
(16 มีนาคม พ.ศ.2451 – 3 มีนาคม พ.ศ.2538)
จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงระดับปูชนียาจารย์ท่านหนึ่งในวงการกฎหมายไทย ในฐานะแบบอย่างและผู้สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรากฎหมายชั้นครู ที่คนในแวดวงยังคงยกย่องว่าเป็นตำราที่นักกฎหมายควรจะได้อ่านหรือศึกษาค้นคว้าสักครั้งหนึ่งบนเส้นทางวิชาชีพ
ในวาระครบรอบ 30 ปีมรณกรรม 3 มีนาคม 2568 ของปูชนียาจารย์ทางกฎหมายท่านนี้ ผู้เขียนจะขอเล่าถึงชีวิตและงานของจิตติ ติงศภัทิย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรากฎหมายของท่าน
สังเขปชีวประวัติ
จิตติ ติงศภัทิย์ เกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2451 ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน เป็นบุตรคนโตของนายทองจีน และนางละม้าย ติงศภัทิย์[1] บิดาของท่านถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก จิตติจึงอยู่ภายใต้การดูแลของมารดา ปู่และตา (หรือที่ท่านเรียกว่า ‘ก๋งขาว’ กับ ‘ก๋งอ้วน’ ตามลำดับ) อย่างใกล้ชิด[2]
มีเกร็ดเล็กน้อยเรื่องชื่อ ‘จิตติ’ ว่าชื่อนี้มิใช่นามดั้งเดิมของท่าน เดิมท่านชื่อว่า ‘เล่งเจ็ง’ ซึ่งมีผู้แปลไว้ว่าหมายถึงอาการของคนที่ตื่นนอนตอนเช้าอย่างสดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า[3] เป็นชื่อที่ปู่ตั้งเพื่อไม่ให้ซ้ำกับใคร แต่เพื่อให้เรียกง่ายๆ จิตติจึงใช้พยางค์เดียวว่า ‘เจ็ง’
ชื่อ ‘เจ็ง ติงศภัทิย์’ ติดตัวท่านไปจนรับราชการ[4] แล้วค่อยมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘จิตติ’ ในสมัยที่ราชการร้องขอแกมบังคับให้เปลี่ยน นัยว่าเป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้นโยบายรัฐนิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งชื่อ ‘จิตติ’ นี้ มีที่มาจากฉายาเมื่อท่านบวชเณรและบวชพระ คือ ‘จิตติปาโย’ และ ‘จิตติสุทโธ’ ตามลำดับ แต่บรรดาญาติผู้ใหญ่และผู้ใกล้ชิดในชั้นต้นก็ยังคงเรียกท่านว่า ‘คุณเจ็ง’ หรือ ‘พ่อเจ็ง’ ตามเดิม[5]

ในส่วนประวัติการศึกษา เมื่อเยาว์วัย มารดาได้เริ่มสอนหนังสือให้ท่านตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน จากนั้นเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนครูเชย อันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ใกล้บ้าน ครั้นโตขึ้นจึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดปทุมคงคา ต่อมาสำเร็จเป็นเนติบัณฑิตชั้น 2 จากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และเข้าศึกษาต่อในระดับนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนสำเร็จการศึกษาใน พ.ศ.2485 และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ด้านกฎหมาย ณ Southern Methodist University จนสำเร็จการศึกษาชั้น LL.M. ระดับเกียรตินิยมสูงสุด ใน พ.ศ.2500[6] โดยท่านได้คะแนน 91.31% ซึ่งถือเป็นคะแนนสูงสุดในรุ่น และเป็นคะแนนสูงสุด นับแต่มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตร American Law[7]

