16.15 น. ของวันที่ 19 มกราคม 2025 (ตามเวลาไทย) ถือเป็นเวลาที่ประชาคมโลกโล่งใจไปหนึ่งเปราะ เมื่อข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ครอบครองฉนวนกาซาบนดินแดนปาเลสไตน์ มีผลบังคับใช้ หลังจากที่สงครามดำเนินมาต่อเนื่องนับ 15 เดือน
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมีมายาวนานอันเนื่องมาจากปมพิพาทซับซ้อนระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่สืบเนื่องมาหลายทศวรรษ และได้ยกระดับขึ้นเป็นการสู้รบในหลายครั้ง กระทั่งเข้าสู่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 การสู้รบระลอกใหม่ก็เปิดฉากอีกครั้งเมื่อกลุ่มฮามาสดำเนินปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ ก่อนตามมาด้วยการตอบโต้อย่างทันควันของกองทัพอิสราเอลด้วยการไล่ล่ากวาดล้างกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา จนกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ
แม้การที่ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ในรอบนี้จะถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ แต่หากมองตามจริง การเพิ่งมาเจรจาตกลงกันได้หลังการสู้รบผ่านมาเนิ่นนานเกินกว่าหนึ่งปีก็นับว่าล่าช้าเกินไป เพราะแต่ละนาทีที่ผ่านไปขณะที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้นั้น ล้วนมีคนได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก ‘ประชาชนผู้บริสุทธิ์’ ไม่ว่าจะจากฟากฝั่งไหนก็ตาม
ความสูญเสียเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นวันแรกที่สงครามรอบใหม่ปะทุ เช้าตรู่วันนั้นขณะที่ผู้คนในอิสราเอลใช้ชีวิตปกติและบางส่วนที่เริ่มออกมาเฉลิมฉลองในวาระเทศกาลใหญ่ประจำปีเทศกาลหนึ่งของชาวยิว กลุ่มฮามาสก็เปิดฉากระดมยิงขีปนาวุธนับพันลูกจากฉนวนกาซาเข้าไปยังแผ่นดินอิสราเอล พร้อมๆ กับส่งกองกำลังพื้นราบบุกเข้าไปหลายทิศทาง ทำให้วันที่ควรจะเปี่ยมด้วยความสุขนั้นจบลงด้วยโศกนาฏกรรม ประชาชนในอิสราเอลต้องสังเวยชีวิตไปถึงราว 1,200 คน และมี 251 คนที่ถูกพาตัวไปยังฉนวนกาซาในฐานะตัวประกัน ขณะที่ตึกรามบ้านช่องและทรัพย์สินก็ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ในวันนั้นชุมชนหนึ่งที่ถูกโจมตีหนักที่สุดคือ คิบบุตซ์ เบเอรี (Kibbutz Be’eri)[1] นิคมเก่าแก่ทางตอนใต้ของอิสราเอลที่อยู่ห่างจากฉนวนกาซาเพียงประมาณ 7 กิโลเมตร และเป็นสถานที่ที่เราได้เดินทางไปสำรวจความเสียหายเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2024
“ในวันที่ 6 ตุลาคม 2023 พวกเรา (ชาวบ้านคิบบุตซ์ เบเอรี) จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 77 ปีการก่อตั้งคิบบุตซ์แห่งนี้ วันนั้นมีคนอยู่หลายคน หลายครอบครัวมีสมาชิกเดินทางกลับจากที่อื่นมาร่วมเฉลิมฉลอง และยังคงค้างคืนอยู่จนถึงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม กระทั่งเกิดการโจมตีขึ้น” อายาเลต ฮาคิม (Ayelet Hakim, 56 ปี) หนึ่งในชาวบ้านคิบบุตซ์ เบเอรี ผู้พาเราเดินดูความเสียหายของนิคมแห่งนี้ด้วยตัวเอง เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ชุมชนถูกกลุ่มฮามาสบุกเข้าไปโจมตี

วันนั้น ฮาคิมเองก็อยู่ในคิบบุตซ์ เบเอรี กับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว เธอจึงได้เป็นประจักษ์พยานในการเกิดขึ้นของสงครามที่คืบคลานเข้าไปถึงในบ้านของเธอเอง
