เปิดความเห็นหนังสือน่าอ่าน จาก ‘ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน 2025’

ในเทศกาล ‘ความน่าจะอ่าน’ ปีนี้ นอกจากรายชื่อหนังสือที่บรรดาบรรณาธิการ เจ้าของสำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ และนักวาดภาพประกอบ แนะนำกันเข้ามาอย่างคับคั่ง อีกหนึ่งความน่าสนใจไม่แพ้กัน คือหนังสือที่นักอ่านทุกท่านร่วมกันโหวตเข้ามาป้ายยา-บอกต่อ ถึงความน่าอ่าน แง่มุมชวนขบคิด ตลอดจนภาพปกที่สวยงาม ดึงดูดสายตา ผ่านกิจกรรม ‘ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน’

สำหรับหนังสือที่ได้รับการโหวตสูงสุดจากกลุ่มผู้อ่าน ในความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน 2025 ขอแสดงความยินดีกับ ‘เดนดาว never die’ จากปลายปากกาของ ‘จิตจงกล’ สำนักพิมพ์ P.S.

และขอแสดงความยินดีกับผู้โชคดี คุณลักษณา และคุณณิศวร์ฐิตะ ที่เขียนเหตุผลแนะนำหนังสือน่าอ่าน-ภาพปกสวยงาม ได้ถูกใจทีมงานมากที่สุด ได้รับรางวัลชุดหนังสือ Top Highlights และ Book Voyage Bag กระเป๋าผ้าสุดน่ารักไปเลยท่านละ 1 ชุด!

อย่างไรก็ตาม เรายังมีหนังสือดีอีกหลายเล่มที่นักอ่านแนะนำกันเข้ามาด้วยเหตุผลหลากหลาย จึงขอคัดสรรส่วนหนึ่งมาแบ่งปันให้รับชมตามอัธยาศัย และขอขอบคุณทุกความสนใจต่อกิจกรรมในปีนี้

ไว้เราจะกลับมาพบกันอีกแน่นอน!


หนังสือขวัญใจมหาชน 2025



เดนดาว never die

ผู้เขียน : จิตจงกล

สำนักพิมพ์ : P.S.


รายชื่อหนังสือแนะนำโดยนักอ่าน



เดนดาว never die

ผู้เขียน : จิตจงกล

สำนักพิมพ์ : P.S.

แนะนำโดย : คุณลักษณา

“ท่ามกลางอุตสาหกรรมวายที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาดสื่อยุคปัจจุบัน เรามองว่าเดนดาว Never Die ต่างออกไปในแง่ที่ไม่ได้ขายจิ้น ขายฟิน ขายเซอร์วิสจนล้นเกิน แม้เรื่องราวจะเริ่มต้นจากพื้นที่ชนบทอย่างบ้านโป่ง ราชบุรี แต่ตัวเซ็ตติ้งเอื้อมไปแตะถึงการเมืองในกรุงเทพและการปะทะกันของมวลชนเสื้อเหลืองแดงในช่วงปี 2553 ด้วย การหยิบยกความแตกต่างห่างไกลระหว่างเมืองหลวงและต่างจังหวัดทำให้ประเด็นต่างๆ ในเดนดาว Never Die เล่าออกมาได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งที่ทางของศิลปะในสังคมและการเมืองไทย การเป็นที่ยอมรับของความสัมพันธ์แบบชายรักชายในปี พ.ศ. นั้น ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนาและความเป็นเควียร์ รวมถึงปัญหาความเปราะบางทางใจของวัยรุ่นต่างจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ด้วยเซ็ตติ้งต่างจังหวัด ผู้เขียนได้บรรยายพื้นที่ชนบทในเรื่องให้ออกมาสวยงามราวกับภาพวาดของโมเนต์ แต่ก็ไม่ลืมใส่มิติของความจนข้นแค้น และความห่างไกลความเจริญที่ทำให้ตัวละครที่มีพรสวรรค์ไม่สามารถพาตัวเองไปไหนได้ไกล การอ่านเดนดาว Never Die ที่ใช้เซ็ตติ้งเมื่อ 15 ปีก่อนในยุคปัจจุบันอาจชวนให้เราได้ทบทวนการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในหลายๆ มิติ แม้ปัจจุบัน การยอมรับเรื่องความความหลากหลายทางเพศของบ้านเราจะก้าวหน้าไปไกล แต่สำหรับปัญหาความขัดแย้งบนเกมการเมืองไทย อันนี้… อาจจะยังน้าาาา”


