ท่ามกลางกระแสความสนใจของโลกที่มุ่งไปยังการเมืองสหรัฐฯ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งดูจะชัดเจนแล้วว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้กลับคืนสู่อำนาจ แต่หากหันมามองการเมืองของญี่ปุ่นทางฝั่งเอเชีย ก็มีเรื่องที่กระตุ้นความตื่นเต้นได้ไม่แพ้กัน แม้การเลือกตั้งทั่วไปในญี่ปุ่นจะผ่านมาแล้วและรู้ผลการนับคะแนนตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นจะมีหน้าตาเช่นไร
จะยังคงเป็นรัฐบาลที่นำโดยพันธมิตรพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) กับโคเม (Komei) อย่างเช่นที่เป็นมากว่าทศวรรษ (ค.ศ. 2012-2024) หรือแกนนำฝ่ายค้านพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (CDP) จะพลิกเกมขึ้นจัดตั้งรัฐบาลอันจะเป็นการ ‘สลับขั้วอำนาจ’ (regime change) ได้สำเร็จ แล้วชะตากรรมของชิเงรุ อิชิบะ ผู้ซึ่งเพิ่งขึ้นเป็นนายกฯ เพียงเดือนกว่าจะเป็นเช่นไร ยังจะอยู่รอดในตำแหน่งหรือไม่ ล้วนเป็นโจทย์ที่ดึงดูดบทวิเคราะห์และการคาดการณ์จากสื่อและผู้ติดตามญี่ปุ่นได้ไม่น้อย
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในการเลือกตั้งรอบนี้ไม่มีพรรคใดทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสามารถกวาดคะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (หรือสภาล่างของญี่ปุ่น) ไปได้ จึงไม่มีใครประกาศชัยชนะจัดตั้งรัฐบาลได้ในทันที ผลที่ออกมาเช่นนี้อาจสะท้อนความเสื่อมศรัทธาต่อพรรครัฐบาลโดยเฉพาะ LDP ขณะที่ก็ยังไม่มีตัวเลือกไหนที่น่าเชื่อถือพอจะมาแทนที่ได้เด็ดขาด หรือว่านี่คือบรรยากาศชะงักงันอันเกิดจากผู้คนเริ่มหมดหวังในการเมืองของประเทศ?
ในฐานะหนึ่งในรัฐอำนาจย่านอินโดแปซิฟิกและรัฐพันธมิตรแกนหลักของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนในการเมืองญี่ปุ่นจึงกลายเป็นอีกปัจจัยป้อนเข้าสู่ความแปรปรวนในภูมิภาคและโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเดิมทีก็มีประเด็นให้ต้องหวั่นวิตกกันมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องการผลัดผู้นำและรัฐบาลในสหรัฐฯ สงครามที่ยืดเยื้อในยุโรปและตะวันออกกลาง และการขู่คุกคามด้วยกำลังทางฝั่งเอเชีย ทั้งจากเกาหลีเหนือและจีน
ข้อเขียนนี้ตั้งใจหวนทบทวนและบันทึกความเคลื่อนไหวในการเมืองญี่ปุ่นนับจากช่วงก่อนไปจนถึงหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อะไรเป็นเหตุให้ LDP เสียที่นั่งครั้งใหญ่ เราจะอาศัยตัวเลขต่างๆ ทางการเมืองคาดการณ์ความเป็นไปได้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ตลอดจนความท้าทายต่อจากนี้ที่การเมืองภายในของญี่ปุ่นอาจส่งผลต่อการบริหารความมั่นคงของประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ญี่ปุ่นต้องการปรับยุทธศาสตร์จากเฉื่อยชามาเป็นตื่นตัวและรับบทนำมากขึ้นในการดูแลระเบียบของเอเชีย
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี (11 พฤศจิกายน) ผลการลงคะแนนปรากฎว่า ชิเงรุ อิชิบะ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดและได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นต่อไป
