คำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในคดีที่ศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ถูกบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ยื่นฟ้อง โดยมองว่าการออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกบนแพลตฟอร์มทรูไอดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับทิศทางการกำกับดูแลกิจการแพร่ภาพกระจายเสียงและบริการสตรีมเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (OTT) รวมถึงความคาดหวังต่อ กสทช. ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสิทธิเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปกับการกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมในตลาด
ผู้เขียนจึงนำผลการศึกษาการกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช. ในช่วงปี 2557 – 2565 จากรายงานเรื่อง ‘การกำกับดูแลเนื้อหาสื่อที่ยึด ‘คน’ เป็นหัวใจ: บทเรียนจากต่างประเทศ และ กสทช.’ ที่เขียนร่วมกับคุณทัตเทพ ดีสุคนธ์ และเสนอผ่าน 101 PUB เมื่อปีที่แล้วมาสรุปอีกครั้ง ร่วมกับการนำผลสำรวจรายงานการประชุมคณะกรรมการ กสทช. ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 ถึง 2567 เท่าที่สืบค้นได้จากเว็บไซต์ กสทช. เพื่อดูการพิจารณาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหารายการวิทยุโทรทัศน์ของคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการ การส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และการพัฒนาองค์กรวิชาชีพในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ที่มี กสทช.พิรงรอง เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ และมติของที่ประชุม กสทช. มาวิเคราะห์ร่วมด้วย เพื่อดูว่าเปลี่ยนไปจากแนวทางการกำกับดูแลเนื้อหาที่ผ่านมาหรือไม่ อย่างไร
ก่อนจะนำเสนอสาระสำคัญจากการสำรวจเอกสาร ผู้เขียนขอแจ้งข้อจำกัด 3 ประการก่อน ประการแรกคือขณะที่ทำรายงานชิ้นแรก ผู้เขียนไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์ที่สรุปมติที่ประชุม กสทช. ช่วงปี 2557–2565 ได้ครบถ้วน และต้องค้นข้อมูลจากการรายงานข่าวของสื่อมวลชนและฐานข้อมูลของ iLaw ประกอบ จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องร้องเรียน-การพิจารณาที่ไม่โดดเด่นหรือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองบางเรื่องอาจไม่ถูกนับรวมด้วย ดังนั้น จึงไม่สามารถนำข้อค้นพบจาก 2 ช่วงมาเปรียบเทียบกันในเชิงปริมาณได้ เนื่องจากเก็บข้อมูลจากคนละแหล่ง
อย่างไรก็ตาม การที่ กสทช.ให้น้ำหนักกับการกำกับดูแลเนื้อหาทางการเมืองและสาธารณะเกาะติดเมื่อ กสทช.พิจารณาเนื้อหาทางการเมือง ก็สะท้อนบทบาทและความคาดหวังต่อ กสทช.ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองดำเนินไปอย่างเข้มข้นได้พอสมควร
สืบเนื่องจากประเด็นแรก ประเด็นที่สองคือบริบททางการเมืองในแต่ละช่วงอาจมีผลต่อเนื้อหาที่ กสทช.ได้รับร้องเรียนหรือนำมาพิจารณาด้วย ดังนั้น การที่ปี 2565-2567 กสทช.ใช้อำนาจปกครองในการกำกับดูแลเนื้อหาด้านการเมืองน้อยลง อาจไม่ได้หมายความว่าจำนวนเนื้อหาทางการเมืองลดลง แต่อาจเป็นเพราะความขัดแย้งทางการเมืองไม่ปรากฏเด่นชัดเท่าช่วงรัฐบาลจากคณะรัฐประหารและรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย และต่อมา เมื่อเข้าสู่ช่วงเตรียมการเลือกตั้ง ก็เป็นโอกาสให้การนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองมีเสียงและข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น หรือประเด็นที่เคยถูกมองว่า ‘แหลมคม’ ก็ถูกนำมาถกด้วยท่าทีที่พอจะยอมรับกันได้ ข้อสังเกตนี้จึงสะท้อนว่าบริบททางการเมืองน่าจะมีผลต่อเรื่องที่ถูกร้องเรียนและการพิจารณาของ กสทช.
