‘ฟ้าบ่กั้น’ ช่องว่างในประวัติศาสตร์ที่ก่อกำแพงกั้นธุลีดินจากอำนาจ

“ขอให้เชื่อพี่เถอะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สร้างคนขึ้นมา แต่คนสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเพื่อขี่คอกันเอง”[1]

– ส่วนหนึ่งจากเรื่อง ‘กระดานไฟ’ ในฟ้าบ่กั้น

ฟ้าบ่กั้นของ ‘ลาว คำหอม’ ถือกำเนิดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ทศวรรษ 2500 ใต้เงื้อมมือของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ครอบงำสังคมไทย เป็นรัฐบาลที่หมกมุ่นกับคำว่า ‘ปฏิวัติ’ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ทิศทางตรงกันข้ามกับการผลิบานของการปฏิวัติ 2475 ซึ่งลำดับศักดิ์ชั้นชนของผู้คนถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ ภายใต้ระบอบใหม่นี้ ผู้คนไร้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมรวมตัวกันเป็นสิ่งที่ห้ามขาด ที่สำคัญ อำนาจอันแข็งกร้าวของรัฐไทยยังร่วมสังวาสกับนโยบายสงครามเย็นต่อต้านโดมิโนคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคที่อำนวยการสร้างโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ยุคนั้นเป็นช่วงที่ผู้คนถูกเร่งรัดให้กลายเป็นเพียงฟันเฟืองของเครื่องจักรในการพัฒนา เป็นแค่ชิ้นโลหะที่พึงตอบสนองจากคำสั่งของรัฐ ขณะเดียวกัน ประชาชนผู้ไร้อำนาจก็ถูกกล่อมเกลาชวนเชื่อว่าเราคือประเทศเสรี ภายใต้ระบบสาธารณูปโภคสมัยใหม่อันโอ่อ่า คู่ขนานกับการแปรรูปสถาบันอนุรักษนิยมให้กลายเป็นทั้งข้ออ้างในการปกป้อง และเป็นทั้งอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงศัตรูที่เป็นภัยความมั่นคง

ความอหังการของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารยศจอมพลที่มักกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียว” ก็แทบไม่เคยต้องรับผิดใดๆ จากการใช้อำนาจที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วอาณาจักร ยกเว้นแต่ยามที่เขาจากโลกนี้ไปด้วยโรคตับแข็ง พร้อมกับเรื่องราวการทุจริตที่ถูกเปิดโปงอย่างน่าละอาย แต่นั่นก็มิได้ทำให้สังคมไทยรู้สึกว่าการมีอำนาจเบ็ดเสร็จไร้การตรวจสอบนั้นมันส่งผลร้ายแรงปานใดต่อการละเมิดอำนาจอธิปไตยของประชาชน

คำสิงห์ ศรีนอก เจ้าของนามปากกาลาว คำหอมเกิดก่อนปฏิวัติ 2475 เพียงสองปีในครอบครัวชาวนาบ้านหนองบัวสะอาด อ.บึงใหญ่ จ.นครราชสีมา เรียกได้ว่าเขาถูกเลี้ยงมาด้วยครอบครัวชาวนาในช่วงเปลี่ยนผ่านของบ้านเมือง ทันเห็นสงครามโลก และน่าจะรับรู้ถึงห้วงที่คณะราษฎรหมดอำนาจลงอย่างเป็นทางการหลังรัฐประหาร 2490 

โดยประวัติแล้ว คำสิงห์มิได้เป็นแค่ลูกชาวนาที่เตร็ดเตร่ใช้ชีวิตแบบไร้ทิศทาง เขาได้รับการศึกษาสูงพอตัว นั่นคือจบมัธยมจากโรงเรียนประจำอำเภอ และด้วยความที่อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ นัก เขาจึงเข้ากรุงเทพฯ เรียนวิชาการหนังสือพิมพ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทั้งเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเคยทำงานหนังสือพิมพ์ด้วย เขาจึงมิใช่ตาสีตาสา แต่เป็นผู้ที่อยู่เหนือมาตรฐานชีวิตขั้นต่ำของชาวนาที่พอจะมีช่องทางป่ายปีนทางสังคมได้ 

แต่คำสิงห์จำต้องเลิกเรียนกลางคันด้วยปัญหาคลาสสิกนั่นคือสุขภาพและการเงิน จะเพื่อความอยู่รอดหรือต้องการประสบการณ์ก็ไม่แน่ใจนัก เขาเลือกขึ้นเหนือไปทำงานเป็นพนักงานป่าไม้ทำงานแถบป่าเขาดงดอยในภาคเหนือในช่วงปี 2496-2499 จึงไม่น่าแปลกใจที่มันได้กลายเป็นวัตถุดิบในการเขียนเรื่อง ‘ไพร่ฟ้า’ ในฟ้าบ่กั้นที่เล่าถึงปางไม้แถบ อ.ลี้ จ.ลำพูน อันที่จริงในทศวรรษ 2490 เรื่องราวและนิยายเกี่ยวกับป่าเขาเป็นที่นิยมในหมู่ชายแท้อยู่อย่างกว้างขวาง[2] บางทีนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจของเขา และบางทีเนื้อในเรื่อง ‘ไพร่ฟ้า’ อาจเล่าชีวิตส่วนตัวของเขาในนั้นไว้ ว่าเขาได้ทำงานป่าแถบพะเยา, ฝาง, เชียงดาว, พร้าว, แม่แตง, แม่ริม ไปถึงป่าแม่ก้อ[3]