การเลือกตั้งที่ไม่มีใครได้ชัยชนะ
การสูญเสียที่นั่งในการเลือกตั้งอย่างฮวบฮาบ ตลอดจนเสียสถานะการเป็นพรรคครองเสียงข้างมากในสภาล่างของ LDP คงเป็นเรื่องที่พรรคไม่ได้คาดคิดมาก่อนในตอนที่นายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ ตัดสินใจประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ไม่กี่วันหลังจากที่รัฐสภารับรองเขาให้ขึ้นเป็นนายกฯ (1 ตุลาคม) ทำสถิติใหม่ในการเมืองญี่ปุ่นที่นายกฯ ยุบสภาหลังจากรับตำแหน่งในเวลาสั้นที่สุด การที่อิชิบะทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของหลายฝ่ายเช่นกัน เนื่องจากไม่ตรงกับที่เขาเคยพูดไว้ก่อนขึ้นเป็นนายกฯ
การ ‘ไม่ทำอย่างที่พูด’ เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่บั่นทอนเสียงสนับสนุน LDP ให้หดหายไปอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่แค่เรื่องเงื่อนเวลาการยุบสภาเท่านั้นที่พรรคทำผิดคำมั่น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้กระแสแห่แหนนายกฯ คนใหม่ที่เคยได้รับความนิยมสูงมาก่อนขึ้นเป็นผู้นำ (ตามผลสำรวจความเห็น) ไม่อาจฉวยใช้ ‘ช่วงฮันนิมูน’ จาก ‘ความเห่อของใหม่’ ในหมู่ประชาชนชิงคะแนนเสียงเพื่อรักษาสถานะรัฐบาลที่มีฐานมั่นคงไว้ได้ สาเหตุใหญ่อีกหลายประการที่เกิดขึ้นทั้งช่วงก่อนและหลังการยุบสภาล้วนกอดเกี่ยวจนทำให้ผลงานของ LDP ในการเลือกตั้งครั้งนี้ตกต่ำอย่างน่าใจหาย
ตัวผู้เขียนก็ไม่ได้คาดการณ์ว่าความไม่พอใจในสังคมญี่ปุ่นจะรุนแรงเช่นนี้ กลับมองว่ากลยุทธ์ของ LDP ที่ใช้มาตลอดจนกลายเป็นแบบแผนอาจช่วยให้พรรคคงความได้เปรียบและประคองเสียงไว้ได้ไม่ต่างจากที่เคยทำมา ด้วยการรีบกำหนดวันเลือกตั้งแบบฉับพลัน (snap election) ตอนที่ความนิยมต่อพรรคยังคงสูงอยู่ ขณะที่ไม่ปล่อยให้ฝ่ายค้านได้ตั้งตัว แต่ดูเหมือนรอบนี้ผลลัพธ์กลับเป็นตรงข้าม สาธารณชนส่วนใหญ่เลือก ‘ลงคะแนนประท้วง’ (protest vote) LDP ถึงขนาดที่เมื่อรวม สส. ที่ผ่านเข้าสภามาได้กับพรรคพันธมิตรคู่ใจอย่างโคเมก็ยังตะกายไปไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านกลับสามารถโกยที่นั่งในสภาเพิ่มได้อย่างมาก
แนวโน้มนี้เป็นไปตามผลสำรวจความเห็นที่สื่อญี่ปุ่นอัพเดทต่อเนื่องมานับแต่หลังยุบสภาจนใกล้วันเลือกตั้ง โดยจะเห็นว่าความนิยมต่อรัฐบาลอิชิบะขณะเริ่มทำงานไม่ได้สูงมากนัก (ราว 51 เปอร์เซ็นต์) เมื่อเทียบกับรัฐบาลใหม่ชุดก่อนๆ แต่ก็นับว่ากระเตื้องขึ้นอย่างมากจากระดับต่ำกว่าร้อยละ 30 อันเป็นวิกฤตที่รัฐบาลนำโดย LDP เผชิญมา ถึงกระนั้นความนิยมก็ดิ่งลงเหลือ 42 เปอร์เซ็นต์ อย่างรวดเร็ว และมีตัวเลขที่คาดว่า LDP อาจต้องพึ่งพรรคโคเมเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา อิชิบะน้อมรับข้อเท็จจริงนี้ก่อนที่ตัวเลขชุดใหม่จะออกมาโดยคาดว่าทั้งสองพรรคคงไม่อาจรักษาเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาได้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันในคืนวันนับบัตรว่าจากที่นั่งทั้งหมด 465 ในสภาที่ผู้สมัครช่วงชิงกัน พรรคฝ่ายรัฐบาลที่เดิมมีเสียงรวมกันถึง 288 เสียง เกินจากกึ่งหนึ่ง (233) อย่างมั่นคง จะพลิกโผหรือได้ที่นั่งลดลงตามผลโพลจนแพ้เลือกตั้งหรือไม่ ผลที่ออกมาคือ LDP ซึ่งเดิมมีเสียงข้างมากด้วยตนเองอยู่ 256 เสียง ได้ที่นั่งลดเหลือเพียง 191 เสียง โคเมจากเดิม 32 เสียง ลดเหลือ 24 เสียง รวมแล้วฝ่ายรัฐบาลคว้าได้ 215 เสียง ที่เหลืออีก 250 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่งถูกกวาดไปโดยบรรดาพรรคฝ่ายค้าน