ประการที่สามเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้เขียนรู้จัก ‘อาจารย์ขวัญ’ ในฐานะอดีตเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ (ที่จริงอยากใช้คำว่า ‘ผู้อาวุโส’ เพื่อแสดงถึงความเคารพ แต่เกรงว่าจะถูกค้อนใส่) จึงมีความคุ้นเคยและได้รับคำปรึกษาทางวิชาการจากอาจารย์เป็นระยะ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเพราะอาจารย์พิรงรองเข้ามารับตำแหน่งแล้ว กสทช.จึงมีการพิจารณาเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิประชาชน เพราะก่อนหน้านี้ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ก็เป็นกรรมการ กสทช. ที่มีบทบาทโดดเด่นและจุดยืนชัดเจนในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
บทความนี้จึงไม่ได้เขียนขึ้นเพื่ออวยยศอาจารย์พิรงรอง ในฐานะกรรมการ กสทช. หรือแม้กระทั่ง กสทช.ในภาพรวมเป็นพิเศษ แต่ต้องการพิจารณาโอกาสและข้อจำกัดของ กสทช. ในการกำกับดูแลเนื้อหาวิทยุโทรทัศน์ที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดย กสทช.พิรงรอง (ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงปัจเจกบุคคล แต่หมายถึงความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และโลกทัศน์ของบุคคลนั้นในการทำหน้าที่เป็นกรรมการ กสทช.) เป็นตัวแปรหนึ่งที่มีผลให้ กสทช.แสดงบทบาทที่ควรจะเป็น ขณะที่มีตัวแปรอื่นๆ ที่เอื้อและต้านการดำเนินงานของ กสทช.เช่นกัน ซึ่งอาจไม่ได้นำมาพิจารณาประกอบในบทความนี้
การกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช.
ตั้งแต่ 2557 – 8 มีนาคม 2565
กฎหมายที่คณะอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการฯ และคณะกรรมการ กสทช.ใช้พิจารณาเนื้อหารายการที่ได้รับร้องเรียนหรือเห็นว่ามีปัญหา คือมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 ซึ่งห้ามการออกอากาศเนื้อหาที่ “ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง” โดย กสทช.มีอำนาจในการออกคำสั่งระงับการออกอากาศรายการนั้นได้ทันที รวมไปถึงการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการฯ หากเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตละเลยเพิกเฉย
เมื่อเกิดการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กสทช.ก็ใช้ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 97/2557 กับ 103/2557 มากำกับดูแลเนื้อหารายการสื่อแพร่ภาพกระจายเสียงด้วย สาระสำคัญของประกาศ 2 ฉบับนี้คือห้ามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ ยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง-แตกแยก สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช. การชักชวนให้ต่อต้าน คสช. รวมถึงการสัมภาษณ์หรือเผยแพร่ความเห็นของนักวิชาการและข้าราชการที่อาจขยายความขัดแย้งและนำไปสู่ความรุนแรงได้
ประกาศทั้งสองฉบับถูกยกเลิกบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ก่อนการเข้ามาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเดือนกรกฎาคม 2562 นอกจากนี้ ในบางกรณี กสทช.อาจทำข้อตกลงร่วม (MOU) กับสถานีเพื่อกำหนดแนวทางการออกอากาศเนื้อหาบางประเภทด้วย
การวิจัยเอกสารระหว่าง 31 มีนาคม 2557 ถึง 8 มีนาคม 2565 พบการกำกับดูแลเนื้อหา 64 กรณี โดยมีจำนวนมากในช่วงปี 2558–2560 (18, 14 และ 16 กรณี ตามลำดับ) ขณะที่ช่วงอื่นๆ พบไม่ถึง 10 กรณี โดยเนื้อหารายการข่าวและวิเคราะห์สถานการณ์ถูกกำกับดูแลมากที่สุด (43 กรณี) ตามด้วยรายการวาไรตี้ (6 กรณี) รายการสัมภาษณ์ (3 กรณี) ละครและภาพยนตร์ (1 กรณี)
อย่างไรก็ตาม พบการกำกับดูแลที่ไม่ระบุเนื้อหาชัดเจนหรือมีคำสั่งตักเตือน/ลงโทษทั้งสถานี 11 กรณี ส่วนลักษณะเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ที่ถูกกำกับดูแลมากที่สุด คือเนื้อหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ตามมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง
ด้านเนื้อหารายการที่ กสทช.เห็นว่ากระทบต่อศีลธรรมอันดีและก่อให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพก็มีการกำกับดูแลด้วย แต่พบในสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยในสังคม เนื้อหาประเภทนี้รวมถึงเนื้อหาที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความรุนแรง การแต่งกายไม่เหมาะสม เนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อนอกระบบที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ (ไสยศาสตร์) การละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของเด็ก รวมถึงการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ตาราง 1 แสดงลักษณะเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ที่ กสทช. กำกับดูแล ตั้งแต่ 2557 – 8 มีนาคม 2565
