คนทำหนังไทย ทำอะไรก็ผิดเสมอ แม้แต่แค่ทะเยอทะยานก็ยังผิด

คำกล่าวหนึ่งที่มักได้ยินบ่อยๆ คือเกิดเป็นคนทำหนังไทยเหมือนอยู่ตำบลกระสุนตก ทำอะไรก็ผิดเสมอ

ยิ่งกับกรณีล่าสุดที่ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ jediyuth ว่ามีแผนอยากสร้างภาคต่อของ ‘ตาคลี เจเนซิส’ (2024) หนังไซ-ไฟเรื่องยาวลำดับล่าสุดของเขาที่กำลังจะลงโรงฉายต้นเดือนกันยายนนี้ กระนั้นเขาก็บอกว่า “คงต้องรอผลตอบรับมาก่อน” เรื่องเศร้าคือเราก็ไม่แปลกใจที่เห็นคนไปแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ข่าวมากมาย ตั้งแต่ เอาภาคแรกให้รอดก่อนไหม (แม้ในเนื้อข่าวจะระบุชัดเจนว่าผู้กำกับนั้น “ต้องรอผลตอบรับ” เสียก่อน), โปรโมตหนังได้น่าหมั่นไส้, จากตัวอย่างหนังก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นนะ ฯลฯ

เราต้องไม่ลืมว่า ‘ตาคลี เจเนซิส’ -หนังที่พูดเรื่องการเดินทางข้ามเส้นเวลาและการซ้ำรอยความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์- ยังไม่ออกฉาย หากไม่นับทีมสร้างแล้วก็ยังไม่มีใครเคยดูตัวอย่างหนังฉบับเต็มมาก่อน แต่ลำพังแค่ปล่อยตัวอย่างออกมาก็ถูกตัดสินเอาแล้วว่างานไม่ดี, หนังไม่มีคุณภาพ ไปจนถึง ‘หนังไทย ทำยังไงก็ไม่ดีหรอก ไม่เสียเงินไปดู’ ฯลฯ ก็ใช่ -ที่ว่าตัวอย่างหนังมีไว้เพื่อบอกเล่าเรื่องย่อหรือธีมของหนังประมาณหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้เป็นและไม่เคยเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของหนัง หรือแม้กระทั่งประเด็นที่ว่า หลายคนดูตัวอย่างหนังแล้วเกิดตั้งคำถามถึงความสมจริงของเรื่องราวมากมาย เช่น ทำไมตัวละครจึงกระโจนไปยังพื้นที่แห่งนั้นแห่งนี้ได้, ทำไมจึงมีสัตว์ประหลาดโผล่มา, คนป่ามาจากไหน ฯลฯ ไม่ช้าก็เร็ว มันมักเป็นคำถามที่พิพากษาหนังไปแล้วว่า ‘ไม่สมจริง’

ทุกครั้งที่อ่านความเห็นเหล่านี้แล้วก็อยากถามว่า เวลาดูหนัง Transformers (2007) -ที่จนถึงตอนนี้ก็มีภาคต่อตามออกมาอีกหกเรื่อง และเรื่องที่เจ็ดก็เตรียมออกฉายปลายเดือนนี้- เคยตั้งคำถามกันสักแวบไหมว่าทำไมหุ่นยนต์ถึงต้องแปลงเป็นรถยนต์ เป็นไปได้อย่างไรที่รถกระป๋องจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวได้! หรืออันที่จริงเราอาจต้องถามตั้งแต่ว่า ครั้งแรกที่ได้ดูตัวอย่างหนัง ได้ตั้งข้อกังขาด้วยความสงสัยใคร่รู้และจับผิดในเชิงตรรกะแบบเดียวกับที่รู้สึกต่อหนังไทยไหม

