่นอนว่าแชทจีพีทีก็ทำได้แค่ รวบรวมและสังเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารที่มีอยู่แล้ว และอาจไม่ได้สังเคราะห์มากมายแบบที่นักวิชาการเรียกว่า meta analysis คือเอาข้อมูลดิบมายำรวมกันอีกที (เพราะยังทำไม่เป็น) เพราะฉะนั้นสิ่งที่แชทจีพีทีบอกมา ก็น่าจะเป็นเพียงแนวทางให้มาดูกันต่อไปว่าสิ่งที่ RFK Jr. จะใช้เป็นเครื่องมือและช่องทางทางนโยบายนั้นมีอะไรบ้าง

โดยรวมๆ แชทจีพีทีพูดถึงแนวทางการทำนโยบาย โดยดูจากสิ่งที่ RFK Jr. มีประสบการณ์และเคยพูดถึงสิ่งที่ควรทำในโอกาสต่างๆ แบ่งได้เป็น 5 ด้าน

1.การปฏิรูปกลไกรัฐให้โปร่งใส โดยมีเป้าสำคัญสองแห่ง คือ CDC (ศูนย์ควบคุมโรคของรัฐบาลกลาง) กับ FDA (อย.)

2.การจัดการกับปัญหาราคายา โดยทำให้โครงการประกันสุขภาพขนาดใหญ่ของรัฐอย่าง medicare (ดูแลผู้สูงอายุ) สามารถต่อรองราคายาได้ รวมทั้งการทำให้เกิดรูปแบบการคำนวณราคายาที่เหมาะสม แบบที่เกิดในประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพที่มาจากผู้จ่ายรายเดียว (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป)

3.เรื่องสิ่งแวดล้อมน่าจะเน้นไปที่การออกกฎระเบียบ เพื่อควบคุมไม่ให้ปล่อยสารพิษหรือทำให้สร้างมลภาวะได้น้อยลงจากกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะระดับอุตสาหกรรม กับอีกเรื่องที่พูดมานานคือเรื่องการไม่ผสมฟลูออไรด์ในน้ำ

4.ดึงสภาเข้ามาร่วมอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องที่จะทำจำนวนไม่น้อยต้องออกเป็นกฎหมายผ่านสภา

5.ดึงประชาชนมาเป็นพวกด้วยการใช้ฐานะผู้กำหนดนโยบาย ระดมพลังจากสังคม เพราะฝ่ายสภาก็อาจไม่ร่วมมือ (แม้รีพับลิกันจะเป็นเสียงส่วนใหญ่) ในขณะเดียวกันคงมีแรงต้านจากทั้งฝ่ายธุรกิจและภาควิชาการ

มีผู้วิเคราะห์ถึงความยากลำบากในครั้งนี้ว่าน่าจะมาจากอย่างน้อยสามด้าน คือฝ่ายสภาอย่างที่กล่าวมา (อย่านึกว่าพรรคครองเสียงข้างมากจะผ่านกฎหมายได้ง่ายๆ เพราะมีผู้วิเคราะห์ไว้ว่าสภาและฝ่ายบริหารของอเมริกาถูกครอบด้วยธุรกิจขนาดยักษ์ เรียกว่า supercapitalism (หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องนี้เขียนโดย Robert Reich อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานสมัยรัฐบาลคลินตัน)

แต่ด้านที่สามที่น่าสนใจคือตัว RFK Jr. เอง ที่จะสามารถสร้างเครดิตให้เป็นที่น่าเชื่อถือในสังคมหรือวงการวิชาการ ที่ออกมาโจมตีว่าตัวเขาเอียงกะเท่เร่ เชื่ออะไรผิดๆ ที่ไม่มีฐานวิชาการ แล้วไม่ฟังใคร โดยเฉพาะเรื่องที่มีข้อสรุปทางวิชาการแล้ว

ไทยน่าจะเรียนรู้อะไรจากกรณีการแต่งตั้งที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในอเมริกา

ถ้ามองว่านโยบายคือสมองของประเทศและมีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในสังคมอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการวางกติกาและกลไกให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันสร้างสังคมที่พึงประสงค์ร่วมกัน น่าจะชัดเจนว่าสังคมที่ RFK Jr. อยากสร้างขึ้น เป็นสังคมที่น่าสนใจและน่าจะต้องเข็นครกขึ้นภูเขาอย่างที่หลายฝ่ายชี้มา

ถ้าจะลองสรุปเอาจากความเข้าใจและประสบการณ์ของตนเอง สังคมที่ RFK Jr. อยากทำให้เกิดขึ้นน่าจะออกมาทำนองนี้

1.คนอเมริกันได้บริโภคอาหารที่ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ และอุตสาหกรรมอาหารต้องร่วมกันสร้างอาหารที่ไม่มีสารอันตรายต่อสุขภาพ

2.คนอเมริกันเข้าถึงยาที่มีประโยชน์โดยมีราคาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะต้องจ่ายเองหรือรัฐต้องจ่ายผ่านระบบหลักประกันในฐานะผู้ซื้อบริการหลัก (ระบบหลักประกันสุขภาพอเมริกันไม่เคยให้รัฐเป็นผู้จ่ายแต่ผู้เดียว จนกลายเป็นภาระหนี้สินมหาศาล หรือเข้าถึงบริการได้กะปริดกะปรอย แม้มีประกันสุขภาพ)

3.สิ่งแวดล้อมสะอาดโดยภาคธุรกิจควบคุมการปล่อยสารพิษ และประชาชนได้รับการคุ้มครองไม่ได้รับสารพิษหากหลีกเลี่ยงได้ (เช่น กรณีสารฟลูออไรด์ในน้ำ ตามความเชื่อของ RFK Jr.)

4.การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ต้องผ่านกระบวนการควบคุมกำกับที่เข้มข้น กลไกรัฐไม่ย่อหย่อน เข้าข้างธุรกิจ (กรณีตัวอย่างคือวัคซีน mRNA ที่ถูกนำมาพูดถึงว่าปล่อยให้มีการใช้เร็วเกินไป)

5.ธุรกิจโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลสารต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตอย่างเต็มที่และจริงจัง ไม่ปล่อยให้เกิดการเปิดโปงแล้วค่อยมาแก้ไข

นอกเหนือจากประเด็นเรื่องสังคมที่พึงประสงค์สไตล์ RFK Jr. อย่างที่สรุปมา อีกประเด็นที่น่าสนใจคือบทบาทของรัฐและนักการเมืองผู้มีอำนาจพัฒนาประเทศ ที่คงทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยตั้งคำถามได้ว่าอยากเห็นแบบไหน

กรณีบทบาทของรัฐคงคุยได้ยาว แต่ที่อยากชี้ให้เห็นคือในอเมริกา หลายอย่างที่ควรเกิดไม่ได้อยู่ในมือของรัฐ และรัฐเองก็พยายามไม่ไปรบกวนภาคธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป มีเรื่องราวต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ารัฐจะทำหน้าที่เพียงสร้างกติกา แล้วปล่อยให้ฝ่ายต่างๆ ในสังคมไปทำสิ่งที่ควรทำภายใต้กติกาที่กำหนดไว้ผ่านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติสารพัดนั้นน่าจะไม่พอ

เรื่องสุขภาพเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เช่น กรณีราคายาสูงมากที่ฉุดไม่อยู่ในอเมริกา จนถึงจุดที่รัฐเห็นว่าตนเองต้องเข้ามาเจรจากำหนดราคาที่เหมาะสม (เพราะประเทศพัฒนาอื่นๆ ที่เชื่อระบบตลาดเสรีเขาก็ทำกัน) หรือแม้กระทั่งกลไกรัฐที่เป็นตัวกำกับติดตามการปฏิบัติตามกติกาย่อหย่อนเข้าข้างธุรกิจหรือไม่ เพียงไร อย่างไร ก็เป็นอีกประเด็นที่กลายเป็นเรื่องสำคัญ กัดกร่อนความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อผู้มีอำนาจ (ที่อาจสะท้อนผ่านการเลือกตั้งหลายๆ ครั้ง แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่หากรวมการประท้วงหรือการออกมาเรียกร้องนโยบายเพื่อสุขภาพอีกมากมาย ก็อาจพอบอกถึงความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อผู้มีอำนาจและการทำงานของกลไกรัฐ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเอื้อประโยชน์ธุรกิจ จนลืมประชาชนหรือไม่ อย่างไร)