ที่ | เหตุผลในการจัดเป็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม | จำนวนกรณี |
1 | ก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง-แตกแยกในราชอาณาจักร | 40 |
2 | ก่อให้เกิดความเสื่อมทรามทางสังคมอย่างร้ายแรง กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน | 7* |
3 | วิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แสดงความคิดเห็นส่วนตัวอย่างไม่รอบคอบ | 3 |
4 | นำเสนอความเชื่อนอกระบบที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ | 3 |
5 | ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ | 2 |
6 | ใช้คำพูดไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ | 1 |
7 | กระทบต่อสิทธิเด็กและเยาวชน | 1 |
8 | ไม่ระบุชัดเจน | 7 |
ในการออกคำสั่งทางปกครองและการดำเนินการต่างๆ ต่อเนื้อหาที่เป็นปัญหา พบว่าส่วนใหญ่เป็นการลงโทษหนัก ได้แก่ การระงับการออกอากาศและพักงานผู้ดำเนินรายการ การปรับ และการตักเตือน โดยการพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตมักเกิดกับสถานีที่นำเสนอเนื้อหาทางการเมืองที่ กสทช.เห็นว่ากระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยในสังคม รวมถึงการเพิกถอนใบอนุญาตสถานี DMC ของวัดธรรมกายที่เชิญชวนให้ประชาชนมารวมตัวประกอบพิธีทางศาสนาที่วัด ซึ่งมีนัยขัดขวางการเข้าจับกุมเจ้าอาวาสในขณะนั้น
นอกจากนี้ การประมวลข้อมูลจากจากรายงานการประชุมของ กสทช.และฐานข้อมูลของ iLaw ยังพบว่าสื่อมวลชนที่ถูก กสทช.ตักเตือนและลงโทษด้วยประเด็นทางการเมืองมากที่สุดคือ Voice TV รองลงมาคือ Peace TV ซึ่งในจำนวนการปิดกั้นทั้งหมด มีไม่น้อยกว่า 39 ครั้งที่ กสทช.พิจารณาลงโทษสื่อตามเงื่อนไขของประกาศ คสช.
ตาราง 2 แสดงประเภทการใช้อำนาจปกครองและการดำเนินการต่อในการกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช. ตั้งแต่ 2557 – 8 มีนาคม 2565
ประเภทการใช้อำนาจปกครอง/ดำเนินการต่อ | จำนวน |
ปรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 17 |
คำสั่งเตือนผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 16 |
ขอความร่วมมือจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 4 |
ระงับการออกอากาศรายการ ระงับการออกอากาศของสถานี หรือพักงานผู้ดำเนินรายการ โดยระบุจำนวนวัน | 19 |
พักใบอนุญาต (ปิดสถานี) | 5 |
เพิกถอนใบอนุญาต | 2 |
อื่นๆ | 7 |
ตาราง 3 แสดงสถานีที่ถูกร้องเรียนและกำกับดูแลเนื้อหารายการบ่อยครั้งที่สุด 3 อันดับแรก ตั้งแต่ 2557 – 8 มีนาคม 2565
สถานี | ประเภทคำสั่ง/การดำเนินการ | รวมค่าปรับ (บาท) | |||||||
ปรับ | ตักเตือน | ขอความร่วมมือ | ระงับการออกอากาศ | พักใบ อนุญาต | เพิกถอนใบอนุญาต | อื่นๆ | รวม | ||
Voice TV | 1 | 8 | 4 | 8 | 2 | – | 2 | 25 | 50,000 |
Peace TV | 1 | 1 | – | 3 | – | 1 | 4 | 10 | 50,000 |
TV 24 | – | 1 | – | 1 | 1 | – | – | 3 | – |
นอกจากนี้ยังพบว่าค่าปรับสูงสุดที่สถานีได้รับคำสั่งในช่วงนี้คือ 5 แสนบาท โดยช่องไทยทีวี (บริษัท ไทยทีวี จำกัด) ถูกสั่งปรับ 2 ครั้ง รวม 5.5 แสนบาทจากกรณีชุดพิธีกรไม่เหมาะสมและนำเสนอคลิปข่าวอาชญากรรมที่ทำให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจของประชาชนอย่างร้ายแรง ส่วนกรณีที่มีคำสั่งปรับหลายสถานี คือการรายงานเหตุกราดยิงที่นครราชสีมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 โดยเปิดเผยแผนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ สัมภาษณ์ญาติผู้เสียชีวิตโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม และใช้แอนิเมชันอธิบายวิธีการกราดยิง โดยไทยรัฐทีวีกับอมรินทร์ทีวี ถูกปรับช่องละ 5 แสนบาท และช่อง ONE ถูกปรับ 2.5 แสนบาท
ผลสำรวจและงานวิจัยที่ผ่านมายังชี้ว่า บทบัญญัติตามมาตรา 37 ค่อนข้างคลุมเครือและเปิดโอกาสให้ กสทช.สามารถตีความตามดุลยพินิจได้มาก อีกทั้งยังมีบางกรณีที่ผลการพิจารณาของ กสทช.ไม่สร้างความกระจ่างให้กับสังคม เช่น การสั่งปรับช่อง Workpoint TV จำนวน 5 หมื่นบาทจากการออกอากาศรายการ Victory BNK48 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 โดยระบุว่าเป็นเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ไม่ชี้แจงว่าเป็นเนื้อหาหรือประเด็นใด
การกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช.
ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 – 2567
จากการสำรวจรายงานการประชุมของคณะกรรมการ กสทช. ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 จนถึง 18 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นรายงานการประชุมวาระปกติครั้งสุดท้ายของปี 2567 ที่เข้าถึงได้ พบมติที่ประชุม กสทช.เกี่ยวกับการกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ที่มีการใช้อำนาจปกครองและ/หรือการดำเนินการต่อ จำนวน 50 กรณี
จากเนื้อหารายการที่ถูกร้องเรียน 50 กรณี พบว่าส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากรายการข่าวหรือการรายงานข่าวเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง (32 กรณี) นอกนั้นเป็นรายการวาไรตี้ (6 กรณี) รายการสัมภาษณ์หรือสนทนากับผู้ร่วมรายการเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น โหนกระแส ช่อง 3 HD ถกไม่เถียง ช่อง 7 HD (5 กรณี) ละครและภาพยนตร์ (4 กรณี) ประเภทอื่นๆ ได้แก่ รายการขายสินค้า ถ่ายทอดสดเวทีปราศรัย และไม่สามารถระบุลักษณะรายการได้ (3 กรณี) โดยทั้งหมดนี้เป็นรายการที่นำเสนอทางโทรทัศน์ระบบดิจิตอลและดาวเทียม 47 เรื่อง และทางวิทยุ 3 กรณี
สำหรับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการรายงานข่าวเหตุการณ์ แต่ละสถานีอาจจะถูกร้องเรียนหรือพิจารณาคนละประเด็นกัน เช่น ในการรายงานเหตุกราดยิง บางช่องอาจถูกร้องเรียนและกำกับดูแลเรื่องการนำเสนอภาพความรุนแรงและใช้ภาษาที่เร้าอารมณ์หรือมีอคติ ขณะที่บางช่องอาจถูกร้องเรียนและกำกับดูแลเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ก่อเหตุและผู้สูญเสีย ดังนั้น ในการแยกลักษณะที่เนื้อหาที่ กสทช.เห็นว่าขัดต่อมาตรา 37 หรือ 40 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ผู้เขียนจึงดูจากผลการพิจารณาของแต่ละสถานีเป็นหลัก
กว่า 2 ใน 3 ของเนื้อหาที่ กสทช.พิจารณาข้อร้องเรียนและดำเนินการกำกับดูแลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือเนื้อหาที่มีความรุนแรง ทำให้เกิดความสะเทือนขวัญ สะเทือนใจ หวาดกลัว วิตกกังวล ซึ่งถือเป็นเนื้อหาที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี และสร้างความเสื่อมทรามต่อจิตใจของประชาชนอย่างร้ายแรง ตามที่ระบุในมาตรา 37 เช่น การฆาตกรรม การทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ การทำร้ายสัตว์อย่างทารุณ ภาพศพ
อีกลักษณะคือเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน ทั้งในกรณีที่เด็กและเยาวชนเป็นผู้กระทำและเป็นผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการละเมิดสิทธิของครอบครัวของเด็กและเยาวชน เช่น การเปิดเผยชื่อ-นามสกุล หน้าตา หรือลักษณะที่ทำให้ระบุตัวตนได้ การสัมภาษณ์หรือเปิดเผยภาพความสูญเสีย การใช้ถ้อยคำที่ปรักปรำ การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ซึ่งเข้าข่ายมาตรา 37 และอาจฝ่าฝืน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546
ขณะที่ข้อร้องเรียนและการกำกับดูแลเนื้อหาอื่นๆ เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือสิทธิมนุษยชน การนำเสนอข้อมูลไม่ถูกต้อง ไม่รอบด้าน หรือมีอคติ เนื้อหาด้านเพศและอนาจาร การใช้ภาษาไม่สุภาพ การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง-แตกแยก และเนื้อหาที่ขัดต่อวัฒนธรรมไทย ก็มีบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับ 2 ลักษณะแรก
ตาราง 4 แสดงลักษณะเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ที่ กสทช. กำกับดูแล ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 – 2567
เหตุผลในการจัดเป็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม | จำนวนกรณี |
---|---|
เนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง | 85 |
เนื้อหาที่ละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน และครอบครัวของเด็กและเยาวชน | 55 |