จะบอกว่าหนังไทยทำให้ผิดหวังมาแล้วหลายต่อหลายครั้งจนไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันก็ฟังขึ้น เข้าใจได้ที่บ่อยครั้งกำเงินใบสีแดงไปซื้อตั๋วที่แพงกว่าค่าอาหารมื้อหนึ่งๆ เพื่อจะพบว่าหนังไม่ถูกปาก, รู้สึกว่าโปรดักชันไม่ดี หรือแม้แต่ไม่ถูกจริต ฯลฯ แต่มันใช่ความผิดของคนทำหนังจริงๆ หรือ -และต่อให้กระทั่งว่าหากพวกเขาไม่เชี่ยวชาญในการทำหนังจนมันกะพร่องกะแพร่ง มันถือเป็นความผิดบาปขนาดให้อภัยกันไม่ได้ ต้องทับถมคนในวงการกันไปจนตายเลยหรือเปล่า

ที่ผ่านมา หนังไทยถูกข้อครหาว่าทำเป็นแต่หนังตลกกับหนังผี (มีหนังรักแทรกมาประปราย) และถูกเรียกร้องให้ทำหนังฌ็องอื่นอยู่เนืองๆ ตัวอย่างคลาสสิกที่ถูกหยิบยกมาเป็นอ้างอิงบ่อยๆ คือ Parasite (2019) หนังสัญชาติเกาหลีใต้ของ บองจุนโฮ ที่ไปไกลถึงการคว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและกำกับยอดเยี่ยมได้ ในฐานะที่มันเป็นหนังที่ ‘ตีแผ่’ ความเหลื่อมล้ำและ ‘สะท้อนสังคม’ ได้หมดจด หรือหนังประวัติศาสตร์บุคคลแสนละเมียดแบบ Oppenheimer (2023) ที่ได้รับการกล่าวขานว่ากลมกล่อมทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และการเมือง

เรื่องของเรื่องคือ มันมีหนังไทยแบบที่พวกคุณๆ เรียกร้องอยู่แน่ๆ มีตั้งแต่หนังที่พูดถึงความเหลื่อมล้ำอย่าง ‘เรื่องตลก 69’ (1999) หรือเวอร์ชันซีรีส์ที่เพิ่งปล่อยทางสตรีมมิงเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา, สารคดี ‘แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน’ (2020) ไปจนถึงหนังที่พูดเรื่องความไม่เท่าเทียมแบบตะโกนกันสุดๆ แบบ RedLife (2023) รวมทั้งหนังอย่าง Hunger หรือ ‘คนหิว เกมกระหาย’ (2023)

คำถามต่อมาคือ ได้ดูกันหรือเปล่า หรือถ้าได้ดูนั้นสัดส่วนมันมากน้อยแค่ไหน หรือเราแค่ด่าหนังไทยแบบ ‘ตีหุ่นฟาง’ ไปเรื่อยๆ

Hunger (2023)

พูดถึงความสมจริง-ไม่สมจริง Hunger ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่กลายเป็นหุ่นฟางให้คนด่าขรมว่าไม่สมจริง ตัวหนังพูดถึงแม่ครัวเปี่ยมพรสวรรค์จากร้านอาหารเล็กๆ และจับพลัดจับผลูได้ไปทำงานในภัตตาคารใหญ่ หนังพูดถึงความเหลื่อมล้ำและชนชั้นผ่านอาหารที่ตัวละครทั้งทำทั้งกิน แต่ไม่วายถูกตำหนิอย่างรุนแรงว่าไม่สมจริง เช่น ภัตตาคารใหญ่ขนาดนี้ทำไมรับพนักงานเร็วจัง, ใครที่ไหนจะทะเลาะกันในครัวแบบนั้น ฯลฯ ทั้งที่เมื่อเทียบสมการกับหนังหน้าตาใกล้ๆ กันอย่าง The Menu (2022) เรื่องหลังกลับไม่ถูกตำหนิในแง่ความ ‘เพ้อเจ้อ’ เล่นใหญ่ของมันเท่าไหร่ (แม้จะสังหารคนตายคาร้านก็ตาม)