“ฉัน สามี และลูกอีกสองคน ต้องเข้าไปหลบในห้องนิรภัย (ภายในบ้าน) อยู่ถึง 17 ชั่วโมง ระหว่างนั้นกลุ่มก่อการร้าย (หมายถึงกลุ่มฮามาส) ก็เข้ามาในบ้านและพยายามเปิดประตูห้องนิรภัย แต่สามีของฉันพยายามดึงลูกบิดประตูไว้ไม่ให้เปิดเข้ามาได้ ดึงอยู่อย่างนั้นตลอด 17 ชั่วโมง และพอถึงเวลาหนึ่งไฟฟ้าก็ถูกตัดลง เราต้องอยู่มืดๆ อย่างนั้น ไม่มีน้ำและอาหาร เราหลบอยู่อย่างหวาดกลัว จนกระทั่งกองทัพอิสราเอลเข้ามาช่วยพวกเราในคืนนั้น” ฮาคิมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอเผชิญวันนั้น และขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดกองทัพอิสราเอลถึงได้เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านอย่างล่าช้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ประชาชนอิสราเอลอีกหลายคนก็ตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอด
ที่สุดแล้วฮาคิมและครอบครัวสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่เพื่อนบ้านของเธอจำนวนมากกลับไม่โชคดีเช่นนั้น แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วบ้านเรือนในอิสราเอลมักมีห้องนิรภัยอยู่ภายใน แต่ก็ป้องกันได้เพียงการโจมตีด้วยอาวุธเท่านั้น ทว่าในวันนั้น กลุ่มฮามาสนำกำลังคนเข้าไปถึงในบ้านเรือนและสามารถบุกเข้าไปในห้องนิรภัยได้อย่างง่ายดาย ก่อนทำการสังหาร ทำร้าย และลักพาตัวคนออกมาเป็นจำนวนมาก โดยในคิบบุตซ์ เบเอรี มีชาวบ้านถูกกลุ่มฮามาสสังหารไปทั้งสิ้น 101 คนจากประชากรที่มีอยู่ทั้งหมดราว 1,300 คน





ขณะเดียวกันมีชาวบ้าน 32 คนที่ถูกลักพาตัวไปยังกาซา ซึ่งในนั้นรวมถึงพี่สาวและพี่เขยของฮาคิมที่ชื่อ ราซ เบน-อามี และ โอฮาด เบน-อามี (Raz Ben-Ami and Ohad Ben-Ami) ทั้งสองถูกคุมตัวไปภายใต้ชุดนอนและเท้าที่เปลือยเปล่า ทำให้ฮาคิมต้องเป็นคนหนึ่งที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงปล่อยตัวประกันให้เร็วที่สุด โดยต่อมาพี่สาวของเธอถูกปล่อยตัวออกมาก่อนในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ขณะที่พี่เขยของเธอมีชื่ออยู่ในรายชื่อตัวประกันที่กำลังจะได้รับการปล่อยตัวเร็วๆ นี้ อันสืบเนื่องมาจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาสล่าสุด
แม้สถานการณ์ภาพใหญ่จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่สำหรับชาวบ้านคิบบุตซ์ เบเอรี บาดแผลของพวกเขายังคงไม่ได้รับการเยียวยาดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยความผูกพันมายาวนานยังคงเป็นซากปรักหักพัง ท่ามกลางการซ่อมแซมฟื้นฟูที่เป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้ชาวบ้านคิบบุตซ์ เบเอรีโดยส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยอยู่ในที่พักชั่วคราวในเมืองอื่นที่ทางการจัดหาให้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเริ่มย้ายกลับเข้าไปในชุมชนแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังตัดสินใจไม่กลับไปบ้านของตัวเอง แม้ว่าบ้านจะได้รับการฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม เนื่องจากยังไม่อาจทำใจกลับไปเผชิญสภาพแวดล้อมที่ตนเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้
