ภาพประกอบ: YASUYOSHI CHIBA / AFP
25 สิงหาคม 2025 ประชาชนอินโดนีเซียหลายร้อยคนลงถนนเดินขบวนประท้วงรอบอาคารรัฐสภาในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย หลังจากที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร อะดีส คาดีร์ (Adies Kadir) ออกมาเปิดเผยว่ามีการประกาศปรับเพิ่มเงินสวัสดิการที่พัก สส. เดือนละ 50 ล้านรูเปียห์ หรือประมาณเกือบ 1 แสนบาท สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของชาวอินโดนีเซียเกือบ 10 เท่า ซึ่งเปรียบเสมือนการแทงเข้าที่ใจดำของประชาชนอินโดนีเซียที่กำลังเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจมายาวนาน นำมาสู่การออกมาเคลื่อนไหวประท้วงในที่สุด ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะมีการขยับขยายข้อเสนอไปสู่การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแรงงาน ทั้งการขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปฏิรูปภาษีแรงงาน ยุติระบบจ้างงานเหมาช่วง และปฏิเสธการเลิกจ้างพนักงานขนานใหญ่โดยนายจ้าง
การประท้วงที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอินโดนีเซีย เพราะนับตั้งแต่ที่ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนตุลาคม 2024 การประท้วงก็เกิดขึ้นประปราย เช่น การประท้วงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งคือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา โดยประชาชนได้ออกมาเดินขบวนแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายรัดเข็มขัดงบประมาณของรัฐบาล ที่มีการไปเฉือนงบประมาณส่วนสำคัญออก เช่น งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการฯ และงบประมาณกระทรวงโยธาธิการที่มีหน้าที่ก่อสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยนำงบไปโปะโครงการเรือธงที่ปราโบโวใช้หาเสียง ทั้งโครงการอาหารกลางวันฟรีทั่วประเทศ และการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติดานันตารา (Danantara) และในช่วงเดียวกันนั้นยังเกิดปรากฏการณ์บนโลกออนไลน์ผ่านแฮชแท็ก #KaburAjaDulu (หนีไปกันก่อนเถอะ) ที่คนหนุ่มสาวพากันพูดคุยถึงวิธีการย้ายประเทศหนีในภาวะที่ประเทศกำลังสิ้นหวัง ก่อนที่กระแสจะแผ่วลงไปและการประท้วงจบลงด้วยการที่รัฐบาลรับปากทบทวนข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุม
และไม่นานก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2025 ก็เพิ่งมีข่าวว่าประชาชนอินโดนีเซียใช้ธงจากการ์ตูนอนิเมะชื่อดังอย่างวันพีช (One Piece) ประดับตามอาคารบ้านเรือนและรถยนต์ เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและการท้าทายระบอบเผด็จการ ซึ่งเป็นการล้อกับเรื่องราวในการ์ตูน และเป็นการประชดประชันรัฐบาลที่ได้ขอความร่วมมือประชาชนให้ติดธงชาติอินโดนีเซียเนื่องในวันครบรอบ 80 ปีแห่งการประกาศอิสรภาพของประเทศในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 การประท้วงด้วยการติดธงวันพีชนี้เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายรัฐในหลายเรื่อง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นการประท้วงแบบลงถนนจะเกิดขึ้นและได้พัฒนาไปสู่ความรุนแรง