แนะนำโดย : คุณพรรณสุภางค์

“ภาษาฉวัดเฉวียนเหมือนรถไฟเหาะ โดดเด่นด้านการบรรยายให้เห็นภาพราวกับกำลังดูภาพยนตร์ เนื้อหาดึงดูดให้ติดตาม ทั้งยังสะท้อนภาพต่างจังหวัดในยุค 255x ได้อย่างหมดจด”


แนะนำโดย : คุณศุภสุตา

“หนังสือสะท้อนถึงความเป็นอยู่ของตัวละคร ความรู้สึกนึกคิดของการเป็นเพศที่ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคมสมัยนั้น ความสัมพันธ์หลบซ่อนที่ไม่อาจประกาศให้ผู้อื่นได้ยินดีหรือชื่นชม ทุกตัวอักษรบรรยายและเปรียบเปรยให้เห็นถึงรูป รส กลิ่น และเสียง สัมผัสได้ถึงความรู้สึกดิบเถื่อน หยาบโลน หลงใหล รักใคร่ สับสน และขมขื่น แม้ว่าทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกคนก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป”


แนะนำโดย : เครือย์วลี

“[ส่วนบนนี้เคยรีวิวเอาไว้ใน goodread ส่วนล่างคือเหตุผลเพิ่มเติมที่เราอยากจะโหวตให้เรื่องนี้ค่ะ]

แรกเริ่มสำนวนวิบวับบาดตา ต่อมาเนื้อหาลุ่มลึกแทรกซึมเข้าหัวใจ สะกิดที่หัวบนนิดๆ หัวล่างหน่อยๆ เปิดเปลือยตัวตนและความดิบเถื่อนอันประกอบร่างเป็นมนุษย์ โอบกอดด้วยสารร่างยับเยินเพราะผ่านสายตาและฝ่ามือของอีกมนุษย์ ผูกรัดด้วยคำพูด อคติ และความรักกับความไม่รักของหลากหลายชีวิตมนุษย์

เล่นกับความเหงา ร้าวราน ร่าน และรัก มันไม่ได้เหงาขนาดนี้ตอนที่ไม่ได้รักขนาดนั้น เพราะงั้นที่ตัวละครคนนึงจะทั้งผลักไสและโหยหามันก็เข้าใจได้ และจะว่าอะไรอีกตัวละครที่ถูกศรปักอก ตกหลุมรักจนกลับตัวไม่ทันขนาดนี้ ในเมื่อรักนั้นสร้างหัวใจให้เขา ทำให้เขามีชีวิต ท้ายที่สุดพวกเขาไม่อาจบังคับตัวเองให้ไร้รักได้ลง และเราที่เป็นคนอ่านก็ปฏิเสธใจตัวเองไม่ไหว ต้องยอมตามพวกเขาไป ไม่ว่าจะเห็นตัวละครมีสุข มีทุกข์ หัวเราะเสียงดัง ร้องครางเสียงกระเส่า หรือกรีดร้องแบบไร้เสียง เพราะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาทั้งนั้น เพราะรู้ว่าพวกเขาก็แค่มนุษย์ ที่ถูกสิ่งแวดล้อมทั้งนอกและในกดทับจนแตก จนสลาย แต่ก็รู้ว่าพวกเขาจะลุกขึ้นมาใหม่ เพราะชีวิตมันก็แค่นี้ คนเรามันก็เท่านี้

[นอกเหนือจากที่รีวิวใน goodread]

เล่มนี้เป็นเรื่องที่พูดกับเราในฐานะคนชายขอบ ต่างจังหวัด และ LGBT ที่ไม่กล้าเปิดตัวกับที่บ้านมากที่สุดของปีนี้แล้ว ทั้งปลอบเสียงอ่อนให้กับชีวิตจนๆ และความห่าเหวจากการไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งตะคอกตะเบ็งให้เราลุกขึ้นสู้ เหมือนที่ตัวละครลุกขึ้นต่อต้าน เขาพูดกับเราแต่ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีคนรับฟังเช่นกัน