ลองเปรียบเทียบสังคมที่พึงประสงค์ (ทางสุขภาพ) กับกรณีประเทศไทย

หัวข้อนี้ ความจริงคุยได้ยาวมาก เพราะที่ผ่านมาเวลาพูดถึงนโยบายสุขภาพหรือระบบสุขภาพ ก็มีการเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ เป็นระยะ ในหลายมิติ และสำหรับอเมริกา ส่วนที่ถูกนำมาพูดถึงมากคือระบบหลักประกันสุขภาพ (ที่ใช้เงินมากทั้งรัฐ ธุรกิจ และประชาชน) แต่ได้ผลตอบแทนน้อย กับอีกสองเรื่องที่เราคอยดูอเมริกาอยู่เป็นระยะคือเรื่องการควบคุมโรค (CDC ที่เป็นเป้าหนึ่งของ RFK Jr.) กับ อย. ที่เป็นอีกเป้าสำคัญ

ในบทความนี้จะขอพูดถึงเฉพาะประเด็นสังคมที่พึงประสงค์ ตามที่ได้ลองสรุปมากับเรื่องบางเรื่องที่ไทยเราพูดและทำมาต่อเนื่อง แต่อาจไม่ได้อยู่ในสิ่งที่ RFK Jr. อยากทำ

ในกรณีสังคมที่พึงประสงค์ (ว่าด้วยเรื่องสุขภาพ) ไทยเรามีกรอบและกลไกชักชวนผู้คนมาร่วมกันพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบายโดยกลไกอำนาจ ผ่าน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติที่พยายามเชื่อมสังคมกับกลไกนโยบายผ่านการส่งเรื่องเข้า ครม. แต่ก็ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นกลไกที่มีอิทธิพลหรือถูกใช้ประโยชน์มากอย่างที่ควร และประชาชนมักให้ความสนใจกับนโยบาย (สังคมที่น่าจะเป็นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก) จากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแบบที่เกิดในอเมริกา และเราลองพูดถึงสิ่งที่ถูกเสนอผ่านกรณี RFK Jr.

ความจริงการที่ฝ่ายการเมืองต้องเสนอนโยบายเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ น่าจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสังคมที่พึงประสงค์ที่มีการปรับเปลี่ยน ไม่ใช่หยุดนิ่งเพราะถูกกรอบใดกรอบหนึ่งตรึงไว้ (หรือหากมีกรอบ ก็ต้องเป็นกรอบที่สามารถนำมาตีความและปรับเปลี่ยนตามความเป็นจริงของสังคมในแต่ละช่วงเวลา) แต่ปัญหาสำคัญสำหรับกระบวนการนโยบายที่เชื่อมกับการเลือกตั้งที่สำคัญ คือการหวัง quick win อย่างที่ชอบพูดกัน กลายเป็นการสร้างโครงการสารพัดหรืออาจเป็นแค่การสร้างอีเวนต์ แต่ไปไม่ถึงการสร้างระบบและกลไกที่จะทำให้เรื่องดีๆ เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

