14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรัก
คนไม่ค่อยนึกถึงกฎหมายกับความรักเท่าไร คงเพราะโดยภาพจำแล้วกฎหมายเป็นเรื่องของปัญหา จริงจัง คร่ำเคร่ง มากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ โลกของนักกฎหมายดูจะเป็นสีขาวดำมากกว่าสีชมพู
เวลาคนรักกัน กฎหมายมักไม่ค่อยจำเป็นนัก คนสองคนอาจไปตกลงกันเองอย่างไรก็ได้ ต่างจากเวลาเลิกรักกันแล้ว ตอนนั้นละกฎหมายจึงถูกเรียกใช้งาน เหตุหย่า สินสมรส สินส่วนตัว อำนาจปกครองบุตร ล้วนเป็นเครื่องมือจัดการกับกรณีที่คนสองคนหมดรักกันแล้ว
แต่ก็ใช่ว่ากฎหมายจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความรักเสียเลย คำพิพากษาฎีกาที่พูดเรื่องความรักไว้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ คำพิพากษาฎีกาที่ 6083/2546 คดีนี้เกิดจากความหึงหวงระหว่างนักศึกษาสองคน เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายฆาตกรรมฝ่ายหญิงก่อนจะปกปิดความผิดตัวเอง แต่ก็ถูกจับได้อยู่ดี คดีนี้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของสังคมไทยอยู่ร่วมสัปดาห์ด้วยฐานะของผู้เกี่ยวข้องทั้งสองและรายละเอียดการกระทำผิด ซึ่งไม่ขอเอ่ยถึงในที่นี้ ด้วยพยานหลักฐานที่แน่นหนาชัดเจน ทำให้ไม่อาจปฏิเสธการกระทำได้ แต่จำเลยอ้างเหตุลดโทษเนื่องจากจำเลยและผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก เมื่อฝ่ายหญิงขอเลิกเพื่อไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จึงเป็นเหตุข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรง ทำให้ฝ่ายชายบันดาลโทสะ ลงมือกระทำผิดไป
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างบันดาลโทสะนั้นฟังไม่ขึ้น เหตุผลดังนี้
“ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจ ไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือ ความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรัก ความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวัง จำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยถ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่”
สรุปอีกครั้ง ความรักคือสิ่งที่เกิดจากใจและไม่อาจบังคับกันได้
ในปีเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 21/2546 เรื่องกฎหมายชื่อบุคคลขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากบังคับให้หญิงที่แต่งงานมีสามีแล้วต้องเปลี่ยนนามสกุลตามสามี ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าขัดกับหลักความเสมอภาคระหว่างชายหญิง
ในคดีนี้ กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้ถูกร้องได้ส่งหนังสือชี้แจง ความตอนหนึ่งเห็นว่า หากให้หญิงมีสามีเลือกนามสกุลของตนได้ “สภานภาพในครอบครัวอาจขาดความกลมเกลียวกรณีที่ไม่สามารถตกลงชื่อของบุตรได้” กฎหมายที่บังคับให้หญิงมีสามีเปลี่ยนนามสกุลตามสามีนั้น “เป็นมาตรการทางด้านกฎหมายเพื่อต้องการให้สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง”
ในเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยตอนหนึ่ง ดังนี้
“สำหรับข้ออ้างที่ว่า การเลือกปฏิบัติดังกล่าวมีเหตุผลทางสังคมทางสังคมที่ว่า เพื่อความเป็นเอกภาพและความสงบสุขของครอบครัว อีกทั้งสอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนชาวไทยนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวรับฟังไม่ได้ เนื่องจากความเป็นเอกภาพและความสงบสุขของครอบครัวเกิดขึ้นจากความเข้าใจ การยอมรับและการให้เกียรติซึ่งกันและกันระหว่างสามีและภริยา”
ในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันกับคดีอาญาข้างต้น แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ระบุชื่อความรักโดยตรง ใช้คำว่า ‘เอกภาพและความสงบสุข’ แต่เราก็อาจอนุมานได้ว่า เอกภาพและความสงบสุขนั้นน่าจะหมายถึงความรักอันเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตคู่นั่นเอง ศาลเห็นว่าเอกภาพและความสงบสุขดังกล่าวเกิดจากปัจจัยสามประการ คือ ความเข้าใจ การยอมรับ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ความรักจึงไม่อาจบังคับได้ด้วยกฎหมายหรือสถานะอย่างเดียวอย่างหนึ่ง ความรักต้องได้มาจากการกระทำของคนสองคน โดยสมัครใจ