เนื้อหาที่ละเมิดความเป็นส่วนตัว ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน | 15 |
เนื้อหาข่าวที่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่รอบด้าน หรือมีอคติ | 8 |
เนื้อหาเรื่องเพศหรืออนาจาร | 5 |
การใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมสำหรับการออกอากาศ | 4 |
การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง/แตกแยก | 1 |
เนื้อหาที่ขัดต่อวัฒนธรรมอันดีของไทย | 1 |
อื่นๆ | 3 |
ในส่วนการออกคำสั่งทางปกครองและการดำเนินการต่อ ส่วนใหญ่เป็นการส่งหนังสือขอความร่วมมือให้สถานีปรับปรุงหรือระมัดระวังการนำเสนอ (22 กรณี) ตามด้วยการตักเตือน (14 กรณี) ส่วนการสั่งปรับ พบ 7 กรณี นอกจากนี้ ในบางกรณี แต่ละสถานีอาจถูกดำเนินการแตกต่างกันหรือได้รับค่าปรับไม่เท่ากัน บางมติมีการดำเนินการมากกว่า 1 อย่าง เช่น การรับเป็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ กับการส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย มักดำเนินการควบคู่กัน ทั้งนี้ ไม่พบการสั่งระงับการออกอากาศ พักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต
การรับเป็นเรื่องร้องเรียนประเด็นจริยธรรมสื่อมวลชนตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ นั้น มักเกิดขึ้นในกรณีที่ กสทช.เห็นว่าเนื้อหาไม่ละเมิดกฎหมาย แต่เข้าข่ายละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ โดยคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการฯ มีมติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ให้ส่งเรื่องร้องเรียนประเภทนี้ไปยังองค์กรวิชาชีพสื่อที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกันเอง เพื่อเยียวยาผู้เสียหายและแจ้งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตที่เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพทราบ (รายงานการประชุมคณะกรรมการ กสทช. ครั้งที่ 18/2565 18 กรกฎาคม 2565, ระเบียบวาระที่ 5.16, น.23) ในบางกรณี เมื่อรับเป็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 40 แล้ว กสทช.อาจเก็บข้อมูลไว้ประกอบการพิจารณาต่อใบอนุญาตด้วย แนวทางนี้เป็นการผลักดันให้เกิดกระบวนการกำกับดูแลกันเองของผู้ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์
ตาราง 5 แสดงประเภทการใช้อำนาจปกครองและการดำเนินการต่อในการกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช. ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 – 2567
ประเภทการใช้อำนาจปกครอง/ดำเนินการต่อ | จำนวน |
---|---|
ปรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 7 |
คำสั่งเตือนผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 14 |
ขอความร่วมมือจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ | 22 |
รับเป็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 40 พรบ.ประกอบกิจการฯ (ละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ) | 7 |
ส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพเยียวยาผู้เสียหาย | 6 |
อื่นๆ | 7 |
ในที่นี้ ผู้เขียนไม่นับรวมผลการพิจารณา 3 ประเภท คือ 1) กสทช.ยุติการดำเนินการข้อร้องเรียน เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาไม่ขัดต่อมาตรา 37 หรือไม่ผิดจริยธรรมวิชาชีพตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ 2) เนื้อหาจากรายการออกอากาศทางโทรทัศน์ แต่ส่วนที่ถูกร้องเรียนถูกเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กและยูทูบของรายการ และ 3) ผลการพิจารณาข้อร้องเรียนการนำเสนอข่าวและละคร 3 กรณีในเดือนธันวาคม 2567 ที่ยังไม่ได้เปิดเผยมติต่อสาธารณะ เพราะ กสทช.ยังไม่ได้รับรองรายงานการประชุม