กรณีนี้ต้องยอมรับว่ากลไกการเมืองในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ มีการมองนโยบายเชื่อมไปถึงการสร้างระบบมากกว่าแค่มาทำโครงการชั่วคราวในรัฐบาลตัวเอง พอหมดอายุรัฐบาล เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นก็หมดไป ถ้าจะยกเพียงเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ ก็คงชัดเจนว่าหลายครั้งที่ผ่านมาสู้กันที่ระบบที่ออกแบบมาโดยมีร่างกฎหมายรองรับ (เพื่อให้เกิดผลกว้างขวางและต่อเนื่อง) มากกว่าการเสนอเพียงว่าจะเพิ่มสิทธิประโยชน์อะไร ด้วยเงินเท่าไร ที่พอมีรัฐบาลใหม่ที่อยากเน้นสิทธิประโยชน์อื่นแต่เงินมีจำกัด ก็อาจยกเลิกของเก่ามาใช้เงินกับเรื่องใหม่ หรือไม่ก็หาทางเพิ่มงบประมาณไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้มองเชิงระบบว่าจะต่อเนื่องยั่งยืนอย่างไร ในขณะที่พยายามจะให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองมากขึ้น

เรื่องที่สองที่น่าสนใจคือการให้ความสำคัญกับเรื่องการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ถ้ามองถึงสี่เรื่องรูปธรรมที่ RFK Jr. นำมาพูดถึง คือเรื่องอาหาร สิ่งแวดล้อม วัคซีน และราคายา จะเห็นว่าเป็นเรื่องเข้าข่ายการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ถึง 3 ใน 4 เรื่อง แถมมาตรการก็ดูจะเจาะไปถึงหัวใจคือเรื่องการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพผู้คน

ประเด็นนี้ทำให้ผมนึกถึงการประชุมวิชาการของมูลนิธิรางวัลเจ้าฟ้ามหิดลที่เรียกกันย่อๆ ว่า PMAC (Prince Mahidol Award Conference) ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 20 ปีแล้ว และในการประชุมเมื่อปีหนึ่งมีการพูดถึงเรื่อง political economy of health ที่หลายฝ่ายทั่วโลกเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุต้นทางของสารพัดโรคเรื้อรัง ที่เรามักจะพูดว่าเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคและการดำเนินชีวิตที่ไม่ส่งเสริมการมีสุขภาพดี แต่กลับทำให้เป็นโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ได้ง่ายๆ

เมื่อวิเคราะห์ไปโดยละเอียด จะพบว่าพฤติกรรมจำนวนไม่น้อยมาจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่กระตุ้นการบริโภค รวมไปถึงการสร้างผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอาหารที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ องค์ประกอบและสารที่ใส่หรือใช้ในการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ เรื่องเหล่านี้ในเมืองไทยก็พูดกันอยู่มาก พยายามตั้งกลไกเพื่อดูปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาวะและการมีนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมดูแลของสาธารณสุข แต่ก็ยังไม่มีว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขคนไหนที่ออกมาชี้ และอาจถึงขั้นชูธงว่าจะแก้ด้วยการสร้างความโปร่งใสและการปฏิบัติที่ดีของกลไกรัฐและภาคธุรกิจแบบ RFK Jr.

เรื่องที่สามคือเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพที่แพงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระ ไม่ใช่แค่กับรัฐบาลหรือประชาชน แต่กระทบถึงต้นทุนทางธุรกิจจนแข่งขันไม่ได้ เพราะระบบหลักประกันสุขภาพผูกกับการจ้างงาน และเป็นส่วนหนึ่งของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ชาวบ้านจะได้รับ พูดอีกอย่างคือไม่มีงานทำก็ไม่มีหลักประกันทางสุขภาพ ต้องไปใช้ระบบหลักประกันเพื่อคนจนที่ก็มีสิทธิประโยชน์จำกัดจำเขี่ย จนส่วนใหญ่ต้องไปใช้บริการห้องฉุกเฉิน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ (ที่ก็มีอยู่น้อยเพราะส่วนใหญ่เป็นของธุรกิจเอกชน)

RFK Jr. ไม่ได้ประกาศนโยบายว่าจะปฏิรูประบบหลักประกัน เหมือนที่บิล คลินตันเคยประกาศแล้วทำไม่สำเร็จ (ร่างกฎหมายไม่ผ่านสภา) หรืออย่างที่โอบามาเคยประกาศและสำเร็จ เกิดเป็นระบบที่เรียกกันทั่วไปว่า Obama Care