สาเหตุที่ทำให้การประท้วงของประชาชนครั้งล่าสุดกลายไปเป็นการจลาจลใหญ่นั้น สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่เริ่มใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง ก่อนที่จุดแตกหักจะมาถึงในวันที่ 28 สิงหาคม 2025 เมื่อรถหุ้มเกราะของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ BRIMOB ที่กำลังไล่ผู้ชุมนุมอยู่นั้น ได้ขับทับอัฟฟาน เคอร์นียาวัน (Affan Kurniawan) ไรเดอร์ของแพลตฟอร์มออนไลน์เสียชีวิต ทั้งที่เขาเพียงแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านโดยไม่ได้มีส่วนร่วมกับการชุมนุม โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำให้คนอินโดนีเซียเดือดดาล พากันเรียกร้องความเป็นธรรมให้อัฟฟาน พร้อมประณามการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ ก่อนจุดให้การประท้วงลุกลามออกไปสู่หลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศอินโดนีเซีย
การเสียชีวิตของไรเดอร์อย่างอัฟฟานยังกลายเป็นพลังเชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะภาพแทนของแรงงานนอกระบบที่ยังค่อยไม่ได้รับความเป็นธรรมและขาดการรับประกันสิทธิสวัสดิภาพคุ้มครองในการทำงานที่ดีพอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงสอดรับเข้ากับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในเรื่องสิทธิแรงงาน และทำให้อัฟฟานถูกยกเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงไปโดยปริยาย
แม้ทางการจะออกมาแสดงความเสียใจและขออภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ผู้บัญชาการกองกำลัง BRIMOB, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปจนถึงประธานาธิบดีปราโบโว พร้อมมีการให้คำมั่นที่จะสอบสวนนายตำรวจผู้ก่อเหตุ แต่ความโกรธเกรี้ยวของกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้ทุเลาลง ซ้ำสถานการณ์ยังรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการจลาจล เมื่อผู้ชุมนุมบุกวางเพลิงและปล้นสะดมอาคารที่ทำการราชการในหลายเมือง เช่นที่เมืองมากัสซาร์ บนเกาะสุลาเวสี ที่ผู้ประท้วงบุกเผาอาคารสภาเทศบาลและสภาจังหวัดจนมีผู้เสียชีวิตซึ่งติดค้างอยู่ในอาคารก่อนเผาอย่างน้อยสามราย รวมทั้งมีการบุกปล้นบ้านพักของนักการเมืองหลายคนตั้งแต่ระดับ สส. ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะคนที่ได้สร้างความโกรธแค้นต่อผู้ชุมนุมก่อนหน้านี้ เช่น อาห์มัด ซาฮโรนี (Ahmad Sahroni) สส.พรรค NasDem ที่ออกมาด่าผู้ชุมนุมว่า “โง่เง่า”

ภาพโดย Mori505/Wikipedia
การจลาจลที่ลุกลามบานปลายขึ้นทำให้ประธานาธิบดีปราโบโวต้องออกมาปราศรัยทางโทรทัศน์ในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2025 เรียกร้องให้ประชาชน อดทน รักษาสติ และเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พร้อมทั้งกล่าวย้ำแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและยืนยันแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และกล่าวเตือนสาธารณชนว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลที่กำลังจงใจสร้างสถานการณ์ พร้อมกันนั้นปราโบโวยังเชิญตัวแทนจากบริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหญ่ต่างๆ เพื่อตรวจสอบและจัดการ ‘ข้อมูลบิดเบือน’ ที่มีส่วนทำให้เกิดความไม่สงบในสังคม โดยแอปพลิเคชัน TikTok ได้ดำเนินการด้วยการระงับฟีเจอร์ถ่ายทอดสดเป็นการชั่วคราว เพื่อลดการกระจายของเนื้อหาที่ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นยังทำให้ปราโบโวต้องยกเลิกแผนการเดินทางเยือนประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมพิธีสวนสนามเนื่องในวันแห่งชัยชนะ (Victory Day) ในวันที่ 3 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นการฉลองครบรอบ 80 ปี การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเข้าร่วมประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO Summit) 2025 ที่จัดขึ้นไล่เลี่ยกัน