ก่อนจะกลายเป็นรูปเล่ม ต้นฉบับของฟ้าบ่กั้นเคยเป็นเรื่องสั้นที่กระจัดกระจายในนิตยสารยอดนิยม คนรุ่นนี้อาจไม่ทันรู้จักความนิยมของการตามอ่านนิยายในนิตยสารที่เติบโตมาในช่วงทศวรรษ 2490 ซึ่งเป็นความบันเทิงที่ไม่ต่างกับการอ่านมังงะรายสัปดาห์ อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เช่นนี้เปิดโอกาสให้นักอ่านได้รู้จักนักเขียนทีละเล็กทีละน้อยผ่านวัฒนธรรมการอ่านรายสัปดาห์ ก่อนจะขยับขยายไปสู่การรวมเล่มหนังสือในเวลาต่อมา หากนายทุนประเมินแล้วว่าขายได้แน่ๆ จึงใช้โอกาสนั้นในการพิมพ์ออกมาสู่ตลาดหนังสือ งานของลาว คำหอมได้รับการตีพิมพ์ผ่านนิตยสารปิยมิตรในปี 2501 และถูกนำมารวมเล่มในชื่อฟ้าบ่กั้น อันประกอบด้วยเรื่องสั้นชื่อว่า ‘คนพันธุ์’, ‘นักกานเมือง’, ‘เขียดขาคำ’, ‘คนหมู’, ‘หมอเถื่อน’, ‘ชาวนาและนายห้าง’ เหล่านี้คือสิ่งที่อาจเคยผ่านตาผู้อ่านมาแล้ว แต่ในฉบับรวมเล่มคาดว่ายังมีเรื่องที่ไม่เคยตีพิมพ์อย่าง ‘ชาวไร่เบี้ย’ และ ‘ไพร่ฟ้า’ เสริมเข้ามาด้วย อย่างเรื่อง ‘ไพร่ฟ้า’ ลาว คำหอมเล่าว่าเขาตัดสินใจเขียนต้นฉบับเมื่อรู้ว่าจะรวมเล่ม

ฟ้าบ่กั้น มาจากวลีที่ว่าฟ้าบ่กั้นหยังว่าให้ห่างกัน ซึ่งแปลว่าฟ้าก็ไม่ได้กั้น ทำไมเราช่างห่างกันเหลือเกิน[4] รวมเรื่องสั้นที่เสียดเย้ยสังคมของลาว คำหอม ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองของเขาต่อสังคมไทย ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2490 เป็นต้นมาเป็นอย่างช้า มันสะท้อนสภาพสังคมชนบทและนโยบายการพัฒนาของรัฐ เทคโนโลยีทางด้านสาธารณสุข และการปฏิวัติเขียวที่ได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ความวิเศษของสิ่งใหม่ๆ ถูกส่งเข้ามาจากในเมือง ไม่เพียงเท่านั้น ข้าราชการและนายทุนก็เป็นเอเจนซี่สำคัญที่ไม่เป็นเพียงผู้นำความเปลี่ยนแปลงเข้ามา แต่ยังเข้ามาในสถานะที่เป็นเจ้านาย เข้ามาเป็นผู้ที่มีอำนาจที่เหนือกว่าคนในชนบทและชายขอบ ขณะที่ศาสนาที่ดูเป็นสถาบันที่ไม่มีพิษสงกลับเข้าไปเป็นเสียงในหัว เข้าไปเป็นภาพนรก-สวรรค์ที่ตามหลอกหลอนชาวบ้านข้ามภพข้ามชาติ บนความรู้สึกผิดบางประการราวกับเป็นบาปกำเนิดของคนยากจนผู้ไม่อาจทำบุญด้วยขาดทรัพยากร

เรื่อง ‘คนพันธุ์’ กล่าวถึงวิธีคิดที่ปะทะกันอยู่สองแบบ นั่นคือชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยผี กรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ลูกคนเกิดมาได้ง่ายๆ และก็ตายไปได้ง่ายๆ การนับจำนวนลูกเองก็ไม่กล้าที่จะนับจำนวนทั้งหมด เพราะคนแรกพรากจากเนื่องจากผี “เราสู้เขาไม่ได้ แม่เก่าเขาตามมาทันก็ต้องเอากลับไป”[5] ลูกอีกคนมาตายเพราะอีสุกอีใส เธอเอาปูนแดงจากเชี่ยนหมากมาป้ายเพราะหวังไว้ว่าหากเขากลับมาเกิดใหม่จะมีปานแดงปรากฏแบบที่คนโบราณเชื่อกัน สิ่งนี้ช่างตัดแย้งกับโลกสมัยใหม่ที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มากับความรู้แบบอเมริกัน สามารถปรับปรุงพันธุ์สัตว์ให้มีขนาดใหญ่โตแข็งแรง สัตว์เลี้ยงเหล่านี้เองดูท่าจะมีชีวิตที่แข็งแรงและอนามัยดีกว่าชาวนาชาวไร่ที่เป็นผู้เลี้ยงมันเสียอีก สินค้าการเกษตรที่ได้รับการยกระดับมาจากการปฏิวัติเขียวนั้นทำให้ระบบทุนนิยมมันขับเคลื่อนไปได้ ขณะที่เกษตรกรจะเป็นอย่างไรนั้นไม่ใช่ปัญหาของระบบเศรษฐกิจ