แต่นั่นก็ใช่ว่าฝ่ายค้านจะสลับขั้วตั้งรัฐบาลขึ้นได้อย่างสบาย เนื่องจาก 250 เสียงนี้ (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 177) กระจายอยู่ในหมู่ 8 พรรคร่วมฝ่ายค้านและกลุ่มผู้สมัครอิสระ ซึ่งไม่ได้ประสานนโยบายหรือวางกลยุทธ์ในการส่งผู้แทนให้เอื้อชัยชนะแก่กันอันเป็นแนวทางสร้างพันธมิตรต่อสู้กับรัฐบาลในการเลือกตั้งที่เคยมีมา ด้วยความไม่ทันตั้งตัวและต้องแข่งขันกันเองในหลายเขตเลือกตั้ง เสียง 250 นี้จึงไม่มีความเป็นเอกภาพ อีกทั้งจุดยืนนโยบายที่ไม่ลงรอยและอุดมการณ์พื้นฐานที่ขัดกันมาแต่เดิมทำให้ไม่อาจเกาะกลุ่มตั้งรัฐบาลได้
ตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
พรรคที่ช่วงชิงคะแนนได้มากในครั้งนี้คือแกนนำฝ่ายค้าน CDP นำโดย โยชิฮิโกะ โนดะ ซึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคมาไม่นาน จากเดิมที่มี 98 ที่นั่ง พรรคได้เพิ่มเป็น 148 ที่นั่ง ฝ่ายค้านอีก 2 พรรคใหญ่ซึ่งมีเสียงรองลงมา ได้แก่ พรรคนิปปอน อิชิน (Nippon Ishin No Kai) และพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DPP) ซึ่งแต่เดิมมีที่นั่ง 43 และ 7 ตามลำดับ ปรับมาเป็น 38 และ 28 หลังการเลือกตั้ง ทำให้สองพรรครองนี้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลผสม หรือที่เรียกว่า ‘kingmaker’ ซึ่งดึงดูดฝ่ายรัฐบาลและแกนนำฝ่ายค้านให้เข้าหาเพื่อทาบทาม
อย่างไรก็ดี ทั้งสองพรรคนี้มีแนวนโยบายแบบสายกลางค่อนไปทางขวา (center-right) หรือเอียงเข้าหาแนวอนุรักษนิยมของ LDP มากกว่า โดย นิปปอน อิชิน ได้คะแนนเสียงจากเขตเลือกตั้งฝั่งตะวันตกหรือคันไซ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพรรค แม้พรรคพยายามถีบตัวจากท้องถิ่นขึ้นเป็นตัวแทนระดับชาติ แต่ก็ไม่อาจเรียกคะแนนจากพื้นที่นอกแถบคันไซได้เท่าไหร่ ผลงานจึงแย่ลง ขณะที่ DPP คะแนนพุ่งอย่างมากจาก 7 เป็น 28 ที่นั่ง สะท้อนความนิยมของพรรค ซึ่ง LDP เล็งที่จะดึงพรรคนี้เข้ามาร่วมรัฐบาลเป็นพรรคที่สาม ซึ่งจะทำให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภา
เหตุที่ DPP มีความน่าดึงดูดสำหรับ LDP เพราะจุดยืนในนโยบายใหญ่ๆ อย่างการสนับสนุนให้ใช้พลังงานนิวเคลียร์และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความสอดคล้องต้องตรงกันกว่าพรรคไหน ถึงกระนั้น ยูอิจิโร ทะมะกิ หัวหน้าพรรคก็ยังไม่ชี้ชัดสักทีว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ การต่อรองยังคงดำเนินต่อไป พรรคที่น่าพูดถึงอีกฝ่ายคือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งญี่ปุ่น (JCP) ซึ่งดูจะแปลกแยกจากฝ่ายค้านอื่นๆ เนื่องจากนโยบายซ้ายจัดและจุดยืนที่ยากจะประสานเข้ากับพรรคอื่นๆ ในคราวนี้ได้ที่นั่งในสภาลดลงจาก 10 เหลือ 8 ที่นั่ง
ส่วนกลุ่มผู้สมัครในแบบอิสระ ในจำนวนนี้มี สส. ของ LDP ซึ่งถูกลงโทษจากกรณีพัวพัน ‘เงินซุกมุ้ง‘ ที่อื้อฉาวมาตั้งแต่ปีที่แล้วและเป็นประเด็นหลักในการเลือกตั้งครั้งนี้ อิชิบะซึ่งสัญญาจะปฏิรูปและชะล้างปัญหาการระดมเงินทุนและการรายงานรายรับของพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตัดสินลงดาบ 12 สส. ที่เกี่ยวข้องในคดี ด้วยการให้ลงสมัครเป็นผู้แทนเขตแบบอิสระ โดยพรรคไม่ได้ให้การสนับสนุนใดๆ และไม่ใส่ชื่อในลิสต์ สส. สัดส่วน หรือปาร์ตี้ลิสต์ควบคู่ไปด้วย (ซึ่งเป็นแนวทางที่อาจช่วยให้ได้เข้าสภาแม้จะสอบตกมาจากเขต)
วิฤตความเชื่อมั่นของ LDP ที่กระทบต่อคะแนนเสียง
เรื่องราวของ 12 ผู้สมัครอิสระจาก LDP ที่เสมือน ‘ถูกตัดหางปล่อยวัด’ นี้ โยงใยกับปัญหาเรื้อรังที่ทำให้พรรค ‘ถูกประชาชนลงโทษ’ ผ่านคูหาเลือกตั้ง สาเหตุมาจากกรณีอื้อฉาวที่สมาชิกหลายคนโดยเฉพาะจากมุ้งการเมือง (faction) ใหญ่ที่สุดในพรรคซึ่งเคยมีอดีตนายกฯ ชินโซ อาเบะ เป็นแกนนำ ไม่ได้แจ้งรายได้ในการจัดงานเลี้ยงระดมทุน แถมยังเจียดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมานานหลายปีโดยไม่ได้รายงาน อันเป็นการละเมิดกฎหมายควบคุมเงินการเมือง
เหตุการณ์นี้ทำให้แกนนำพรรคพุ่งเป้าไปยังปัญหาการจัดการเงินในมุ้งและตัดสินใจสลายระบบมุ้งเพื่อจัดการต้นตอ เมื่อเดือนเมษายนสมาชิกส่วนหนึ่งที่รับเงินมุ้งเกินกว่า 5 ล้านเยน (มีอยู่ราว 40 คน) แบบไม่ได้รายงานถูกลงโทษตามระเบียบของพรรค โดยโทษมีความหนักเบาตามความเกี่ยวข้อง สมาชิกระดับแกนนำ 2 รายจากมุ้งอาเบะเก่าถูกขับออกจากพรรค (ริว ชิโอโนยะ และ ฮิโรชิเกะ เซโกะ) รายละเอียดเหล่านี้อาจช่วยให้เห็นความสาหัสสากรรจ์ของปัญหาที่เกิดขึ้น
การสละบทบาทของ ฟุมิโอะ คิชิดะ นายกฯ คนก่อน และการขึ้นมาของอิชิบะก็มีภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นพื้นหลัง ดังนั้นระดับความนิยมต่อพรรคและรัฐบาลที่ตกต่ำอย่างไม่อาจกระเตื้องขึ้นได้ง่ายๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะโทษอิชิบะที่เพิ่งมารับช่วงผู้นำต่อ ที่จริงเขาพยายามพิสูจน์ว่าจะไม่เป็นแบบที่เคยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของคิชิดะ โดยทำตามสัญญาที่จะเปลี่ยน LDP และลงโทษคนผิดให้ประชาชนเห็น แต่ปัญหาคือเขามีพันธมิตรอยู่ไม่มากในพรรค และด้วยเหตุนี้กว่าที่เขาจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคได้สำเร็จในรอบนี้ ต้องผ่านการพ่ายแพ้จากการลงชิงตำแหน่งมาแล้วถึง 4 ครั้ง
น้อยคนใน LDP ที่อยากได้ ‘บุคคลนอกรีต’ (pariah) ผู้นี้ขึ้นเป็นผู้นำ ดังนั้น ในการเลือกหัวหน้าเมื่อเดือนกันยายนเขาคว้าตำแหน่งมาได้ด้วยคะแนนโหวตสูสีแบบที่ไม่มีใครกล้าคาดเดาผลก่อนล่วงหน้า แนวโน้มที่เขาจะถูกเลื่อยขาเก้าอี้จากในพรรคก็มีอยู่สูง นี่ทำให้เขาไม่อาจใช้ความเด็ดขาดสะสางปัญหาได้อย่างที่สาธารณชนคาดหวัง ถึงกระนั้นหลังยุบสภาเขาก็ได้ตัดสินลงโทษ 12 สส. อย่างที่ได้กล่าวข้างต้น และจัดการสมาชิกอีก 34 คนที่เข้าเกณฑ์กระทำผิด โดยยังคงให้ลงสมัครในนามพรรคสำหรับเขตเลือกตั้งต่างๆ ได้ แต่ไม่ให้ใส่ชื่อพ่วงในปาร์ตี้ลิสต์ ที่สุดแล้วจากทั้งหมด 46 คนนี้ มีแค่ 18 คนที่ได้รับเลือกตั้ง ขณะที่ 28 คน ตกเก้าอี้