ในแง่มูลเหตุที่มาของการศึกษากฎหมายนั้น จิตติเคยให้สัมภาษณ์ว่าสาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่แนะนำ ดังที่ท่านกล่าวว่า[8]
“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีเหตุผลใดพิเศษ เพียงแต่ครั้งนั้นคุณปู่ของผมอยากให้เรียนกฎหมาย แล้วในสมัยนั้น ใครอยากเรียนอะไรก็ได้เรียน ผมก็เลยเรียนกฎหมาย”
แม้ว่าจะเรียนกฎหมายโดยมิได้ตั้งใจไว้แต่แรก แต่จิตติก็กล่าวว่าท่านไม่เคยเจอปัญหาในการเรียนเลย[9] ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะท่านเป็นผู้มีใจรักการแสวงหาความรู้และศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ดังที่พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) เล่าให้คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มาสัมภาษณ์ฟังขณะพาคณาจารย์ชมบรรดา ‘collection’ หนังสือของท่านว่า มีลูกศิษย์คนหนึ่งเคยติดตามมาหาถึงที่บ้าน เพื่อขออนุญาตอ่านหนังสือและพากเพียรอ่านบรรดาตำราเหล่านั้นจนครบ ศิษย์คนนั้นชื่อ ‘นายเจ็ง’ และมีเพียง ‘นายเจ็ง’ เท่านั้นที่เป็นคนเอาจริงเอาจังทางวิชาความรู้อยู่คนเดียวจากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด
พระยามานวราชเสวียังกล่าวว่า หากผู้ใดจะเอาดีทางวิชาการ ก็ให้เอาให้ได้อย่าง ‘นายเจ็ง’ หรือจิตติ ติงศภัทิย์ นั่นเอง[10] บุคลิกลักษณะเช่นนี้ สอดคล้องกับคำบอกเล่าจากผู้ใกล้ชิดว่าจิตติเป็นคนเจ้าตำรับตำรา ไม่ใคร่จะได้ไปไหน มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือซึ่งเป็นเรื่องสนุกสนานและเบิกบานใจของท่าน[11]
อย่างไรก็ดี แม้พระยามานวราชเสวีจะกล่าวถึงเช่นนั้น แต่จิตติก็ยังถ่อมตัวโดยบอกว่าหาได้อ่านหนังสือทั้งหมดแต่ประการใด[12]

ทั้งนี้ มีเกร็ดเรื่องราวเล็กๆ ว่าช่วงที่จิตติกำลังศึกษาชั้นมัธยม ท่านได้มีส่วนร่วมตั้งวงดนตรีไทยร่วมกับวงของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ สืบเนื่องมาจากโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ได้มาขอให้นักเรียนโรงเรียนวัดปทุมคงคามาช่วยบรรเลง โดยท่านเป็นผู้เล่นซออู้ และซอด้วง[13] และนั่นทำให้จิตติ มีโอกาสร่วมเล่นดนตรีกับหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งเป็นครูดนตรีไทย โรงเรียนเทพศิรินทร์ในขณะนั้น
ในชั้นโรงเรียนกฎหมาย จิตติยังได้เรียนวิชากฎหมายลักษณะหุ้นส่วน บริษัท และสมาคมกับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) อีกด้วย[14] เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าจิตติ ติงศภัทิย์ เป็นลูกศิษย์ของ ‘หลวงประดิษฐ์ฯ’ ทั้ง 2 ท่าน คือ ‘ท่านครูหลวงประดิษฐ์(ไพเราะ)’ และ ‘อาจารย์หลวงประดิษฐ์(มนูธรรม)’

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับเนติบัณฑิต จิตติเข้ารับการเกณฑ์ทหาร โดยสมัครเป็นพลตำรวจอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน หลังพ้นจากการเกณฑ์ทหารจึงเริ่มชีวิตราชการ จากตำแหน่งพนักงานอัยการ ในกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2471 ก่อนจะโอนมารับราชการกระทรวงยุติธรรมในตำแหน่งผู้พิพากษา พ.ศ.2476 และก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จนได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก่อนจะลาออกจากราชการเพราะทำงานมานานใน พ.ศ.2512[15]
ภายใต้หมวกของผู้พิพากษา บรรดาผู้พิพากษาที่ร่วมงานกับจิตติเห็นพ้องกันว่าท่านเป็นผู้มีความเที่ยงตรง ยึดมั่นในความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ให้ความเห็นทางกฎหมายได้อย่างลึกซึ้ง สุขุม รอบคอบ ตรงไปตรงมา ทั้งยังเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีเมตตาธรรมด้วย[16] สัญญา ธรรมศักดิ์ นักกฎหมายร่วมรุ่นกับจิตติกล่าวถึงท่านว่า[17]
“…นิสัยเรา (สัญญา ธรรมศักดิ์ และจิตติ ติงศภัทิย์-ผู้เขียน) ที่ลึกๆ ภายใน คล้ายคลึงกันมาก คือ ถือความซื่อตรงเป็นใหญ่ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก….”

