“ประวัติศาสตร์ไม่ใช่นิทานอีสป” เมื่อการอ่านและตีความประวัติศาสตร์ใหม่ยังแบ่งขาว-ดำ : พนารัตน์ อานามวัฒน์

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ คนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือภาวะที่ประวัติศาสตร์ที่รัฐบอกเล่าผ่านแบบเรียนถูกท้าทายอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะประวัติศาสตร์ความเป็นรัฐชาติที่นิยามอย่าง ‘ชาติไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน’ ถูกเขย่าด้วยข้อมูลว่าด้วยความขัดแย้งของรัฐส่วนกลางกับภูมิภาคอื่นๆ หรือประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เรื่องราวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคมปี 2519 ถูกหยิบมา ‘อ่าน’ และนิยามใหม่ และทั้งหมดนี้ก็เป็นพลวัตที่ก่อตัวขึ้นจากเยาวชนคนรุ่นใหม่แทบทั้งสิ้น

การอ่านและตีความประวัติศาสตร์ด้วยสายตาใหม่ๆ นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอ โดยเฉพาะเมื่อพินิจว่ามันเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์กระแสหลักที่บอกเล่าโดยรัฐบาลและชนชั้นนำ ซึ่งมีลักษณะมองข้ามความขัดแย้งหรือข้อพิพาท ตลอดจนเน้นยกย่องรัฐหรือชนชั้นนำเป็นหลัก ทว่า ในทางกลับกัน ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งบางคราว ประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นใหม่บอกเล่านั้นก็มีลักษณะเดียวกัน -กล่าวคือมองข้ามความขัดแย้งหรือความ ‘ไม่ผ่องแผ้ว’ ของตัวบุคคลและเหตุการณ์ในอดีต

พูดให้ชัด หากว่าประวัติศาสตร์กระแสหลักของรัฐมีลักษณะแบ่งดำ-ขาวชัดเจน ประวัติศาสตร์ทางเลือกในสายตาและการบอกเล่าโดยคนรุ่นใหม่ ก็อาจมีลักษณะนั้นเช่นกัน แค่สลับฝั่งดำขาวกับอีกฝ่าย

101 สนทนากับ ดร. พนารัตน์ อานามวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายหลังจากเธอตีพิมพ์บทวิจัย ‘Generational Divides in Understanding Thailand’s History Grow Amid Political Polarization’ ว่าด้วยการ ‘แบ่งขั้ว’ ทางประวัติศาสตร์ของทั้งรัฐและประชาชน บทสนทนาของเราไล่เรื่อยตั้งแต่การตีความประวัติศาสตร์, ความท้าทายที่รัฐต้องเผชิญ ไปจนถึงการสร้างชาติในฐานะ ‘ชุมชนจินตกรรม’ ของคนรุ่นใหม่ที่ตีความ ‘ชาติ’ ต่างไปจากที่รัฐเคยนิยามไว้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราพบว่าคนสนใจประวัติศาสตร์ทางเลือกค่อนข้างชัด ในฐานะนักวิชาการและนักประว้ติศาสตร์ คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร

จริงๆ ไม่ต้องเป็นประวัติศาสตร์ทางเลือกก็ได้ แค่คนสนใจประวัติศาสตร์หรือการที่ประวัติศาสตร์ได้รับความนิยมขึ้นมาก็น่าสนใจแล้ว อย่างที่เราเห็นคือ #จดหมายปรีดี ซึ่งประกาศ (declassified) เอกสารทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้รับความสนใจขนาดนี้ เหมือนเมื่อก่อนถ้ามีคนบอกว่า จากนี้ไปจะเปิดให้คนเข้ามาค้นคว้าเอกสารในกล่องนี้ได้ คนที่จะตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็คงมีแค่นักประวัติศาสตร์ (หัวเราะ) อาจารย์ นักวิชาการอิสระหรือคนที่สนใจ แต่ปรากฏการณ์ #จดหมายปรีดี เราพบว่ามีคนตื่นเต้นกับกรณีนี้เยอะมาก ทวิตถึงประเด็นนี้จนติดเป็นกระแส เราคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่น่าสนใจ และแสดงให้เห็นถึงความตื่นตัว ความสนใจประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ด้วย