ข้อกังขาต่อสภาวะผู้นำของนายกฯ อิชิบะ
ฝ่ายค้านวิจารณ์บทลงโทษที่ไม่หนักแน่นนี้และตั้งข้อกังขาถึงการปฏิรูปพรรคตามที่อิชิบะสัญญาไว้ ข่าวที่แพร่สะพัดไม่กี่วันก่อนเลือกตั้งว่า LDP ยังคงให้เงินสนับสนุนสาขาพรรคในเขตของ สส. ที่ถูกลงโทษ 12 คน แห่งละ 20 ล้านเยน กระตุ้นให้เกิดข้อสงสัยว่าพรรคคงคิดที่จะดึง สส. เหล่านี้กลับเข้าสังกัดเมื่อพวกเขาชนะการเลือกตั้ง นี่ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ ‘การพูดอย่างทำอย่าง’ (flip-flop) ของอิชิบะและ LDP เด่นชัดและกระทบคะแนนเสียงอย่างมาก นอกจากท่าทีต่อคดีอื้อฉาวนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เข้าข่ายการผิดสัญญา
อย่างที่เอ่ยถึงบ้างแล้ว การยุบสภากะทันหันเป็นอีกเรื่องซึ่งก่อนขึ้นเป็นนายกฯ อิชิบะแถลงเป็นมั่นเหมาะว่าจะให้ สส. ใช้เวลาถกร่างงบประมาณอย่างเต็มที่โดยไม่คิดจะรีบยุบสภา การเลือกตั้งจึงอาจมีขึ้นท้ายปี แต่ไม่ทันไรเขาก็กลับลำตามคำเร่งรัดของเลขาพรรค (ฮิโรชิ โมริยะมะ) แถมยังมีเรื่องที่เขาเคยแสดงจุดยืนสนับสนุนการอนุญาตให้ใช้นามสกุลแยกกันระหว่างคู่สมรส ซึ่งเป็นวาระที่ฝ่ายอนุรักษนิยมในพรรครับไม่ได้ โดยมองเป็นค่านิยมแปลกปลอมต่อสถาบันครอบครัว แต่แล้วเขาก็ไม่หยิบยกเรื่องนี้มาสานต่อในตอนหาเสียงเลือกตั้งซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ท่าทีคล้ายกันนี้ยังเกิดขึ้นในกรณีนโยบายต่างประเทศด้วย
โดยก่อนหน้านี้เขาเสนอแนวคิดให้จัดตั้ง ‘นาโต้ในเอเชีย’ (Asian version of NATO) ซึ่งจริงๆ ก็ฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ได้ขึ้นอยู่กับญี่ปุ่นฝ่ายเดียว แม้เรื่องนี้คงจะมองเป็นความปลิ้นปล้อนของรัฐบาลไม่ได้ทั้งหมด แต่การที่อิชิบะลดท่าทีลงในตอนหลัง ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศยอมรับว่าคงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้สำหรับอนาคต ก็ทำให้วิสัยทัศน์ทางการทูตของอิชิบะเป็นที่กังขา อีกทั้งข้อเสนอให้ทบทวนข้อตกลงการวางกำลังของสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น (Status of Forces Agreement: SOFA) เพื่อวางเงื่อนไขข้อจำกัดต่อสหรัฐฯ ก็ดูจะทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบความแน่นแฟ้นของพันธมิตร ในยามที่ต้องการเอกภาพเพื่อป้องปรามภัยความมั่นคง
การต้องทบทวนท่าทีในเรื่องเหล่านี้หลังจากที่เขาขึ้นเป็นนายกฯ มีส่วนตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ว่าเขาเป็นผู้นำที่มักคิดการณ์ใหญ่แต่ไม่สอดรับกับความเป็นจริง และสิ่งนี้ก็ทำให้เขาถูกวิจารณ์ในแง่ภาวะผู้นำ การทำไม่ได้อย่างที่สัญญาและปัญหาใน LDP ยังลุกลามไปยังพันธมิตรฝ่ายรัฐบาลทำให้พรรคโคเมเสียที่นั่ง (จาก 32 เหลือ 24) จนกลายเป็นพรรครั้งท้ายในสภา จากการที่ถูกมองว่าไปรับรองจุดยืนของ LDP เคอิจิ อิชิอิ ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคโคเมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็เป็นหนึ่งใน สส. ที่สอบตกครั้งนี้ ทำให้พรรคต้องเฟ้นหาหัวหน้ากันใหม่อีกรอบ