เรื่องนี้เปล่งประกายได้ด้วยสำนวน การเล่นล้อถ้อยคำ การเรียงร้อยเรื่องราว ทรานซิชันระหว่างฉากต่อฉาก คนต่อคนชนิดที่อ่านโปรยปกหลังก็รู้ได้เลย เขาเปล่งประกายได้ด้วยตัวเรื่องเองอยู่แล้ว แต่อีกสิ่งที่ทำให้เราประทับใจและตราตรึงใจนอกเหนือจากเรื่องเหล่านั้นก็คือ เรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าท่ามกลางมนุษย์โลก 756805906542769979 คน มันมีคนที่แชร์เรื่องราวคล้ายๆ กันกับเราอยู่ เขาจับเอาเรื่องราวพวกนั้นมารังสรรค์เป็นคำ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เป็นอักษรให้เราจับต้องได้ เป็นเสียงให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้รู้สึกหรือต้องพบเจอเรื่องแบบนี้เพียงลำพัง และถึงแม้ตัวเรื่องมันจะเหงา แต่เราที่ได้อ่านกลับรู้สึกเหงาน้อยลงมานิดนึง หนาวน้อยลงหน่อยนึง คงเหมือนวิบวับกับน้ำที่ต่างคนต่างเหงา ต่างคนต่างแตกสลาย แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันก็สร้างความอุ่นใจในช่วงเวลาเหลวแหลกขึ้นมาได้ และรักช่วงเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันสุดหัวใจ ดังนั้นแม้เรื่องนี้จะฝากน้ำตามาให้เราเยอะมาก แต่มันก็โอบกอดเราด้วย จึงไม่ยากเลยที่เราจะให้เรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในใจสำหรับปีนี้ และคงตราตรึงใจให้คิดถึงไปอีกนานค่ะ💖”




Human Acts มนุษยทำ

ผู้เขียน : Han kang ฮันกัง

ผู้แปล : อภิชญา บุญรินทร์

สำนักพิมพ์ : Page

แนะนำโดย : คุณธนนันท์

“หนังสือเล่มนี้สะท้อนภาพของการเมืองเกาหลีในช่วงยุคเวลาที่มีความเปราะบางทางการเมืองและความเป็นมนุษย์ ผู้เขียนพาเราไปสำรวจเหตุการณ์การประท้วง ผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเหยื่อจากเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วง ผู้เหลือรอด หรือผู้สูญเสีย บาดแผลทวงถามความยุติธรรมและความหมายที่แท้จริงของการเป็นมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายซึ่งกันและกัน เพียงเพราะถูกทำให้มองเป็น ‘สิ่งอื่น’ ที่ยังคงสะท้อนภาพอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันของการเมืองโลก ณ เวลานี้”




Sur la lecture ว่าด้วยการอ่าน

ผู้เขียน : Marcel Proust

ผู้แปล : สุญญาตา เมี้ยนละม้าย

สำนักพิมพ์ : readtherunes

แนะนำโดย : คุณอรอุมา

“พรูสต์เป็นคนที่เขียนอะไรได้น่าอ่านจริงๆ ในเล่มนี้แม้จะเป็นเล่มที่เขียนวิเคราะห์ว่าการอ่านได้สร้างอะไรต่อตัวเราบ้าง แต่ถ้อยคำ ภาษา และการบรรยายช่วงเวลาความสุข ณ ขณะที่ได้อ่านก็งดงาม ท่วงทำนองการเขียนก็จะเป็นลักษณะของวรรณกรรมฝรั่งเศสคลาสสิก เช่น งานของกุลส์ตาฟ โฟร์แบร์, ฟรองซัวส์ โมริยัค เน้นการบรรยายฉากไปเรื่อยๆ และใช้สำนวนสวยงาม

แก่นของเรื่องนี้คือพรุสต์เสนอว่า หนังสือเป็นเพียงสารหนึ่งสารที่ต้องนำมาผนวกกับความรู้, ประสบการณ์ชีวิตของนักอ่านและได้มาเป็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าหนังสือสักเล่ม ส่งผลต่อคนอ่านได้แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าหนังสือบางเล่มนักอ่านบอกว่าสนุก แต่อีกคนไม่ชอบ หรือที่นักรีวิวหนังสือชอบรีวิวกันว่า ‘หนังสือเล่มนี้ทำงานได้ดีกับใจ’”



เธอเป็นลูกสาว

ผู้เขียน : จิน แซ่ตั้ง

สำนักพิมพ์ : อ่าน

แนะนำโดย : คุณอติศักดิ์

“หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกบอกเล่าจากลูกสาว ถึงชะตากรรมของบรรดาลูกสาวทั้งหลาย