ช่วง 3 ปีหลังนี้ยังมีการปรับลดค่าปรับสูงสุดลงจากเดิม 5 แสนบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดสื่อ โดยกรณีที่มีสถานีถูกปรับมากที่สุด คือการนำเสนอข่าวเด็กชายวัย 8 เดือนหายที่นครปฐม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งแม่ของเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย โดย กสทช.สั่งปรับ 9 ช่อง ตั้งแต่ 50,000–200,000 บาท เนื่องจากเห็นว่านำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กและผู้ปกครองที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ และสิทธิประโยชน์ของเด็ก อีกกรณีคือการรายงานข่าวชายฆ่าแมวของเพื่อนบ้าน เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งมีการนำเสนอคลิปวิดีโอการใช้ความรุนแรงต่อสัตว์อย่างทารุณโหดร้าย กรณีนี้มีสถานีถูกสั่งปรับ 4 ช่อง ตั้งแต่ 50,000–200,000 บาท และถูกตักเตือนอีก 3 ช่อง
ในส่วนเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง พบ 1 กรณี คือการถ่ายทอดสดเวทีปราศรัยเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โดยวิทยุ บุญนิยมภูผาฟ้าน้ำ (ลานนาอโศก) เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวิทยุประเภทบริการสาธารณะ ในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2567 โดยถูกร้องเรียนว่ามีการใช้ถ้อยคำรุนแรง ไม่สุภาพ สร้างความแตกแยก และขัดต่อความสงบเรียบร้อย กรณีนี้ กสทช.มีมติตักเตือนให้ผู้ได้รับใบอนุญาตปรับปรุงแก้ไขและกำกับดูแลเนื้อหารายการ โดยเฉพาะรายการสด ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและกฎหมาย ส่วนประเด็นทางการเมืองอื่นๆ ที่มีการร้องเรียนว่านำเสนอเนื้อหาไม่รอบด้านหรือไม่ถูกต้อง เช่น การสัมภาษณ์ผู้สมัครในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง กสทช.มักขอความร่วมมือจากสถานีให้ระมัดระวังการรายงานต่อไป
สถานีที่ถูกกำกับดูแลบ่อยครั้งที่สุด 5 อันดับแรก คือ อมรินทร์ทีวี ซึ่งได้รับคำสั่งปรับมากที่สุด 5 กรณี ตามด้วย 3 HD ไทยรัฐทีวี และ Workpoint TV ส่วนช่อง 8 และ ONE มีจำนวนครั้งในการกำกับดูแลเนื้อหาและค่าปรับรวมเท่ากัน และเมื่อพิจารณาจากจำนวนรวมของค่าปรับ พบว่า Nation TV เป็นช่องที่มีค่าปรับรวมเป็นอันดับ 4 คือ 2 แสนบาทจากคำสั่งปรับ 3 กรณี
ตาราง 6 แสดงสถานีที่ถูกร้องเรียนและกำกับดูแลเนื้อหารายการบ่อยครั้งที่สุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 – 2567
สถานี | ประเภทคำสั่ง/การดำเนินการ | รวมค่าปรับ (บาท) | ||||||
ปรับ | ตักเตือน | ขอความร่วมมือ | เยียวยาผู้เสียหาย | รับเรื่องตาม ม.40 | อื่นๆ | รวม | ||
อมรินทร์ทีวี | 5 | 3 | 1 | 3 | 4 | – | 16 | 850,000 |
3 HD | 1 | 5 | 3 | 2 | 2 | 1 | 14 | 100,000 |
ไทยรัฐทีวี | 3 | 4 | 1 | 1 | – | 2 | 11 | 350,000 |
Workpoint TV | 2 | 2 | 7 | – | – | – | 11 | 250,000 |
8 | 2 | 2 | 4 | – | – | – | 8 | 100,000 |
ONE | 2 | 2 | 3 | – | – | 1 | 8 | 100,000 |
ในบรรดารายการที่ถูกร้องเรียนและกำกับดูแลมากที่สุด 5 อันดับแรก พบว่า รายการ ทุบโต๊ะข่าว ทางช่องอมรินทร์ทีวี ถูกกำกับดูแลบ่อยครั้งที่สุด โดยถูกร้องเรียนและกำกับดูแล 11 กรณี ในจำนวนนี้เป็นเนื้อหาที่ทำให้สถานีถูกสั่งปรับ 5 กรณี และได้รับค่าปรับสูงสุดคือ 2.5 แสนบาทจากการนำเสนอข่าวการหายตัวของเด็กชายวัย 8 เดือนที่นครปฐม
รองลงมาคือ ไทยรัฐนิวส์โชว์ ทางช่องไทยรัฐทีวี ถูกร้องเรียนและกำกับดูแล 7 กรณี ในจำนวนนี้ถูกสั่งปรับ 2 กรณี ตามด้วย โหนกระแส ทางช่อง 3 HD ถูกร้องเรียนและกำกับดูแล 5 กรณี ในจำนวนนี้ถูกสั่งปรับ 1 กรณี NATION ทันข่าวค่ำ ทาง Nation TV ถูกร้องเรียนและกำกับดูแล 4 กรณี ในจำนวนนี้เป็นการปรับ 2 กรณี และอันดับ 5 คือรายการ ข่าวเที่ยงอมรินทร์ ทางอมรินทร์ทีวี ถูกร้องเรียนและกำกับดูแล 4 กรณี ในจำนวนนี้มีเนื้อหาที่ทำให้สถานีถูกสั่งปรับ 3 กรณี ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่นำเสนอในรายการ ทุบโต๊ะข่าว