แต่อย่าเข้าใจผิด ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าหนังไทยจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ได้เลย ตรงกันข้าม การวิพากษ์วิจารณ์นั้นถือเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นแล้วในงานทุกประเภท หากแต่มันย่อมต้องวางอยู่บนมาตรฐานเดียวกันกับเมื่อเรามองหนังที่มาจากทิศอื่นๆ ของโลก รวมทั้งมันควรมาหลังจากที่เราได้ดูหนังเต็มแล้ว เพราะการวิจารณ์หนังโดยอ้างอิงแค่ตัวอย่างหนังความยาวไม่ถึงห้านาทีก็นับว่าใจร้ายไปไม่น้อย -หรือไม่ใช่

ยังไม่ต้องพูดว่า การจะทำหนังไทยเองก็มีข้อจำกัดมากมายทั้งที่มองเห็นและไม่เห็น ทำหนังที่ว่าด้วยความเชื่อก็ถูกเซ็นเซอร์หรือถูกกลุ่มคนรักศาสนาเพ่งเล็ง ทำหนังว่าด้วยอาชีพใดอาชีพหนึ่งที่มีพฤติกรรมชวนกังขา ก็ต้องเจอเจ้าของอาชีพนั้นมาร้องเรียนปาวๆ ว่า คนในอาชีพเราไม่ทำอะไรเสื่อมเสียแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง หรือกระทั่งว่า ถ้าทำหนังที่พูดถึงประเด็นแหลมคมในสังคม ก็ไม่วายจะเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะรางเพราะตั้งคำถามออกบ่อย ที่ผ่านมาคนทำหนังไทยจึงเผชิญกับข้อจำกัดมากมายมหาศาล หากไม่โดนแบนยาวนานอย่างที่เห็นใน ‘คนกราบหมา’ (1997) หรือ ‘แมลงรักในสวนหลังบ้าน’ (2010) ที่คนทำหนังต้องกัดฟันสู้ยิบตาเพื่อสิทธิในการฉายของตัวเอง บ่อยครั้งมันก็ถูกตีตกตั้งแต่ตั้งไข่ว่าสุ่มเสี่ยงเกินไปจนไม่ได้ถือกำเนิด

เราเรียกร้องภาพยนตร์ไทยที่มอบกลิ่นใหม่รสใหม่ให้เรา แต่เราก็หวาดหวั่นเกินกว่าจะกำเงินออกไปดู แน่แท้ว่าเงินค่าตั๋ว -หากไม่นับส่วนลดอื่นๆ ที่ก็ต้องผ่านการช่วงชิงหรือเสี่ยงโชค- แทบจะแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน ในประเทศที่ภาพยนตร์ถูกมองว่าเป็นสื่อบันเทิง มอบความอิ่มใจสบายตาให้ การลงทุนซื้อตั๋วหนังหนึ่งใบจึงไม่ได้หมายความแค่เงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายความถึงการลงทุนในแง่เวลา แง่การเดินทาง การต้องมาดูหนังในห้างสรรพสินค้าย่อมหมายถึงค่ากินที่แพงขึ้นเพราะอาหารข้างในแพงกว่าข้างนอก หรือลำพังค่ารถ ค่าโดยสารในการเดินทางมาถึงโรงภาพยนตร์ก็อาจหมายถึงแบงก์สีแดงอีกใบและเวลาอีกมหาศาลที่จะเอาไว้ใช้พักผ่อนนอนหลับ หรือทำกิจกรรมอื่นที่รู้สึก ‘เติมเต็ม’ ได้กว่านี้