ประวัติศาสตร์กระแสหลักมันมีบทบาทในการหล่อหลอมรัฐชาติสมัยใหม่ ถ้าเราดูวิธีการแต่งประวัติศาสตร์กระแสหลัก การสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนซึ่งเป็นประวัติศาสตร์เวอร์ชันที่รัฐรับรองมาแล้วเขาคิดว่าโอเค มันจะมีบทบาทในการหล่อหลอมทั้งอัตลักษณ์ของคนในประเทศและความเป็นชาติประมาณหนึ่ง ถ้าเราเริ่มไปดูตั้งแต่สมัยกรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มวางรากฐานการศึกษาในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เขาก็เขียนไว้เลยว่าหนึ่งในจุดมุ่งหมายของการศึกษาเหล่านี้คือให้รักชาติภูมิ ให้รักชาติและมีความรู้ หรือคือการเอาชาตินำมาก่อน การศึกษาประวัติศาสตร์จึงมีส่วนสำคัญในการสร้างชาติลักษณะนี้ 

และเมื่อคนเริ่มปฏิเสธกระแสหลักและสนใจประวัติศาสตร์ทางเลือก เท่ากับว่าสิ่งนี้กำลังท้าทายแนวคิดเรื่องชาติแบบที่รัฐหรือชนชั้นนำและแบบเรียนบอกเล่า

สิ่งที่น่าสนใจคือคนที่เข้ามาสนใจ #จดหมายปรีดี คิดว่าข้อมูลในอดีตจะส่งผลต่อชีวิตเขาในปัจจุบันอย่างไร หรือมันจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันหรือเปล่า ถ้าปรีดีแฉใครขึ้นมา มันจะส่งผลต่อจุดยืนทางการเมืองหรือความเข้าใจบางอย่างของพวกเขาไหม 

ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ความท้าทายลักษณะนี้น่าสนใจอย่างไร

ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีประวัติศาสตร์แบบเดียว ในแวดวงประวัติศาสตร์ เวลามีคนทำวิจัยก็เป็นการท้าทายชุดความรู้ดั้งเดิมที่เรามีอยู่เรื่อยๆ เพราะประวัติศาสตร์คือการประเมินความรู้ (reevaluate) อยู่เสมอเวลาเราค้นพบหลักฐานอะไรใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งว่าเรามีหลักฐานชิ้นเดียวกัน แต่เราสองคนมีชีวิตต่างกัน ได้รับการเรียนการสอนต่างกันมา เราก็อาจตีความหลักฐานชิ้นนั้นไม่เหมือนกันก็ได้ ดังนั้น การที่มีการสำรวจหรือตีความประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ในอดีตแตกต่างกันไป จึงเป็นเรื่องปกติในแวดวงวิชาการ 

แต่ที่น่าสนใจคือคนที่เริ่มเอาประวัติศาสตร์ไปตีความเริ่มไม่ใช่คนในแวดวงวิชาการหรือนักประวัติศาสตร์แล้ว พวกเขานำประวัติศาสตร์ไปทำเป็นการ์ตูนหรือมังงะ คนรุ่นใหม่อ่านประวัติศาสตร์จากที่อื่นที่ไม่ใช่แบบเรียน และนำข้อมูลเหล่านี้มาตีความ มาเขียนและสร้างประวัติศาสตร์แบบใหม่ เราคิดว่าสิ่งนี้น่าสนใจ เพราะมันขยายการตีความเชิงประวัติศาสตร์ออกไปจากแวดวงวิชาการ

เราอยู่กับกรอบคิดเรื่องรัฐชาติที่สร้างขึ้นมาตลอด ถ้าเกิดคนรุ่นใหม่ปฏิเสธประวัติศาสตร์กระแสหลัก คิดว่าจะส่งผลอย่างไรทั้งในระดับปัจเจกและสังคม

เราเริ่มเห็นปรากฏการณ์นี้เมื่อสัก 2-3 ปีที่ผ่านมา เห็นนักเรียนออกมาพูดถึงวิธีการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ซึ่งเขารู้สึกว่าไม่เอื้อต่อการเรียนรู้และปิดกั้นการตีความกับการตั้งคำถาม ที่จริงๆ แล้วเป็นหัวใจของการเรียนการศึกษาสังคมเลยนะ (หัวเราะ) มีคนบอกว่าครูสอนประวัติศาสตร์บางคนทำเหมือนประวัติศาสตร์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แตะต้อง ตั้งคำถามไม่ได้ ถ้าตั้งคำถามแปลว่าคุณกำลังลบหลู่ประวัติศาสตร์ เมื่อเป็นแบบนี้ก็ส่งผลต่อความสนใจของนักเรียน และน่าเสียดายว่าเขาอาจไม่สนใจวิชาประวัติศาสตร์ไปเลย หรือไม่เห็นคุณค่าของการเรียนการสอนสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ที่ควรสอนให้คุณคิดวิเคราะห์ ตั้งคำถามให้เห็น และเข้าใจมุมมองที่หลากหลาย อันนี้จะมองว่าเป็นผลต่อปัจเจกก็ได้

ในระดับสังคมหรือภาพรวมในรัฐ ถ้าเรามองว่าการสอนประวัติศาสตร์สำคัญต่อการสร้างอัตลักษณ์ร่วมของคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อคนไม่ยอมรับประวัติศาสตร์นี้แล้ว ก็อาจส่งผลให้ความเข้าใจเรื่องชาติหรือการอัตลักษณ์ร่วมกันของคนทั้งประเทศอาจไม่เข้มข้นเท่าเดิม หรือสร้างได้ยากขึ้น ซึ่งเราบอกไม่ได้หรอกว่าอัตลักษณ์ที่ว่านี้มันยังจำเป็นไหม แต่ก็เป็นสิ่งที่รัฐอยากให้มี 

อันที่จริงในรัฐชาติสมัยใหม่ คำว่า ‘ชาติ’ ก็ไม่มีอยู่จริง ถ้าเราเอาแนวคิดของอาจารย์ เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson -นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษาและเอเชียอาคเนย์ศึกษา) เขาก็บอกว่าชาติคือชุมชนจินตกรรม (Imagined community) หรือคือสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เราเชื่อว่ามีชุมชนอยู่ชุมชนหนึ่ง และเราอาจไม่เคยเห็นหน้าคนในชุมชนนี้ ไม่มีวันได้รู้จักพวกเขาด้วย แต่เรารวมเขาเป็นคนในชุมชนเดียวกัน ซึ่งการสอนประวัติศาสตร์คือการบอกว่าเราอาจไม่เคยเจอกับคนในชุมชนนี้มาก่อน และไม่มีวันเจอกันเลย แต่เราจะเป็นคนในชุมชนเดียวกัน เรามีอัตลักษณ์ร่วมกัน เคยผ่านอดีตบางอย่างเหมือนกัน หากว่าการสอนประวัติศาสตร์ตรงนี้ถูกท้าทาย คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถาม ก็อาจส่งผลต่อชุมชนจินตกรรมที่ว่าก็ได้ 

คิดว่ารัฐชาติสมัยใหม่ยังจำเป็นต้องมีอัตลักษณ์ไหม เช่น เราเพิ่งผ่านโอลิมปิกมาก็จะพบว่าฝรั่งเศสขายประเด็นความเท่าเทียม, เสรีภาพ หรือสหรัฐฯ ก็พูดเรื่องความเป็นเสรีชน

เป็นคำถามที่ดีนะ (หัวเราะ) ส่วนตัวเรามองว่ามันอาจไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่เข้าใจสายตาของคนเป็นผู้นำที่ต้องการสร้างอัตลักษณ์บางอย่าง เช่น ฝรั่งเศสหรืออเมริกาก็เล่าความเป็นชาติผ่านประวัติศาสตร์ทั้งนั้นเลย เราเข้าใจการอยากรักษาอัตลักษณ์เพื่อให้คนมีความภาคภูมิใจในชาติตัวเอง และทำให้ชาติดูมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ประวัติศาสตร์ในหนังสือเรียนมักมีลักษณะการสร้างเส้นเรื่องเพียงหนึ่งเดียวและมองข้ามความขัดแย้งบางอย่าง แต่เมื่อคนรุ่นใหม่สนใจประวัติศาสตร์ทางเลือก คิดว่าพวกเขามีเส้นเรื่องอื่น หรือสร้างเส้นเรื่องขึ้นมาเองบ้างไหม

ถ้าดูประวัติศาสตร์ในแบบเรียน มักพูดราวกับว่าชาติไทยเป็นสิ่งที่มีอยู่มาตลอด หรือบอกว่าอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาเป็นเมืองหลวงเก่าของชาติไทย เส้นเรื่องมักบอกว่าเรารักษาชาติ เราทำสงครามเพื่อรักษาเอกราช ผู้มีบุญคุณของชาติคือพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือสถาบันฯ มันจึงเป็นการตีความคำว่าชาติแบบแบนๆ

อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (นักประวัติศาสตร์ชาวไทย) เคยเขียนถึงแบบเรียนประวัติศาสตร์ไว้ว่า แบบเรียนเหล่านี้มักเล่าเรื่องชาติเหมือนชาติเป็นหมู่บ้าน พ่อปกครองลูก อยู่กันอย่างราบรื่นและไม่มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งยังมีความหลากหลายได้เพราะมีคนเหนือ คนใต้ ไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง หมู่บ้านนี้มีแค่ความหลากหลาย แต่เส้นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เราเริ่มสังเกตว่าคนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสำคัญมักเป็นประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง 

ยกตัวอย่างง่ายที่สุด คือเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ที่เป็นประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการเมืองและจบลงด้วยความรุนแรง เราจะพบว่าคนรุ่นใหม่อาจมองประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่เขารู้สึกว่าสำคัญต่อเขาด้วยมุมมองที่ต่างออกไป คือไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์แบนราบเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาเห็นว่าคนหลายกลุ่มมีความหลากหลาย และคนทุกกลุ่มก็ไม่ได้เห็นตรงกันทุกเรื่อง เรารู้สึกว่าคนเริ่มให้ความสำคัญกับความหลากหลายของความขัดแย้งมากขึ้น อาจเพราะความสนใจเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงเวลาของความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนกัน

ที่ผ่านมาเราจะพบว่านักศึกษาที่เป็นแกนนำอย่าง รุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล -นักเคลื่อนไหวทางการเมือง) หรือ เพนกวิน (พริษฐ์ ชิวารักษ์ -นักเคลื่อนไหวทางการเมือง) มักอ้างถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ด้วยการพูดว่า ‘รุ่นพี่ของเราถูกฆ่า’ คือการดึงประวัติศาสตร์มาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว และยังนำประวัติศาสตร์มาสร้างความชอบธรรมต่อการเคลื่อนไหวในปัจจุบันของพวกเขาด้วย เช่น การไปฝังหมุดคณะราษฎร ก็เป็นการดึงประวัติศาสตร์มาใช้ในการเรียกร้องทางการเมือง 

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนแห่ไปชื่นชมจอมพล ป. พิบูลสงคราม (อดีตนายกรัฐมนตรี) จากวิธีคิดที่เขามีต่อสถาบันฯ และเป็นการเชิดชูในลักษณะที่มองข้ามอีกด้านของจอมพล ป. โดยเฉพาะวิธีคิดทางการเมืองบางมิติที่ดูจะเป็นขั้วตรงข้ามกับวิธีคิดทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ เราจะมองการอ่านประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ที่อาจละเลยบางมิติไปอย่างไรได้บ้าง

ถ้ามองอุดมการณ์ของคนรุ่นใหม่หรือนักศึกษา แนวคิดแบบจอมพล ป. ก็อาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องความเอียงขวาทางการเมืองของเขา แต่ถ้าเรากลับมาสำรวจเรื่องราวของจอมพล ป. ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายในหน้าประวัติศาสตร์อยู่หลายครั้ง ก็คงพบข้อดีของเขา เพราะคนทุกคนก็ไม่ได้ขาวสะอาด แต่ที่ผ่านมา เรามองประวัติศาสตร์แบบนิทานอีสปที่คนดีกับคนเลวแบ่งข้างกันได้ชัดเจน สิ่งนี้อาจทำให้เรามองคนสำคัญในประวัติศาสตร์ไม่เป็นมนุษย์ที่มีดำมีขาวเท่าไหร่

การที่คนรุ่นใหม่มาเชิดชูจอมพล ป. ก็น่าสนใจดี เราว่าส่วนหนึ่งมันก็อาจเป็นปฏิกิริยาต่อรัฐที่มองจอมพล ป. เป็นผู้ร้ายมาตลอด แต่วิธีที่คนรุ่นใหม่มองเขาก็เหมือนตั้งใจมองข้ามบางอย่างไปหรือเปล่า หรืออาจจะมองได้ว่าคนรุ่นใหม่ที่เชิดชูจอมพล ป. อาจไม่รู้แนวคิดหรืออุดมการณ์ของเขา อันนี้เราก็ไม่รู้

อาจารย์บอกว่าที่ผ่านมาเราเรียนประวัติศาสตร์กันแบบนิทานอีสป คิดว่าสายตาการอ่านประวัติศาสตร์แบบนี้ยังอยู่ในคนรุ่นใหม่หรือไม่

อาจจะมีนะคะ (คิดนาน) ยกตัวอย่างคณะราษฎร เราจะเห็นว่าเด็กธรรมศาสตร์ยกย่องคณะราษฎรมาก รวมทั้ง ปรีดี พนมยงค์ (หัวหน้าคณะราษฎร) ทั้งที่จริงๆ เราก็ไม่ควรไปเชิดชูคนในประวัติศาสตร์ขนาดนี้ คือประวัติศาสตร์มันไม่ใช่นิทานอีสปหรือการ์ตูน มันไม่ได้มีคนดีคนเลวหรือขาวสะอาด ดำสนิทขนาดนั้น 

ส่วนตัวมองว่าปฏิกิริยาของคนรุ่นใหม่ต่อประวัติศาสตร์กระแสหลักมีลักษณะต่อต้านมุมมองเดิม ทำให้กลายเป็นการนำเสนอความหลากหลายไปโดยปริยาย เพียงแต่การสร้างมุมมองนี้ก็อาจทำให้เกิดการตั้งใจมองข้ามอะไรบางอย่างไป เช่น ลืมไปหรือเปล่าว่าจอมพล ป. ฝักใฝ่ความขวาแบบฟาสซิสม์ หรือความคลุมเครือของจอมพล ป. ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บางคนก็อาจมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปเลย

ส่วนตัวเรารู้สึกว่าการอ่านประวัติศาสตร์มันมีความ sanitized หรือทำให้บุคคลในประวัติศาสตร์ขาวสะอาด เช่น ภาพถ่ายปรีดีสูบบุหรี่ เมื่อภาพนี้ถูกหยิบมาเผยแพร่ ก็มีการใช้โปรแกรมแก้ไขภาพ ลบบุหรี่ตัวนั้นออกไป คือเกิดการพยายามทำให้ปรีดีขาวสะอาดที่สุด สูบบุหรี่ยังไม่ได้เลย ซึ่งการยกย่องคนบางคนในประวัติศาสตร์ขึ้นหิ้งไว้ก็ไม่ควรทำหรอก และเป็นเรื่องอันตรายด้วย

วิธีการอ่านประวัติศาสตร์แบบนี้จะส่งผลอย่างไรต่อสังคม โดยเฉพาะในสภาพที่เราต่างรู้กันว่าความขัดแย้งยังสูงอยู่มาก

ก็อาจทำให้หาจุดร่วมในความขัดแย้งกันได้ยากขึ้น เราจะพบว่าประวัติศาสตร์กับจุดยืนทางการเมืองมักส่งเสริมกันและกันหรือมาพร้อมกัน เช่น บทบาทของปรีดีในปี 2475 ถ้าคุณเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม คุณก็จะรู้สึกว่าปรีดีเป็นผู้ร้าย เป็นคอมมิวนิสต์ มองว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม ทั้งที่จริงๆ รัชกาลที่ 7 ปูทางไปสู่ประชาธิปไตยอยู่แล้ว และเอาการตีความประวัติศาสตร์นี้มาเสริมมุมมองทางการเมืองในปัจจุบันของเขา ขณะที่ถ้าคุณเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะมองว่าสิ่งที่คณะราษฎรทำนั้นดีแล้ว ถูกต้องแล้ว อยากสานต่อภารกิจของคณะราษฎรให้จบ ฉะนั้น ก็จะเกิดการตีความทางประวัติศาสตร์มาให้ความชอบธรรมกับจุดยืนทางการเมืองในปัจจุบันของตัวเอง และแทนที่เราจะขัดแย้งกันแค่ในปัจจุบันอย่างเดียว เราก็ยังขัดแย้งกันเรื่องการตีความอดีตของเราด้วย 

ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นว่า จุดร่วมจากแต่ก่อนที่เราอาจมีความเข้าใจประวัติศาสตร์เหมือนกัน เพราะมาจากแบบเรียนเดียวกัน ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าจุดร่วมนั้นอาจหายไป หรือถูกแยกไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ปีที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ 2475 ถูกหยิบมาตีความจากอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งสองฝั่ง ที่ชัดเจนคือหนังสือการ์ตูน ‘2475 นักเขียนผีแห่งสยาม’ โดย สะอาด กับ แอนิเมชัน ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ (2024) ที่มองการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองดังกล่าวคนละขั้วกัน อาจารย์มองปรากฏการณ์การช่วงชิงความหมายนี้อย่างไร

ส่วนหนึ่งเราคิดว่าการที่ฝ่ายประชาธิปไตยมักหยิบประวัติศาสตร์ 2475 มาใช้ หรือเรียกตัวเองว่าคณะราษฎร 2563 มันคือการดึงประวัติศาสตร์ของคณะราษฎรมาใช้ในการเรียกร้องทางการเมือง ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมรู้สึกว่าต้องสู้กับอีกฝ่ายในสนามเดียวกัน และเล่าเรื่อง 2475 ในเวอร์ชันของเรา ถ้าสมมติเขาสามารถโน้มน้าวคนไทยได้ว่า 2475 เป็นความผิดพลาด ก็จะทำให้การเรียกร้องในปัจจุบันไม่มีความชอบธรรมไปด้วย เพราะคุณผิดมาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว การเคลื่อนไหวในปัจจุบันที่รับเอาอุดมการณ์เดิมมาจึงผิดไปด้วย 

ในสายตานักประวัติศาสตร์เอง การที่ทั้งสองฝ่ายลงมาเล่นในสนามเดียวกันแบบนี้ คิดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง

มันน่าสนใจนะ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทยหรอก อย่างในสหรัฐอเมริกาช่วงที่เกิดการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ก็มีประเด็นเรื่องคนฝ่ายขวาบอกว่าจะไม่ให้มีการสอนทฤษฎีการวิเคราะห์ความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำเชิงเชื้อชาติ เพราะรู้สึกว่าการเรียนการสอนลักษณะนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ขึ้นมา ขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่า ไม่ใช่นะ เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

เราคิดว่าทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็จะพยายามหาจุดบางอย่างในประวัติศาสตร์เพื่อมาใช้งานตลอด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

ในฐานะนักวิชาการ เรามองว่าปรากฏการณ์เหล่านี้มันก็ดีกว่าการเอาประวัติศาสตร์ไปขึ้นหิ้งแล้วจบนะ อันนี้มันเหมือนการดึงเอาประวัติศาสตร์มาตีความใหม่ ทำความเข้าใจใหม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลายในเวลาต่อมา 

ขอแค่ว่าอย่าเอาคนเข้าคุกเพราะเขาเห็นต่างจากกันก็พอ เพราะความเห็นต่างมันก็มีคุณค่าของมันในการเข้าใจสังคม เข้าใจชาติและเข้าใจประเทศอยู่แล้ว

อันที่จริงชาตินิยมในคนรุ่นใหม่ก็อาจไม่ได้จางหายไปเสียทีเดียว เพราะไม่กี่เดือนก่อนเรายังฮือฮากับการต่อสู้ของกะเทยในสุขุมวิทว่า ‘ไทยสู้รบไม่ขลาด’ หรือในทวิตเตอร์ที่มักชื่นชมคุณสมบัติบางอย่างของคนไทย เช่น กินอะไรก็ได้, ไม่ถอยเมื่อเป็นเรื่องกิน 

ถ้าเรามองว่าชาติคือชุมชนจินตกรรม นี่ก็อาจเป็นชุมชนที่พวกเขาจินตนาการกันอยู่ก็ได้นะ คือมองว่าคนไทยทุกคนมีลักษณะแบบนี้ ต้องรบไม่ขลาด ไปด่ากับใครในอินเตอร์เน็ตก็ไม่แพ้ 