ตาราง 7 แสดงรายการที่มีการร้องเรียนและกำกับดูแลบ่อยครั้งที่สุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม 2565 – 2567
รายการ/สถานี | ประเภทคำสั่ง/การดำเนินการ | ลักษณะเนื้อหา | |||||||||
ปรับ | ตักเตือน | ขอความร่วมมือ | เยียวยาผู้เสียหาย | อื่นๆ | รวม | ข้อมูลไม่ถูกต้อง/ไม่รอบด้าน/อคติ | ภาษาไม่สุภาพ/ ไม่เหมาะสม | ละเมิดความเป็นส่วนตัว/ สิทธิมนุษยชน | ละเมิดสิทธิเด็ก/ครอบครัว | ความรุนแรง | |
ทุบโต๊ะข่าว/ อมรินทร์ทีวี | 5 | 2 | 1 | 2 | 1 | 11 | 1 | – | 3 | 4 | 5 |
ไทยรัฐนิวส์โชว์/ ไทยรัฐทีวี | 2 | 3 | – | – | 2 | 7 | – | – | 2 | 2 | 4 |
โหนกระแส/ 3 HD | 1 | 2 | 1 | 1 | – | 5 | – | 1 | 3 | 1 | – |
NATION ทันข่าวค่ำ/ Nation TV | 2 | 2 | – | – | – | 4 | – | – | – | 2 | 3 |
ข่าวเที่ยงอมรินทร์/ อมรินทร์ทีวี | 3 | 1 | – | – | – | 4 | – | – | 1 | 1 | 4 |
นอกจากการกำกับดูแลเนื้อหาที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้ว ในบางกรณี กสทช. ยังกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตฯ นำเสนอแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต เช่น รายงานกระบวนการและกลไกการตรวจสอบการออกอากาศรายการที่ถูกร้องเรียนต่อ กสทช. นำเสนอแผนเผชิญเหตุหรือแนวปฏิบัติในการนำเสนอเนื้อหาในการรายงานเหตุรุนแรง หรือเสนอแนะให้ผู้ดำเนินรายการที่ถูกร้องเรียนบ่อยครั้งเข้ารับการอบรมด้านจริยธรรมวิชาชีพ เนื่องจากไม่เคยผ่านการอบรมมาก่อน เป็นต้น
อีกทั้ง กสทช.ยังพยายามแจ้งให้องค์กรวิชาชีพที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองคอยเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเสนอข่าวเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่สะเทือนขวัญประชาชน อย่างเหตุกราดยิง ไฟไหม้รถบัสนักเรียน รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศหรือพรากผู้เยาว์ ซึ่งมีแนวโน้มที่สื่อมวลชนอาจรายงานภาพความรุนแรง หรือนำเสนอเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ความเป็นส่วนตัวของเยาวชนและผู้เกี่ยวข้อง แนวทางเหล่านี้สะท้อนว่าการกำกับดูแลไม่ใช่เป็นเพียงการลงโทษ แต่เป็นความพยายามป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนทำผิดซ้ำรอยเดิมๆ และสร้างผลกระทบต่อสังคมอีก
ที่ผ่านมา กสทช.มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ายังไม่สามารถปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างเต็มที่ รวมถึงถูกมองว่าได้รับอิทธิพลทางการเมือง ดังเห็นได้จากการกำกับดูแลเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองในช่วงรัฐบาลจากคณะรัฐประหารและขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองคุกรุ่น ซึ่งพลเมืองสมควรได้รับข้อเท็จจริงและมุมมองที่หลากหลาย แต่การนำเสนอประเด็นทางการเมืองหรือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะที่มีผลต่อความเป็นอยู่และการตัดสินใจของประชาชนกลับถูกจัดการอย่างเข้มงวดถึงขั้นปิดสถานีและเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งยังส่งผลกระทบทางธุรกิจต่อผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจการกำกับดูแลเนื้อหาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพอจะสะท้อนได้ว่า กสทช.มีศักยภาพในการกำกับดูแลเนื้อหารายการบนหลักการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการนำเสนอเกี่ยวกับความรุนแรงที่ทำให้เกิดความสะเทือนขวัญสะเทือนใจ ไปละเมิดสิทธิผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่ช่วยให้ประชาชนเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นเหตุของความรุนแรงนั้น รวมถึงการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนทั้งในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงและผู้กระทำ โดยมีแนวทางจัดการกับผู้ประกอบการที่นำเสนออย่างสมเหตุสมผลกับผลกระทบต่อสังคม ขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันให้เกิดการกำกับดูแลกันเองมากขึ้น โดยไม่ได้มองตัวเองเป็นไม้บรรทัดทางจริยธรรมฝ่ายเดียว