อย่างไรก็ดี ความรักที่กล่าวถึงในข้างต้นทั้งหมด เป็นความรักระหว่างเอกชนทั้งสิ้น คือระหว่างบุคคลสองคนที่เสมอภาคกัน ว่าจะมีความรู้สึกต่อกันเป็นเช่นไร บังคับกะเกณฑ์เอาไม่ได้ และหากหมดใจแล้วก็ต้องไป ที่น่าสนใจคือถ้าก้าวข้ามความรักแบบปัจเจกไป มุมมองเรื่องความรักในสายตาของศาลนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเป็นอีกลักษณะหนึ่ง
ความรักในสามสถาบันหลักของความเป็นไทยนั้นกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ซึ่งต้อง “พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และ “ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย”
เฉพาะในสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 คำวินิจฉัยนี้เรียกกันติดปากว่า คดีล้มล้างการปกครอง ซึ่งร้องขึ้นตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งห้ามมิให้บุคคลให้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในกรณีนี้คือกรณีการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีการเรียกร้องสิบข้อให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แน่นอนว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวถูกโจมตีจากผู้ไม่เห็นด้วย ใจความหลักคือเห็นว่าแกนนำการชุมนุมที่อาจหาญเสนอเรื่องนี้นั้นไม่รักสถาบันฯ ดังนั้น ใจความสำคัญของคดีที่เกิดการร้องต่อศาลขึ้น ก็คือข้อพิพาทว่าผู้ชุมนุม โดยเฉพาะแกนนำนั้น รักสถาบันฯ หรือไม่นั่นเอง ในขณะที่ผู้ถูกร้องแย้งว่าข้อเสนอดังกล่าวมีเพื่อไม่ให้พระมหากษัตริย์มีมลทินมัวหมอง แต่ศาลก็ให้คำตอบแล้วว่า การใช้สิทธิในการชุมนุมเพื่อจุดมุ่งหมายดังกล่าว ด้วยวิธีการดังที่บรรยายมาในฟ้องนั้น ขัดรัฐธรรมนูญ
แต่ที่น่าสนใจในแง่ของความรักคือ คำวินิจฉัยนี้มีตอนหนึ่งให้เหตุผลไว้ด้วยว่าทำไมกฎหมายจึงคุ้มครองพระมหากษัตริย์ดังที่มีในปัจจุบัน ก็เพื่อปกป้องสิ่งอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ซึ่งความรักดังกล่าวเกิดจากมูลเหตุทางประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติมาอย่างยาวนานต่อเนื่องนั่นเอง
“เห็นได้ว่าประวัติศาสตร์นับแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ตลอดถึงกรุงรัตนโกสินทร์ การปกครองของไทยนั้นอำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งเพื่อรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองและประชาชนโดยจะต้องดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยเพื่อนำกองทัพต่อสู้ปกป้องและขยายราชอาณาจักรตลอดเวลาในยุคก่อน ประกอบกับทรงถือหลักการปกครองตามหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรมเป็นหลักในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ของไทยจึงเป็นที่เคารพและศรัทธาเป็นศูนย์รวมจิตใจและความเป็นหนึ่งเดียวกันของปวงชนชาไทยมาตลอดเวลาหลายร้อยปี”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แม้ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์ก็ยังคงทรงเป็นสถาบันหลักคู่กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย และจะต้องมีกฎหมายห้ามกระทำการอันทำให้สถาบันนี้มีมลทินต้องเสื่อมสภาพเสียหายหรือชำรุด
ดังนั้น ความรักในแดนของกฎหมายเอกชน อันเป็นความรักระหว่างปัจเจกนั้น เป็นความรักซึ่งต้องเกิดจากความสมัครใจ ไม่อาจบังคับได้ ในขณะที่ความรักในแดนของกฎหมายมหาชนนั้น เราอาจลองเสนอได้ว่าเป็นความรักซึ่งใกล้เคียงกับหน้าที่ที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วเสียมากกว่า สังเกตว่าศาลไม่ใช้คำว่า ‘รัก’ แต่จะใช้คำว่า ‘เคารพและศรัทธา’ แทน แสดงว่าความรักในแดนของกฎหมายมหาชนนั้น ต่างจากความรักของเอกชนแน่ๆ อาจจะไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาต่อรองรูปแบบความสัมพันธ์ได้มากเท่าไหร่นัก ความรักในสายตาของกฎหมายไทยจึงมีสองแบบ ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับสถานะของสิ่งที่เราจะรักนั่นเอง