ภายหลังออกจากราชการ จิตติได้รับตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่ง เช่น ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานวุฒิสภา และในที่สุด ก็ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นองคมนตรี ในวันที่ 3 มีนาคม 2527[18]

ในวงวิชาการ จิตติยังรับเป็นอาจารย์ผู้บรรยาย ณ มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยรับบรรยายหลายวิชาด้วยกัน เช่น วิชากฎหมายลักษณะหนี้ บัญชีเดินสะพัด ตั๋วเงิน ประกันภัย ครอบครัว มรดก อาญา และอาชญวิทยา ทั้งยังเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายอาญา ณ สำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาอีกด้วย
ต่อมา จิตติได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[19] และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[20] รวมถึงได้รับพระราชทานปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2514[21] และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2515[22]

จิตติ ติงศภัทิย์ ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 3 มีนาคม 2538 ขณะมีอายุได้ 86 ปี ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าจิตติเกิดในเดือนมีนาคม ได้รับการโปรดเกล้าเป็นองคมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ถึงแก่อสัญกรรมก็เดือนมีนาคม กล่าวได้ว่าท่านถือเป็น ‘คนเดือนมีนาคม’ โดยแท้[23]

ตำรากฎหมายของอาจารย์จิตติ
แม้ว่าจิตติ ติงศภัทิย์ จะมีภาระงานราชการค่อนข้างมาก แต่ก็วิริยะอุตสาหะสร้างสรรค์ผลงานวิชาการทรงคุณค่ามากมาย ทั้งตำรากฎหมาย บทความ หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ท่านให้ความเห็นไว้ ในบทความนี้ จะขอหยิบยกมาเล่าสองประเภท ได้แก่งานเอกสารตำรา และหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา
ตำรากฎหมาย
ในบรรดางานเขียนทางวิชาการของจิตติ ติงศภัทิย์ ตำรากฎหมายอาญาดูจะเป็นตำราที่มีชื่อเสียงที่สุด และได้รับการยกย่องว่าเป็นตำรามาตรฐาน ซึ่งจิตติใช้เวลาค้นคว้าข้อมูลนานถึง 20 ปีก่อนลงมือเขียน ทั้งข้อมูลจากตำราต่างประเทศบ้าง ข้อซักถามของนักศึกษาบ้าง ข้อโต้เถียงในการประชุมหารือเพื่อปรึกษาคดีบ้าง[25]
แต่การเขียนตำรากฎหมายอาญาของจิตติมิได้มาจากความตั้งใจแรกของผู้เขียน จุดเริ่มต้นมาจากการที่ท่านรับบรรยายกฎหมายอาญา ณ เนติบัณฑิตยสภา และได้จัดทำโน้ตเอาไว้เพื่อเตรียมสอน นานวันเข้าก็มีเสียงเรียกร้องให้เขียนออกมาเป็นเล่ม ท่านจึงเขียนออกมาจนจบ[26]
ตำรากฎหมายอาญาของท่านตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2506 แบ่งเป็น ‘กฎหมายอาญา ภาค 1’ ว่าด้วยหลักทั่วไป เช่น การใช้กฎหมายอาญา โครงสร้างความรับผิด เป็นอาทิ จำนวน 2 เล่ม ส่วนภาค 2 กับ 3 อันเป็นภาคความผิดและลหุโทษ มีจำนวน 3 เล่ม โดยภาคทั่วไปเป็นการอธิบายเชิงทฤษฎี ส่วนภาคที่เหลือจะเป็นการอธิบายเรียงมาตรา[27]
ต่อมา ในการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2525 จึงมีการรวมภาค 1 เป็นเล่มเดียว ส่วนภาคความผิดและลหุโทษแบ่งออกเป็น ‘กฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 1’ และ ‘กฎหมายอาญาภาค 2 และ 3’[28] ซึ่งเมื่อรวมจำนวนหน้าทั้ง 3 เล่มแล้ว ถือว่าตำรามีความหนาอย่างมาก จนมีผู้สงสัยว่าท่านใช้เวลาที่ไหนไปเขียน ต่อคำถามนี้ จิตติเคยเล่าให้ไพฤทธิ์ เศรษฐไกรกุล ว่าท่านถือโอกาสช่วงที่ตื่นมาชงนมให้ลูก เขียนตำรากฎหมายอาญาตอนนั้นเสียเลย[29]
สำหรับเนื้อหาตำรากฎหมายอาญาของจิตติ เป็นที่ยอมรับว่าละเอียดลึกซึ้ง โดยจิตติได้วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ไว้ทุกแง่มุม จึงถูกใช้เป็นหลักในการศึกษาของนักศึกษากฎหมายและนักกฎหมาย[30] ทั้งยังเป็นตำรากฎหมายอาญาที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่งของไทย มีประโยชน์ในการใช้ค้นคว้าอ้างอิงได้อย่างดี[31] สมดังความตั้งใจของท่านที่ให้หลักในการเขียนตำราไว้ว่าต้องมีที่อ้างอิงให้แน่นอนเพื่อผู้อ่านจะได้ค้นคว้าต่อ ไม่ใช่ว่าจะเขียนขึ้นมาตามความนึกคิดเฉยๆ[32]

แม้ว่าตำรากฎหมายที่ถือเป็น ‘มาสเตอร์พีซ’ ของจิตติ ติงศภัทิย์ จะเป็นตำรากฎหมายอาญา แต่มิได้หมายความว่าท่านสนใจกฎหมายอาญาเพียงสาขาเดียว จิตติเป็นนักกฎหมายที่รอบรู้กฎหมายหลายสาขา ท่านมักสอนศิษยานุศิษย์เสมอมาว่ากฎหมายมิได้แยกเป็นเรื่องๆ แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เพียงแค่มองและจัดการ หรือบังคับการในแง่มุมที่ต่างกันได้เท่านั้น[33]
ทั้งนี้ มีเกร็ดเรื่องเล่าว่าวิชาแรกที่ท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บรรยาย ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน พ.ศ. 2497[34] คือกฎหมายแพ่ง เกี่ยวกับลักษณะตั๋วเงิน ตำราเรียนที่จิตติเขียนเล่มแรกจึงเป็นตำรากฎหมายลักษณะตั๋วเงินนั่นเอง โดยตำรากฎหมายตั๋วเงินดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง เนื้อหาอธิบายความเป็นมาของหลักกฎหมาย และชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของหลักกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับสังคม[35]

นอกจากนี้ จิตติยังเขียนตำรา ‘กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย’ โดยเริ่มเขียนและพิมพ์ใช้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเนื้อหามาจากการเปรียบเทียบกับเนื้อหาตำราต่างประเทศและคำบรรยายของอาจารย์คนก่อนๆ ตลอดจนคำพิพากษาฎีกา[36] ซึ่งปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังคงได้รับการยอมรับนับถือเป็นหนึ่งในตำราเรียนหลักทางกฎหมายประกันภัยในวงการกฎหมายอยู่ โดยมีสิทธิโชค ศรีเจริญ รับเป็นผู้ปรับปรุง ซึ่งผู้ปรับปรุงปรารภว่าอ่านทบทวนหนังสือเล่มนี้หลายครั้ง ก็ยังหาข้อปรับปรุงยากที่สุด เพราะทุกถ้อยคำที่จิตติเขียนไว้เป็นอมตะวิชาการ หาข้อแก้ไขเพิ่มเติมได้ยาก[37]

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาพบว่าตำราตั๋วเงินและประกันภัยของจิตติเคยถูกรวมเป็นเล่มเดียวกัน ในชื่อ ‘คำอธิบายกฎหมายบัญชีเดินสะพัด ตั๋วเงินและประกันภัย’ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ.2495 ในตำราเล่มนี้ จิตติได้แนะนำแนวทางการศึกษากฎหมายไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้[38]
“ในการศึกษากฎหมายนั้น ขอเตือนว่าเราต้องการความรู้กฎหมาย ไม่ใช่ต้องการรู้คำสอนที่ผู้สอนหรือผู้เรียบเรียงตำราได้เขียนไว้ ทั้งนี้เพราะเรามีประมวลกฎหมายตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว การศึกษาหาความรู้ในกฎหมายเรื่องต่างๆ ที่มีประมวลไว้ก็ดี การนำกฎหมายออกใช้ปรับกรณีต่างๆ ก็ดี จะต้องอาศัยตัวบทกฎหมายเป็นเครื่องอ้างอิง ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจหรือจำคำสอนหรือตำราต่างๆ ก็พอ คำสอนหรือตำรานั้นเป็นเพียงเครื่องมือให้อาศัยทำความเข้าใจในความหมายของตัวบทมาตราต่างๆ ให้เข้าใจว่าที่มาตรานั้นบัญญัติไว้เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร มีมูลเหตุมาอย่างไร เกี่ยวข้องกับบทมาตราอื่นอย่างไร
ฉะนั้น ในการศึกษาจึงต้องใช้ตัวบทเป็นหลัก…จะจำแต่เพียงคำสอนว่าอย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าตัวบทกฎหมายจริงๆ ว่าอย่างไรนั้น ไม่ใช่การเรียนรู้กฎหมายที่ถูกต้อง นักศึกษาต้องพยายามเรียนจนสามารถอ้างได้ว่าหลักต่างๆ ที่ปรากฏในมาตราหรือคำสอนนั้นเป็นหลักมาจากตัวบทกฎหมายใด มาตราใดหมายความว่าอย่างไร มีความหมายอย่างไร เกี่ยวข้องกับมาตราอื่นๆ อย่างไรจึงจะใช้ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องจำเลขมาตราได้ เพียงแต่ให้อ้างใจความของบทมาตรา และรู้ว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งสามารถหยิบยกขึ้นอ้างอิงให้เห็นได้เมื่อต้องการ จึงจะนับว่าใช้การได้…”
พ้นไปจากตำรากฎหมายแพ่งข้างต้นทั้งสองเรื่อง ยังมีอีกเล่มหนึ่งที่ได้รับการยกย่องนับถือ คือ ‘คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 มาตรา 354 ถึงมาตรา 452’ ซึ่งมาจากการที่เนติบัณฑิตยสภาประสงค์ให้มีการเขียนคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ของพระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) ที่ท่านอธิบายค้างไว้ถึงมาตรา 240 จึงมอบหมายให้ ยล ธีรกุล เขียนอธิบายมาตรา 241-353[39] และจิตติเขียนในส่วนที่เหลือ
ในส่วนคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 มาตรา 354 ถึงมาตรา 452 นั้น มีผู้ยกย่องว่าเป็นตำราที่อ่านเข้าใจง่าย เพราะมีอุทาหรณ์ประกอบคำอธิบายทุกมาตรา และในตอนท้ายของแต่ละมาตรายังอ้างที่มาของกฎหมายแต่ละมาตราจากกฎหมายต่างประเทศ ทั้งยังเป็นตำรากฎหมายเล่มแรกๆ ที่อ้างอิงในรูปของเชิงอรรถถึงกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง[40] โดยจะกินความไปถึงบ่อเกิดแห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ สัญญา จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ และละเมิด
ต่อมา กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ได้แบ่งตำราดังกล่าวออกเป็น 2 เล่ม คือ ‘คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียงมาตรา ว่าด้วยสัญญา บรรพ 2 มาตรา 354-394’ และ ‘คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียงมาตรา ว่าด้วย จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด บรรพ 2 มาตรา 395-452’

ตำรากฎหมายอีกเล่มหนึ่งที่จิตติเขียนคือ ‘คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบุคคล’ เพื่อใช้ประกอบการบรรยายวิชากฎหมายแพ่งทั่วไปเฉพาะส่วนที่ว่าด้วยบุคคลในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน พ.ศ.2516 โดยมีลักษณะเป็นคำอธิบายโดยสังเขป[41]