ผลสำรวจเบื้องต้นนี้ยังทำให้เห็นลักษณะเนื้อหา รายการ และสถานีที่มักถูกร้องเรียนและกำกับดูแล รวมถึงราคาที่ต้องจ่ายเมื่อใช้วิธีการนำเสนอที่ไม่เป็นผลดีต่อสาธารณะ ถึงจะเป็นเงินจำนวนมากในสายตาคนทั่วไป ทว่าค่าปรับและประวัติการถูกกำกับดูแลอาจไม่ส่งผลกระทบทางธุรกิจหรือภาพลักษณ์ของช่องมากนัก เมื่อเทียบกับรายได้จากโฆษณาทั้งทางวิทยุโทรทัศน์และทางช่องทางออนไลน์อื่นๆ จนสถานีเห็นว่าการนำเสนอแบบเดิมๆ ยังคุ้มค่า แม้จะถูกปรับ ตักเตือน หรือขอความร่วมมือจาก กสทช.หรือถูกวิจารณ์จากสาธารณะอยู่เนืองๆ ก็ตาม
ประเด็นนี้สอดคล้องกับที่สื่อมวลชนบางส่วนบอกว่าจำเป็นต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุความรุนแรงแบบครบทุกเม็ด ใช้ภาษาที่เร้าอารมณ์เสมือนเล่าฉากละคร หรือใส่ความรู้สึกร่วมของคนเล่าเข้าไปด้วย เพราะ ‘คนดูชอบ’ และท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งรายได้ซึ่งเป็นความอยู่รอดขององค์กร
ดังนั้น คนในสังคมจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้สื่อมวลชนปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอเนื้อหามาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งท้ายที่สุดก็จะเป็นประโยชน์กับพวกเราเองมากขึ้น ทั้งการไม่เข้าไปดู (และส่งต่อ) เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ไม่กลายเป็นสินค้าที่สื่อมวลชนนำไปขายให้ผู้ซื้อโฆษณาต่อ รวมถึงการส่งสัญญาณเมื่อพบเจอเนื้อหาหรือการกระทำที่สื่อมวลชนละเมิดสิทธิประชาชนหรือให้ความชอบธรรมต่อความรุนแรง
หากนำฐานคิดในการกำกับดูแลเนื้อหารายการที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปใช้กับการกำกับดูแลเนื้อหา OTT ที่หลายฝ่ายเฝ้ารอและอยากให้เกิดขึ้นในเร็ววัน ก็น่าจะช่วยปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้บ้าง ทั้งในแง่การจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่ส่งเสริมสิทธิและสวัสดิภาพของประชาชน และการยกระดับการแข่งขันในตลาดให้ผู้ประกอบการสู้กันด้วยวิธีการนำเสนอและเนื้อหาที่สร้างสรรค์ มากกว่าจะแข่งกันดิ่งลงเหวแล้วประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากสนุกกับดราม่าโน่นนี่ไปวันๆ
บทเรียนจากการกำกับดูแลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและปิดกั้นสิทธิทางการสื่อสารของประชาชน รวมถึงความเป็นไปได้ในการเป็นสถาบันที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้บ้างตามที่นำเสนอในบทความนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่องค์กรกำกับดูแลของรัฐนำไปพิจารณาเพื่อกำหนดจุดยืนที่ควรจะเป็น การที่ กสทช.แสดงบทบาทในฐานะองค์กรอิสระที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากสาธารณะ ที่จะนำไปสู่การเห็นคุณค่าและปกป้อง กสทช. เมื่อกรรมการหรือใครก็ตามในองค์กรถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อไป
ปล. อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการกำกับดูแลเนื้อหาสื่อ แต่ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุนว่า ถ้ารัฐบาลจะจริงจังเรื่อง Open Data เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ สามารถติดตามตรวจสอบนโยบายและการทำงานได้อย่างสะดวก อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยอัปโหลดเอกสารเป็นไฟล์สกุล pdf ที่ค้นหาหรือดึงข้อมูลได้ และปรับเมนูกับ UX/UI ของเว็บไซต์หน่วยราชการให้อ่านง่าย-ค้นหาง่ายหน่อยก็จะดี (หรือทำ SEO หน่อยไหม เพราะกูเกิลก็แทบหาไม่เจอ) เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนน่าจะใช้เวลาไปกับการไถจอหาข้อมูลที่ควรจะกด command F แล้วเจอ มากกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลและเขียนบทความเสียอีก