Nature Positive: กระบวนทัศน์ใหม่เพื่อการพัฒนาที่สมดุลกับธรรมชาติ

Nature Positive

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มนุษยชาติกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่เชื่อมโยงกันสามด้าน ได้แก่ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา แม้ว่าจะมีความพยายามในการอนุรักษ์ธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มการสูญเสียธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไปในอัตราที่น่าตกใจ จนนำไปสู่การเสนอแนวคิด ‘Nature Positive’ หรือ ‘การมีธรรมชาติเป็นบวก’ ที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการมองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเสียใหม่

แนวคิด Nature Positive เริ่มพัฒนาขึ้นในปี 2019 โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม และสถาบันวิจัย ที่ตระหนักว่าการขาดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ในการจัดการวิกฤตการณ์ด้านธรรมชาติเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือและความรับผิดชอบ ส่งผลให้ Nature Positive จึงเป็นความพยายามในการกำหนด ‘เป้าหมายระดับโลกที่ชัดเจนสำหรับธรรมชาติ’ ซึ่งเทียบเท่ากับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่าง ‘Net Zero’ ของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

ในปี 2022 แนวคิด Nature Positive ได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกผ่านการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP15) ซึ่งบรรลุข้อตกลงกรอบงานว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลกฉบับใหม่ ดังนั้น Nature Positive จึงถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายระดับโลกที่มุ่ง “หยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายในปี 2030 โดยใช้ปี 2020 เป็นฐาน และมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050” โดยกำหนดเป้าหมายเป็นสามช่วงเวลา ประกอบด้วย

  • ไม่มีการสูญเสียธรรมชาติเพิ่มเติม (Zero Net Loss): ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป กล่าวคือเราต้องหยุดการสูญเสียพื้นที่ธรรมชาติและทรัพยากรสำคัญในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
  • ธรรมชาติเป็นบวกสุทธิ (Net Positive): ในปี 2030 กล่าวคือเราจะต้องมีธรรมชาติเพิ่มมากกว่าปี 2020 โดยมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูธรรมชาติที่ชัดเจน
  • ฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ (Full Recovery): ภายในปี 2050 โลกต้องกลับสู่สมดุลเชิงนิเวศเพื่อความอยู่รอดของทุกชีวิต
เส้นทางสู่ความเป็นบวกของธรรมชาติภายในปี 2030 ยอมรับว่าการสูญเสียธรรมชาติบางอย่างที่กำลังดำเนินอยู่นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพิจารณาจากแนวโน้มในปัจจุบัน จึงกำหนดเป้าหมายธรรมชาติเป็นบวกภายในปี 2030 (โดยใช้ปี 2020 เป็นฐาน) และมุ่งสู่การฟื้นฟูอย่างเต็มที่ภายในปี 2050

ฐานคิดทางวิทยาศาสตร์ของ Nature Positive มาจากความเข้าใจว่าระบบโลก (Earth System) เป็นระบบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นองค์ประกอบและกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพ การศึกษาดังกล่าวพบว่าในช่วง 2-3 ล้านปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกขึ้นลงอยู่ในช่วงแคบๆ ไม่เกิน 2°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลจากความสามารถของระบบธรรมชาติในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งบนบกและในมหาสมุทร การควบคุมการไหลเวียนของความชื้นจากมวลชีวภาพสู่บรรยากาศและการสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงสมดุลนี้ไปอย่างมาก หากนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ปล่อยคาร์บอนไปแล้วกว่า 550 กิกะตัน ทำให้บรรยากาศมีคาร์บอนเพิ่มขึ้น 280 กิกะตัน โดยที่ส่วนต่างที่เหลือถูกดูดซับโดยธรรมชาติไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการทำลายป่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็น 25% ของการปล่อยทั้งหมด นอกจากนี้ประมาณ 50% ของระบบนิเวศบนบกก็ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เมือง หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ 

ทั้งนี้ Nature Positive มีความแตกต่างจากความพยายามอนุรักษ์ที่ผ่านมาใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ

  1. การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้: Nature Positive กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน คือ ‘Zero Net Loss of Nature from 2020’ ‘Net Positive by 2030’ และ ‘Full Recovery by 2050’ คล้ายกับเป้าหมาย Net Zero และ Carbon Neutrality ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  2. มุมมองเชิงระบบ: แทนที่จะมองการอนุรักษ์แยกส่วน Nature Positive มองธรรมชาติเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ครอบคลุมทั้งความหลากหลายของชนิดพันธุ์ ระบบนิเวศ และกระบวนการทางธรรมชาติที่สำคัญ เช่น วงจรน้ำ รูปแบบฝน และการอพยพย้ายถิ่น
  3. การเปลี่ยนกระบวนทัศน์: Nature Positive เสนอการเปลี่ยนมุมมองจากที่มองธรรมชาติเป็นทรัพยากรภายนอก (Externality) ที่ไม่มีใครรับผิดชอบ มาเป็นบริบทพื้นฐาน (Context) ของชีวิตทั้งหมดรวมถึงมนุษย์ สังคมมนุษย์เป็นบริบทของกิจกรรมมนุษย์ และเศรษฐกิจเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของสังคม
แนวคิด ‘Nature Positive’ (ขวา) มองเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางสังคมและอยู่ภายใต้บริบทของสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่างจากแนวความคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบเดิม (ซ้าย) ที่มองหาจุดร่วมของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในความเป็นจริงมักต้องแย่งชิงพื้นที่และความสำคัญในทางการเมือง

แนวคิด Nature Positive จึงมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาในหลายมิติ:

  1. ด้านเศรษฐกิจ: รายงานของ World Economic Forum ระบุว่ากว่าครึ่งของ GDP โลก (44 ล้านล้านดอลลาร์) พึ่งพาธรรมชาติและบริการจากระบบนิเวศในระดับปานกลางถึงสูง ส่งผลให้การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสูงสุดห้าอันดับแรกต่อเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน การดำเนินธุรกิจที่เป็น Nature Positive อาจสร้างมูลค่าทางธุรกิจถึง 10.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีและสร้างงาน 395 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
  2. ด้านสุขภาพ: การระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของมนุษย์ต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic diseases) การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่หลายชนิดตั้งแต่ปี 1960 และความเสี่ยงกำลังเพิ่มขึ้นจากความเครียดที่มนุษย์สร้างต่อระบบนิเวศและรูปแบบการผลิตและบริโภค องค์การอนามัยโลกจึงระบุว่าการปกป้องธรรมชาติเป็นข้อเสนอแนะอันดับหนึ่งสำหรับการฟื้นฟูที่ดีกว่าเดิม (Build Back Better) จากการระบาดใหญ่ของโรคอุบัติใหม่
  3. ด้านนโยบายและการกำกับดูแล: Nature Positive สามารถเป็นกรอบบูรณาการสำหรับข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม (MEAs) โดยเฉพาะอนุสัญญาริโอทั้งสาม ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD) รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขโครงสร้างของข้อตกลงเหล่านี้
  4. ด้านธุรกิจ: ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับห่วงโซ่อุปทานและแนวทางธุรกิจเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ธุรกิจชั้นนำบางแห่งเริ่มระบุวิธีการที่จะเป็น ‘Nature-positive’ แต่ต้องการความชัดเจนด้านนโยบายระยะยาวและทิศทางที่แน่นอนเพื่อขยายและเร่งการดำเนินการ

บทเรียนจากการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประสบการณ์จากการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ให้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับพลังของการมีเป้าหมายระดับโลกที่ชัดเจน กล่าวคือในปี 2015 ความตกลงปารีสได้กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2°C และพยายามจำกัดไว้ที่ 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เป้าหมายนี้ถูกแปลงเป็นงบประมาณคาร์บอนระดับโลก อีกทั้งนำไปสู่แนวทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน พร้อมเป้าหมายที่อิงวิทยาศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งในแต่ละทศวรรษเพื่อให้บรรลุการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

ผลจากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมี 33 ประเทศ สหภาพยุโรป และบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่กว่าหนึ่งในสามของโลกได้กำหนดเป้าหมาย Net Zero แล้ว อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดชี้ชัดว่าหากไม่แก้ปัญหาการสูญเสียธรรมชาติและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศไปพร้อมกัน อาจไม่มีทางที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้อยู่ที่ 1.5°C ได้

Nature Positive จึงถูกเสนอให้เป็นเป้าหมายคู่ขนานกับ Net Zero เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดย ‘Nature Positive’ มีจุดแข็งที่คล้ายคลึงกันประกอบด้วย

