หมายเหตุ: การเดินทางไปพูดคุยกับโฆษกกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) นี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลและสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย โดยบทความนี้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อให้ผู้อ่านรับรู้ถึงแนวคิดของฝั่งอิสราเอลที่มีต่อสถานการณ์สงครามที่กำลังเกิดขึ้นผ่านความคิดเห็นของโฆษก IDF เองเท่านั้น เนื้อหาในบทความไม่ได้สะท้อนถึงจุดยืนของผู้เขียนและวันโอวันแต่อย่างใด
เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลจากหลายด้าน วันโอวันขอแนะนำให้อ่านบทสัมภาษณ์เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำประเทศไทยที่เราได้ทำการพูดคุยมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันประกอบกันไปด้วย โดยอ่านได้ที่ www.the101.world/walid-abu-ali-interview/
นอกจากนี้ผู้อ่านยังสามารถอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์และความขัดแย้งระดับภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบันจากอีกหลากหลายแง่มุมได้ ผ่านบทความอื่นๆ ของวันโอวันที่ www.the101.world/category/middle-east-on-fire/
“ถ้ามองลงไป คุณจะเห็นท่าเรือขนาดใหญ่ เห็นโรงงานมากมาย โดยเฉพาะโรงงานเคมี จุดเหล่านี้ได้กลายเป็นเป้าของการโจมตีทางอาวุธเพื่อสร้างความเสียหาย รวมทั้งทำร้ายพลเรือนที่อาศัยอยู่รอบๆ”
เดวิด รอสส์ (David Ross) โฆษกแห่งกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (Israel Defense Force หรือ IDF) พูดพร้อมผายมือชี้นิ้วไปยังทิวทัศน์ของเมืองไฮฟา (Haifa) ในเบื้องล่างของเทือกเขาคาร์เมล (Mount Carmel) ที่เรายืนอยู่
“สภาพภูมิประเทศตรงนี้ทำให้เมืองนี้ถูกรายล้อมด้วยศัตรูและภัยคุกคามของเรารอบด้าน” รอสส์อธิบายต่อ
ทัศนวิสัยของเมืองไฮฟาในขณะนั้นไม่ดีนัก รอสส์บอกว่าหากเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เราอาจมองเห็นได้ไกลถึงชายแดนด้านใต้ของเลบานอนที่อยู่ถัดขึ้นไปเพียงราวๆ 50 กิโลเมตร และหากเราขึ้นไปในจุดอื่นของเมืองที่สูงกว่านี้ก็อาจมองเห็นประเทศซีเรียที่อยู่อีกทิศหนึ่งด้วย รอสส์ชี้ว่าการตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบรรดาประเทศเหล่านี้ รวมทั้งการมีฐานะเป็นเมืองเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้นๆ ของอิสราเอลนี้เอง ทำให้ไฮฟามักโดนเพ่งเล็งจากกองกำลังคู่ขัดแย้งในประเทศเหล่านั้นแทบทุกครั้งที่การสู้รบปะทุขึ้นตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ณ ตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ที่มีฐานที่มั่นทางตอนใต้ของเลบานอน ได้ถูกปลุกชีพขึ้น เมืองไฮฟาก็ได้กลายเป็นที่พูดถึงตามหน้าข่าวระดับโลกอีกครั้งในฐานะพื้นที่ที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้พยายามยิงขีปนาวุธโจมตี ซึ่งมีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ
สงครามระลอกล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์นี้เกิดขึ้นโดยเป็นเหตุสืบเนื่องมาจากการปะทุขึ้นของสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในพื้นที่กาซา (Gaza) บนดินแดนปาเลสไตน์ ทางภาคใต้ของอิสราเอล ในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อันเป็นวันที่ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ ก่อนที่เพียงวันเดียวหลังจากนั้น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์อันถือเป็นพันธมิตรอย่างหลวมๆ ของกลุ่มฮามาสและเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลมายาวนาน จะกระโจนเข้ามาร่วมต่อสู้กับอิสราเอล ภายใต้การสนับสนุนเบื้องหลังจากประเทศอิหร่าน ทำให้อิสราเอลกำลังต้องต่อสู้พร้อมกันในสองแนวรบหลักนี้
เหล่านี้คือข้อมูลอย่างคร่าวที่รอสส์พูดเกริ่นต่อผู้สื่อข่าวจากประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับเชิญไปพูดคุย ก่อนจะเริ่มนั่งล้อมวงเพื่อบรรยายลงรายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลังสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในแนวรบฝั่งเหนือที่เลบานอน และแนวรบฝั่งใต้ในพื้นที่ฉนวนกาซา ไปจนถึงฉากทัศน์ของสันติภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางที่คาดหวังในอนาคต
[สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024]
แนวรบฝั่งเหนือ – กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
“ในระยะเวลา 14 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2023 (วันที่ฮิซบอลเลาะห์เริ่มปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล) มาจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งเป็นวันบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ฮิซบอลเลาะห์ได้ยิงมิสไซล์โดยพุ่งเป้ามายังแหล่งชุมชนในอิสราเอลแล้วมากกว่า 17,000 ลูก ส่งผลให้ประชาชนอิสราเอลกว่า 60,000 คน ไม่สามารถกลับไปยังที่อยู่อาศัยของตัวเองได้” รอสส์เริ่มต้นด้วยการให้ข้อมูลถึงการโจมตีจากฝั่งตรงข้ามในสงครามที่ปะทุระหว่างกันล่าสุด ก่อนที่ต่อมากองกำลังฝั่งอิสราเอลจะตัดสินใจโต้กลับ
“เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีหลักฐานบ่งชี้ว่าพวกเขา (ฮิซบอลเลาะห์) จะยกระดับด้วยการระดมยิงขีปนาวุธเข้ามาฝั่งเราเพิ่มขึ้นอีก เป็นเหตุให้เราตัดสินใจดำเนินปฏิบัติการโจมตีทางอากาศไปยังเป้าหมาย 40 แห่งในพื้นที่ทางตอนใต้ของเลบานอน แต่เราก็มาตระหนักว่านั่นอาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะฮิซบอลเลาะห์ยังเตรียมยกระดับการโจมตีเราอีก ทำให้ในเดือนกันยายน เราต้องยกระดับปฏิบัติการตอบโต้ และได้ส่งการแจ้งเตือนไปยังประชาชนเลบานอนให้หลบหนี” รอสส์เล่าต่อ
รอสส์ยังเปิดเผยถึงวิธีที่อิสราเอลส่งสารแจ้งเตือนประชาชนว่าทำด้วยการ “แฮ็กเข้าไปยังสถานีวิทยุท้องถิ่นของเลบานอน แล้วบอกพลเรือนว่าเราคือกองทัพอิสราเอล และเรากำลังจะโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตามหมู่บ้านของพวกคุณ ถ้าคุณอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้น ขอให้หลบหนีไปจนกว่าจะมีประกาศแจ้งให้ทราบในภายหลัง โดยการแจ้งเตือนนี้เกิดขึ้นล่วงหน้าประมาณไม่กี่ชั่วโมงก่อนเราเริ่มโจมตี”
ในการยกระดับการโต้กลับตอนนั้น รอสส์ให้ข้อมูลว่า IDF ได้มุ่งโจมตีเป้าหมายถึงราว 2,000 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งคลังอาวุธยุทโธปกรณ์ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
อย่างไรก็ตาม การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อเลบานอนทั้งในส่วนพื้นที่ตอนใต้และลามไปถึงพื้นที่อื่นๆ นั้น ก็ได้รับเสียงประณามจากนานาชาติว่ากระทำเกินกว่าเหตุ แม้อิสราเอลจะอ้างว่ามุ่งโจมตีแหล่งที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์ แต่กลับกลายเป็นว่าอาคารบ้านเรือน แหล่งธุรกิจการค้า และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประชาชนก็ถูกถล่มจนได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ขณะที่พลเรือนเองก็มีทั้งที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไปไม่น้อย
ต่อประเด็นนี้ รอสส์ได้แก้ต่างให้ IDF ว่า “คุณอาจเห็นตามหน้าข่าวในช่วงนั้นว่ามีการโจมตีทางอากาศขนานใหญ่นำไปสู่การระเบิดหลายครั้งต่อเนื่องกัน แต่ถามว่ามันเป็นเพราะเราทิ้งระเบิดใส่หลายลูกต่อเนื่องแบบไม่บันยะบันยังไหม ไม่ใช่เลย เพราะความจริงแล้วเมื่อเราทิ้งระเบิดลงไปแค่ลูกหนึ่ง กลายเป็นว่ามันส่งผลให้เกิดระเบิดต่อกันเป็นลูกโซ่ ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะในพื้นที่เหล่านั้นมีการเก็บระเบิดจำนวนมากมายมหาศาลไว้ตามจุดต่างๆ อยู่แล้วต่างหาก”
“มันแสดงให้เห็นว่าเมืองนั้นได้ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของกองกำลัง และเราก็เคยค้นพบว่าในบางอาคารที่ได้ถูกทำลายเสียหายหนักนั้น มีเครื่องยิงจรวดขนาดใหญ่และมีระเบิดซุกซ่อนอยู่” รอสส์เล่า และให้ข้อมูลเพิ่มว่ายังพบอุโมงค์ใต้ดินที่ฮิซบอลเลาะห์ขุดไว้ตามใต้อาคารบ้านเรือนหลายแห่ง โดยรอสส์ชี้ว่าการค้นพบปัจจัยทางการทหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่าฮิซบอลเลาะห์ได้เตรียมการโจมตีอิสราเอลมาล่วงหน้ามานานพอสมควร

ในระยะสองเดือนที่บุกโจมตีทางตอนใต้ของเลบานอนนั้น รอสส์บอกว่า IDF สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานของฮิซบอลเลาะห์ได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังสามารถตัดช่องทางลำเลียงอาวุธจากประเทศรอบข้างไปสู่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์
อีกหนึ่งประเด็นที่รอสส์บอกว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่คือการสามารถสังหารผู้นำและบุคคลระดับแนวหน้าในกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ ซึ่งรอสส์มองว่าเป็นผลดีที่จะช่วยให้การสู้รบยุติได้เร็วขึ้น
เขาขยายความคำพูดเขาว่า “สงครามเป็นอะไรที่ไร้ซึ่งความปรานี แต่หนทางที่ปรานีมากที่สุดที่เราทำได้ก็คือการสังหารผู้นำขบวนการฝั่งศัตรู เพื่อให้สงครามจบเร็วขึ้นและเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายตามมามากกว่านี้”
รอสส์บอกว่าทั้งหมดนี้ทำให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ถูกตัดทอนกำลังลงมาก ซึ่งรอสส์ก็ให้คำสรุปว่าปฏิบัติการของกองกำลังอิสราเอลในการปราบกลุ่มฮิซบอลเลาะห์นั้น “ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง”
อย่างไรก็ดีรอสส์ตระหนักดีว่าปฏิบัติการของกองทัพได้นำมาซึ่งความสูญเสียต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์เช่นกัน โดยเขาบอกว่ารู้สึกเห็นอกเห็นใจและเศร้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ได้กล่าวโทษว่าต้นเหตุเป็นเพราะฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งรอสส์ใช้คำว่าเรียกว่า “กลุ่มผู้ก่อการร้าย” นั้น สร้างฐานที่มั่นไว้ตามแหล่งที่อยู่อาศัยของพลเรือนจนทำให้ประชาชนต้องได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ภายหลังจากที่การสู้รบดำเนินมาต่อเนื่องนับเดือน อิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
“เป็นเรื่องน่ายินดีที่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ ซึ่งเราก็หวังว่ามันจะดำเนินต่อไปได้ ทำให้พลเรือนชาวอิสราเอลสามารถกลับไปยังที่อยู่อาศัยของตัวเอง และทำให้กองกำลังในพื้นที่เลบานอนตอนใต้ไม่สามารถกลับมาติดอาวุธตัวเองได้อีกครั้ง เราต้องมีความหวังเช่นนั้น เพราะเราไม่อยากให้สถานการณ์อย่างในวันที่ 7-8 ตุลาคม (2023) ที่กองกำลังเหล่านั้นมาโจมตีเรา ต้องเกิดขึ้นอีก” รอสส์แสดงความเห็น
รอสส์กล่าวต่อว่า “แต่ถ้าเมื่อใดมีข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลวและฮิซบอลเลาะห์ยังคงโจมตีเรา อิสราเอลก็จำเป็นต้องตอบโต้อย่างแน่นอนเพื่อที่จะปกป้องพลเรือนของเรา”
ทั้งนี้รอสส์ให้ข้อมูลว่าภายหลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ยังพบว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ยิงเข้ามายังอิสราเอลอยู่ ขณะที่อีกด้าน ฝั่งทางการเลบานอนและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็มีการกล่าวหาว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเช่นกัน
แนวรบฝั่งใต้ – กลุ่มฮามาสในกาซา
ขณะที่แนวรบทางด้านเหนือของอิสราเอลทุเลาลง สมรภูมิกาซาในฝั่งใต้ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสนั้นกลับยังคงดุเดือด โดยนับจากวันที่ 7 ตุลาคมที่ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลนั้น IDF ก็ได้ดำเนินปฏิบัติการโต้กลับถล่มพื้นที่กาซาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ถูกนานาชาติประณามว่าเป็นการตอบโต้ที่รุนแรงเกินสมควร แต่รอสส์ยืนยันว่าปฏิบัติการที่ IDF ดำเนินในกาซาอยู่นั้นคือความจำเป็นเพื่อป้องกันประเทศอิสราเอล ด้วยการขุดรากถอนโคนกลุ่มฮามาส