ทราบจากบทนำว่าผู้เขียนไม่ใช่นักเขียนอาชีพ แต่ทำงานในสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมา บก.ขอให้ผู้เขียนบอกเล่าความทรงจำออกมาก่อนที่มันจะแหว่งวิ่นมากไปกว่านี้

รูปบนปกหนังสือเป็นรูปครอบครัว เป็นรูปตากับยาย เด็กผู้หญิงด้านซ้ายคือ ป้า ส่วนเด็กที่แต่งตัวเหมือนผู้ชายตรงกลาง คือแม่ และยังมีน้าสาวอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในรูป

หนึ่งในสามของหนังสือ บอกเล่าความเป็นมาของครอบครัว เป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อและสะท้อนใจ ยายถูกครอบครัวที่เมืองจีนขายและส่งตัวมาเมืองไทย แม่เล้าให้ยายกินยาหม้อที่ทำให้เป็นหมัน แม่ ป้า และน้าสาว เป็นลูกบุญธรรมของยาย และไม่ใช่พี่น้องกันเลย ส่วนตาในรูปแยกทางกับยาย และยายก็ไปเป็นเมียน้อยของตาอีกคน แม่เป็นเมียน้อยของพ่อ น้าสาวเป็นเมียน้อยของน้าเขย

ผู้เขียนบอกว่าความทุกข์ที่ฝังลึกในกระดูกของผู้หญิงเหล่านี้ เป็นเหตุให้เวลาเราไปศาลเจ้า จึงเห็นผู้หญิงไปขอพรมากกว่าผู้ชาย

ช่วงที่เหลือของหนังสือต่อ คือประสบการณ์การดูแลแม่ที่มีภาวะสมองเสื่อมและจิตเวชที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดลออ และสะท้อนถึงความกระพร่องกระแพร่งของระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชในประเทศนี้

ตอนที่ผู้เขียนบอกว่าวันที่แม่สมองเสื่อม เธอดีใจที่แม่จะได้ลืมเรื่องราวในอดีต แต่เมื่อป่วยหนักขึ้น อดีตที่เก็บงำไว้เนิ่นนานกลับมาหลอกหลอน

หนังสือจบลงด้วยความตายของแม่ และชีวิตที่เดินต่อไป

ด้วยความที่ไม่ใช่นักเขียนอาชีพ หนังสือเล่มนี้จึงใช้ภาษาในการเล่าที่ธรรมดา เรียบง่าย เล่าเรื่อยๆ ไม่ดราม่า แต่เป็นความเรียบง่ายที่บาดลึก ชื่อเรื่อง ‘เธอเป็นลูกสาว’ กินความหมดจด สำหรับผู้หญิงทุกคนในเรื่องที่แทบไม่เห็นการปรากฏตัวของผู้ชาย

หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์การอ่านที่ดีที่สุดในรอบปีของผม น่าเสียดายที่มันถูกพูดถึงน้อยเกินไป เพราะเรื่องเล่าส่วนตัวเล่มนี้มันโอบเอาความเป็นลูกหลานจีนและการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมและจิตเวชเอาไว้อย่างยากที่จะหาอ่านได้จากที่ไหน”




THE VEGETARIAN เดอะเวเจอเทเรียน

ผู้เขียน : Han kang ฮันกัง

ผู้แปล : มินตรา อินทรารัตน์

สำนักพิมพ์ : Page

แนะนำโดย : คุณพิชญ

“นวนิยายที่ทั้งสง่างาม น่าขนลุกขนพอง และอำมหิตอย่างเลือดเย็นที่สุดต่อชะตากรรมในตัวละคร ทว่าก็แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงการกดขี่ทับถมที่มีอยู่จริงในสังคม แจกแจงความจริงในความเป็นผู้ต้องแบกรับการถูกด้อยค่าด้วยธรรมเนียมจารีต (ความเป็นผู้หญิง / ความเป็นผู้ปฎิเสธเนื้อสัตว์ / ผู้ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์) ด้วยความนิ่งสงบ ประหยัดคำ แต่ก็ทรงพลังอย่างรุนแรงที่สุดในประสบการณ์การอ่านนิยายในรอบหลายปี”




SMALL THINGS LIKE THESE สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าชีวิต

ผู้เขียน : Claire Keegan

ผู้แปล : ฝนบ่าย

สำนักพิมพ์ : words publishing

แนะนำโดย : คุณณัชชารัชต์

“หนังสือบางไม่ถึงร้อยหน้าแต่ทรงพลังมาก เรื่องราวในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่ทุกคนพร้อมจะทิ้งเรื่องไม่ดีและปกปิดไว้ด้านหลัง แต่ชายคนหนึ่งกลับเลือกทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม อ่านจบแล้วเข้าใจความหมายของชื่อเรื่อง Small Things Like These เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็คือเรื่องเล็กๆ ในชีวิตนี่แหละ ที่ทำให้ชีวิตของใครหลายคนไปต่อได้…”




จดหมายจากดาวแมว

ผู้เขียน : นทธี ศศิวิมล

สำนักพิมพ์ : P.S.

แนะนำโดย : คุณธนวิช

“จดหมายจากดาวแมวเป็นหนังสือที่ผมรักที่สุดประจำปีนี้ นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านในช่วงที่วางขายใหม่ๆ ตราบจนปัจจุบันที่กำลังตัดสินใจโหวต ผมค้นพบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมแนะนำให้กับทุกคนโดยไม่ลังเล ทั้งความดีงานนับตั้งแต่คำนำ เรื่อยไปตลอดจนถึงการเดินทางที่เราได้ใช้ร่วมกับเจ้าแมวส้ม บุรุษไปรษณีย์แมว ล้วนสร้างความประทับใจทั้งกับตัวผมและผู้ที่ได้อ่าน ต่อให้เราจะหลงลืมเรื่องราวในเรื่องไป แต่ความรู้สึกที่เราได้รับกลับมาก็ยังคงชัดเจนอยู่ภายในใจ เฉกเช่นเดียวกับเหล่าผู้คนภายในเรื่องที่ได้เปิดอ่านจดหมายนั้น และต้องลืมไปมันจากความทรงจำเมื่อยามรุ่งสาง

ผมค้นพบว่าหนังสือเล่มนี้ทำงานกับผู้อ่านแตกต่างกัน ตามแต่ประสบการณ์และมุมมองชีวิตที่ผ่านมา แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีทางแตกต่างกัน คือความเป็นมนุษย์และความรู้สึกที่เรามีต่อผู้คนและสัตว์ในสังคม ผู้คนต่างรู้สึกร่ำไห้ให้กับหนังสือเล่มนี้ และผมมักจะบอกกับทุกคนอยู่เสมอว่า “น้ำตาที่ไหลรินล้วนแล้วแต่มีความหมาย เพราะมันคือตัวแทนของความรู้สึกที่เราต่างมีให้กับความเห็นอกเห็นใจ ความโอบอ้อนอารี ความคะนึงหา และความรู้สึกผูกพัน” ซึ่งต่อให้ตัวผู้อ่านจะไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงแมว หรืออาจไม่ได้เลี้ยงอะไรเลย นอกจากเลี้ยงตัวเองให้สามารถอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่โหดร้ายใบนี้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังคงสามารถทำงานทางอารมณ์พร้อมทั้งให้ข้อคิด รวมถึงฉุกคิดถึงคุณค่าของเวลา ความสัมพันธ์ และการใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิม เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้จดหมายเหล่านั้นจะมีค่าแค่ไหนก็ตาม คงจะดีไม่น้อย หากเราได้ทำความเข้าใจว่าช่วงเวลาในการใช้ชีวิตร่วมกันนั้นมันช่างงดงามเพียงใด และเป็นช่วงเวลาที่เราควรค่าที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้กันและกันมากแค่ไหน”




ถั่วเหลือง 15 เม็ดของโต๊ะโตะจัง

ต้นเรื่อง : Tetsuko Kuroyanagi (เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ)

แต่งเรื่อง : Sachiko Kashiwaba (ซาจิโกะ คาชิวาบะ)

ผู้แปล : ซายูริ ซากาโมโตะ

สำนักพิมพ์ : ผีเสื้อ

แนะนำโดย : คุณธนชัย

“ทำให้เห็นความน่ากลัวของสงครามผ่านสายตาเด็กๆ ที่ได้รับของกินเป็นเพียงถั่วเหลือง 15 เม็ด มีภาพประกอบสวยงาม กระดาษหนา เป็นหนังสือสำหรับเด็ก”