แต่อีกนั่นแหละ บ่อยครั้งเราก็เลือกจ่ายเงิน เลือกใช้เวลาพลาดไปกับกิจกรรมอื่นๆ อาหารที่รสชาติไม่อร่อย, การไปนั่งดริงค์ในบาร์ใหม่แล้วพบว่ามันไม่ดีอย่างที่คิด, ฟังเพลงจากวงที่ไม่เคยฟังแล้วไม่ถูกหู หรือแม้แต่เรื่องอื่นใดที่เราใช้เวลาและเงินไปกับมันแต่มันไม่ถูกใจเรา กิจกรรมเหล่านั้นก็ดูไม่เคยต้องโทษพิพากษารุนแรงเท่ากับหนังไทยในระดับออกปากลงโทษไม่ให้ทำหนังใหม่ ไม่ต้องให้ฝันไกล

แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดที่มาจากคนทำหนัง สิ่งที่เราควรตั้งคำถามคือการตั้งราคาค่าตั๋วของโรงภาพยนตร์ที่ทำให้หลายคนไม่กล้า ‘แลก’ หรือแม้แต่การให้รอบฉายหนังไทยที่โรงมัลติเพล็กซ์บางแห่งก็จำกัดไว้ให้หนังไทยในเครือตัวเอง หรือไม่ก็มอบรอบฉายให้หนังไทยที่มี ‘รสชาติใหม่ๆ’ เพียงน้อยนิด บางเรื่องยืนโรงได้สัปดาห์เดียว ทั้งยังได้รอบเช้าที่คนไม่ว่างมาดู ก็จำต้องออกจากโรงไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองต่อใครว่ามันเป็นหนังที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร

ยิ่งเมื่อพินิจจากค่าแรงและราคาตั๋วหนัง ก็ไม่แปลกใจที่หลายคนจะเลือกเชื่อมั่นในหนังฮอลลีวูดที่โปรดักชันใหญ่กว่า เงินทุนหนากว่า (และรอบฉายของหนังบล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องก็มากกว่าด้วย) สวนทางกับความเชื่อมั่นต่อหนังไทยที่ลดน้อยถอยลง คำถามสำคัญคือมันลดลงเพราะคุณภาพหนังมันย่ำแย่จริงๆ หรือเพราะหนังไทยที่หลากหลายกว่านี้ยังไม่มีโอกาสได้ปรากฏตัวต่อสายตาคนดูกันแน่

การได้เห็นคนทำหนังสักคนออกมาพูดว่ามีแผนจะทำหนังภาคต่อ แต่ยัง “ต้องรอผลตอบรับมาก่อน” แล้วถูกค่อนแคะว่าฝันใหญ่เกินตัว, เอาภาคแรกให้รอดก่อน ฯลฯ จึงเป็นเรื่องชวนเศร้า เพราะแค่ทะเยอทะยานในพื้นที่ของตัวเองโดยไม่ได้เดือดร้อนใครยังถูกมองว่าผิด ต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ทำหนังที่หลุดไปจาก ‘หน้าตา’ ที่คุ้นเคยก็ไม่วายโดนเสียดสีให้เจ็บใจแม้คนพูดจะยังไม่ทันได้ดูหนัง

ไม่ใช่เลย ภาพยนตร์คือศิลปะ และการทำงานศิลปะมันต้องทะเยอทะยาน ต้องอหังการ์ ต้องฝันใหญ่ จะไปถึงหรือไม่ถึงมันเรื่องหนึ่ง แต่การบอกให้ใครสักคนอยู่อย่างคนตัวเล็กตัวน้อย อยู่อย่างเท่าที่มี อย่าอาจหาญคิดอะไรไกลก็ชวนเป็นเรื่องหดหู่ ก็อย่างที่รู้กันว่าวงการนี้มันยาก จะเข็นหนังหรือซีรีส์ออกมาหนึ่งเรื่อง ใช้แค่แรงกายยังไม่พอ แต่ยังต้องเรียกร้องจากไอ้ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ไม่รัก ไม่อยากดูก็ไม่ว่า -แต่อย่าบั่นทอนกันเลย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save