  1. ความชัดเจนและวัดผลได้: ธุรกิจสามารถจัดการเพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ได้ดีกว่าการพยายามจัดการเพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยตรง การมีเป้าหมาย Nature Positive ที่วัดได้จะช่วยให้ทั้งภาครัฐและธุรกิจสามารถวางแผนและดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
  2. การบูรณาการกับระบบเศรษฐกิจ: Net Zero ช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขณะที่ Nature Positive จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น
  3. การสร้างแรงจูงใจทางการตลาด: ตลาดคาร์บอนและการเงินสีเขียวช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจสำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก กลไกตลาดที่สนับสนุน Nature Positive จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ

ความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตการณ์

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า วิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง กล่าวคือระบบนิเวศทั้งบนบกและในมหาสมุทรมีบทบาทสำคัญในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอน โดยมีการประมาณว่ามีคาร์บอนประมาณ 150 กิกะตันที่ไม่สามารถฟื้นคืนได้ (Irrecoverable Carbon) ในระบบนิเวศธรรมชาติโดยเฉพาะพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่พรุ ทุ่งหญ้าและชั้นดินเยือกแข็งในทุนดรา หากสูญเสียไปจะไม่สามารถฟื้นฟูได้ทันเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050

นอกจากนี้ การฟื้นฟูธรรมชาติและการหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่สมบูรณ์ (Natural Climate Solutions) ถูกพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 37% ของเป้าหมายที่ต้องการภายในปี 2030 และเมื่อผนวกกับการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทันทีกับการลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังปี 2030 แนวทางนี้จะเป็นหนทางสำคัญในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050

การมีเป้าหมาย Nature Positive ที่ชัดเจนควบคู่ไปกับเป้าหมาย Net Zero จะช่วยให้โลกสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างบูรณาการ เป็นการยกระดับความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติให้ทัดเทียมกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติอย่างจริงจัง

เป้าหมายการมีธรรมชาติเป็นบวก (Nature-positive goal) ตระหนักว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) จะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อบรรลุเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวมณฑล (Biosphere) เสียก่อน เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวมณฑล (ธรรมชาติ) นั้น ไม่ได้เป็นเพียงผลประโยชน์ที่จะต้องแย่งชิงหรือสร้างสมดุลกับเป้าหมายทางสังคมและเศรษฐกิจ หากแต่มันคือรากฐานของ “สังคม” และในทำนองเดียวกัน สังคมก็เป็นรากฐานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งปวง

สู่เป้าหมาย ‘Nature Positive’

ภายหลังจากที่แนวคิด Nature Positive เผยแพร่ออกไป ได้มีการจัดประชุมสุดยอด One Planet Summit ที่ฝรั่งเศสในปี 2021 โดยทางประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ตั้งเป้าหมายเป็น ‘Nature Positive’ ภายในปี 2050 ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศให้เพิ่มมากกว่าระดับปัจจุบัน นับเป็นการสร้างกระแสของเป้าหมายนี้ในเวทีระดับโลก

ทั้งนี้ในการประชุม World Economic Forum เมื่อปี 2021 ยังมีการนำเสนอรายงาน New Nature Economy Report ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การดำเนินการที่เป็นมิตรต่อธรรมชาตินั้นจะนำมาซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ถึง 10.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี นับเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

คอสตาริกาเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้ประกาศตัวเป็น ‘ประเทศ Nature Positive’ ผ่านการตั้งเป้าฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ฟื้นฟูป่า และสร้างรายได้ให้กับชุมชนไปพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ประเทศคอสตาริกามักถูกใช้เป็นกรณีศึกษาในด้านความสำเร็จของการอนุรักษ์ธรรมชาติควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ จากการใช้กลไกทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ กองทุนป่าไม้แห่งชาติ (National Forestry Fund) ซึ่งเก็บภาษีน้ำมันและค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้น้ำมาจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้กับเจ้าของที่ดินที่อนุรักษ์ป่าไม้ไว้ได้ดี กลไกทางการเงินดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการกระตุ้นให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนสามารถเพิ่มพื้นป่าจากร้อยละ 20 ในปี 1980 มาเป็นกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คอสตาริกายังใช้กลไกตลาดคาร์บอน (Carbon Market) เพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขายคาร์บอนเครดิตจากการอนุรักษ์ป่าให้กับบริษัทที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำรายได้มาใช้ขยายพื้นที่ป่าต่อไป จนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ

อีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง ‘โคลอมเบีย’ ก็ได้ประกาศตั้งเป้าหมายทะเยอทะยานว่าจะเป็น ‘ผู้นำโลกด้าน Nature Positive’ ภายในปี 2030 โดยรัฐบาลได้จัดตั้ง ‘กองทุนเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่คุ้มครอง’ (Fund for Biodiversity and Protected Areas) ซึ่งระดมเงินจากทั้งงบประมาณแผ่นดิน ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และการบริจาคจากภาคเอกชน โดยนำเงินจากการระดมเงินดังกล่าวไปใช้ในโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทั่วประเทศ

อีกทั้งโคลอมเบียยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ออกกฎหมายรับรองสิทธิของธรรมชาติ (Rights of Nature) โดยให้สถานะทางกฎหมายแก่แม่น้ำ ป่าไม้ และระบบนิเวศอื่นๆ ในฐานะ ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่มีสิทธิได้รับการปกป้องคุ้มครองซึ่งช่วยให้การต่อสู้ทางคดีเพื่อปกป้องธรรมชาติทำได้ง่ายขึ้น

อีกโครงการที่น่าสนใจ คือ ‘Herencia Colombia’ ร่วมกับองค์กร WWF ซึ่งมุ่งขยายพื้นที่อนุรักษ์ทางบกและทางทะเลให้ได้ร้อยละ 30 ตามเป้าหมาย 30×30 โดยเชื่อมโยงการอนุรักษ์เข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เช่น การสร้างงานด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการจ่ายค่าตอบแทนการดูแลระบบนิเวศ (PES) ให้กับชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น

เมื่อปี 2020 ‘สหราชอาณาจักร’ ก็เป็นอีกประเทศที่ได้ประกาศประกาศแผนฟื้นฟูธรรมชาติระยะ 10 ปี โดยเรียกแผนฟื้นฟูดังกว่าไว้ว่า ‘Nature Recovery Network’ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มพื้นที่ธรรมชาติให้ได้ร้อยละ 30 ของพื้นที่ประเทศภายในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย 30×30 ที่มีการเสนอในกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Global Biodiversity Framework)

นอกจากนี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังออกพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานรัฐและเอกชนต้องพิจารณาผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในทุกขั้นตอนของโครงการ พร้อมทั้งระบุมาตรการเพื่อฟื้นฟูหรือชดเชยความเสียหายทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น โดยรวมถึงนโยบาย ‘Biodiversity Net Gain’ ที่กำหนดให้ทุกโครงการพัฒนาจะต้องทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับสถานะเดิม ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้ภาคธุรกิจต้องลงทุนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้เมื่อเป้าหมาย Nature Positive เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เราจึงเห็นการพัฒนาวิธีการและตัวชี้วัดต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้ประเมินได้ว่าแต่ละพื้นที่หรือโครงการนั้นได้เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจริงหรือไม่ เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด การประเมินดังกล่าวช่วยทำให้เกิดการวางแผนและจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีเป้าหมาย แนวคิด Nature Positive ได้ขยายขอบเขตออกไปทั้งในแง่ของพื้นที่ กลุ่มผู้เกี่ยวข้องและเครื่องมือที่ใช้ นับเป็นการบูรณาการเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้าไปสู่วงกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ  

การบรรลุเป้าหมาย Nature Positive ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบทั้งในด้านการผลิต การบริโภค และการกำกับดูแล รวมทั้งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ประชาสังคมและประชาชนทั่วไป เป้าหมายดังกล่าวต้องผ่านการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย มาตรการทางภาษี กลไกตลาด และการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก กล่าวคือเป็นการเชื่อมโยงแนวคิดนามธรรมให้เป็นรูปธรรมผ่านเครื่องมือเชิงนโยบายและวิทยาศาสตร์​

ดังนั้น เป้าหมายของ Nature Positive จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนต้นไม้หรือสัตว์ป่า แต่เป็นการสร้างโลกทัศน์ใหม่ที่มนุษย์เห็นคุณค่าของธรรมชาติ และสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุลบนความหวังว่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save