นักล่าแสงแรก

ผู้เขียน : ธรรมรุจา ธรรมสโรช

สำนักพิมพ์ : จงสว่าง

แนะนำโดย : คุณพัลลภ

“บทกวีร่วมสมัย เข้าถึงหัวใจคนอ่านปัจจุบัน”


แนะนำโดย : คุณเทพวุธ

“เป็นหนังสือกวีนิพนธ์ที่เปี่ยมด้วยพลังและความหมายซึ่งจะพาคุณออกเดินทางไปสัมผัสกับความงามและความซับซ้อนของชีวิตผ่านถ้อยคำที่คัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความหวัง หรือความกลัว บทกวีในเล่มนี้ทำหน้าที่เสมือนเพื่อนที่ชวนให้เราได้หยุดพัก ทบทวน และทำความเข้าใจตัวเองท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย เป็นผลงานที่ได้รับการยอมรับจนเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมพลังใจและค้นหาแรงบันดาลใจผ่านภาษาที่งดงาม”




(อ)มนุษยนิยม

ผู้เขียน : Sayaka Murata (ซายากะ มุราตะ)

ผู้แปล : ฉัตรขวัญ อดิศัย

สำนักพิมพ์ : Page

แนะนำโดย : คุณกิตตินันต์

“มีความเหนือจริงอยู่บนความจริง ความผิดปกติที่กลายมาเป็นความปกติ หลอนหลอกและขนลุกได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผี ใหม่ สด ในวิธีที่เขียน ภายใต้แก่นที่คมคายและแข็งแรง ภาษาที่ใช้เรียบง่ายแต่กระตุ้นต่อมรับรู้และรับรสได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด”




คนสวนจากโอชาคอฟ

ผู้เขียน : Audrey Kurkov

ผู้แปล : ณัฐชีวัน เมฆรัตนกุลพัฒน์

สำนักพิมพ์ : Library House

แนะนำโดย : คุณณัฐวุฒิ

“ไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมแปลจากรัสเซียร่วมสมัยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะได้อ่านแต่งานคลาสสิกของดอสโตเยฟสกี ตอลสตอย และเชคอฟ เห็นเล่มนี้เพิ่งเขียนขึ้นไม่นานหลังยูเครนแยกจากรัสเซียแล้ว เลยลองซื้อมาอ่านแบบไม่รู้อะไรเลย ช่วงต้นเอื่อยๆ แต่พออ่านถึงครึ่งเล่มก็วางไม่ลง อ่านรวดเดียวจนจบเพราะอยากรู้ว่าจะจบอย่างไร ที่น่าประทับใจคือพัฒนาการของตัวละครอย่างอิกอร์ ที่เปลี่ยนจากคนเฉื่อยชาเป็นคนละคนหลังจากได้สวมบทบาทตำรวจในอดีต (เครื่องแบบมีผลกับคนขนาดนั้นเลยหรือ?) ซาบซึ้งกับมิตรภาพระหว่างเพื่อน อ่านแล้วอมยิ้มทำให้อยากชวนเพื่อนซี้ไปปิกนิกแบบในเรื่องเลย และแนวคิดเรื่อง ‘คนสวน’ กับ ‘คนหาของป่า’ ก็ประหลาดดี ชวนให้ขบคิดต่อ”




มนุษย์ร้านสะดวกซื้อ

ผู้เขียน : Sayaka Murata (ซายากะ มุราตะ)

ผู้แปล : ธนกร บรรจุงปรุภัทรา

สำนักพิมพ์ : Page

แนะนำโดย : คุณจุฑามาศ

“สะท้อนสังคมแบบเอเชียที่มี pain point ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นปิตาธิปไตย หรือขนบธรรมเนียมของสังคมที่คาดหวังต่อผู้หญิงที่ถ่ายทอดผ่านตัวเอกในทุกมิติ

อยากให้หนังสือเล่มนี้ส่งต่อการตระหนักถึงคุณค่าและการให้เกียรติในความต่างซึ่งกันและกัน ว่าการเป็นคนธรรมดาก็ไม่ได้แย่เสมอไป”




นกเขียนชรา ปีกขวาชำรุด รวมบทสัมภาษณ์ เนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี บินหลา สันกาลาคีรี

ผู้เขียน : ทรงกลด บางยี่ขัน, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์, ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย, วีรวรรธน์ สมนึก

สำนักพิมพ์ : สมมติ

แนะนำโดย : คุณธีระพล

“ตีแผ่ความเป็นตัวตนของคนที่มีหัวใจดีงามและใจกว้าง”




Elena Knows เอเลน่ารู้

ผู้เขียน : Claudia Piñeiro (คลอเดีย ปิเญโร)

ผู้แปล : ปิญณ์ชาน์ เหล็กเพชร

สำนักพิมพ์ : จินเจอร์แคท

แนะนำโดย : คุณชนากรณ์

“เขียนแบบให้รู้สึกเหมือนอยู่ในหัวของคนแก่ที่ร่างกายไม่ฟัง แต่จิตใจยังแกร่ง เป็นหนังสือสั้นๆ อ่านง่าย แต่ทิ้งความรู้สึกไว้นานสำหรับคนที่ชอบเรื่องลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก ความยุติธรรม และพลังของแม่​​​​​​​​​​​​​​​​”


แนะนำโดย : คุณสายสุรีย์

“มีความละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง กระแทกใจ อ่านแล้วน้ำตาซึม”




Memento of a Teaveler ผู้แสวงชา

ผู้เขียน : proudtone

แนะนำโดย : คุณบุญญวี

“ประสบการณ์ในการอ่านผู้แสวงชาคล้ายกับการเล่นรถไฟเหาะที่เริ่มออกตัวขึ้นอย่างช้าๆ ให้เราได้ค่อยๆ ทำความรู้จักและเพลิดเพลินไปกับเสน่ห์ของเซี่ยงไฮ้และชาจีน ก่อนที่จะพาเราดิ่งลงไปให้เห็นแง่มุมอื่นที่ไม่ได้สวยงามไปทุกส่วนอย่างที่คิดตอนแรก และยังเหวี่ยงเราไปมาอีกหลายรอบทั้งจากแรงภายนอกและภายใน

ถ้าอ่านเอารส ก็เรียกได้ว่าครบรส ทั้งความเปรี้ยวกล้าของตัวละคร ความเผ็ดร้อนของการแก้แค้น รสหวานของความรัก รสขมของชีวิต แม้กระทั่งรสเค็มก็ยังมี (เป็นยังไงคงต้องลองอ่านเอง) ถ้าชอบการบรรยายแบบใหญ่ๆ เห็นภาพเหมือนดูภาพยนตร์อยู่ ก็น่าจะถูกจริตกับภาษาของเรื่องนี้ และด้วยการเล่าเรื่องที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝันไม่ชัดเจน ยิ่งทำให้เรื่องสนุกยิ่งขึ้น

และถ้าอ่านเอาเรื่อง ผู้แสวงชามีหลายประเด็นที่น่าพูดถึง ไม่ว่าจะเรื่องชา ประวัติศาสตร์ การแข่งขันทางธุรกิจ ความรู้สึกเป็นคนนอก เพศ สิ่งที่เป็นนามธรรมมากๆ อย่างเช่นความจริง หรือความรัก และที่สำคัญคือการไล่ตามความฝันในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเงิน

หลายคนคงจะรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครหลักได้ไม่ยาก ทั้งในแง่ที่ขาดความกล้าจะลงมือทำให้ฝันเป็นจริง หรือเคยตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมเราจึงยังไม่ประสบความสำเร็จสักที เราจะต้องมีต้นทุนเท่ากับคนอื่นใช่หรือไม่จึงจะสำเร็จอย่างนั้นได้

แต่หากได้ลองอ่านนิยายเล่มนี้ และพร้อมกัน จิบชาสักถ้วย ก็อาจจะบันดาลใจให้กล้าทำสิ่งที่เคยกลัว และอาจได้ทบทวนคำว่า ‘สำเร็จ’ ที่ตัวเองเคยคิด เพราะในมุมหนึ่ง ชาก็ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มหรือสินค้า แต่เป็นสื่อกลางที่ทำให้เราได้สนทนากับจิตใจของเราเอง”