ล่าสุดในวันที่ 31 สิงหาคม 2025 ปราโบโวได้ออกมาแถลงอีกครั้ง โดยเผยว่ารัฐสภามีแผนที่จะยกเลิกนโยบายหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงเรื่องเงินสวัสดิการของ สส. ทั้งยังงดภารกิจเดินทางต่างประเทศ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม นอกจากนี้บรรดา สส. ที่ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากการออกมาแสดงปฏิกริยาท้าทายผู้ชุมนุม ยังถูกพรรคการเมืองที่ตนสังกัดให้พักงานจากตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันปราโบโวก็ได้สั่งการให้ตำรวจและทหารใช้มาตรการเด็ดขาดต่อผู้ชุมนุมกลุ่มที่ก่อความรุนแรงเกินกว่าเหตุและละเมิดกฎหมาย โดยปราโบโวยังชี้ว่าการกระทำเหล่านั้นเข้าข่ายการก่อกบฏและการก่อการร้าย
การประท้วงที่ลุกลามกลายเป็นการจลาจลนี้ หากถอดรหัสดูแล้วจะเห็นได้ว่าใจกลางของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ‘ภาวะสิ้นหวังทางเศรษฐกิจ’ ของประชาชนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ทั้งจากค่าครองชีพที่พุ่งสูง สวัสดิการแรงงานที่น้อยนิด และปัญหาการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมที่เป็นปัญหาสืบเนื่องมาหลายปี โดยการปรับขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงที่พัก สส. อย่างผิดที่ผิดเวลา เป็นเพียงน้ำมันที่ราดไปบนกองไฟจนลุกโชนขึ้นมาเท่านั้น หรือเมื่อย้อนกลับไปในการประท้วงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แกนของปัญหาก็คือเรื่องเศรษฐกิจอีกเช่นกัน
ความหมดหวังในเศรษฐกิจของประชาชนอินโดนีเซียสมัยใหม่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคประธานาธิบดีปราโบโว แต่ย้อนไปได้ถึงสมัยอดีตประธานาธิบดีโจโก วีโดโด (Joko Widodo) หรือโจโกวี (2014-2024) ที่ได้เห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มแรงงานออกมาเคลื่อนไหวใหญ่อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่รัฐบาลมีการออกนโยบายที่ไม่ได้เป็นคุณต่อผู้ใช้แรงงานนัก ที่เห็นได้ชัดคือในปี 2020 ที่มีการออกร่างกฎหมายสารพันหรือ Omnibus Law ซึ่งถูกประชาชนมองว่ามีเนื้อหาเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนและลดทอนสิทธิสวัสดิภาพแรงงานหลายประการ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มย่ำแย่จากวิกฤตโควิด-19 จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่จุดให้เกิดการประท้วงใหญ่ในรอบหลายปี
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ปลุกผู้ชุมนุมออกมาเคลื่อนไหว แต่ยังมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาผสม เนื่องจากในยุคโจโกวีนั้น รัฐบาลเริ่มมีการแก้กฎหมายและมีพฤติการณ์หลายอย่างที่ถูกมองว่ากำลังทำให้ประชาธิปไตยถดถอย เช่น การแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี การลดอำนาจองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลรัฐ การละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนมากขึ้น และการเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลและพวกพ้องบริวารใกล้ชิดอดีตประธานาธิบดีโจโกวี ทำให้หลายคนมองว่าโจโกวีกำลังทรยศหักหลังความพยายามปฏิรูปการเมืองสู่ประชาธิปไตยที่ดำเนินมาตลอดกว่าสองทศวรรษนับตั้งแต่การล่มสลายของระบอบเผด็จการทหารซูฮาร์โตในปี 1998 และสำหรับกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลโจโกวีนั้น การเมืองกับปากท้องก็คือเรื่องที่เกี่ยวโยงกันอย่างแยกไม่ขาด ทำให้ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตยมักเข้าไปผสมอยู่กับข้อเรียกร้องด้านเศรษฐกิจทุกครั้ง
แม้ว่าโจโกวีจะหมดวาระในตำแหน่งประธานาธิบดีลง และส่งไม้ต่อให้ปราโบโวเมื่อเดือนตุลาคม 2024 ภายหลังจากที่เขาเอาชนะในการเลือกตั้งต้นปีนั้นได้อย่างถล่มทลาย แต่ประชาชนจำนวนหนึ่งกลับไม่ได้มองเห็นความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงนัก เพราะปราโบโวเองก็เกี๊ยะเซี๊ยะกับโจโกวี โดยมีหลายนโยบายที่สานต่อมาจากเดิม ขณะที่ภาพลักษณ์ปราโบโวเองก็ดูไม่เป็นมิตรต่อประชาธิปไตยนัก จากความเป็นมาของเขาในอดีตที่เคยเป็นนายทหารผู้มีบทบาทในการละเมิดสิทธิมนุษยชนประชาชนในยุคซูฮาร์โต โดยไม่เคยเอ่ยคำขอโทษและแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งยังเคยแสดงความเห็นในเชิงลบต่อระบบประชาธิปไตย การเลือกตั้ง และคุณค่าสิทธิมนุษยชน
หลังจากที่ปราโบโวก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น ก็มีการกระทำที่ถูกวิจารณ์ว่านำไปสู่ความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 2025 ที่มีการแก้กฎหมายกองทัพเพิ่มอำนาจและบทบาทกองทัพในด้านพลเรือนมากขึ้น เช่น การให้ทหารที่ยังจำประการสามารถดำรงตำแหน่งในองค์กรพลเรือนได้บางองค์กร จากที่เมื่อก่อนนี้จำเป็นต้องลาออกหรือเกษียณก่อนเท่านั้น ทำให้ปราโบโวถูกวิจารณ์ว่ากำลังทำให้ประเทศถอยกลับไปสู่ยุคเผด็จการทหารซูฮาร์โตที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง เรื่องนี้จึงกลายเป็นอีกสาเหตุหลักที่นำไปสู่การออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนของประชาชนหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจก็เริ่มเห็นแผลชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่น เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ที่ค่าเงินรูเปียห์ร่วงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997-1998 อันเนื่องมาจากความไม่มั่นใจต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปราโบโว ประกอบกับความไม่แน่นอนของการค้าโลกจากนโยบายสงครามภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ภาพโดย กอบบุญ บูรโชควิวัฒน์ / The101.world
เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ ยังมีผลสำรวจของสถาบันวิจัย ISEAS – Yusof Ishak ในประเทศสิงคโปร์ซึ่งพบว่า “เยาวชนอินโดนีเซียมีแนวโน้มมองประเทศตัวเองในแง่ร้ายมากที่สุด” ในบรรดาชาติอาเซียนที่อยู่ในการสำรวจ ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยในรายงานผลสำรวจดังกล่าว หนุ่มสาวอินโดนีเซียได้สะท้อนความไม่พอใจในสังคมตัวเองหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาระยะยาวมากมายที่พวกเขาไม่พึงใจ ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ การว่างงาน โอกาสเศรษฐกิจที่ตีบตัน การบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ และคอร์รัปชัน บ่งบอกถึงความสิ้นหวังของคนรุ่นใหม่อินโดนีเซียที่มีต่อประเทศตัวเอง
อย่างไรก็ดี จากการวัดคะแนนนิยมโดยหลายสำนัก พบว่าผู้คนยังคงชื่นชอบประธานาธิบดีปราโบโวสูงเกินกว่าร้อยละ 80 เช่นผลสำรวจจาก The Indonesian Survey Institute (LSI) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ระบุตัวเลขที่ร้อยละ 88 ด้วยความนิยมที่สูงอยู่นี้ จึงไม่อาจบอกได้ว่าคนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลปราโบโวสะท้อนเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 จะส่งผลสะเทือนถึงความนิยมในตัวเขาหรือไม่
แต่ต่อให้คนที่ออกมาเคลื่อนไหวนี้จะเป็นเสียงส่วนน้อยจริง ปราโบโวก็อาจเห็นแล้วว่าเป็นเสียงที่ดังกังวานและสร้างแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย และยิ่งเมื่อความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจเข้ามาเป็นปัจจัยหลักของความไม่พอใจในหมู่ประชาชน รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยิ่งไม่ควรนอนใจ เพราะประวัติศาสตร์ของหลายแห่งในมุมโลกเคยให้บทเรียนแล้วว่าหลายครั้งความหิวโหยของประชาชนก็นำไปสู่การพังทลายของอำนาจได้
ในยุคสมัยใหม่นั้นอาจดูบทเรียนได้จากประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลนักอย่างบังกลาเทศ ที่ออกนโยบายกำหนดโควตาสอบรับราชการอย่างไม่เป็นธรรมท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จนกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายไปสู่การปฏิวัติประชาชนโค่นล้มรัฐบาลชีค ฮาสินา เมื่อปี 2024 หลังปกครองมาต่อเนื่องยาวนานถึง 15 ปี หรือในศรีลังกาที่การเกิดขึ้นของวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2021-2022 ก็นำไปสู่การประท้วงไล่รัฐบาลจนสำเร็จ และปิดฉากตระกูลการเมืองราชปักษาที่มีบทบาทนำมายาวนานเหมือนกัน
ที่จริงแล้ว อินโดนีเซียอาจไม่ต้องไปมองที่ไหนไกล เพียงแค่หันมามองประวัติศาสตร์ของประเทศตัวเองในยุคซูฮาร์โต ที่แม้จะยืนหยัดอยู่ได้ถึงกว่า 30 ปี แต่ระบบข้างในก็เน่าเฟะก่อนที่อาการจะสำแดงออกมาจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 1997-1998 จนปลุกพลังประชาชนออกมาล้มระบอบให้พังครืนในที่สุด
แม้เศรษฐกิจอินโดนีเซียวันนี้จะยังไม่ได้ร้ายแรงถึงจุดนั้น แต่สภาวะหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งค่าเงินที่ร่วงหล่น ตลาดแรงงานที่เริ่มหมดหวัง ผู้คนที่เดือดดาล และประชาธิปไตยที่ค่อยๆ เลือนหาย ก็เริ่มทำให้คนอินโดนีเซียและสื่อบางสำนักหวนย้อนนึกถึงภาพวันนั้น และย้อนกลับมามองภาพวันนี้ที่เริ่มดูจะคลับคล้ายคลับคลาเข้าไปทุกที
การประท้วงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงกลายเป็นบททดสอบใหญ่ยิ่งของประธานาธิบดีปราโบโวที่เพิ่งรับตำแหน่งได้เพียง 10 เดือนเศษ ต่อให้ในตอนนี้ปราโบโวยังมีคะแนนนิยมที่สูงลิ่ว และแนวร่วมรัฐบาลก็ยังจับมือกันแข็งแกร่งเสมือนเรือเหล็ก แต่หากรัฐบาลปราโบโวไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชนและเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะหน้าหรือปัญหาเชิงโครงสร้าง ความอัดอั้นตันใจของประชาชนที่สั่งสมมาเรื่อยๆ ก็อาจระเบิดรุนแรงขึ้นยิ่งกว่านี้จนอาจเป็นภัยต่อรัฐบาลได้มากกว่าที่คิด

ภาพโดย Maria Cynthia / Wikipedia
อ่านเพิ่มเติม
รัฐไร้น้ำยา-สังคมไร้หวัง: ความคับแค้นของหนุ่มสาวอินโดนีเซีย สู่ปรากฏการณ์ ‘ย้ายประเทศกันเถอะ!’
การประท้วงในอินโดนีเซีย กับการตื่นขึ้นอีกครั้งของพลังนักเรียนนักศึกษาในรอบกว่า 20 ปี
6 เดือนรัฐบาลปราโบโว: เรื่องไหนเข้าตาและไม่เข้าตาคนอินโดนีเซีย
What triggered violent protests across Indonesia, and how bad could it get for President Prabowo?
Why are antigovernment protests taking place in Indonesia?
Indonesia protests prompt Prabowo to cancel China trip, Beijing security warning
Indonesia protest fire kills 3 as Prabowo condemns ‘excessive’ police actions
Indonesian president says lawmakers’ perks to be cut after deadly protests
How a cartoon skull became a symbol of defiance in Indonesia