เวลาได้ยินคำว่า ‘การเมืองคือเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์’ แวบแรกผมจะรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ make sense ในตัวเอง เพราะการเมืองคือการ ‘ต่อรอง’ ของกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่มากที่สุดของกลุ่มตัวเอง ไม่มีกลุ่มไหนสามารถมี ‘อำนาจเบ็ดเสร็จ’ เหนือกลุ่มอื่นได้ เพราะนั่นจะหมายถึงเผด็จการ ไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังนั้น คำพูดแบบนี้จึงมีเหตุผล คล้ายว่าเป็น ‘ความจริง’ ที่เป็นสากล
แนวคิดที่ว่า ‘การเมืองคือเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์’ นั้น เอาเข้าจริงถือเป็น ‘ฐานคิด’ หนึ่ง (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ของแนวคิด Realpolitik ที่มีคนพูดถึงกันเยอะมากในปัจจุบัน ประมาณว่าถ้าใครไม่คิดแบบนี้ ก็มักจะเป็นพวก ‘เด็กอมมือ’ ทางการเมือง
ถ้าถามว่า แล้ว Realpolitik คืออะไร คำตอบที่น่าจะสั้นกระชับได้ใจความที่สุด ก็คือ – Realpolitik คือ ‘การเมือง’ ของ ‘ความอยู่ (ให้) รอด’ แต่ไม่ใช่ความดีงาม หรืออธิบายเพิ่มได้ว่า – หมายถึงการทำงานการเมือง (หรือการทูต) โดยดูตาม ‘สถานการณ์’ และปัจจัยต่างๆ ที่ผันเปลี่ยนไปจริงๆ แทนที่จะมัวไป ‘ยึดมั่น’ อยู่กับอุดมการณ์ ชุดศีลธรรม หรือจริยธรรมใดๆ
ข้อดีของ Realpolitik หรือการเห็นว่าการเมืองคือเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เป็นไปตามชื่อของมันนั่นแหละครับ นั่นคือมัน ‘จริง’ จริงๆ ในแบบที่ ‘ปฏิบัติได้’ หรืออาจเรียกว่าเป็นแนวคิดที่วางอยู่บน pragmatic truth คือไม่ใช่ความจริงเลิศฟ้าลอยสวรรค์ไม่เห็นหัวคนอื่น ทว่าคือความจริงที่อยู่บนผืนดิน เห็นเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วปรับตัวไปตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นตรงหน้า โดยไม่ต้องไปยึดมั่นอยู่กับคำสัญญาสาบานใดๆ
ดังนั้น Realpolitik จึงมองว่าการเมืองคือ ‘เกม’ ของอำนาจและผลประโยชน์ ทุกคนก็ต้องพยายามหาประโยชน์สูงสุดใส่ตัวกันทั้งนั้น ใครไม่ทำสิจะถูกมองว่าเป็นพวกโง่ (หรือเป็นเด็กอมมือทางการเมือง) ดังนั้น การ ‘ต่อรองผลประโยชน์’ จึงกลายเป็น ‘หัวใจ’ ของความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบนี้
แต่ไม่ได้แปลว่า การต่อรองผลประโยชน์จะเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ทางการเมือง ‘ทั้งหมด’
เพราะยังมีการเมืองแบบอื่นๆ อีกตั้งเยอะในโลก!
ถ้ามองในแง่ปรัชญาการเมือง คนที่ใช้หรือเป็นตัวแทนของ Realpolitik ได้ชัดเจนมากๆ คือ นิโคโล มาคิอาเวลลี ผู้เขียน The Prince อันมีหลักการว่า การเป็นผู้ปกครองนั้นไม่จำเป็นต้อง ‘ดี’ แต่ต้องรู้วิธีรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้ ซึ่งเราจะเห็นลักษณะแบบนี้ในผู้นำทางการเมืองอีกหลายคน เช่น บิสมาร์กแห่งเยอรมนี ผู้นำที่รวมชาติเยอรมันเข้าด้วยกันโดยใช้ทั้งการทูตและสงคราม, เฮนรี คิสซินเจอร์ ที่วางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาแบบ Realpolitik หรือในปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัดเจนในผู้นำมหาอำนาจโลกหลายคน ทั้งวลาดิเมียร์ ปูติน, สี จิ้นผิง และโดนัลด์ ทรัมป์ จนหลายคนอาจคิดว่า Realpolitik นี่แหละ คือ ‘เทรนด์’ หรืออาจเป็น ‘คำตอบ’ ของการปกครองในโลกยุคใหม่เสียด้วยซ้ำ!