ส่วนฮาคิมและครอบครัวนั้นอยู่ในกลุ่มคนที่ยังไม่สามารถกลับไปที่บ้านได้ เนื่องจากบ้านยังคงอยู่ในสภาพเสียหาย และยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้กลับไปเมื่อใด
“ฉันอยู่ที่นี่มา 56 ปี ไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้ต้องกลายมาเป็นคนไร้บ้าน การได้กลับบ้านของตัวเองคือความหวังสูงสุดของฉันในตอนนี้” ฮาคิมกล่าว
แม้ฮาคิมจะยังกลับเข้าไปพักอาศัยในคิบบุตซ์ เบเอรีไม่ได้ แต่เธอก็ได้ไปที่นั่นอยู่เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะไกด์นำผู้คนเข้ามาเดินดูความเสียหายของอาคารบ้านเรือนต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าชาวบ้านถูกกระทำย่ำยีอย่างไรในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม โดยระหว่างที่ฮาคิมพาเราเดินสำรวจพื้นที่อยู่นั้น ก็ได้พบปะคนจากหมู่คณะอื่นๆ ที่เข้าไปดูพื้นที่ในเวลาเดียวกันอยู่เรื่อยๆ






หลังจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม สถานที่หลายแห่งในอิสราเอลที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศในส่วนที่อยู่ใกล้ฉนวนกาซา ได้แปลงสภาพเป็นเสมือนอนุสรณ์สถานให้ผู้คนเดินทางมาเรียนรู้และรำลึกบาดแผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เรียกกันว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับชาวยิวนับตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากคิบบุตซ์ เบเอรีแล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่เราเดินทางไปดูคือพื้นที่จัดงานเทศกาลดนตรีโนวา (Nova Music Festival) ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
เทศกาลดนตรีโนวาจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ระหว่างวันที่ 6-7 ตุลาคม 2023 อันเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลซุกคต (Sukkot) ของชาวยิว โดยจัดในพื้นที่โล่งบนทะเลทรายเนเกฟใกล้กับคิบบุตซ์ เรอิม (Kibbutz Re’im) ห่างจากฉนวนกาซาเพียงไม่ถึง 5 กิโลเมตร เมื่อเข้าสู่ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคมนั้นเอง ลานดนตรีก็กลายสภาพเป็นทุ่งสังหารอย่างฉับพลัน เมื่อมีขีปนาวุธจากกลุ่มฮามาสโจมตีเข้ามาในพื้นที่ ก่อนที่กองกำลังจะบุกเข้าไปทำร้ายผู้ร่วมงานอย่างโหดเหี้ยม โดยมีผู้ถูกสังหารมากกว่า 360 คน และถูกจับเป็นตัวประกันราว 40 คน
จากเหตุการณ์วันนั้น ลานดนตรีโนวาจึงกลายเป็นอีกหนึ่งอนุสรณ์ถึงความทรงจำอันโหดร้ายที่ชาวอิสราเอลพากันมารำลึก โดยทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยรูปภาพของเหยื่อผู้วายชนม์และผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน ประดับตกแต่งด้วยธงชาติอิสราเอลและประติมากรรมต่างๆ ทั้งยังมีต้นไม้ที่ครอบครัวญาติมิตรของเหยื่อมาปลูกไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ระลึกถึงผู้จากไป






ไม่ไกลจากลานดนตรีนัก ด้วยระยะเวลาเดินทางเพียงราวๆ 15 นาที เราก็มาถึงพื้นที่รำลึกอีกจุดหนึ่งในแถบคิบบุตซ์ ทกุมา (Kibbutz Tkuma) พื้นที่ตรงนั้นคับแคบกว่าลานดนตรีโนวาหลายเท่าตัว ทว่าจุเศษซากรถยนต์และจักรยานยนต์ไว้มากถึงกว่า 800 คัน ยานยนต์เหล่านั้นล้วนเป็นยานยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โดยกระจัดกระจายอยู่ทั้งตามท้องถนน รวมไปถึงพื้นที่จัดงานเทศกาลดนตรีโนวา ก่อนที่ซากของยานยนต์เหล่านี้จะถูกนำมากองรวมกันไว้ที่ลานโล่งในชุมชนทกุมาเพื่อความสะดวกในการพิสูจน์ทรัพย์สินและซากศพภายในรถ กระทั่งกลายเป็นเสมือนสุสานยานยนต์ที่ผู้คนใช้เป็นสัญลักษณ์รำลึกความสูญเสียจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคมไปโดยปริยาย
ซากยานยนต์ที่นี่ถูกจัดแสดงไว้ในหลายรูปแบบ โดยรูปแบบที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดคือการกองเศษซากไหม้เกรียมของรถยนต์เรียงสูงขึ้นเป็นชั้น ซึ่งมีคนเปรียบเปรยไว้ว่าเสมือนภาพของรองเท้าชาวยิวที่กองพะเนินเป็นเขาขนาดย่อมๆ ในค่ายกักกันของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แม้เวลาจะล่วงผ่านจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้นมาเกินกว่าหนึ่งปี แต่เรายังคงเห็นชาวอิสราเอลพากันเดินทางไปยังพื้นที่อนุสรณ์เหล่านี้เพื่อเรียนรู้และรำลึกถึงเหตุการณ์อันถือได้ว่าเป็นบาดแผลร่วมกันของคนทั้งชาติ




อย่างไรก็ตาม วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ยังเป็นเพียงวันแรกของความสูญเสียเท่านั้น เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นตามมาด้วยการสู้รบที่ยืดเยื้อลากยาวจนสร้างความเสียหายให้ผู้คนอีกจำนวนมาก และคนที่ได้รับเคราะห์หนักที่สุดตลอด 15 เดือนของสถานการณ์ที่ผ่านมาหนีไม่พ้นประชาชนในฉนวนกาซา
แม้เราจะอยู่ห่างจากฉนวนกาซาเพียงไม่กี่กิโลเมตรในตอนนั้น แต่แน่นอนว่าการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นห้วงเวลานั้นคือความเป็นไปไม่ได้ หรือต่อให้เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามก็ตามแต่ การเข้ากาซาจากอิสราเอลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยว่าทางการอิสราเอลควบคุมช่องทางเข้าออกพรมแดนบริเวณนั้นอย่างเข้มงวด รวมทั้งจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางการอิสราเอลล่วงหน้าเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจมองเห็นด้วยตาตัวเองได้ว่ากาซาได้รับความเสียหายเพียงใดจากสงครามที่เกิดขึ้นระลอกนี้ แต่ ณ วันนั้นมีอยู่สิ่งเดียวที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าความสูญเสียในกาซายังไม่สิ้นสุดลง นั่นคือเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวข้ามเส้นแดนมากระทบโสตประสาทเราอยู่สองสามครั้ง
หากเทียบกันในแง่ตัวเลขแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นในกาซานับว่าหนักหนากว่าอิสราเอลอยู่หลายเท่าตัว โดยข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขแห่งพื้นที่กาซา (Gaza Health Ministry หรือ Palestinian Ministry of Health – Gaza) ชี้ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตในกาซานับจนถึงวันที่ 21 มกราคม 2025 มีอยู่ถึง 47,107 คน ในจำนวนนี้เกินกว่าครึ่งเป็นเด็ก ผู้หญิง และผู้สูงวัย อย่างไรก็ตามตัวเลขประมาณการจากบางแหล่งชี้ว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจสูงกว่านั้น เช่น งานวิจัยในวารสารการแพทย์เดอะแลนซิต (The Lancet) ในช่วงต้น ที่ประมาณการไว้นับจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024 ว่าผู้เสียชีวิตน่าจะมีจำนวนสูงถึง 64,260 คน ซึ่งหากตัวเลขนี้ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็แปลว่าหากนับต่อมาจนถึงปัจจุบัน จำนวนย่อมสูงกว่านั้นอีกไม่รู้เท่าใด