Home in the World โลกคือบ้าน บ้านคือโลก

ผู้เขียน : Amartya Sen

ผู้แปล : สายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี

สำนักพิมพ์ : openbooks

แนะนำโดย : คุณรวินทร์

“Memoir บันทึกความทรงจำเล่มนี้บอกเล่าทั้งอัตชีวประวัติในวัยเยาว์ และประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของ Amartya Sen (อมรรตยะ เสน) นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล บันทึกของเขาสะท้อนว่าชีวิตวัยเยาว์ในอินเดียก่อร่างให้เกิดความสนใจศึกษาเศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในเวลาต่อมาได้อย่างไร และความคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ Sen สนใจ คือเศรษฐศาสตร์แบบมาร์กซิสต์ เขาทั้งชอบ ทั้งศึกษา และขณะเดียวกันก็วิพากษ์ไว้อย่างแหลมคม- หากคมความคิดของ Sen กลับไม่เร่งร้องเชิงวิพากษ์ แต่เปิดกว้างเมื่อเขาทำงานสอนทางเศรษฐศาสตร์และได้พบ สนทนากับนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายขวา

อัตชีวประวัติของ Sen มีข้อเด่นคือ ความกลมกล่ม นุ่มนวลของการนำเสนอ ไม่โอ้อวดความรู้ และถ่อมตน ไม่มีตัวแสดงใดเป็นผู้ร้ายในชีวิตเขา เปลือยเปล่าให้เห็นหัวใจที่อ่อนโยนเชิงวิพากษ์อย่างมาร์กซิสต์แต่เรียบง่ายอย่างมีชั้นเชิง”




ย้อนดูรายชื่อหนังสือ The Finalist หมวด Non-Fiction ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2

ย้อนดูรายชื่อหนังสือ The Finalist หมวดวรรณกรรมแปล

ย้อนดูรายชื่อหนังสือ The Finalist หมวดวรรณกรรมไทยและหนังสือภาพ

ย้อนดูรายชื่อหนังสือ Top Highlights 



ในช่วงสุดท้ายของเทศกาล ‘ความน่าจะอ่าน 2025’ วันโอวัน ร่วมกับสถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย ขอเชิญนักอ่าน-เขียนทุกท่าน มาร่วมงานเสวนาที่ว่าด้วยหนังสือในฐานะ ‘เพื่อนร่วมทาง’ ในวันที่โลกพลิกผัน กับวงเสวนา ‘ความน่าจะอ่าน 2025 – Book Voyage Final Round’  

หนังสือเป็นทั้งสิ่งปลอบประโลมหัวใจ กรีดทำลายความรู้สึก สะท้อนความจริงของโลก และชี้ชวนให้เราเห็นแง่งามและความอัปลักษณ์ของชีวิต

วงเสวนานี้จึงมาในคอนเซปต์ ‘กระดาษ – เป๋าตังค์ – หัวใจ อะไรบางสุดในยุคสมัยนี้ : อ่านชีวิตเปราะบางผ่านวรรณกรรม’ ถกถาม-ชวนคุย ถึงประเด็นที่น่าคิดต่อในหนังสือ Top Highlights ที่ได้รับการแนะนำว่า ‘น่าจะอ่าน’ มากที่สุดในปีนี้ คุยเรื่องความเปราะบางของชีวิตผ่านวรรณกรรม ความเป็นมนุษย์ในยุคสมัยแห่งทุน การต่อสู้กับการกดทับทางเพศ และที่ทางของงานวรรณกรรมในสังคมปัจจุบัน

ผู้ร่วมวงเสวนา

-รศ.ดร.จักรกริช สังขมณี นักมานุษยวิทยา

-โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการ นักเขียน นักแปล

-LADYS นักเขียน

ดำเนินรายการโดย ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

มาพบกัน วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม 2568 เวลา 14.00-16.00 น. ห้องสมุดสถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย สาทร 1 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ShW4KnqJ4j1kgBQK8)


สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ‘สะสมตั๋วเดินทาง กับ ความน่าจะอ่าน 2025’ ที่สะสมตั๋วเดินทางได้ครบตามเงื่อนไข อย่าลืมมาแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษได้ในงานเสวนา ที่นี่ที่เดียว!

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ : https://forms.gle/c8GxusdU82FLjgTk9

(หมดเขตลงทะเบียนและสำรองของที่ระลึก วันที่ 3 ตุลาคม 2568)

หมายเหตุ : แนะนำการเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะ หรือจอดรถบริเวณลานจอดใกล้เคียง เนื่องจากที่จอดรถของสถานที่จัดงานมีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับวิทยากรเท่านั้น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save