RFK Jr. ประกาศทำแต่เรื่องราคายา ซึ่งในทางปฏิบัติก็คงมีคำถามว่าจะส่งผลต่อสุขภาวะหรือระบบหลักประกันในทางบวกแค่ไหน เพียงไร อย่างไร แต่ถ้าทำสำเร็จก็คงเป็นตัวอย่างที่ทั่วโลกคงเอาไปพูดถึงและปรับใช้แน่ๆ เพราะการทำให้ราคายาไม่สูงจนเกินไปเป็นโจทย์ของทุกประเทศ (โดยเฉพาะที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเข้าขั้นประเทศรายได้ปานกลาง) 

มีกรณีตัวอย่างอย่างน้อยสองตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นและถูกนำไปพูดอ้างอิงและทำต่อในระดับโลก เรื่องแรกคือการต่อรองราคายาต้านเอดส์ที่นำขบวนโดยประเทศบราซิล (ความจริงคนที่ลุกขึ้นมาสู้กับบริษัทยาที่ผลิตยาต้านเอดส์เป็นคนแรก เป็นผู้ติดเชื้อชาวอเมริกัน แต่มีอาชีพเป็นตัวกลางซื้อขายลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และพบว่าบริษัททำกำไรจากยาต้านเอดส์ ในขณะที่คนติดเชื้อมากมายเข้าไม่ถึงยากลุ่มนี้) ต่อมาลุกลามเกิดการต่อรองราคายาขึ้นทั่วโลกจนราคาถูกลง ในช่วงแรกๆ มีความพยายามหยุดยั้งการต่อรองราคาของประเทศบราซิล ด้วยเกรงจะเป็นตัวอย่างไปทั่วโลก แต่เครือข่ายทำเรื่องนี้ขยายตัวรวดเร็วข้ามประเทศ เกินหยุดยั้งได้ทัน

อีกกรณีเป็นกรณีประกาศ ทำ CL (compulsory licensing) หรือบังคับใช้สิทธิบัตรยา เพื่อให้ประเทศไม่ต้องซื้อแต่ยาที่ผลิตโดยบริษัทที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองในประเทศ แต่สามารถซื้อหรือจัดให้มีการผลิตขึ้นในประเทศ เพื่อให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงยาได้ในราคาที่ไม่แพง ซึ่งกระทบต่อส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทยาที่ยังได้รับการคุ้มครองทางสิทธิบัตร ในประเทศที่ประกาศจะทำ CL และประเทศที่ทำเช่นนั้นและกลายเป็นเป้าที่บริษัทยาข้ามชาติพยายามหยุดยั้งก็คือประเทศไทย (มีรายละเอียดมากมายที่มีการบันทึกไว้ในที่ต่างๆ จะไม่ขอนำมาพูดในบทความนี้)

แต่โดยรวมประเทศไทยสร้างกลไกสำคัญไว้เพื่อช่วยให้ระบบหลักประกันสุขภาพสามารถเข้าถึงยาที่มีประโยชน์ได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการมีกรรมการบัญชียาหลักที่มาดูว่ายาตัวไหนมีประโยชน์ ตัวไหนหมดประโยชน์ แล้วก็ประกาศไว้เพื่อให้ระบบหลักประกันต่างๆ มั่นใจว่าไม่ตกหล่นยาที่ควรมีหรือไม่ไปจ่ายยาที่อาจไม่มีประโยชน์ชัดเจน

อีกกลไกคือการประเมินความคุ้มค่าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นยา วัคซีน หรือสารอื่นๆ ที่มีผลในการรักษาโรคหรือป้องกันโรค เพื่อช่วยให้ข้อมูลแก่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาใหม่ๆ ว่าคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน เพียงไร หรือต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนเท่าไร ได้ประโยชน์อะไร แค่ไหน เพียงไร 

จากการประเมินเทคโนโลยีก็อาจนำไปสู่การต่อรองราคายา เพราะหากปรับราคาลง ยาที่ไม่คุ้มค่าก็อาจกลับมาคุ้มค่ามากขึ้นได้ ก็ขึ้นกับการพิจารณาของบริษัทด้วยว่าอยากปรับลดราคาลงหรือไม่ เพราะหากเข้าสู่ระบบหลักประกันก็อาจหมายถึงมูลค่าการใช้ยาที่อาจตามมาอีกไม่น้อย แต่บริษัทก็อาจเป็นห่วงเรื่องเสียราคาเพราะมองตลาดโลกโดยรวมมากกว่าประเทศเดียว

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ไทยมีแต่อเมริกายังไม่มี และที่ไทยก็ไม่ได้เป็นประเทศแรกที่ทำระบบนี้ เราไปได้ตัวอย่างและตัวช่วยจากประเทศอังกฤษ ที่มีหน่วยงานชื่อว่า NICE และถ้าสืบสาวราวเรื่องไปอีก ก็ต้องบอกว่าเราเองเคยพยายามสร้างกลไก เพื่อให้มีการประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์มาตั้งแต่ก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพ เพราะเกรงว่าเราจะไปลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ราคาแพง จนเกิดการสูญเปล่าหรือนำมาสู่การสร้างตลาดโดยไม่จำเป็น (เพราะไหนๆ ก็มีเครื่องแล้วก็ต้องพยายามหาลูกค้ามาใช้เครื่อง) และในตอนแรกนั้น เราก็ไปได้แรงบันดาลใจมาจาก Office of Technology Assessment ที่อยู่ในสภาคองเกรสของอเมริกา แต่ต่อมา office นี้ก็ถูกยกเลิกไป 

สิ่งที่ RFK Jr. อยากทำในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่แค่ต่อรองราคายาเป็นตัวๆ เป็นครั้งๆ (พอได้รัฐมนตรีคนไหม่ก็อาจไม่สนใจ หรือไม่ทำ) ก็อาจต้อง back to the future แต่ก็ไม่น่าโดดเดี่ยว เพราะประเทศอื่นทำกันไม่น้อย โดยเฉพาะประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพ เพราะน่าจะมีแรงจูงใจในแง่ขนาดของตลาด 

ส่วนความเป็นจริงจะเป็นแค่ไหนในอเมริกายุค RFK Jr. ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะประเทศไทยมีกลไกแบบนี้มาเกือบ 20 ปี ก็ผ่านแรงต้านและแรงเสียดทานมหาศาล ทั้งจากภาคธุรกิจและภาควิชาการและวิชาชีพ ส่วนในอเมริกาจะเป็นอย่างไรก็คงต้องตามดู

โปรดติดตามตอนต่อไป

จั่วหัวไว้แบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะรอเขียนตอนต่อไปหลัง RFK Jr. ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอเมริกานะครับ เพราะเอาเข้าจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่านการรับรองของสภาสหรัฐฯ หรือไม่ ในขณะเดียวกันคนที่ทรัมป์หมายมั่นปั้นมือหรือส่งออกมาชิมกระแส หลายรายก็มีแรงต้านจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะในแง่ที่ไม่โปร่งใสหรือมีคดีติดตัว จนต้องถอนตัวไปก็มี

สมมุติว่า RFK Jr. ได้รับการรับรองให้ทำหน้าที่ มีเรื่องอย่างน้อยสามเรื่องที่น่าติดตามดู

เรื่องแรก ตรงไปตรงมาคือเขาจะทำอะไรได้แค่ไหน ภายใต้ความเป็น controversial อย่างที่กล่าวมาข้างต้น และไม่ใช่แค่ความเห็นต่าง และสามารถแก้ได้ด้วยการถกเถียง เรียนรู้ร่วมกัน แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์มหาศาลที่มาพร้อมกับภาพพจน์ที่สร้างความเคลือบแคลงน่ากังวลว่าเป็นพวกขวางโลก ไม่เป็นวิทยาศาสตร์

ที่อาจจะน่าสนใจคือเขาจะทำได้แค่ไหนและเคลมความสำเร็จอย่างไร เพราะในแง่การเมืองหากเขาได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯ อย่างน้อยก็ต้องมีผลงานที่ไปอวดอ้างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเคยเสนอตัวเป็นตัวเลือกประธานาธิบดี ถ้าแค่เรื่องสาธารณสุขยังทำไม่ได้อย่างที่พูด จะไปเหลือเครดิตอะไรกับการเป็นประธานาธิบดีในครั้งต่อๆ ไป (ไม่ว่าจะพยายามสวมหมวกรีพับลิกันซึ่งน่าจะยาก หรือสมัครอิสระอย่างที่เคยทำ)

เรื่องที่สอง น่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกของสังคมอเมริกัน เพราะโดยประสบการณ์ของ RFK Jr. และธรรมชาติของการเมืองอเมริกัน การคุยกับสังคมเพื่อให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของนโยบายที่กำลังผลักดัน เป็นหน้าที่และเครื่องมือสำคัญของนักการเมือง ไม่ใช่แค่การไปปรากฏตัวในงานพิธีกรรมต่างๆ หรือพูดปราศรัยด้วยคำสวยหรูให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีและเอาใจใส่ประชาชน ถ้าดูจากการหาเสียงและผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็น่าจะชัดว่าทำให้คนเชื่อว่ามีน้ำยามาทำเรื่องอย่างที่ประกาศไว้ได้ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มือเก่าที่มีผลงาน (อย่างน้อยในสายตาผู้ลงคะแนน) เอาชนะมือใหม่ (ที่มีผลงานแค่เป็นรองประธานาธิบดี)

แต่ที่คงปฏิเสธไม่ได้คือเวลาการเมืองสื่อกับสังคม เป้าหมายสำคัญคือผลทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อสร้างภาพทางบวกของตนเอง หรือสร้างภาพทางลบให้กับคู่ต่อสู้ หรือที่แย่พอกันคือแก้ตัว (ว่าทำไมทำไม่ได้)

ที่อาจจะน่าสนใจคือถ้าพบอุปสรรคในกลไกการเมือง RFK Jr. จะใช้กลไกนอกระบบรัฐสภาแค่ไหนอย่างไรในการกดดันกลไกในสภา หรือจะปล่อยให้ผลของการทำนโยบายเป็นไปตามความสามารถในการต่อรองผลประโยชน์ของกลไกอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ อันเป็น ‘วิถีทางปกติ’ ของการเมือง ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะถูกมองว่า ‘ไม่โปร่งใส’ ไม่ต่างจากที่เขาเคยวิจารณ์กลไกอำนาจอย่าง CDC, FDA, NIH มาก่อนหรือไม่

ล่าสุดมีข่าวเรื่องบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าฟ้อง FDA ว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ทำให้ธุรกิจเสียหาย เพราะไปประกาศไม่ให้ทำสารใส่เครื่องสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่จะไปสร้างนิสัยให้เยาวชนเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าเพราะกลิ่นผลไม้ที่คุ้นเคย ในขณะเดียวกัน FDA ก็กำลังเป็นเป้าเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง (ซึ่งเป็นเครื่องมือที่การเมืองอเมริกาใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายที่อยากทำ) แถมทรัมป์ยังเคยประกาศว่าจะขจัดอุปสรรคของภาคธุรกิจรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า