แล้ว Realpolitik ไม่มีปัญหาของมันเลยหรือ?
คำตอบก็คือ ‘มี’ ครับ และมีหลายเรื่องเสียด้วย
อย่างแรกสุดก็คือ การมองว่าการเมืองเป็นแค่เรื่องของผลประโยชน์อย่างเดียว มัน ‘ลดทอน’ การเมืองทั้งหมดให้ ‘คับแคบ’ เหลือแค่การเมืองในกะโหลกของนักต่อรองผลประโยชน์เท่านั้น หรือพูดได้ว่ามีลักษณะ reductionism เพราะลดรูปของคำว่า ‘การเมือง’ (อันมีที่มาจาก polity ที่สืบทอดย้อนกลับไปได้ถึงกรีกโบราณ) ให้เหลือแค่เรื่องของ ‘ผลประโยชน์’ โดยไม่สนใจมิติอื่นๆ เช่น อุดมคติ (ideology) คุณธรรม (virtue) หรือที่สำคัญที่สุดก็คือ – ความยุติธรรม (justice)
ถ้าพูดแบบอริสโตเติลที่มองว่ามนุษย์เป็น ‘สัตว์การเมือง’ อริสโตเติลยังเห็นว่าการเมืองเป็นกิจกรรมที่มนุษย์เข้ามาเจรจาต่อรองกันเพื่อแสวงหา ‘ความดีร่วม’ หรือ common good แต่การลดทอนทุกอย่างให้เหลือแค่ผลประโยชน์ อาจทำให้นักต่อรองทางการเมืองลดทอนตัวเองจน ‘ต่ำ’ กว่าความเป็นสัตว์การเมืองตามนิยามของอริสโตเติลด้วยซ้ำ
นักคิดร่วมสมัยอีกคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความยุติธรรมร่วม’ ในสังคมมากๆ คือ จอห์น รอลส์ (John Rawls) เขาบอกว่า เราปล่อยให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นแค่เรื่องการต่อรองผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าไม่ได้ยึดหลัก ‘ความยุติธรรม’ ด้วย นั่นหมายความว่าแค่การ ‘แบ่งเค้ก’ เพื่อครองอำนาจเฉยๆ ไม่ได้นำพาสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น แต่ต้องมี ‘หลักการเบื้องต้น’ บางอย่างที่สังคมเห็นร่วมกัน (เช่นหลักความเสมอภาค ฯลฯ) มาเป็นแกนกลางในการจัดสรรอำนาจเหล่านั้นด้วย
ซึ่ง ‘หลักการ’ ที่ว่า ก็จะนำมาสู่ข้อบกพร่องของ Realpolitik อย่างที่สอง นั่นคือพอผู้มีอำนาจ (หรือผู้ที่ ‘ได้รับ’ อำนาจในฐานะตัวแทนอำนาจของประชาชน) ให้ความสำคัญแต่กับการแย่งชิงหรือต่อรองผลประโยชน์ ก็มีโอกาสสูงมากที่คนเหล่านี้จะมองไม่เห็นว่า ‘อำนาจ’ ที่ตัวเองเข้าไปแย่งชิงต่อรองกันนั้น มันมีลักษณะ ‘อัปลักษณ์’ ทางโครงสร้างอยู่หรือเปล่า
อำนาจเชิงโครงสร้าง (structural power) เป็นเรื่องที่มองเห็นได้ยาก เพราะมันมักซึมลึกลงไปถึงระดับวัฒนธรรม ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่ ‘เป็น’ อยู่นั้น มัน ‘พึงเป็น’ เช่นนั้นไปตลอด เช่น ระบบชนชั้น การให้ความสำคัญกับความรวย ชาติพันธุ์ เพศ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นตัวกำหนดว่า ‘ใคร’ จะมีอำนาจต่อรองมากกว่ากัน หลายการต่อรองจึงไม่ได้ตั้งอยู่บนความเท่าเทียมทางอำนาจ แต่นักต่อรองเหล่านี้อยู่ในโครงสร้างและคุ้นชินกับ ‘วิธีต่อรอง’ ในโครงสร้างแบบนี้มาแต่อ้อนแต่ออก (โดยเฉพาะนักการเมืองที่ชอบสืบทอดอำนาจในวงศ์ตระกูล) จึงไม่เคยมองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่มักคิดว่าการต่อรองเป็นเรื่องที่ดูเป็นกลางและเท่าเทียม ดังนั้นเพียงฝึกฝนตัวเองให้เก่งกาจเรื่อง Realpolitik ไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์
อีกเรื่องหนึ่งที่ถกเถียงกันมากก็คือ การเมืองแบบ Realpolitik นั้น พูดได้ว่าเป็นการเมืองที่เพิกเฉยต่อ ‘ศีลธรรม’
แต่พอพูดแบบนี้ ก็จะมีคนชี้นิ้วทันทีว่า อ้ายคนพูดมันเป็นสลิ่ม หรือไม่ก็เป็นพวก ‘คนดีย์’ ที่คลั่งศีลธรรมไปในทันที!
แน่นอนว่ารัฐที่เราอยู่อาศัยกันในปัจจุบัน มันไม่ใช่ ‘รัฐศาสนา’ ที่ต้องเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาใช้เป็นกฎหมาย แต่เราอยู่ใน ‘รัฐโลกวิสัย’ หรือ secular state
รัฐโลกวิสัยคือรัฐที่ไม่ได้ให้ศาสนามามีอำนาจเหนือ หรือมาควบคุมการเมือง เรื่องนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเจ็บปวดยาวนาน จนทำให้รัฐสมัยใหม่จำนวนมาก ‘แยก’ อำนาจของรัฐออกจากอำนาจของศาสนา ให้ประชาชนเลือกนับถือศาสนาได้ตามใจและไม่เลือกปฏิบัติ
รัฐโลกวิสัยไม่ได้หมายถึงรัฐที่ ‘ต่อต้านศาสนา’ แต่เป็นเพียงรัฐที่ ‘แยก’ ศาสนาออกจากโครงสร้างอำนาจรัฐเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกัน การแยก ‘ศาสนา’ ออกไป ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้อง ‘ถีบทิ้ง’ ไปซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ‘ศีลธรรม’ ด้วย
เพราะศีลธรรมหรือ morality นั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปเกี่ยวกับศาสนา!
เวลาได้ยินคำว่า ‘การเมืองเชิงศีลธรรม’ สมองของหลายคนมักทำงานโดยอัตโนมัติราวกับเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของไขสันหลังว่าเท่ากับการ ‘ลากศาสนา’ เข้ามาในการเมือง แต่จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเลย เพราะศีลธรรมไม่จำเป็นต้องมาจากศาสนา (หรือ ‘สถาบัน’ หรือ ‘องค์กร’ ทางศาสนา) เพียงอย่างเดียว ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายแหล่ง
ตัวอย่างเช่น ชุดศีลธรรมที่กำเนิดมาจากการ ‘คิด’ และ ‘คิดร่วม’ ในทางปรัชญา เช่น งานเขียนของอริสโตเติล, อิมมานูเอล คานต์, จอห์น สจ๊วต มิลล์ หรือถ้าจะรังเกียจพวกนักปรัชญาว่าเป็นพวกที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง มนุษย์ก็มีวิธีสร้าง ‘ชุดศีลธรรม’ ของกลุ่มก้อนตัวเองขึ้นมาจาก ‘ประสบการณ์ร่วม’ ได้ด้วย เช่น ความเข้าอกเข้าใจกัน (empathy) หรือความเห็นอกเห็นใจกัน (compassion)
หรือยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์อาจควบรวมทั้งหลักการและประสบการณ์ร่วม แล้วสร้างมันขึ้นมาเป็นหลักการของชุดศีลธรรมบางอย่างก็ได้ ตัวอย่างเช่นสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น ‘หลักสากล’ ทั้งหลาย เช่น หลักสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
ดังนั้น ‘ศีลธรรม’ จึงไม่เท่ากับ ‘ศาสนา’ เป๊ะๆ และการเมืองที่มีคุณธรรม จึงไม่ใช่การเมืองแบบรัฐศาสนาด้วยเช่นกัน
แต่แน่นอนว่าเหล่า ‘คนดีย์’ จำนวนมาก ต่าง ‘ฉวยใช้’ (exploit) หลักการทางศาสนาในนามของชุดศีลธรรม เอามา ‘กำกับควบคุม’ ผู้คนมากมาย ทำให้เกิดการกดขี่ เอาเปรียบ โดยเฉพาะกับสังคมที่โครงสร้างบิดเบี้ยวมาแต่ดั้งแต่เดิม ก็เลยทำให้คนอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรกีดกันชุดศีลธรรมไปจากการเมืองเสียเลย โดยหันมาสมาทาน Realpolitik แทน แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างสังคมให้มีความยุติธรรม สุดท้าย Realpolitik ก็อาจนำเราไปสู่สังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา เพียงแต่เป็นการ ‘สาวทางเศรษฐกิจ’ ไม่ใช่ ‘สาวทางความเป็นคนดีย์’ เท่านั้นเอง เพราะโครงสร้างไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
แต่กระนั้นก็ต้องบอกด้วยว่า การนำเอาเรื่องของ ‘ศีลธรรม’ หรือ ‘อุดมการณ์’ ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ก็ต้องทำอย่าง ‘ระมัดระวัง’ ด้วย
รัฐที่ใช้แต่ Realpolitik ล้วนๆ โดยไม่สนใจศีลธรรม (ในความหมายที่ว่ามาน่ะนะครับ) สุ่มเสี่ยงมากๆ ที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวทางศีลธรรม เช่น อาจทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน การกดขี่คนกลุ่มน้อย เกิดนโยบายแปลกๆ ที่เอื้อให้กับคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจ) แต่คนทั่วไปไม่ได้ประโยชน์อะไร
การที่รัฐ (ไม่ใช่แค่รัฐบาลนะครับ) ให้ความสำคัญกับ ‘ศีลธรรม’ (ในความหมายของ morality) โดยเฉพาะชุดศีลธรรมร่วม จะทำให้ประชาชนยอมรับรัฐ ไม่ใช่แค่เพราะ ‘กลัว’ ในอำนาจของรัฐ แต่เพราะ ‘เชื่อ’ และ ‘รู้’ ว่ารัฐมีความชอบธรรม เช่น รู้ว่ารัฐจะจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม รู้ว่ารัฐจะดูแลผู้คนให้มีความมั่นคงทางสังคม ฯลฯ
แต่ประเด็นที่สำคัญมากๆ คือ ศีลธรรมที่ว่านั้นต้องมี ‘ความหลากหลาย’ มากพอด้วย อีกความหมายหนึ่งก็คือ รัฐต้องมีความสามารถที่จะ ‘โอบอุ้ม’ ชุดศีลธรรมได้หลายๆ ชุด ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลธรรมชุดใดชุดหนึ่งครอบงำทุกคน เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้ศีลธรรมนั้นไม่ได้กำเนิดมาจากศาสนา แต่ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ชุดศีลธรรมที่ว่าก็จะมี ‘พฤติกรรม’ ไม่ต่างอะไรกับ ‘กฎศาสนา’ เลย
รัฐจึงมีหน้าที่ในการดูแลให้ประชาชนสามารถมีชุดศีลธรรมที่ตัวเองต้องการได้ โดยมีชุดศีลธรรมร่วมบางอย่างอยู่ตรงกลาง โดยไม่ให้มีกลุ่มไหนอ้างศีลธรรมเพื่อกีดกันเสรีภาพของกลุ่มที่คิดต่าง และไม่ใช้ศีลธรรมเพื่อ ‘ผัดหน้าทาปาก’ ให้กับกลุ่มอำนาจเก่าที่ยึดครองอำนาจอยู่ในโครงสร้างอำนาจเก่า (หรือมี status quo ไม่รู้จักจบสิ้น)
ในโลกยุคใหม่ สิ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปะแห่งการปกครอง’ ยิ่งซับซ้อนขึ้น พวกที่ ‘สักแต่ปกครอง’ โดยไม่มีศิลปะ อาจทำให้สังคมล่มสลายลงได้ เพราะผู้คนมี ‘มโนทัศน์’ ในการมองโลกที่แตกต่างกัน คนจำนวนมากไม่คิดว่าตัวเองสังกัดรัฐเดียวด้วยซ้ำ แต่อาจชอบฟังเพลงของรัฐหนึ่ง ชอบวิธีแต่งตัวของอีกรัฐหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างก็คือมีลักษณะ cosmopolitanism มากขึ้นเรื่อยๆ จนศิลปะแห่งการปกครองรัฐแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
อย่างในแคนาดา ชุดศีลธรรมสำคัญที่แคนาดาใช้ คือหลักการที่เรียกว่า multiculturalism ซึ่งประกาศใช้อย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลกลาง ตั้งแต่ 8 ตุลาคม 1971 เป็นหลักการที่เน้น ‘จริยธรรมสาธารณะ’ (public ethics) ที่ยึดหลักการเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค และการเคารพศักดิ์ศรีของทุกคน โดยมี ‘กฎบัตรว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ’ (Charter of Rights and Freedoms) เป็นเหมือน ‘หลักคุณธรรมกลาง’ ของรัฐ
นั่นก็เลยทำให้แคนาดามี ‘ธง’ ที่จะนำทางตัวเองไปในทิศทางร่วมเดียวกัน ไม่ได้ปล่อยให้ Realpolitik เข้ามาครอบงำเพียวๆ เสียจนเฉเป๋ไปจาก ‘หลัก’ ที่ตั้งเอาไว้
ยังมีอีกหลายประเทศที่พยายามหา ‘หลักศีลธรรมร่วม’ เพื่อเอาไว้ประคองตัว โดยเฉพาะเมื่อ Realpolitik มันเล่นงานเสียจนซวนเซ ตัวอย่างเช่นเยอรมนี
หลังยุคนาซี เยอรมนีสร้างรัฐธรรมนูญที่เน้น ‘ศักดิ์ศรีของมนุษย์’ เป็นหลักสูงสุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือ morality สำคัญ เยอรมนีมีหลักการที่เรียกว่า Verfassungspatriotismus ซึ่งเป็นเรื่องของความรักชาติเหมือนกัน แต่เป็นความรักชาติที่ ‘ยึดโยง’ กับรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ชาติพันธุ์ (แบบที่ฮิตเลอร์เคยทำ) หรือศาสนา
เยอรมนีจึงมีแม้กระทั่งกฎหมาย ‘ห้ามปฏิเสธอดีต’ คือห้ามคนปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดเหตุการณ์โฮโลคอสต์หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาจริงๆ โดยมองว่า ‘ศีลธรรม’ ของประชาธิปไตยนั้น ต้องตั้งอยู่บนการยอมรับความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ด้วย
อีกประเทศที่น่าจะเห็นได้ชัดก็คือญี่ปุ่น ซึ่งมี ‘ชุดศีลธรรม’ ในแบบของตัวเองฝังลึกอยู่ในความคิดจิตใจของพลเมือง และฝังอยู่ในระบบราชการและการปกครอง เราจะเห็นเลยว่าเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ผู้มีอำนาจตรงในเรื่องนั้นๆ มักจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เรียกว่าเป็นหนึ่งในหลักจริยธรรมในหน้าที่ หรือ duty-based ethics ที่ไม่ได้อิงกับศาสนา ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นรัฐที่มี ‘การเมืองที่มีคุณธรรมในทางปฏิบัติ’ ได้จริง เนื่องจากได้ปลูกฝังผู้คนให้ ‘การเมืองเชิงคุณธรรม’ นั้น ซึมลึกกลายเป็น ‘วัฒนธรรม’ ในชีวิตประจำวันไปเลย
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่เราควร ‘คิด’ ร่วมกัน จึงไม่ใช่การ ‘เลือกข้าง’ อย่างใดอย่างหนึ่งแบบขาวจัดดำจัดน่ารำคาญในแบบที่สังคมไทยมักจะเป็น เช่นเลือกว่าต้องมี Realpolitik เท่านั้น ศีลธรรมต่างๆ ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ใครพูดถึงอุดมคติ อุดมการณ์ อุดมเกิน หรือจริยธรรมศีลธรรม ถือว่าอ่อนหัด ทำการเมืองไม่เป็น หรือเป็นสลิ่ม เป็นคนดีย์ หรือเลือกว่าจะต้องคลั่งไคลศีลธรรมจ๋าจัด แต่ไม่มีความสามารถจะมองให้เห็นความหลากหลายในศีลธรรมของคนอื่น จนเอาชุดศีลธรรมของตัวเองไป ‘ยัด’ ให้ทุกคนต้องปฏิบัติตามโดยไม่ทำความเข้าใจใครเลย
เพราะทั้งสองอย่างนี้ สุดท้ายแล้วนำไปสู่เรื่องเดียวกัน นั่นคือการพยายาม ‘ต่อสู้’ เพื่อให้ ‘ผลประโยชน์’ ของฝักฝ่ายตัวเองชนะเลิศให้ได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเงินทอง อำนาจ หรือผลประโยชน์ในหลักคิดทางศาสนาของตัวเองก็ตามที
การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ใช่ไหม – คำตอบคือใช่
แต่การเมืองเป็น ‘แค่’ เรื่องของการต่อรองผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่ – คำตอบก็คือไม่
เพราะถ้าเรามองเห็นว่า การเมืองเป็น ‘แค่’ เรื่องของการต่อรองผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ไม่มีมิติอื่นใดในชีวิตอีกเลย มันจะพาเราไปสู่ชีวิตที่คับแคบและเข้าใจไม่ได้ว่าโลกจริงเป็นอย่างไร
เป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่ในคำว่า Realpolitik จะไม่มีคำว่า Real!