อีกเล่มที่สำคัญ คือ ‘หลักวิชาชีพนักกฎหมาย’ เพื่อใช้ประกอบในวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย อันเป็นวิชาที่จิตติเสนอให้บรรจุเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.2514 โดยมีการบรรยายครั้งแรกใน พ.ศ.2517
มูลเหตุในการก่อตั้งวิชาดังกล่าวเกิดจากความเป็นห่วงว่าจริยธรรมของนักกฎหมายไทยเสื่อมลงไปมาก และจิตติเล็งเห็นความสำคัญในการอบรมจริยธรรมนักกฎหมาย[42] เพราะมองว่าบรรดาวิชาชีพทั้งหลายจำเป็นต้องมีการศึกษาอบรมที่พัฒนาจิตใจ อุดมคติ และมรรยาทในการประกอบวิชาชีพ เนื่องจากวิชาชีพมีลักษณะเป็นการผูกขาด ทำได้เฉพาะบุคคลที่ได้ศึกษาอบรมโดยเฉพาะ จึงต้องมีการควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพไม่ให้หาผลประโยชน์จากการผูกขาดจนเป็นที่เสียหายแก่ประชาชน ถ้าผู้ประกอบวิชาชีพมีมรรยาทและอุดมคติ มีจิตรับใช้ประชาชนตามที่ควรจะมี ก็จะเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่รัฐและประชาราษฎร์โดยทั่วไป[44]
จิตติได้นิยามวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมายไว้ว่า เป็นการศึกษาว่าการงานของผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายหรือนักกฎหมายคืออะไร นักกฎหมายควรมีอุดมคติอย่างไร ควรมีหลักธรรมในการปฏิบัติงานอย่างไร[45] โดยเนื้อหาตำราดังกล่าว ท่านผู้เขียนเก็บมาจากคำพิพากษาของศาล การปฏิบัติ คำบรรยายของผู้อาวุโสในวงการกฎหมายที่ได้บำเพ็ญตนเป็นแบบฉบับแก่นักกฎหมายในชั้นหลังประกอบกับตำรากฎหมายต่างประเทศ[46] กรณีย่อมชี้ให้เห็นถึงความพยายามอบรมจริยธรรมของผู้ศึกษากฎหมายในสมัยนั้นได้พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น จิตติยังเป็นผู้สอนวิชานี้คนแรกและสอนเรื่อยมาตลอดชีวิต เพราะท่านเป็นปูชนียบุคคล ผู้ดีพร้อมทั้งด้านความรู้และด้านจริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีของนักกฎหมายและบุคคลทั่วไปได้[43]

หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา
นอกเหนือจากตำรากฎหมาย งานเขียนอีกประเภทหนึ่งของจิตติ ติงศภัทิย์ คือ ‘หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา’ มีลักษณะเป็นการเขียนวิเคราะห์วิจารณ์คำพิพากษาศาลฎีกา ดังที่กล่าวไปว่าจิตติเป็นคนรักการอ่านและเขียนหนังสือมาทั้งชีวิต ท่านเข้าใจดีว่าการเป็นครูกฎหมายที่ดีต้องอ่านและค้นคว้าหาความรู้ตลอดเวลา จะทิ้งตำรากฎหมายมิได้ และเมื่ออ่านแล้ว ต้องเขียนแสดงความรู้ความเข้าใจที่ดีออกมาด้วย
ท่านนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ฝึกหัดอาจารย์ประจำบรรจุใหม่ในยุคที่ท่านเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรูปของโครงการย่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อให้อาจารย์ใหม่ได้ฝึกฝนทักษะในการทำความเข้าใจและวิจารณ์คำพิพากษาของศาล[47]
นอกจากนี้ จิตติยังเป็นบรรณาธิการ ‘คำพิพากษาศาลฎีกา’ ของเนติบัณฑิตยสภา และได้เขียนหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาจำนวนมาก กล่าวกันว่าตอนท่านถึงแก่อสัญกรรมใหม่ๆ เคยมีผู้พยายามรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาไว้ ณ ที่เดียว เฉพาะหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ยังไม่จัดพิมพ์รวมกันก็เป็นตั้งเป็นกองสูงเหนือเข่าแล้ว[48]
หมายเหตุท้ายคำพิพากษาของจิตติ ติงศภัทิย์ เป็นที่ยอมรับกันว่าทรงคุณค่าและทรงพลังทางวิชาการอย่างยิ่ง โดยมาก ข้อคิดเห็นของท่านมีทั้งโต้แย้งและอธิบายแนวคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเป็นแบบอย่างของนักวิชาการที่ใช้หลักวิชาชี้แนะหรือคัดค้านความเห็นต่อคำพิพากษาที่ตนเห็นว่าไม่ถูกต้องด้วยความเด็ดเดี่ยว
ทั้งนี้ ท่านได้ปรารภถึงความสำคัญของการบันทึกหมายเหตุคำพิพากษาศาลฎีกาไว้ดังนี้[49]
“การพิพากษาของศาลย่อมมีขอบเขตจำกัดตามประเด็นและเหตุผลเฉพาะคดี แต่ความเห็นของนักนิติศาสตร์ย่อมเป็นไปตามหลักทางทฤษฎีโดยทั่วไป เหตุนี้…จึงเป็นที่เข้าใจกันดีว่า ความเห็นของศาลกับความเห็นของนักนิติศาสตร์จึงอาจไม่ตรงกัน มิใช่ตรงกันหมดทุกข้อทุกประการ
บันทึกหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นแต่เพียงความเห็นที่แสดงหลักฐานกฎหมายในเรื่องที่มีคำพิพากษาออกมานั้น ในแง่ของหลักกฎหมายทั่วไปที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนั้น อันอาจมีปัญหาเกิดขึ้นในภายหน้าเพื่อเป็นข้อคิดและความเข้าใจกฎหมายในเรื่องนั้นๆ โดยกว้างขวาง ไม่จำกัดเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นแล้วนั้น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและความเข้าใจกฎหมายให้ชัดแจ้งในแง่มุมต่างๆ เท่านั้น…”
ในเวลาต่อมา หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาของจิตติได้รับการรวบรวมโดยนักวิชาการชั้นหลัง และแบ่งตามหมวดหมู่ประเภทแห่งกฎหมาย เช่น หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญา รวบรวมโดยเกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ และทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัว และมรดก รวบรวมโดยไพโรจน์ กัมพูสิริ, หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับกฎหมายลักษณะละเมิด รวบรวมโดยเขมภูมิ ภูมิถาวร, หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับกฎหมายลักษณะพยาน รวบรวมโดยสมชาย รัตนซื่อสกุล เป็นอาทิ
นอกจากนี้ หมายเหตุท้ายคำพิพากษาของจิตติยังถูกนำไปรวบรวมกับผลงานอื่นของจิตติด้วย ในชื่อ ‘รวมผลงานทางวิชาการของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์’ จัดพิมพ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรม เล่ม 1 เป็นรวมบทความ เล่ม 2 เป็นส่วนของหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา หรือ ‘ข้อสังเกตในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและการเขียนคำพิพากษา’ ซึ่งมีที่มาจากการบรรยายอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 10[50] และปรากฏว่ามีการรวบรวมหมายเหตุท้ายคำพิพากษาของจิตติที่เกี่ยวกับกฎหมายลักษณะพยานบางส่วนไว้ด้วย