ก็คงต้องตามดูว่าสิ่งที่ RFK Jr. อยากทำ โดยเฉพาะการเปลี่ยนกลไกอำนาจ จะนำไปสู่การเพิ่มหรือลดความเสี่ยงทางสุขภาวะของคนอเมริกัน เพราะแม้เรื่องอาหารและสิ่งแวดล้อมจะเป็นปัจจัยกำหนดสุขภาพที่สำคัญ และดูเหมือน RFK Jr. จะอยากเปลี่ยนแปลงไปให้ถึงเชิงระบบ แต่เรื่องบุหรี่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพที่สำคัญ แต่ RFK Jr. ไม่เคยประกาศว่าจะจัดการอย่างไร และหากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าต้องถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบจาก FDA ในขณะที่ตัวประธานาธิบดีไม่อยากให้คุมส่วนทั่วโลก รวมทั้ง RFK Jr. ก็รู้ดีว่าบุหรี่ทั้งแบบดั้งเดิมและบุหรี่ไฟฟ้าล้วนเป็นปัจจัยคุกคามสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะถ้าเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ RFK Jr. จะทำอย่างไร

ส่วนประเด็นสุดท้ายคงเป็นเรื่องยากสุดๆ สำหรับ RFK Jr. คือเขาจะอยู่ในตำแหน่งได้นานเท่าไร เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าท่านว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนใช้ทีมงานเปลืองมากและอาจปรับเปลี่ยนได้แบบฉับพลัน ถ้าทำงานไม่เข้าตาและมีสถิติที่น่าสนใจว่าคนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลต่างๆ ของประเทศทั่วโลก (ที่มีข้อมูล) ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา มักมีอายุโดยเฉลี่ยไม่เกินสามปี พูดอีกอย่างคือเกือบทุกรัฐบาล มีการใช้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขมากกว่าหนึ่งคนในช่วงเวลาสี่ปีของการเป็นรัฐบาล

สถิติในส่วนนี้ของอเมริกาน่าจะต่างจากหลายประเทศ แต่หากดูจากรัฐบาลในยุคแรกของทรัมป์ ก็จะเห็นการเปลี่ยนตัวคนระดับรัฐมนตรีในหลายกระทรวงมากกว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าด้วยท่าทีที่มาแนวเดียวกันคือพูดโดยไม่กลัวว่าใครจะว่าอย่างไร และพูดให้คนเห็นว่าตัวเองเอาจริง และเรื่องที่กำลังทำนั้นมีประโยชน์ คนทั่วไปมีความรู้สึกร่วมและอยากให้ทำ RFK Jr. อาจเป็นรัฐมนตรีคู่ใจอีกคนหนึ่ง เหมือนที่หลายคนที่ถูกหมายตาไว้ ออกมาแสดงวิสัยทัศน์แบบไม่กลัวใครในระหว่างที่รอการรับรองจากสภาฯ

นี่อาจเป็นตัวอย่างเล็กๆ ว่าคนที่พยายามทำโดยอ้างประโยชน์ใหญ่คือคุ้มครองสุขภาพประชาชน พอมามีอำนาจแต่ต้องอยู่ในกลไกที่ทำไม่ได้ทุกอย่าง แถมยังอาจต้องทำสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตัวเองอยากเห็น เขาจะเลือกทำอะไร ไม่ทำอะไร และจะบอกกับสาธารณะว่าอย่างไร

ที่ตั้งประเด็นนี้ก็ด้วยสมมติฐานว่า RFK Jr. เป็น health advocate ที่จริงจังมาตลอดชีวิต แม้จะเลือกเชื่อข้อมูลที่มีข้อโต้แย้งจากวงวิชาการหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง และอยากใช้ตำแหน่งทางการเมืองสร้างกลไกและระบบที่ใส่ใจสุขภาพคนอเมริกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เรื่องที่เคยประกาศว่จะจัดการอย่างที่เคยแสดงตัวกับสาธารณะ ซึ่งอาจไม่เป็นจริง เพราะทั้งหมดอาจเป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งของตัวละครทางการเมือง ที่รู้จักเอาปัญหาคาใจชาวบ้านมาชักชวนให้เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นไปเพื่อส่วนรวม แต่ที่จริงอาจเพียงเพื่อหวังมีอำนาจมาทำสารพัดเรื่องโดยมีเป้าหมายที่กลุ่มธุรกิจผลประโยชน์และอัตตาของตัวเอง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save