ในอดีต คำนิยามของชาติเป็นลักษณะจากบนลงล่าง ชนชั้นสูงอยากให้ชาติเป็นแบบไหนก็สั่งมาในรูปลักษณ์แบบเรียน ผ่านระบบการศึกษาโดยรัฐต่างๆ กรมพระยาดำรงราชานุภาพใช้คำว่า เราจะสามารถ “ตกแต่งนิสัยใจคอไพร่บ้านพลเมืองได้ด้วยการแต่งหนังสือสำหรับสอนนักเรียน” แต่ตอนนี้ เราอาจกำลังเห็นชาติที่เกิดจากล่างขึ้นบน ชุมชนจินตกรรมของเรานั้นนอกจากจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากจินตนาการแล้ว มันยังอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้นด้วย (หัวเราะ) ทำให้คนตัวเล็กๆ มีบทบาท มีสิทธิมีเสียงในการนิยามชาติของตัวเองได้มากขึ้น เราว่าก็สนุกดีนะ ชาติมันเป็นของเรานี่ เราจะนิยามมันในแบบที่เราอยากนิยามก็ได้

เขาก็นิยามชาติในแบบของเขาเองซึ่งรัฐอาจไม่ได้ชอบหรอก ความภาคภูมิใจที่คนมีต่อชาติอาจเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เราภูมิใจในการรักษาเอกราชให้อยู่รอด ไม่เคยเป็นเมืองขึ้น หรือภูมิใจในวัฒนธรรมไทย แต่คนรุ่นใหม่อาจหาความภูมิใจในรูปแบบอื่น และอาจเป็นความภาคภูมิใจที่คนส่วนใหญ่รู้สึกตัวเองมีส่วนร่วมได้มากขึ้น เพราะคนทั่วไปมีมากกว่าชนชั้นนำอยู่แล้ว

หรือกรณีที่หลายคนภูมิใจกับสงครามกะเทยที่สุขุมวิท และนิยามการต่อสู้นั้นด้วยเนื้อเพลงชาติไทยท่อนที่ว่า “ไทยนี้รบไม่ขลาด” เราว่าก็น่าสนใจดีเพราะมันคือการนำเอาเนื้อเพลงไปอธิบายคนที่เมื่อก่อนเป็นคนชายขอบ แต่เราก็ชูพวกเขาขึ้นมาเป็นตัวแทนความภาคภูมิใจ

เรามักมองว่าชาตินิยมมักไปด้วยกันไม่ได้กับความก้าวหน้าหรือรัฐสมัยใหม่ อย่างนั้นมองชาตินิยมที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไร

เรามักรู้สึกว่าชาตินิยมเป็นสิ่งที่แสนจะอนุรักษนิยมเพราะมันมีท่าทีของการอยากรักษาประเพณี รักษาอัตลักษณ์ อยากให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่อาจกั้นความเห็นต่างออกไป 

ถามว่าชาตินิยมที่ก้าวหน้าเกิดขึ้นได้ไหม เราว่าได้นะ อย่างเราจะพบว่าตอนนี้ชาตินิยมที่เราเห็นมันก็เปิดกว้างมากขึ้น รวมคนที่หลากหลายมากขึ้น และส่วนตัวเรามองว่าชาติไม่มีอยู่จริง มันจะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าเราอยากนิยามความเป็นชาติของเราด้วยความหลากหลาย ความเท่าเทียม มันก็น่าจะเป็นไปได้นะ 

ในฐานะนักวิชาการ การศึกษาประเด็นนี้ทำให้เห็นหรือเข้าใจปรากฏการณ์นี้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร

มันมีบางปรากฏการณ์ที่ในฐานะคนศึกษาประวัติศาสตร์แล้วเราตื่นเต้นมาก คือช่วงที่มีเด็กมัธยมศึกษาออกมาปฏิเสธเนื้อหาประวัติศาสตร์ในแบบเรียนของตัวเองต่อสาธารณชน ที่ชัดเจนที่สุดคือนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาออกมาขอโทษคนเสื้อแดง ว่าที่ผ่านมาไม่เคยสนใจการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเลย ขอโทษที่หนังสือแบบเรียนในโรงเรียนเราละเลยหรือเขียนถึงคนเสื้อแดงในด้านลบ โดยไม่ได้คำนึงถึงอุดมการณ์ จุดมุ่งหมายหรือต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปเกือบร้อยชีวิตเลย ตอนเราเห็นครั้งแรกเราประทับใจมาก รู้สึกว่ามันแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้รับข้อมูลจากครูอย่างเดียวแล้ว และเมื่อได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกันจากแบบเรียน เขาก็นำข้อมูลนั้นมาชั่งน้ำหนัก วิเคราะห์และตัดสินใจว่าเขาเชื่อหลักฐานและการตีความแบบไหนมากกว่ากัน

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save