เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว นับจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดและความสูญเสียจากทั้งสองฝั่ง การปะทะดังกล่าวไม่ได้มีแค่เชิงกายภาพ หากยังกินพื้นที่มายังการปะทะกันของข้อมูลข่าวสารด้วย อันจะเห็นได้จากแถลงการณ์จากทั้งสองฝั่งที่ยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากโจมตีก่อน รวมทั้งการเจรจาผ่านการทูต ตลอดจนความพยายามสื่อสารต่อประชาคมโลกในแง่ของความชอบธรรมต่างๆ
ในภาพใหญ่ นี่อาจจะเรียกอย่างกว้างๆ ว่าปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation -IO) หรือที่เราคุ้นปากกันว่า ‘ไอโอ’ ซึ่งเคลือบแฝงนัยยะทางยุทธศาสตร์และการทหารไว้ เพื่อสื่อสารและส่งต่อข้อมูลบางอย่างสู่ผู้รับ
ประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า เรากำลังสื่อสารอะไร มากเท่ากับว่า เรากำลังสื่อสารให้ใครฟัง
วันโอวัน สนทนากับ อิสร์กุล อุณหเกตุ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการสื่อสารในโมงยามสงครามกับความขัดแย้ง และการทำสงครามข่าวสารในปริมณฑลที่กำลังทวีความสำคัญอย่างอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย

ในภาพใหญ่แล้ว การใช้ไอโอในภาวะสงคราม เหมือนหรือต่างจากภาวะปกติอย่างไร
ผมอยากแบ่งออกเป็นสองประเด็นใหญ่ๆ ก่อน คือไอโอกับการใช้ไอโอในภาวะสงคราม คำว่าไอโอ เป็นศัพท์ที่มาจากการทหาร แต่จากสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการใช้ศัพท์คำว่าไอโอกับประชาชนทั่วไปด้วย ดังนั้น ผมจึงไม่แน่ใจว่าเวลาเราพูดคำว่าไอโอ เราเห็นตรงกันหรือเปล่าว่าคำนี้หมายถึงอะไรบ้าง
จริงๆ แล้วความหมายของคำว่าไอโอกว้างมาก ในทางการทหาร ไอโอคือการมองว่าข้อมูลข่าวสารเป็นทรัพยากรในการทำสงครามแบบหนึ่ง ฉะนั้น เวลาพูดถึงไอโอในสงคราม หมายความว่าศัตรูมีทรัพยากรเรื่องข้อมูล เราก็มีทรัพยากรเรื่องข้อมูลเหมือนกัน ฉะนั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม ก็ต้องทำให้ทรัพยากรอีกฝ่ายมีประสิทธิภาพน้อยที่สุด และทรัพยากรของเรามีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งก็มีวิธีการมากมาย ทั้งสอดแนม ดักฟัง ปล่อยข่าวปลอม ทำสงครามจิตวิทยา เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเวลาเราพูดถึงไอโอในเชิงสังคมการเมือง กับไอโอในเชิงการทหารนั้นตรงกันไหม เพราะช่วงหลังๆ เวลาเราพูดถึงไอโอ ความหมายมันแคบมาก เหมือนเวลาเราพูดเฉพาะเรื่อง cybertroop หรือการเอาทหารมานั่งอยู่ด้วยกันแล้วแสดงความเห็นในโซเชียลมีเดีย ถ้าใช้คำเคร่งครัดหน่อยเราก็อาจเรียกกรณีนี้ว่า troll farm ซึ่งถามว่ามันมีส่วนเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าไอโอไหม ผมว่าก็มีส่วนที่เกี่ยวกัน แต่ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน
ดังนั้น ไอโอที่เรากำลังจะคุยต่อไปนี้ คือไอโอที่ใช้กันในความหมายทั่วไป ว่าหมายถึงการพยายามจัดการข้อมูลข่าวสารในรูปแบบหนึ่ง
การโจมตีที่ผ่านมา มีการโจมตีกันทางข้อมูลข่าวสารด้วย คิดว่าการเผยแพร่ สื่อสารข่าวทั้งของไทยและกัมพูชาเป็นอย่างไร ใครแม่นยำกว่า
คำอธิบายช่วงสงครามค่อนข้างเยอะ บางคนบอกว่าคือสงครามข่าวสาร (information warfare) หรือบางคนเรียกว่าเป็นการสงครามผสมผสาน (hybrid warfare) คือมีสงครามทางกายภาพเกิดขึ้น และพร้อมกันนั้นก็มีการทำสงครามเรื่องข้อมูลข่าวสารด้วย เพื่อให้ชัด ผมจะแยกคุยเฉพาะประเด็นที่เป็นเรื่องไอโอ ว่าทั้งสองฝั่งต่างกันอย่างไร
ผมคิดว่าเวลาเราดูบทสนทนาบนอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดีย เวลาคนนึกถึงไอโอมักจะนึกในมุมว่าใครเป็นคนทำ เช่น ทหารทำไอโอ พรรคการเมืองทำไอโอ กัมพูชาทำไอโอ เป็นต้น ส่วนที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันคือผู้ชม (audience) ว่าใครเป็นผู้รับสาร ดังนั้น ที่ถามว่าไอโอในช่วงเวลาปกติกับไอโอช่วงสงครามนั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผมคิดว่าความแตกต่างคือผู้รับสารต้องไม่เหมือนกัน และที่ถามว่าการทำไอโอระหว่างไทยกับกัมพูชาต่างกันอย่างไร ผมคิดว่าผู้รับสารไม่เหมือนกัน
มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ (University of Le Havre) ที่ฝรั่งเศส ทำเรื่องการสื่อสารทางการเมืองดิจิทัลในไทย (digital political communication) บอกว่าทั้งสองฝ่ายพยายามแสวงหาความชอบธรรมในการทำสงครามครั้งนี้ และพยายามสื่อสารกับประชาคมโลกว่ากำลังทำสงครามอย่างไร ทั้งนี้ ผมเห็นด้วยในส่วนแรกที่ว่าทั้งสองฝ่ายพยายามทำไอโอเพื่อสร้างความชอบธรรม ส่วนที่ผมเห็นต่างคือที่บอกว่าพยายามสื่อสารกับประชาคมโลก เพราะผมคิดว่ากัมพูชาพยายามสื่อสารกับประชาคมโลกจริง แต่ไทยไม่ได้ทำแบบนั้น ตอนนี้โดยตัวของรัฐไทยเองยังสับสนว่าเรากำลังทำไอโอกับใคร เพราะปกติแล้วการใช้อำนาจทางการทหารก็เป็นการใช้อำนาจรัฐและใช้ทรัพยากรของรัฐแบบหนึ่ง ฉะนั้น การที่กองทัพหรือรัฐบาลจะทำเรื่องเหล่านี้ ก็ต้องมีส่วนที่สร้างความชอบธรรมว่ามีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องทำ เช่น เราเห็นแฮชแท็กบางแฮชแท็กที่กลับมาอีกครั้งอย่าง #ทหารมีไว้ทำไม ซึ่งไอโอคือการพยายามตอบคำถามแบบนี้ แล้วถามว่าการตอบคำถามแบบนี้สื่อสารกับประชาคมโลกจริงหรือ ผมไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นนะ
ฉะนั้น ในการทำสงคราม ถ้าเราจะบอกว่ากัมพูชาเริ่มก่อนหรือกัมพูชาบอกว่าเราเริ่มก่อน การสื่อสารเรื่องนี้คือสื่อสารกับประชาคมโลก ผมคิดว่ากัมพูชาพยายามสื่อสารกับข้างนอก แต่ไทยยังแสวงหาความชอบธรรมภายในประเทศเสียเยอะ
คิดว่าการที่ไทยพยายามแสวงหาความชอบธรรมและสื่อสารกับคนในประเทศเป็นหลัก มีสาเหตุมากจากอะไร
(คิด) อาจจะใช้คำว่าการเมืองยังไม่นิ่งก็ได้ แต่ผมอยากชี้ให้เห็นประเด็นหนึ่ง นั่นคือถ้าตามข่าวเมื่อไวๆ นี้ ฮุน เซนก็จะบอกว่าเขาเป็นนายพลห้าดาว แต่ถ้าจำบทสนทนาระหว่างฮุน เซน กับคุณแพทองธาร ชินวัตร ในนั้นเธอบอกว่า ‘ทหารเป็นฝั่งตรงข้าม’ ซึ่งไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริง หรือเป็นการพูดด้วยเหตุผลทางการเมืองก็ตาม แต่มันสะท้อนว่ารัฐบาลกับกองทัพ ภายใต้ร่มใหญ่ว่าเป็นรัฐไทยไม่ได้ประสานเป็นเนื้อเดียวกันขนาดนั้น พูดภาษาบ้านๆ คือมันมีการแย่งซีนกันอยู่ และเนื่องจากนี่เป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร มีข้อมูลข่าวสารภาพใหญ่ที่เรากำลังสื่อสารต่อประชาคมโลก และภาพเล็กลงมาซึ่งสื่อสารภายในประเทศเราเอง ผมคิดว่าสองฝั่งนี้กำลังยื้อยึดการมีอำนาจนำในการกำหนดข้อมูลข่าวสารภายในประเทศ
การที่รัฐของเราไม่มีเอกภาพหรือยังไม่นิ่ง ทำให้เราเสียเปรียบในการทำสงครามข่าวสารมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเราจะสื่อสารช่วงสงคราม เราต้องทำสองระดับ คือต้องสื่อสารกับคนในประเทศ ว่าเรามีเหตุผลอันชอบธรรมที่กองทัพหรือรัฐบาลจะทำแบบนี้ และในระดับระหว่างประเทศคือเราต้องสื่อสารกับคนอื่นๆ ซึ่งอันนี้มีปัญหา ถามตอนนี้เลยว่าถ้าสื่อต่างชาติอยากฟังว่าไทยคิดเรื่องสงครามอย่างไร เขาต้องฟังใคร อันนี้ก็ตอบยาก
เทียบกับตอนเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ระบาด ซึ่งไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะ แต่ว่าตอนนั้นมีศูนย์ปฏิบัติด้านนวัตกรรมและบริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) คือมีอะไรให้ฟัง ศบค. ขณะที่ตอนนี้ไทยมีศูนย์บัญชาการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เราควรจะฟัง ศบ.ทก. ใช่ไหม ผมคิดว่าภาพของการเจรจาในฐานะรัฐควรจะเป็นภาพเดียว แต่กลับไปที่คำถามว่า ควรจะฟังใคร ส่วนตัวผมว่าควรฟัง ศบ.ทก. แต่ถ้าตามข่าวก็จะพบว่าคุณ บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี (นักแสดงชาวไทย) บอกว่ารัฐบาลอาจมีการยุบ ศบ.ทก. เพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาชายแดน แต่ผ่านไปสักสามชั่วโมง ศบ.ทก. ก็แถลงว่าไม่มีเรื่องการยุบอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น มันจึงเกิดการแถลงข่าวแย้งกัน
อีกประเด็นหนึ่งคือ หลังจากมีการเจรจาหยุดยิง ตอนนี้ก็ควรเป็นการทูตนำการทหารได้แล้ว ถ้าย้อนกลับไปเรื่อง ศบค. -ซึ่งไม่ได้บอกว่าดีนะ (หัวเราะ)- คนที่นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์คือพลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกฯ แต่เมื่อเราดูองค์ประกอบของ ศบ.ทก. จะพบว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นคนดูแล มันจึงกลายเป็นหน่วยที่นำโดยกองทัพมากกว่าจะเป็นรัฐบาล
กลับไปที่คำถามว่า ถ้าตอนนี้เราอยากรู้ว่าท่าทีของประเทศไทยเป็นอย่างไร เราก็เอาไมค์จ่อปากคนมั่วซั่วไปหมด ถ้าโชคดี คำตอบของทุกคนตรงกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโชคไม่ดี คำตอบไม่ตรงกัน ก็สื่อสารยากแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าประเด็นแบบนี้มีผลต่อการเจรจามากขนาดไหน แต่เวลากองทัพบอกว่าอยากยึดปราสาทต่างๆ หรือชวนมาทำยุทธหัตถีผ่านรถถัง -ซึ่งผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นความเห็นกองทัพหรือคนที่พูดในนามกองทัพนะ- แล้วถ้าเราเข้าสู่การเจรจาบนโต๊ะแล้ว บทบาทแบบนี้ของกองทัพยังจำเป็นอยู่หรือเปล่า

ถ้ามองภาพรวม การสื่อสารในกัมพูชาดูจะทำได้เป็นระบบมากกว่าไทย ไม่ว่าจะจากฮุน เซน, จากโซเชียลมีเดียของรัฐบาล ตลอดจนอินฟลูเอนเซอร์ คิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะรัฐเขาเป็นเอกภาพกว่าไทยไหม หรือมีปัจจัยอื่น
ถ้ารัฐเป็นเอกภาพก็เป็นไปได้ที่จะสื่อสารมาในทางเดียวกัน กัมพูชาอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ อีกแบบหนึ่งคือกัมพูชามีลักษณะเป็นอำนาจนิยมมากกว่าไทย กลับไปที่คำพูดของฮุน เซนก็ได้ เขาบอกว่าเขาเป็นนายพลห้าดาว หมายความว่าเขาสามารถควบคุมกองทัพได้เป็นอย่างน้อย หรือก็มีรายงานข่าวจากนิคเคอิ (The Nikkei -สำนักข่าวสัญชาติญี่ปุ่น) บอกว่า ฮุน มาเนต เป็นแค่สมาชิกพรรค ส่วนฮุน เซนเป็นคนควบคุมพรรค และในฐานะสมาชิกพรรค ฮุน มาเนตต้องทำตามคำสั่งพรรค ดังนั้น นอกจากจะเป็นนายพลห้าดาวที่สามารถคุมกองทัพได้แล้ว เขาก็คุมรัฐบาลได้ด้วย
ถ้าในแง่ประชาชนกัมพูชาซึ่งก็สื่อสารไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาล สิ่งนี้เป็นผลจากการใช้อำนาจนิยมไหม
(คิดนาน) ดัชนีเสรีภาพสื่อ (World Press Freedom Index) จัดโดยองค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders -RSF) ระบุว่าเสรีภาพสื่อของไทยอยู่ประมาณอันดับที่ 85 จาก 180 ประเทศ อันดับอาจจะกลางๆ แต่คะแนนต่ำมาก (หัวเราะ) ของกัมพูชาอยู่ที่อันดับประมาณ 160 กว่า ฉะนั้น มองแบบนี้เราจะพบว่าเสรีภาพสื่อของกัมพูชาน้อยมาก แปลว่ามีประเด็นที่สื่อเล่นได้น้อย เป็นผลพวงจากการที่กัมพูชาพยายามจัดการสื่ออิสระจำนวนมากซึ่งกินเวลามาหลายปีแล้ว เสรีภาพสื่อจึงตกต่ำมาก
สมมติว่าเราเป็นนักข่าวในกัมพูชาซึ่งเสรีภาพสื่อต่ำมาก เราทำข่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแทบไม่ได้เลยในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีข่าวเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้นมา นักข่าวเขาก็อยากทำเรื่องนี้รัวๆ เพราะถ้าข่าวที่นำเสนอออกไปไม่ขัดแย้งกับแนวทางของรัฐบาลกัมพูชา คนก็อยากทำข่าวนี้กัน ยิ่งเมื่อปลุกชาตินิยมขึ้นมาแล้ว คนก็ยิ่งเล่นข่าวนี้
ที่ผ่านมา หลายคนชมว่าคุณท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) สื่อสารได้ดี อาจารย์เห็นด้วยไหม
ไม่นับเนื้อหาและภาษาอังกฤษของคุณท็อป ผมอยากถามกลับว่าคุณท็อปเป็นใครในรัฐบาลนี้ เขาสื่อสารในนามของใคร สื่อสารในนามของรัฐบาลหรือเปล่า นี่ก็ตอบยากนะ
ถ้าเป็นคนใช้อำนาจรัฐ ผมไม่คิดว่าควรจะต่างคนต่างพูดนะ ถ้าคิดว่าคุณท็อปสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ก็ควรตั้งเขาเป็นโฆษก ผมแค่ฟังเขาแถลงแล้วไม่แน่ใจว่าเขาพูดในนามใคร
ถ้ามองเรื่องการช่วงชิงเส้นเรื่อง (narrative) เช่น ใครเริ่มโจมตีก่อน, ใครใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วน ไปจนถึงการจัดการข่าวปลอมต่างๆ คิดว่ากระบวนการการจัดการข้อมูลส่วนนี้ของไทยและกัมพูชาเป็นอย่างไร
เราไม่รู้หรอกว่าอะไรเกิดขึ้นจริงที่ชายแดน เฟกนิวส์หรือการกระจายข่าวปลอมเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อข่าวปลอมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ฝ่ายที่รู้ว่าเป็นข่าวปลอมต้องใช้ทรัพยากรในการตามแก้ข่าว สมมติเราตั้งเป้าจะสื่อสารอย่างอื่น แต่ต้องมาสื่อสารแก้ข่าวปลอมก่อน ก็ต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากร
เวลาไอโอทำงาน มีตัวเลขชุดหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือตัวเลขของประชากรไทยอยู่ที่เกือบ 70 ล้านคน กัมพูชามีประมาณ 17 ล้านคน อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของไทยอยู่ที่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เราก็จะไม่รู้ความคิดเห็นของคนกัมพูชาอีก 40 เปอร์เซ็นต์เพราะเขาเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต จึงไม่สามารถแสดงความเห็นบนอินเทอร์เน็ตได้
ตัวเลขที่น่าสนใจอีกชุดคือ ผู้ใช้โซเชียลมีเดียของไทยมียอดใกล้ 70 เปอร์เซ็นต์ -ขณะที่อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของไทยอยู่ที่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์อย่างที่กล่าวไปแล้ว- ขณะที่ของกัมพูชามีคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 60 เปอร์เซ็นต์ และมีคนเล่นโซเชียลมีเดียทั้งหมด 70 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าจำนวนแอคเคาต์ในโซเชียลมีเดียเยอะกว่าอัตราผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ที่เกินมานั้นเราไม่รู้เลยว่าเป็นแอคเคาต์อะไร อาจจะมีหลายแอคเคาต์ อาจจะมีแอคหลุม อาจจะเป็นบ็อต (bot) อาจจะเป็นโทรลล์ เราไม่รู้เลยว่าจำนวนคนเล่นโซเชียลมีเดียที่เยอะเกินกว่าที่ควรเป็นคือใคร ตอบไม่ได้
ต่อมา ข่าวจากขแมร์ ไทม์ส (Khmer Times -สำนักข่าวสัญชาติกัมพูชา) ระบุว่าปีที่แล้วกัมพูชามีประชากรประมาณ 17 ล้านคน และมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ปีที่แล้วเพิ่มมาประมาณหนึ่งล้านสองแสนแอคเคาต์ โดยเพิ่มขึ้นมาอีกราวๆ เจ็ดแสนแอคเคาต์ในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งผมไม่รู้และบอกไม่ได้หรอกว่าคืออะไร
ดังนั้น เราจึงมีตัวเลขสามชุด ชุดแรกคือตัวเลขคนใช้อินเทอร์เน็ต ชุดที่สองคือตัวเลขผู้ใช้โซเชียลมีเดีย และชุดที่สามคือจำนวนแอคเคาต์ที่เพิ่มขึ้น
ปกติแล้วจะมีคำศัพท์ที่ใช้นิยามกว้างๆ คือบ็อต หรือการแสดงความคิดเห็นรัวๆ ซึ่งหลังๆ โดนจับง่าย, ไซบอร์ก (cyborg) คือคนที่เห็นโพสต์หนึ่งแล้วแชร์โดยใช้เวลาไตร่ตรองน้อยมาก เช่น เราเชื่อว่าข่าวนี้น่าจะจริงนะ เราก็กดแชร์โดยไม่ต้องผ่านการคิด ข่าวที่เราแชร์นั้นจริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้หรอก แต่เราแชร์เลย ผมคิดว่าไซบอร์กน่าจะมีจำนวนมากขึ้นในช่วงปลุกชาตินิยมได้ ทั้งของไทยและกัมพูชา และโทรลล์ เหมือนภาพไอโอที่เราเคยเห็นจากกองทัพก่อนนี้ คือเอาคนมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เห็นโพสต์บางอย่างก็ให้รีบเข้าไปแสดงความคิดเห็น มันก็เป็นการจัดการอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้ว่าทั้งสามแบบนี้ ฝั่งกัมพูชามีหรือเปล่า ถ้ามีนั้นมีแบบไหน ตอบไม่ได้เลย แต่ถ้าดูจากตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้ใช้โซเชียลมีเดียและการเพิ่มขึ้นของจำนวนบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย มันไม่ปกติ
ขณะที่ตัวเลขของไทยมันค่อนข้างเสถียร เนื่องจากตัวเลขผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงมาก ใกล้จุดอิ่มตัว ตัวเลขผู้ใช้โซเชียลมีเดียหรือแอคเคาต์ของไทยไม่ได้ขึ้นมาแบบกระโดดเหมือนของฝั่งกัมพูชา แต่ถามว่าไทยมีบ็อต, ไซบอร์กและโทรลล์ไหม ผมว่าก็มีเหมือนกัน อย่างช่วงเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี่มีแน่นอน
มีคนวิเคราะห์ว่ากัมพูชาเรียนรู้การทำสงครามข่าวสารอย่างเป็นระบบ จากการทำสงครามกลางเมืองในอดีต อาจารย์เห็นด้วยไหม
จริงๆ ในบริบทระหว่างประเทศนี่โซเชียลมีเดียเป็นปริมณฑลที่ค่อนข้างใหม่ ปกติเวลาเราพูดเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศตั้งแต่ยุคโซเชียลมีเดียเป็นต้นมา ผมคิดว่าเรามีตัวอย่างไม่มากนัก ที่ถูกหยิบขึ้นมาเป็นตัวอย่างบ่อยหน่อยคือความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ผมไม่ค่อยคิดไปในทางว่ากัมพูชาเรียนรู้เรื่องการทำสงครามข่าวสารมาก่อนหน้านี้ ถ้ากลับไปดูกรณีความขัดแย้งเขาพระวิหารในปี 2008 ซึ่งตอนนั้นโซเชียลมีเดียยังไม่มาเลย งานศึกษาเรื่องโซเชียลมีเดียในกัมพูชาเองก็พบว่าฮุน เซนเริ่มสนใจควบคุมข่าวสารทางโซเชียลมีเดียเมื่อปี 2013 หลังเกือบแพ้เลือกตั้ง ผมจึงคิดว่าไม่น่าเป็นการเรียนรู้จากสงครามเก่า เพราะโซเชียลมีเดียเป็นปริมณฑลใหม่ดังที่กล่าวไปแล้ว

เราเคยเชื่อว่าโซเชียลมีเดียจะทำเสรีภาพมาให้เรามากขึ้น รัฐควบคุมเราได้น้อยลง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีคิดนี้ยังเป็นจริงอยู่ไหม
ผมอยากแนะนำหนังสือเล่มหนึ่งคือ The Net Delusion ของ เยฟกีนี โมโรซอฟ (Evgeny Morozov -นักเขียนเชื้อสายเบลารุส) เก่าหน่อยแต่คำอธิบายยังใช้ได้ดีอยู่ ไอเดียหนึ่งที่เขาเสนอคือคนมักคิดว่าโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่จะให้เสียงของประชาชนออกมาเยอะขึ้น เช่น ช่วงอาหรับสปริง แต่ตัวของโมโรซอฟไม่เชื่อแบบนั้น เขาระบุว่ารัฐก็ใช้โซเชียลมีเดียได้เหมือนกัน โดยเขาเรียกว่า Trinity of Authoritarianism ซึ่งผมแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ตรีเอกานุภาพของอำนาจนิยม’ คือมีเรื่องเซ็นเซอร์ (censorship), การสอดแนม (surveillance) และการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เขาบอกว่าเวลาเรามองตัวรัฐที่เป็นรัฐอำนาจนิยม รัฐต้องการควบคุมข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว และทำงานผ่านการเซ็นเซอร์, การสอดแนม และการโฆษณาชวนเชื่อ ถามว่าอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย มีส่วนที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นไหม ก็มี แต่รัฐก็มีแรงต้าน มีแรงตอบสนองมาเหมือนกัน
ดังนั้น เวลาเราพิจารณาเรื่องนี้จึงต้องพิจารณาจากสามหัวข้อข้างต้นประกอบด้วย เช่น ตอนนี้โซเชียลมีเดียของไทยและกัมพูชาไม่ได้ปิดกั้นหรือบล็อคเฟซบุ๊ก ทั้งสองประเทศมีโครงการอยากทำ Single Gateway (ระบบกำหนดการเข้าออกของข้อมูลข่าวสารทางเดียว) เหมือนกัน ของไทยคือ Single Gateway ของกัมพูชาคือ National Internet Gateway ถามว่าการเซ็นเซอร์จะยากขึ้นไหม เนื่องจากโซเชียลมีเดียไม่ใช่ทั้งของไทยและกัมพูชา มันก็ทำได้ยาก แต่ในแง่การสอดแนมหรือโฆษณาชวนเชื่อล่ะ ถ้าเราอยากด่ารัฐ เราก็ทำได้แค่ส่งไลน์หาเพื่อน ถ้าเราโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เขาก็ตามตัวเราง่าย ส่วนการโฆษณาชวนเชื่อ ถ้าเราเสนอความคิดของเราผ่านโซเชียลมีเดียได้ รัฐที่มีทรัพยากรเยอะกว่า ทำไมเขาจะเสนอความคิดของเขาผ่านโซเชียลมีเดียบ้างไม่ได้ล่ะ
ในโลกอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย มันจึงไม่ใช่เรื่องการสื่อสารทางเดียว ไม่ใช่แค่ว่าประชาชนมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นอย่างเดียว แต่รัฐที่มีทรัพยากรพรั่งพร้อมก็ทำได้เหมือนกัน และทำได้รุนแรงกว่าด้วย
อย่างนั้นแล้ว เราจะพิจารณาการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตอย่างไร
ในภาพใหญ่ ถ้าเราเชื่อตามโมโรซอฟก็จะพบว่า นักอำนาจนิยมก็พยายามควบคุมผ่านสามช่องทาง และจะทำตลอดไป แต่มันก็อาจทำได้ยากขึ้นถ้ามีเงื่อนไขอื่นที่ทำให้มันซับซ้อน รัฐก็อาจจะต้องแสวงหาวิธีใหม่ๆ ในการกำกับดูแล
ถามว่าในช่วงสถานการณ์แบบนี้รัฐควรกำกับดูแลไหม ผมไม่รู้ ตอบไม่ได้ ยากไป แต่ถ้าถามว่ารัฐทำไหม ผมว่ารัฐทำแน่ๆ ส่วนที่มีปัญหาคือประเทศไทยไม่ได้เป็นอำนาจนิยมแบบสุดโต่ง แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยด้วย แต่รัฐมีการทำเซ็นเซอร์ มีการสอดแนมซึ่งจะเห็นได้จากกรณีเปกาซัส (Pegasus -สปายแวร์ที่ใช้สอดส่องการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน) ส่วนการโฆษณาชวนเชื่อเราก็เห็นอยู่ ส่วนที่ขาดไปคือทำอย่างไรที่จะสร้างความชอบธรรมให้เรื่องเหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่าโดยตัวของรัฐที่ผ่านมาทำงานเรื่องเหล่านี้เยอะ
กลับมาที่เรื่องไอโอก็ได้ ถามว่าทำไมต้องมีไอโอ คำตอบคือรัฐมีเครื่องมือในการควบคุมข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้คนยอมรับ ก็ต้องมีการปฏิบัติการบางอย่าง เช่น ตอบแฮชแท็ก #ทหารมีไว้ทำไม
สิ่งที่น่าจับตาและดูเป็นเรื่องใหม่มากๆ คือการเคลื่อนไหวของอินฟลูเอนเซอร์ที่โจมตีฝั่งตรงข้ามแล้วได้เงินจากโซเชียลมีเดีย กลายเป็นว่าทุนเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้สาดความเกลียดชังใส่กัน เรามองประเด็นนี้อย่างไรได้บ้าง
(คิดนาน) ตอบยากนะ ผมอยากเชื่อมประเด็นนี้กับเรื่องจำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ในไทยมีคนใช้โซเชียลมีเดียประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์หรือตีราวๆ เกือบ 50 ล้านคน ถ้าเราสามารถให้คนเห็นคอนเทนต์ของเราระดับหลายล้านคน มันก็สร้างรายได้แน่ๆ มันมีแรงจูงใจแน่ๆ จึงอยากโพสต์คอนเทนต์สื่อสารกับคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเพจอะไร คุยกันเอง อวยกันเอง ปลุกชาตินิยมในตัวคุณกันเองในประเทศ รวมไปถึงการสร้างรูปภาพขึ้นมาด้วยเอไอเพื่อปลุกชาตินิยม ซึ่งคนทำเขาได้รายได้แหละ แต่ในภาพใหญ่ที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในเรื่องการสื่อสารกับประชาคมโลก มันได้ประโยชน์อะไรไหม ผมว่าไม่ได้
ถ้าอยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ คุณก็ต้องเลี้ยงกระแส และถ้าแค่เรื่องหลุดกระแสยังกลัว เรื่องสวนกระแสนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
อีกประเด็นที่สำคัญกว่าคือเรื่องการที่เราสนุกกันเอง เฮกันเองแบบนี้ ด้านหนึ่งมันก็ปลุกความเป็นชาตินิยมที่จะสร้างความชอบธรรมให้รัฐได้ แปลว่าเมื่อกระแสไปทางนี้หมด สื่อไม่ต้าน ฝ่ายค้านก็ไม่ต้าน มาตรการอะไรก็ตามที่รัฐทำในนามของความมั่นคงจะชอบธรรมมากขึ้น