ภาพความเสียหายในพื้นที่กาซา
ภาพจาก: AFP
นอกจากความเสียหายต่อชีวิตผู้คนแล้ว อาคารและทรัพย์สินในกาซาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับเช่นกัน โดยศูนย์ดาวเทียมแห่งสหประชาชาติ (UNOSAT) ได้ทำการสำรวจสภาพความเสียหายของพื้นที่กาซาผ่านภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดในวันที่ 1 ธันวาคม 2024 พบว่ามีอาคารบ้านเรือนได้รับผลกระทบรวมกันถึง 170,812 อาคาร คิดเป็นร้อยละ 69 ของอาคารทั้งหมดในฉนวนกาซา โดยในจำนวนนี้เป็นอาคารที่ถูกทำลายอย่างราบคาบถึง 60,368 อาคาร และมีอาคารที่เสียหายอย่างรุนแรง 20,050 อาคาร
ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่เว้นแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประชาชนในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาล สถานศึกษา ถนนหนทาง ไปจนถึงสาธารณูปโภคต่างๆ นำไปสู่วิกฤตทางมนุษยธรรมที่ขยายตัว โดยคนปาเลสไตน์ในกาซาจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญภาวะอดอยาก ขาดสารอาหาร รวมถึงเผชิญโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้นจากภาวะสุขอนามัยที่ย่ำแย่ ยิ่งไปกว่านั้นพลเรือนในพื้นที่ราว 2 ล้านคนยังเป็นอันต้องพลัดพรากจากที่อยู่อาศัยอันเนื่องมาจากความรุนแรงของการสู้รบและความเสียหายที่เกิดต่อบ้านเรือน เปรียบเสมือนต้องกลายเป็นคนไร้บ้านบนแผ่นดินเกิดของตนเอง

ภาพจาก: UNOSAT
ล่าสุดภายหลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส พลเรือนกาซาผู้พลัดถิ่นก็เริ่มทยอยกลับไปยังบ้านเรือนของตนเอง พร้อมๆ กับการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่ก็กำลังทยอยเกิดขึ้น
แม้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่านี่เป็นเพียงการพักรบเท่านั้น โดยตามข้อตกลงแล้ว การหยุดยิงในเฟสแรกกินระยะเวลาเพียง 42 วัน เพราะฉะนั้นข้อตกลงหยุดยิงที่เกิดขึ้นจึงยังไม่อาจเป็นเครื่องประกันได้ว่าการสู้รบจะสิ้นสุดลงจริง และนับว่ายังห่างไกลอีกหลายก้าวจากคำว่าสันติภาพอย่างยั่งยืน
นับจากนี้จึงยังคงต้องจับตาการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันระหว่างแต่ละฝักฝ่ายว่าจะนำความขัดแย้งไปสู่ข้อยุติได้จริงหรือไม่ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น นั่นย่อมหมายถึงความสูญเสียที่จะทบทวีขึ้นอีก และอย่างที่ว่าไปแล้ว ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นหาใช่เคราะห์กรรมที่ตกกับผู้มีอำนาจ หากแต่ตกอยู่ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทุกฟากฝั่ง ดังบทเรียนที่เราได้เห็นจาก 15 เดือนที่ผ่านมาของสงครามอิสราเอล-ฮามาส และเป็นเฉกเช่นเดียวกันทุกสงครามและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดห้วงเวลาของประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา

ภาพจาก: AFP
หมายเหตุ: การเดินทางไปสำรวจความเสียหายในพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอลได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลและสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย
↑1 | คิบบุตซ์คือชุมชนแบบรวมกลุ่มในอิสราเอลที่สมาชิกช่วยกันทำงาน แบ่งปันผลผลิตและทรัพยากรร่วมกัน |
---|