ส่งท้าย
จะเห็นว่า จิตติ ติงศภทิย์ เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องอย่างมากในวงการกฎหมาย ทั้งในแง่ของความบริสุทธิ์ยุติธรรมในการดำรงตนบนเส้นทางวิชาชีพ ทั้งในทางวิชาการ ที่ถือว่าท่านเป็นผู้รู้ เป็นแบบอย่างด้านการศึกษาค้นคว้าตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นครูกฎหมายที่ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ศิษยานุศิษย์อย่างเต็มที่
ปัจจุบัน ความเห็นทางวิชาการของจิตติยังถูกอ้างถึงในวงวิชาการเรื่อยมา จนมีคำกล่าวว่าความเห็นทางกฎหมายของท่านนั้น ถือเป็น ‘เจ้าตำรับให้อ้างอิง’ (authority) ในวงการกฎหมาย เมื่อมีประเด็นทางกฎหมายเป็นที่ถกเถียง หากยกความเห็นทางกฎหมายของจิตติมาเสริม ก็มักจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเสมอ[51] เช่นนี้ อาจไม่เกินเลยที่เราอาจจะกล่าวได้ว่าคำสอนของจิตติ ติงศภัทิย์ มิว่าจะเป็นคำสอนเชิงวิชาการหรือคำสอนเชิงจริยธรรมวิชาชีพ ยังเป็นที่ ‘ตราตรึงจิต’ ในวงการกฎหมายถึงทุกวันนี
[1] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 (โรงพิมพ์เดือนตุลา 2540) น.17.
[2] เพิ่งอ้าง น.168.
[3] เพิ่งอ้าง น.156.
[4] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ (ม.ป.ท. 2548) น.22..
[5] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.157.
[6] เพิ่งอ้าง น.18.
[7] สุนทรียา เหมือนพะวงศ์, บรรณาธิการ, นิติศาสตร์เสวนา เรื่อง คุณค่าบรรพตุลาการ (สำนักงานศาลยุติธรรม สถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ 2551) น.173.
[8] สนทนากับท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ใน ปรีชา สุวรรณทัตและคณะ, รพี’ 34 (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2534) น.17.
[9] เพิ่งอ้าง
[10] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.131-132.
[11] เพิ่งอ้าง น.148.
[12] สุนทรียา เหมือนพะวงศ์, บรรณาธิการ, นิติศาสตร์เสวนา เรื่อง คุณค่าบรรพตุลาการ น.179
[13] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.34
[14] ‘การอภิปรายเรื่องปรีดี พนมยงค์: ชีวิต และผลงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 6 พฤษภาคม 2567) <https://pridi.or.th/th/content/2024/05/1948> สืบค้นวันที่ 30 มกราคม 2568.
[15] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.19.
[16] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.140.
[17] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.51.
[18] “พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งองคมนตรี (นายจิตติ ติงศภัทิย์ หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช)” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101 ตอนที่ 28 (5 มีนาคม 2527) น.1.
[19] “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์ประจำและศาสตราจารย์พิเศษ” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 78 ตอนที่ 87 (24 ตุลาคม 2504) น.2175
[20] “คำสั่งกองบัญชาการคณะปฏิวัติ ที่ 262/2515 เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89 ตอนที่ 108 (17 กรกฎาคม 2515) น.1.
[21] มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2514 (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2515) น.(19)-(20).
[22] จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2513 วันพฤหัสบดีที่ 15 และวันศุกร์ที่ 16 กรกฏาคม 2514 (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2514) น. (17)-(19))
[23] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.34.
[24] เพิ่งอ้างน.38.
[25] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.109.
[26] “รายการทางแห่งความก้าวหน้า” ใน รพีสาร ฉบับพิเศษ รำลึกคุณครู อาจารย์จิตติ ปรมาจารย์กฎหมายไทย (ม.ป.ท. ม.ป.ป.) น.11-12.”
[27] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.84
[28] เพิ่งอ้าง น.83
[29] เพิ่งอ้าง น.30.
[30] รพีสาร ฉบับพิเศษ รำลึกคุณครู อาจารย์จิตติ ปรมาจารย์กฎหมายไทย (ม.ป.ท. ม.ป.ป.) น.74-75.
[31] จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2513 วันพฤหัสบดีที่ 15 และวันศุกร์ที่ 16 กรกฏาคม 2514 น.(18).
[32] “รายการทางแห่งความก้าวหน้า” น.12.
[33] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.103.
[34] เพิ่งอ้าง น.83.
[35] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.99-100.
[36] คำนำ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 ใน จิตติ ติงศภัทิย์, สิทธิโชค ศรีเจริญ ปรับปรุง, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย (พิมพ์ครั้งที่ 15, วิญญูชน 2563) น.7.
[37] เพิ่งอ้าง น.5.
[38] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายกฎหมายบัญชีเดินสะพัด ตั๋วเงินและประกันภัย (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2495) น.2-3.
[39] คำนำ เลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา ในจิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 มาตรา 354 ถึงมาตรา 452 (พิมพ์ครั้งที่ 4, โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2523).
[40] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.85.
[41] คำนำ ใน จิตติ ติงศภัทิย์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบุคคล (พิมพ์ครั้งที่ 7, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2530).
[42] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.66
[43] เพิ่งอ้าง น.68.
[44] คำนำ ใน จิตติ ติงศภัทิย์, หลักวิชาชีพนักกฎหมาย (พิมพ์ครั้งที่ 15, วิญญูชน 2566) น.3.
[45] จิตติ ติงศภัทิย์, หลักวิชาชีพนักกฎหมาย น.15.
[46] เพิ่งอ้าง น.3.
[47] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, ชีวิตและงานของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ น.9.
[48] เพิ่งอ้าง น.104.
[49] คำปรารภเกี่ยวกับหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ใน จิตติ ติงศภัทิย์, เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ และทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ รวบรวม, รวมหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา กฎหมายอาญา ของศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ (พิมพ์ครั้งที่ 4, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2540).
[50] คำนำของไพโรจน์ วายุภาพ ใน จิตติ ติงศภัทิย์, ข้อสังเกตในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและการเขียนคำพิพากษา (พิมพ์ครั้งที่ 9, วิญญูชน 2567).
[51] ที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2540 น.97.