ขณะที่เรื่อง ‘คนหมู’ ชี้ให้เห็นว่าชีวิตคนในชนบทช่างยากไร้ “เมื่อความแห้งแล้งกรายเข้ามา ควาย วัว หมูและไก่ก็ค่อยหายไป”[6] จนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ภาพนี้ช่วยย้ำว่ามันต่างไปจากท่วงทำนองชวนเชื่อว่าสังคมไทยนั้น “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แผ่นดินของเรา นี่แสนอุดมสมบูรณ์” แม่ลูกอ่อนไม่มีนม ผัวของเธอแจ้งหมอว่า “คือ ไม่มีน้ำนมครับ ไม่รู้เป็นยังไง นมก็มี แต่มันแบนเหมือน เอ้อ เหมือนหูวัว”[7] สุดท้ายหมอจึงแนะนำให้เมียของเขากินรำ ซึ่งเป็นอาหารหมู จนท้ายเรื่องไม่ว่าจะด้วยเขาหิวจนตาลายและหูตาฝ้าฟาง เขาได้ยินเสียงเมียร้อง “อู๊ด-อู๊ด” ค่าของคนจึงแทบจะไม่ต่างไปจากปศุสัตว์ในสายตาของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

หมอนับเป็นวิชาชีพที่รู้จักกันดีและเป็นที่พึ่งพาของชาวบ้าน ด้วยมีเวทมนตร์อย่างเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ เรื่อง ‘หมอเถื่อน’ ชี้ให้เห็นว่าสมัยก่อนการป่วยไข้จนตายเป็นเรื่องธรรมดา และอาจขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคนดังที่ว่า “บุญมันน้อย เกิดมาไม่ทันสมัยหมอเถื่อนเขา ป่วยไข้ไม่น่าตายก็ตาย ตาสีเขาจะสิ้นแล้วสิ้นอีก ก็ยังฟื้น”[8] ความตลกร้ายมาสำแดงเอาท้ายเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่าการรักษาพยาบาลตามอาการของโรค กลับไปสร้างปัญหาชีวิตให้กับผู้คนในอีกด้าน เพราะหมอไปให้ยานอนหลับ เพื่อรักษาความเจ็บป่วยจากการอดนอนแก่ตาที่มีภารกิจนอนเฝ้าไม่ให้ใครมาขโมยควายไป ในที่สุดโรคก็หาย ควายก็หายไปด้วย ซึ่งในอีกด้านก็เหมือนกับว่าจะเลือกเอาชีวิตและสุขภาพของคน หรือปัจจัยการผลิตของครอบครัว ตัวครอบครัวเองนั้นนึกถึงเรื่องควาย แม้จะต้องขูดรีดตัวเอง แต่ตัวหมอกลับเห็นต่าง

ชีวิตของชาวบ้านในมุมมองของผู้เขียนไม่ได้ห่างไปจากสัตว์ คนไม่ได้มีชีวิตอยู่โดดๆ แต่พึ่งพิงและให้ความรักแก่ทั้งสัตว์ใช้งานและสัตว์เลี้ยง ในเรื่อง ‘ชาวนาและนายห้าง’ ได้ชี้ให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างลุงคงกับไอ้สำริด สุนัขสุดรัก ลุงคงเป็นชาวนาปลดเกษียณที่ช่วยดูแลที่และเก็บค่าเช่าให้คนที่เขาเรียกว่า ‘นายห้าง’ ซึ่งเป็นฝรั่ง นายห้างมักมาในที่ดินและมีกิจกรรมยามว่างอย่างส่องนกเป็นครั้งคราว นายห้างได้มาเจอสำริดก็เล่นคุยกับมันตามประสาฝรั่งรักสัตว์ อยู่มาวันหนึ่งไอ้สำริดไม่สบายก็จึงนำไปรักษาและได้รับการอบรมใหม่ “เขาสอนให้มันรู้หน้าที่ รู้จักเฝ้าบ้าน ช่วยเจ้าของถือตะกร้า จับขโมย เป็นอนามัย ไม่ทำสกปรก”[9] การฝึกหมาให้เชื่องและใช้ได้ ทำให้นึกถึงพลเมืองไทยในอุดมคติของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่เราเห็นจากนโยบายต่างๆ รวมทั้งคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ เมื่อไอ้สำริดกลับมา กลายเป็นว่าไอ้สำริดทำตัวจองหองเกะกะเพื่อนหมาด้วยกัน ในที่สุดก็แว้งกัดแก ความเจ็บปวดนี้อาจยังไม่เท่ากับตอนท้ายเรื่องที่แกรู้ว่าที่นาแห่งนี้จะถูกขายเพื่อไปสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นั่นหมายถึงอนาคตอันโหดร้ายที่รอแกอยู่ด้วย

ว่ากันว่าศรีบูรพาเคยอ่านเรื่อง ‘เขียดขาคำ’ และทักคำสิงห์ว่าเป็นที่นิยมในหมู่นักอ่านในเรือนจำ[10] ซึ่งเข้าใจว่าเป็นช่วงกบฏสันติภาพที่เขาถูกคุมขังในช่วงปี 2495-2500 แต่นั่นก็หมายความว่าอาจขัดแย้งกับข้อมูลว่า ‘เขียดขาคำ’ ถูกตีพิมพ์ในปิยมิตรเมื่อปี 2501 เรื่องสั้นนี้ชี้ให้เห็นถึงอำนาจรัฐที่มีเหนือชาวบ้าน ถึงขั้นทำให้นายนาค นางาม พ่อคนหนึ่งต้องผละอกจากลูกที่ซมด้วยพิษงูเพื่อไปรับเงิน 200 บาทที่จะมอบให้ผู้มีลูกตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากได้เงินมากกว่าการเกรงกลัวอำนาจรัฐ เพราะคนแถวนั้นกำชับมาว่าถ้าไม่ไปต้องติดคุก ไม่เพียงแค่เขาต้องตัดใจจากลูกที่กำลังอยู่ในช่วงชี้เป็นชี้ตาย การไปรับเงินสงเคราะห์ยังถูกเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยคำถามว่า “ทำยังไงจึงมีลูกมากมายนัก” คำตอบของเขาก็กลายเป็นวัตถุแห่งการตลกขบขันของผู้มีอำนาจที่ว่า “มันจน มันจน ไม่มีเงินจะไปซื้อผ้าห่ม ถึงจะเหม็นสาบเหม็นคาวทั้งปีทั้งชาติ ก็ได้ใช้เมียนั้นแล้วต่างผ้าห่ม ลูกมันก็หลั่งไหลมา”[11] ตอนจบของเรื่องกลับเป็นโศกนาฏกรรมของนาค

ตัวละครหนึ่งในเรื่อง ‘ไพร่ฟ้า’ ที่แม้จะเป็นเจ้าปลายแถวที่มีคำนำหน้า ‘หม่อมราชวงศ์’ ได้เป็นตัวแทนของมนุษย์อีกประเภทที่ได้รับการปฏิบัติที่ผิดแผกไป จนเกิดข้อสังเกตจากสามัญสำนึกว่า “การที่มนุษย์ทอดตัวลงเป็นทาสของยศศักดิ์ ทรัพย์สิน และเครื่องมัวเมาต่างๆ เป็นเรื่องที่พอจะมองเห็นเงื่อนไขและเข้าใจได้ แต่โค้งตัวลงเป็นทาสแก่อานุภาพของภูตผีและมนุษย์ตัวเป็นๆ ด้วยกันนี้ นับได้ว่าเป็นความอัศจรรย์ประการหนึ่งของคนเรา”[12] เรื่องที่พาดพิงเจ้านาย จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ของเขาในวันข้างหน้า

อีกหนึ่งสถาบันที่ถูกตั้งคำถามก็คือศาสนา กรณีเรื่อง ‘ชาวไร่เบี้ย’ ลุงมี ชายแก่ผู้ยากไร้และมีหนี้สินล้นพ้น แม้จะนับถือศาสนาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ด้วยความไม่มีจึงทำให้เขาเองก็รู้ตัวดีว่าทำบุญไม่พอ เพราะเชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีได้ในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปนั้นเกิดจากการทำบุญทำทานกับพระและวัด การที่พระมองหน้าแกปฏิบัติตนเหมือนเจ้าหนี้ในชาติหน้าทำให้แกรู้สึกกระอักกระอ่วน “ไม่ต้องมองข้ารู้แล้วว่าชาติหน้าข้าไม่พ้นนรก เพราะข้าไม่มีเงินสร้างกุฏิ”[13] ขณะที่เจ้าหนี้ในชาตินี้ก็ได้เอารัดเอาเปรียบแกจากดอกเบี้ยที่นำไปสู่การยึดที่ดินของแก เท่ากับว่าไม่ต้องรอตายแต่ก็กำลังก้าวขาสู่ขุมนรกแล้ว เท่ากับว่าศาสนากลายเป็นแอกที่คอยกดขี่ผู้ยากไร้เสียเอง แทนที่จะช่วยโอบอุ้มพวกเขาจากชีวิตที่ข้นแค้น

สถาบันที่มีอายุราวสองศตวรรษกว่าอย่างประชาธิปไตยเอง ก็ถูกล้อเลียนผ่านเรื่อง ‘นักกานเมือง’ ในบริบทที่นับแต่รัฐประหารปี 2490 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจผ่าน ‘ทุนนิยมขุนนาง’ ที่เอื้อประโยชน์ต่อนักการเมืองและข้าราชการ การทุจริตที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการโดยเฉพาะผ่านอำนาจของทหารและตำรวจเป็นที่รู้จักกันดี ทั้งยังมีการรัฐประหารอีกสามครั้งตามมาในปี 2491, 2494 และ 2500 ข้อสังเกตนี้ปรากฏผ่านเรื่องสั้นว่า “เขาเรียกรัฐประหาร ประชาธิปไตยน่ะ มันต้องรัฐประหารบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย” “เลือกซี ข้าเห็นพวกบนจังหวัดมันคุยกันเสียงขรม ว่าถึงเวลาออกไปขู่เข็ญชาวบ้านเอาความดีความชอบกันอีกแล้ว”[14] กระทั่งภาพลักษณ์ของผู้แทนราษฎรเองก็ตกต่ำย่ำแย่ ไม่ได้เป็นความหวังให้กับประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นตามระบบที่ออกแบบมาไว้ “ข้าเห็นว่าคนที่เป็นผู้แทนทุกวันนี้ต้องเป็นเกะกะเกเร เอะอะตึงตัง ด่าคนให้เจ็บถึงปู่ย่าตาทวด อาจารย์ไม่เห็นหรือ? พวกมาขอเป็นผู้แทนคราวก่อน มันกุ๊ยเราดีๆ นี่เอง มึงวาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่กันลั่นถนน…ผู้แทนพวกก่อนน่ะ มันคุมโจรมากันเป็นร้อยๆ”[15] แต่การปรามาสนักการเมืองเช่นนี้ ก็ทำให้ฝ่ายถืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญที่มีภาพลักษณ์งดงามกว่า สามารถเถลิงอำนาจในนามรัฐประหารได้เช่นกัน ซึ่งนั่นคือการปูทางไปสู่บัลลังก์ของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 

หลังการตีพิมพ์ฟ้าบ่กั้นได้ไม่นาน สฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็เริ่มออกลาย มีการไล่ปิดสำนักพิมพ์และจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก เมื่อปี 2513 ส.ศิวรักษ์ เขียนย้อนไปรำลึกว่าฟ้าบ่กั้นยามตีพิมพ์ครั้งแรกนั้น ผู้เขียนถูกมองว่า “เป็นคอมมิวนิสต์” “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และยังถูกกลั่นแกล้งจากพวก “จงรักภักดี” และ “เสรีประชาธิปไตย”[16]

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คำสิงห์ต้องกลับไปทำไร่ที่บ้านยาวๆ ช่วงนี้เขาก็ยังคงเขียนเรื่องสั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ‘กระดานไฟ’ (2502 ตีพิมพ์ในหกเกลียว), ‘ฟ้าโปรด’ (2503 ตีพิมพ์ในปิยมิตร), ‘สวรรยา’ (2505 ตีพิมพ์ในขวัญใจ) จนกระทั่งมรณกรรมของจอมเผด็จการเมื่อปี 2505 ที่ตามมาด้วยเรื่องอื้อฉาวทางทรัพย์สินและอนุภรรยา แต่ก็ยังไม่ทำให้ระบบเผด็จการล่มสลายลงง่ายๆ เมื่อเผด็จการรุ่นน้องสานต่ออำนาจไปอีกเป็นสิบปี ผู้นำเผด็จการรุ่นหลังแม้จะมีความเกรี้ยวกราดเชิงบุคลิกน้อยลง แต่นโยบายการควบคุมผู้คนกลับหนักขึ้นไปพร้อมกับสถานการณ์ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่เข้มข้นและถึงพริกถึงขิง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แตกเสียงปืนเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2508 การต่อสู้อย่างดุเดือดเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่หันมายึดแนวการเคลื่อนไหวแบบเหมาอิสต์ นั่นคือการใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง ต่างจากแต่ก่อนที่มุ่งสร้างฐานมวลชนจากในเมืองจากเหล่ากรรมกร ชาวนา ชาวไร่ และกลุ่มชาติพันธุ์ให้กลายเป็นกำลังสำคัญของพรรค งานเขียนแบบสัจนิยมที่เน้นชีวิตอันแร้นแค้นของผู้ถูกกดขี่จึงเป็นรสนิยมที่ไปกันได้กับการขยายตัวของอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย

คำสิงห์มีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาสั้นๆ ระหว่างปี 2510-2511[17] ในยุคนั้นคนไทยไม่น้อยไปใช้ชีวิตทั้งในนามนักศึกษาและผู้แสวงหาประสบการณ์ชีวิต พวกเขาเหล่านี้กลับมาเป็นพลังหนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ประชาธิปไตย

เมื่อคำสิงห์กลับไทย เขาเขียนบทความให้กับวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ซึ่งเป็นชุมนุมนักเขียนหัวก้าวหน้าสมัยนั้น และช่วงนี้เองที่ฟ้าบ่กั้นได้ฤกษ์กลับมาตีพิมพ์อีกครั้ง เมื่อปี 2512 ฉบับนี้ได้รวมเรื่องสั้นที่เขียนในช่วงปี 2502-2505 ที่กล่าวมาแล้ว และยังมีเพิ่มมาอีกสองเรื่อง ได้แก่ ‘อุบัติโหด’ (2512) ที่เคยพิมพ์ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ และเข้าใจว่า ‘แขมคำ’ (2512) ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกในการพิมพ์ครั้งที่สองนี้เอง ผู้จัดพิมพ์คราวนี้คือสำนักพิมพ์ศึกษิตสยามที่มีความใกล้ชิดแนบแน่นกับ สังคมศาสตร์ปริทัศน์นั่นเอง เป็นการตีพิมพ์ห่างจากครั้งแรกถึง 11 ปี หากเปรียบกับคน มันเป็นกาลเวลาที่นานพอจะทำให้ทารกกลายเป็นเด็กรู้ประสา และอีกไม่กี่ฝนก็สามารถเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้แล้ว

ในอีกด้าน ความฉ้อฉลและเน่าเฟะของเผด็จการมีมากขึ้นเรื่อยๆ ความสุกงอมของสถานการณ์ในสังคมไทย นำไปสู่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่คนไทยไม่เคยเผชิญมาก่อน การกลับมาของฟ้าบ่กั้นมาพร้อมกับกระแสการหวนกลับไปผลิตซ้ำผลงานของนักเขียนฝ่ายซ้ายและนักเขียนหัวก้าวหน้าที่เคยโลดแล่นในบรรณพิภพช่วงทศวรรษ 2490 หลังจากนั้น ลาว คำหอมจึงได้กลับมาเป็นที่รู้จักในแวดวงน้ำหมึกอีกครั้ง

เรื่อง ‘อุบัติโหด’ แสดงให้เห็นชีวิตผู้คนในเขตเมืองและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการทำให้ทันสมัยและการทำให้เป็นอเมริกัน รวมไปถึงคนชายขอบที่อยู่ภายใต้เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างโสเภณี โจร คนขับแท็กซี่ กระทั่งพระสงฆ์เองก็อาจกลายเป็นเหยื่อภายใต้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐได้ เรื่องนี้อาจเป็นตัวแทนงานเขียนในทศวรรษ 2510 ลงมาได้ดีที่เป็นจุดอ้างอิงว่ามันไม่ใช่งานที่เขียนเกี่ยวกับชาวนาและชนบทอีกแล้ว แม้แต่บทนำที่ชูศักดิ์ ภัทรกุลวาณิชย์เองก็เลือกที่จะไม่อภิปรายถึงเพราะต้องการมองบริบททางประวัติศาสตร์ของการตีพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ในลักษณะที่จะใช้เทียบกับปีศาจ (2500) ของเสนีย์ เสาวพงศ์[18]

ลาว คำหอมยังมีผลงานที่จะถูกรวมเล่มในสามสี่ปีต่อมาอีกสามเรื่องได้แก่ ‘ป้าย’ (2513 ตีพิมพ์ในวิทยาสารปริทัศน์), ‘ยมทูต’ (2513 ตีพิมพ์ในจัตุรัส), ‘เปโต’ (2514 ตีพิมพ์ในวิทยาสารปริทัศน์) เรื่องสั้นเหล่านี้ได้ขยายภาพไปไกลกว่าการกดขี่ในชนบท แต่ชี้ให้เห็นสภาพสังคมเมืองหรือชานเมืองที่กำลังเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลง

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เสียงของประชาชนได้รับการเปล่งออกมาอย่างกึกก้อง มีการขยายพรมแดนอำนาจประชาชนไปในหลายมิติ การลงไปในเขตชนบทและป่าเขาของนิสิตนักศึกษาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับอิทธิพลและอุดมการณ์ของฝ่ายซ้าย ในชีวประวัติของคำสิงห์ ศรีนอก เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และได้รับเลือกเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค[19] นั่นคือบทบาทที่เขาเข้าใกล้ศูนย์กลางอำนาจมากที่สุด แต่ไม่แน่ใจนักว่าขณะนั้นเขามองกลับไปที่เรื่องสั้น ‘นักกานเมือง’ แล้วจะรู้สึกอย่างไร

เพียงหนึ่งปีหลัง 14 ตุลาฯ ฟ้าบ่กั้นก็ได้ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สาม (2517) โดยรวมเอาเรื่องสั้นจากปี 2513-2514 และ ‘อีกไม่นานเธอจะรู้’ (2517 ตีพิมพ์ในชีวิตที่ว่ากันว่าเป็นภาคต่อจาก “เหมือนอย่างไม่เคย” โดยวิทยากร เชียงกูล)[20] และนี่เองจะเป็นฟ้าบ่กั้นแบบที่รู้จักกันในทุกวันนี้ ที่รวมเรื่องสั้นตั้งแต่ปี 2501-2517 สรุปแล้วฟ้าบ่กั้นเป็นการรวมเรื่องสั้นในสามช่วง จากการพิมพ์สามครั้ง คือครั้งที่หนึ่ง (2501), ครั้งที่สอง (2503-2512) และครั้งที่สาม (2513-2517) ทั้งหมดคืองานเขียนก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามหลวง เมื่อเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 

เหตุการณ์นั้นทำให้เขาต้องหนีเข้าป่าร่วมกับ พคท. แต่ในป่านั้นก็ไม่ใช่คำตอบ มีความขัดแย้งระหว่างเขากับพรรคโดยไม่มีการระบุสาเหตุ ทำให้คำสิงห์และครอบครัวจะพากันลี้ภัยไปยังสวีเดนในปี 2520[21] ที่นั่นลาว คำหอมได้ตีพิมพ์ฟ้าบ่กั้นในภาษาสวีเดน เมื่อปี 2521 ในคำนำฉบับนั้น เขาประดิษฐ์คำว่า ‘วรรณกรรมแห่งฤดูกาล’ ขึ้นเพื่อสะท้อนว่าโลกของวรรณกรรมมีลักษณะที่เกาะแน่นอยู่กับสภาพของชีวิตและปรากฏการณ์ของสังคม แล้วเขาย้อนไปว่าเคยมีจุดหมาย “…เขียนคำร้องทุกข์ โดยตั้งใจจะเสนอภาพความยากไร้ ความเสื่อมโทรม และความล้าหลังของชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่มีจำนวนร้อยละแปดสิบห้าของพลเมืองในประเทศ ด้วยเจตนาจะเรียกขนานมโนธรรมของชาวเมือง ชนชั้นผู้ปกครอง และนายเงินที่มั่งคั่ง”[22] ซึ่งสอดคล้องกับงานทั้งหลายก่อน ‘อุบัติโหด’ ในปี 2512 เขาได้สะท้อนเสียงวิจารณ์ต่อเรื่อง ‘แขมคำ’ ที่ปรากฏในตัวเขาว่า “ในฐานะคนบ้านนอกที่เข้าไปมีชีวิตอยู่ในเมือง ข้าพเจ้ารู้ว่าเรื่องราวและข่าวสาร อันเป็นเสมือนข้อต่อแห่งความสัมพันธ์ในหมู่พวกเราๆ ในชนชั้น ‘แขมคำ’ ไม่ให้ขาดจากกันก็คือข่าวเทศกาลงานบุญของบ้านเกิด อันถือได้ว่าเป็นฤดูกาลของความคิดถึงบ้านโดยแท้”[23]

แม้จะไม่มีงานเขียนรวมเล่มเพิ่มเติมหลังจากนี้อีกแล้ว แต่ฟ้าบ่กั้นก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการพิมพ์จากสำนักพิมพ์หนึ่ง มาสู่อีกสำนักพิมพ์หนึ่ง รวมแล้วถึง 23 ครั้ง สะท้อนถึงความนิยมและบทสนทนากับสังคมไทยที่ยังไม่ล้าสมัยง่ายๆ ฟ้าบ่กั้นได้รับการพิมพ์ครั้งที่ห้า (2522) โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล 

ฉบับภาษาเดนมาร์ก เขายืนยันว่าฟ้าบ่กั้นถูกนำมาเผาร่วมกับหนังสืออื่นๆ นับพันเล่มที่ท้องสนามหลวง เมื่ออาการ ‘รักชาติ’ กำเริบสูง เขายังชี้ให้เห็นอีกว่า “…ในสมัยหนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นั้น จะมีตั้งแต่นักบวชทรงสมณศักดิ์ เศรษฐีเงินล้าน นายพลในกองทัพ อธิการบดี กระทั่งนักเขียนปลุกเร้ากามารมณ์”[24]

ในปีเดียวกัน บรรจง บรรเจิดศิลป์ หรืออุดม สีสุวรรณ ปัญญาชนคนสำคัญของ พคท. ที่ออกจากป่ามาระยะหนึ่งแล้ว เขียนถึงเขาในมติชนสุดสัปดาห์ปี 2527 เป็นเวลาต่อเนื่องกันถึงสามสัปดาห์ ในฐานะนักวิจารณ์วรรณกรรม เขาชี้ว่าคำสิงห์เป็น ‘นักอัตถนิยมมนุษยธรรม’ ที่มีงานเขียนเป็นกระจกสะท้อนชีวิตและมิได้เป็นประทีปที่ส่องหรือชี้แนะ ทั้งยังเห็นว่าเป็นศิษย์ของศรีบูรพา แต่ทำหน้าที่ที่ศรีบูรพาทำไม่สำเร็จให้สำเร็จได้ นั่นคือเขียนเรื่องชาวนา เพราะศรีบูรพาเขียนจากคำบอกเล่าของชาวนา แต่สำหรับคำสิงห์ เขาเขียนจากประสบการณ์ของตนเอง ทั้งยังชี้ว่านวนิยายเรื่องแมว (2527) ของคำสิงห์นั้นคือเรื่องสั้นที่ไม่ทันจบของเขาอันต่อเนื่องมาจากฟ้าบ่กั้นนี่แหละ แล้วบรรจงก็ทิ้งหมัดฮุคไว้ตอนท้ายว่าไม่มีคำตอบจากชาวนาในนวนิยายว่าใครคือคู่ขัดแย้งของชาวนา[25] ซึ่งก็หมายถึงโดยนัยว่าแล้วพวกเขาจะสู้กับศัตรูเช่นใดในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม จัดว่าฟ้าบ่กั้นเองไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ต้นทศวรรษ 2500 แบบที่ชูศักดิ์วางกรอบไว้แล้ว

หลังจากนั้นอีกสองปี วรรณกรรมของลาว คำหอมฉบับนี้ก็ได้รับการพิมพ์ครั้งที่หก (2529) และเจ็ด (2530) โดยสำนักพิมพ์กอไผ่ เช่นเดียวกับการพิมพ์ครั้งที่แปด เก้า และสิบ (2533, 2535) โดยสำนักพิมพ์กำแพง อาจถือว่าได้ว่าสินค้าทางวัฒนธรรมนี้ได้ถูกผลิตซ้ำในยุคทองของเศรษฐกิจและสิ่งพิมพ์ไทย ยิ่งเมื่อคำสิงห์ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ในปี 2535 (ที่ในปัจจุบันใครๆ ก็รู้แล้วจาก คดีสุชาติ สวัสดิ์ศรี ว่าศิลปินแห่งชาติเป็นตำแหน่งที่เหมาะกับคนเชื่องต่อระบบ) ก็น่าจะทำให้เขาถูกจับตามองอย่างกว้างขวางไปอีก และนำไปสู่การจัดพิมพ์ของสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่นั่นคือ แพรวสำนักพิมพ์

ที่น่าสนใจคือก่อนเศรษฐกิจไทยจะดิ่งเหวและเกิดวิกฤตในวงการสิ่งพิมพ์เพียงปีเดียว แพรวสำนักพิมพ์ลงทุนจัดพิมพ์ฟ้าบ่กั้นขึ้น ถึงขณะนี้แพรวสำนักพิมพ์ยังเป็นผู้ที่พิมพ์ซ้ำออกมามากที่สุด กล่าวคือ 11 ครั้ง (ครั้งที่ 11 (2539) – 21 (2552)) ในช่วงนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลทางการเมืองไทย ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ว่ากันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่เกิดจากการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง การขึ้นมามีอำนาจของพรรคไทยรักไทย การเมืองเชิงนโยบาย ตลอดจนการต่อต้านรัฐบาลจนเกิดรัฐประหารที่กลับมาอีกครั้งในปี 2549 ซึ่งเรารู้กันดีว่านำไปสู่การเมืองมวลชนแบบแบ่งขั้วอย่างรุนแรง

ฟ้าบ่กั้นพิมพ์ครั้งที่ 22 โดยสำนักพิมพ์อ่านเมื่อปี 2555 หลังจากการปราบเสื้อแดงบริเวณราชประสงค์ใจกลางกรุงเทพฯ เพียงสองปี และห่างหายจากการพิมพ์ครั้งก่อนไปเพียงสามปี ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ชี้ให้เห็นในบทนำอย่างเจ็บแสบ ว่าทำไมฟ้าบ่กั้นจึงกลายเป็นหนังสือที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือผลิตซ้ำอัตลักษณ์ความเป็นอีสานและวาทกรรม ‘โง่ จน เจ็บ'[26] และยังชี้ว่า ความล้มเหลวของฟ้าบ่กั้นมาจากการคาดหวังสูงไปจากอภิสิทธิ์ชนว่าพวกเขาจะเปิดใจกว้างพอจะเข้าใจผู้คนในอีกโลก แต่กลับยิ่งทำให้พวกเขาผลิตซ้ำความเชื่อและวาทกรรมดังกล่าว “วรรณกรรมนี้ที่มีศักยภาพจะดึงฟ้าให้ต่ำ จึงกลายเป็นวรรณกรรมที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือยกฟ้าให้สูงสุดเอื้อม และเหยียบดินให้ทรุดต่ำลง”[27] สอดคล้องกับปรากฏการณ์ปราบเสื้อแดงราชประสงค์ที่ชาวเมือง -คนกรุงเทพฯ- มองม็อบเสื้อแดงในแว่นวาทกรรมเช่นนั้น คำวิจารณ์นี้อาจยังสะท้อนผ่านการที่ฟ้าบ่กั้นเคยเป็นสินค้าขายดีภายใต้สำนักพิมพ์ที่ยอดจำหน่ายผูกพันกับชนชั้นกลางในเมืองอย่างแพรวสำนักพิมพ์อีกด้วย 

ฟ้าบ่กั้นตีพิมพ์ครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 23 เมื่อปี 2563 ในวาระครบรอบ 90 ปีโดยสำนักพิมพ์สมมติ หลังเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 เพียงหนึ่งปี แต่น่าคิดว่านับจากปี 2563 จนถึง 2568 ฟ้าบ่กั้นจะยังเป็น ‘วรรณกรรมแห่งฤดูกาล’ อยู่หรือไม่ ท่ามกลางการเมืองมวลชนที่สามัญชนก็ยังถูกกั้นให้ห่างออกไปจากอำนาจ ส่วนการทลายโครงสร้างอำนาจก็ยังไม่มีวันจะพบเห็นได้ง่าย เมื่อพิจารณาจากทั้งผู้กุมอำนาจ และมวลชนที่สนับสนุนทหารอย่างกว้างขวางอันน่าขนลุกจากกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

References
1 ลาว คำหอม (นามแฝง), ฟ้าบ่กั้น(พิมพ์ครั้งที่ 22, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อ่าน, 2555), หน้า 124
2 พีรณัฐ เปี่ยมศักดิ์สันติ และณัฏฐพงษ์ สกุลเลี่ยว, “ล่องไพรกับการสร้างมโนทัศน์ ‘ลูกผู้ชายนักผจญภัย’ ในทศวรรษ 2490”, ศิลปวัฒนธรรม, 40 : 1 (พฤศจิกายน 2561)
3 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 11
4 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 46
5 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 66
6 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 83
7 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 81
8 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 90
9 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 148
10 อินทรชัย พาณิชกุล. “ลาว คำหอม แก่นแกนที่เป็นสัจจะของชีวิตใน ‘ฟ้าบ่กั้น’”. Kommon. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2568 จาก https://www.thekommon.co/lao-khamhom/ (8 ตุลาคม 2567)
11 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 45
12 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 29
13 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 57
14 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 103
15 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 104
16 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 267
17 แอนเดอร์สัน, เบเนดิกท์, ในกระจก : วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน (กรุงเทพฯ : พิมพ์อ่าน, 2553), หน้า 248-249
18 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 23
19 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, จากปกพับ
20 แอนเดอร์สัน, เบเนดิกท์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 249-250)
21 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, จากปกพับ
22 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 253
23 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 256
24 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 260-261
25 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 281-282, 290
26 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 17
27 ลาว คำหอม (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 60

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save