ความท้าทายในการตั้งรัฐบาล
จากตัวเลขที่นั่งในสภาที่แต่ละพรรคไขว่คว้าได้ การจัดตั้งรัฐบาลซึ่งกฎหมายกำหนดเส้นตายไว้ 30 วัน อาจมีแนวโน้มเป็นไปได้ 4 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่
รูปแบบแรก LDP ในฐานะพรรคที่คว้าที่นั่งได้มากที่สุดยังคงจับมือกับโคเม (รวมกัน 215 เสียง) แล้วเจรจาหว่านล้อมพรรคฝ่ายค้าน อิชิน หรือ DPP รวมทั้ง สส. อิสระมาร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อตั้งรัฐบาลผสมมากกว่า 2 พรรค เพื่อให้ได้เสียงข้างมากเกินครึ่ง (233 เสียง)
รูปแบบที่สอง พรรค CDP แกนนำฝ่ายค้านซึ่งมี 148 เสียง จับมือในหมู่ฝ่ายค้านตั้งรัฐบาล โดยจะต้องรวมหลายพรรคมาร่วมเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา ซึ่งหาใช่เรื่องง่ายเมื่อคำนึงถึงจุดยืนที่หลากหลายของแต่ละพรรค
ความเป็นไปได้ที่สามคือพรรค CDP จัดตั้ง ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ โดยรวมเสียงเท่าที่ทำได้แม้จะไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา ซึ่งในกรณีนี้จะยุ่งยากในการผ่านกฎหมายและนโยบายในอนาคต
และรูปแบบสุดท้ายคือ พรรค LDP หาพันธมิตรรวมเสียงได้แต่ไม่ถึงครึ่ง และจัดตั้ง ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ซึ่งก็จะเผชิญปัญหาในการผ่านกฎหมายและเสถียรภาพของรัฐบาลเช่นกัน แนวทางไหนจะใกล้ความจริงที่สุดนั้น ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญเบื้องต้นอีกอย่าง นั่นคือ ‘การเลือกนายกฯ’ ในการประชุมสภาวาระพิเศษ ซึ่งกำหนดมีขึ้นวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน
การกำหนดตัวนายกฯ ทำให้ตัดตัวเลือกบางข้อไปได้โดยดูว่าใครที่รัฐสภาให้การรับรองเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ขั้นตอนระบุว่าผู้ที่มี สส. เสนอชื่อเกินครึ่งหนึ่งจะได้เป็นนายกฯ แต่หากไม่มีบุคคลใดได้เสียงข้างมากเกินครึ่ง ก็จะจัดให้มีการโหวตรอบตัดสินชี้ขาดระหว่างผู้ได้รับเสียงสนับสนุนสูงสุดจากรอบแรก 2 คน โนดะ จาก CDP และ อิชิบะ จาก LDP เป็นตัวเก็งเนื่องจากฐานเสียงผู้แทนในสภาของพรรคตน ขณะที่ อิชิน และ DPP ในฐานะ ‘kingmaker’ ย้ำจุดยืนเดิมว่าไม่คิดจะเข้าฝ่ายใด
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อต่อรองของพรรคที่กลายเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากก็ได้ แต่ 2 พรรคนี้ทำตัวเอาใจยากและประกาศว่าจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคของตน คือ โนบุยุคิ บาบะ จากอิชิน และ ยูอิจิโร ทะมะคิ จาก DPP เป็นนายกฯ ในการโหวตวันที่ 11 นี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีใครได้เสียงข้างมากเกินครึ่งแน่นอนในรอบแรก ถ้าพรรคเหล่านี้ไม่เปลี่ยนใจก่อนวันดังกล่าวคงต้องลุ้นกันว่าระหว่างโนดะและอิชิบะ ใครจะได้คะแนนรอบชี้ขาดมากกว่า แล้วยังต้องดูต่อไปอีกว่าผู้ชนะจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากหรือข้างน้อยอย่างไร
งานชิ้นนี้เขียน ณ เวลาที่ยังไม่ถึงวันชี้ชะตาว่าใครจะได้เป็นนายกฯ กันแน่ แต่อิชิบะน่าจะรั้งตำแหน่งต่อไปได้ในเมื่อฝ่ายค้านขาดความเป็นปึกแผ่นขนาดนี้ ผลโพลยังชี้ว่ากว่าร้อยละ 60 ของผู้ตอบไม่ได้อยากเห็นอิชิบะหลุดจากตำแหน่ง จะว่าไปแล้วความไม่แน่นอนหลังการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ลำดับเหตุการณ์ที่นักสังเกตการณ์วางไว้เผชิญความปั่นป่วน โดยในทีแรกคำถามมีอยู่ว่ารัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นจะต้องรับมือผู้นำสหรัฐฯ คนใด ซึ่งต้องลุ้นว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี แต่รูปการณ์กลับกลายเป็นว่าขณะที่สหรัฐฯ รู้ตัวผู้นำเรียบร้อยแล้ว แต่ญี่ปุ่นกลับยังไม่ชัดเจนเรื่องผู้นำและรัฐบาล
ผลกระทบจากการเมืองภายในต่อนโยบายการทูตเชิงรุก
เมื่อรัฐบาลใหม่น่าจะต้องเผชิญอุปสรรคในการทำงานจากปัญหาเสถียรภาพเพราะมีเสียงข้างมากเพียงปริ่มๆ ไปจนถึงอาจต้องตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย การออกกฎหมาย ผ่านงบประมาณ ต่อรองในกรรมาธิการ ไปจนถึงดำเนินนโยบาย จึงต้องอาศัยการสร้างความเห็นพ้องและหาแนวร่วมกับพรรคฝ่ายค้านซึ่งก็น่าจะต้องประนีประนอมในแง่จุดยืนและแนวทางที่ไม่ตรงกัน ความรวดเร็วเด็ดขาดที่เคยมีมาอาจถูกแทนที่ด้วยกระบวนการหาฉันทามติที่ยากเย็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบยุคก่อนที่ LDP จะครองเสียงส่วนใหญ่แบบเบ็ดเสร็จในสภาดังเช่นช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้
อีกปัจจัยใน LDP คือเมื่ออิชิบะไม่ได้มีฐานสนับสนุนที่แข็งแรงแน่นหนาเท่าไหร่ในพรรค ก็อาจส่งผลให้ต้องระวังว่าการตัดสินใจใดๆ และความเพลี่ยงพล้ำจะทำให้แกนนำอาวุโส กลุ่มก๊ก และกลุ่มแนวร่วมนโยบายภายในพรรคเคลื่อนไหวต่อต้าน ยิ่งเมื่อการเมืองใน LDP เปลี่ยนแปลงไปจากการสลายสถาบันมุ้งเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่แบบแผนการต่อรองและเกมอำนาจใหม่ก็ยังไม่ปรากฏเป็นบรรทัดฐานชัดเจน นี่อาจส่งผลให้แนวนโยบายสำคัญและอยู่ในขั้นเปลี่ยนผ่านอย่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการป้องกันประเทศถูกลดทอนพลวัต ‘เชิงรุก’ (proactive) และความตื่นตัวลงไปได้
ถึงแม้ว่าความเปลี่ยนแปลงในนโยบายด้านนี้อาจมองเป็นผลจากแรงกดดันเชิงโครงสร้างในด้านดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปและญี่ปุ่นต้องหาทางรับมือภัยอันตรายที่เด่นชัดและใกล้ตัวมากขึ้น แต่ความไม่แน่นอนในการเมืองภายในก็อาจเป็นปัจจัยเบี่ยงความสนใจและโฟกัสจากประเด็นดังกล่าว แม้อาจพูดได้ว่าแทบทุกฝ่ายและพรรคการเมืองในญี่ปุ่นเวลานี้ตระหนักว่าการทหารเป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่ประเทศรายล้อมไปด้วยภัยคุกคาม แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นพ้องกันว่าการป้องกันควรจะขยายไปไกลแค่ไหน ครอบคลุมไปถึงช่องแคบไต้หวัน คาบสมุทรเกาหลี ทะเลจีนใต้ หรืออินโดแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ หรือหดแคบมาสู่แค่การป้องกันตนเอง
การแก้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 9 เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายให้แก่กองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) อันเป็นเป้าหมายที่ LDP อยากทำให้ได้ตั้งแต่ทศวรรษก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับบทบาทและศักยภาพของกองกำลังที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายความมั่นคงใหม่ (2015) และแผนยุทธศาสตร์ฉบับล่าสุด (2022) แต่เมื่อมองว่าการแก้มีเงื่อนไขที่จะต้องได้เสียงเห็นชอบส่วนใหญ่แบบ 2 ใน 3 จากสภาผู้แทนฯ (310 เสียงจาก 465 เสียง) และวุฒิสภา ก่อนจะให้ประชาชนลงประชามติ จึงน่าจะเป็นเรื่องยากในสภาวการณ์ที่เสียงในสภาถูกแบ่งสรรอย่างละเล็กละน้อยระหว่างพรรคต่างๆ หลังการเลือกตั้งรอบนี้ การแก้มาตรา 9 จึงเป็นโครงการที่น่าจะถูกพับไปก่อน
การตื่นตัวเพื่อรับประกันสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ (status quo) ในภูมิภาค การกระชับพันธมิตรกับสหรัฐฯ และการรุกเข้าหาชาติต่างๆ เพื่อสร้างแนวร่วมดูแลรักษาระเบียบอย่างที่ญี่ปุ่นยึดเป็นยุทธศาสตร์มาก่อนหน้านี้อาจตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย เมื่อ LDP ผู้ผลักดันนโยบายเหล่านี้ต้องเจรจาหารือหรือต่อรองแลกเปลี่ยนกับหลายฝ่ายมากขึ้น แต่เดิมแค่เพียงประสานนโยบายกับโคเมที่เป็นสายสันตินิยมมากกว่าก็อาศัยเวลาและยุ่งยากอยู่แล้ว
แม้อิชิบะจะมีองค์ความรู้ความชำชาญถึงขั้นที่ได้รับฉายาว่า ‘โอทะคุ’ ด้านการทหารและความมั่นคง แต่อุปสรรคจากการเมืองภายใน เมื่อผนวกกับการลดความใส่ใจพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงภายใต้การนำของทรัมป์ อาจทำให้นายกฯ ญี่ปุ่น (หากยังคงเป็นชิเงรุ อิชิบะ) ไม่อาจเฉิดฉายในด้านที่ตนถนัดได้อย่างเต็มที่
สภาวะเช่นนี้อาจส่งผลให้ญี่ปุ่นเลื่อนตกสถานะรัฐอำนาจที่มีบทบาทแข็งขันในการพิทักษ์ปกป้องระเบียบ ตลอดจนเป็นที่กังขาว่าจะเป็นพลังส่งเสริมกลไกป้องปรามไม่ให้ฝ่ายใดใช้กำลังเปลี่ยนสภาวการณ์ในภูมิภาคได้อย่างน่าเชื่อถือต่อไปได้หรือไม่ ในเมื่อผู้นำและพรรครัฐบาลยังอาจเอาตัวไม่รอดในสนามการเมืองภายในของญี่ปุ่นเสียเอง
แหล่งอ้างอิง
- Eric Johnston, “Poll Show Japan’s Ruling Bloc Could Lose its Majority. What Would Happen Then?,” The Japan Times (Oct 23, 2024).
- Eric Johnston, “LDP Pulls Endorsements of 12 ‘Slush Fund’ Lawmakers for Oct. 27 Election,” The Japan Times (Oct 9, 2024)
- John Geddie, Tim Kelly and Sakura Murakami, “Japan’s Government in Flux after Election Gives No Party Majority,” Japan Today (Oct 28, 2024)
- Kathleen Benoza and Jesse Johnson, “Ishiba’s ‘Asian NATO’ Dead on Arrival as New PM Set for Diplomatic Debut,” The Japan Times (Oct 8, 2024).
- Survey: Japan’s Ishiba Cabinet Receives 51% Approval Rating; Ruling Party Gets Boost after New Prime Minister Takes Post,” The Japan News (Oct 3, 2024).
- “28 Named in LDP Funding Scandal Lose in Lower House Election,” The Asahi Shimbun (Oct 28, 2024)