“อย่างที่รู้กันว่าในวันที่ 7 ตุลาคม (2023) ได้เกิดการสังหารหมู่อันเลวร้าย (ต่อชาวอิสราเอล) ดังนั้น IDF จึงจำเป็นต้องดำเนินปฏิบัติการคล้ายกับที่ทำในเลบานอน นั่นคือเพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าสถานการณ์นี้แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ฮามาสจะไม่สามารถโจมตีเราแบบนั้นได้อีก” รอสส์กล่าว
อย่างไรก็ตาม รอสส์บอกว่าปฏิบัติการในกาซามีความยากกว่าในเลบานอนอยู่มาก เขาอธิบายว่า “จุดที่ทำให้สถานการณ์ในกาซาแตกต่างจากในเลบานอน นั่นคือพวกเขา (กลุ่มฮามาส) ลักพาตัวประกันในอิสราเอลไปด้วย 251 คน”
รอสส์ขยายความว่าความยากของการมีตัวประกันอยู่ในพื้นที่นั้นคือการที่ IDF ต้องมีภารกิจในการพยายามช่วยเหลือตัวประกันออกมาให้ได้นำไปสู่การดำเนินปฏิบัติการทางการทหารที่ยืดเยื้อจนถึงทุกวันนี้
“การที่กลุ่มก่อการร้ายจับกุมพลเรือนไปเป็นตัวประกัน ทำให้ทางเลือกของเราหดแคบลง” รอสส์กล่าว โดยขยายความว่าการมีคนถูกจับไปตัวประกันนั้นบีบให้ IDF จำเป็นต้องดำเนินปฏิบัติการทางการทหารในกาซาต่อไปโดยแทบไม่มีทางเลือกอื่น
“หากฮามาสปล่อยตัวประกันทั้งหมดออกมา IDF ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เราจะต้องเข้าไปในกาซาอีก” รอสส์กล่าวต่อ
ขณะเดียวกันรอสส์ยอมรับด้วยว่าการปล่อยให้กลุ่มฮามาสสามารถจับตัวประกันไปได้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 คือ “ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ IDF และหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล” โดยรอสส์ระบุว่าความผิดพลาดหลักๆ นั้นคือการขาดกำลังพลในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ถูกฮามาสโจมตีได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากฮามาสได้โจมตีเข้าไปหลายทิศทาง
“IDF จึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ ด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวประกันสามารถกลับบ้านได้ ไม่ว่าจะด้วยช่องทางการเจรจาทางการทูตหรือการใช้กำลังทางการทหารก็ตาม” รอสส์กล่าว

แต่ก็คล้ายกับสถานการณ์ในเลบานอน แม้อิสราเอลจะกล่าวอ้างว่าปฏิบัติการทางการทหารมุ่งเป้าไปยังกลุ่มฮามาส แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันได้สร้างความเดือดร้อนและความสูญเสียต่อพลเรือน โดยล่าสุดสหประชาชาติได้รายงานยอดผู้เสียชีวิตในช่วงเวลา 14 เดือนที่ผ่านมาว่ามีจำนวนเกินกว่า 45,000 คน ทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และประสบวิกฤตทางด้านมนุษยธรรมอีกเป็นจำนวนไม่น้อย จนนำไปสู่เสียงประนามจากนานาชาติอย่างมหาศาลตลอดขวบปีที่ผ่านมาของสงคราม และยังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นการ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ต่อชาวปาเลสไตน์
แต่รอสส์ตอบโต้ต่อข้อกล่าวหาดังกล่าวว่า “ในฐานะที่ผมมีพื้นฐานเป็นนักกฎหมายและมีความรู้เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ผมว่าข้อกล่าวหานี้เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมายถึงความตั้งใจที่จะทำลายกลุ่มคนทั้งหมดที่มีอัตลักษณ์บางอย่างแบบเดียวกัน แต่ในสงครามที่เกิดขึ้นนี้ อิสราเอลไม่ได้ต่อสู้กับประชาชนปาเลสไตน์หรือพลเรือนในกาซาอันเนื่องมาจากอัตลักษณ์ของพวกเขาแต่อย่างใด แต่เรากำลังต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายต่างหาก” รอสส์อธิบายต่อ
“ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่าสถานการณ์ความยากลำบากที่คนปาเลสไตน์กำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องจริง ผมไม่ได้จะด้อยค่าความเจ็บปวดของพวกเขา แต่ผมแค่อยากให้เข้าใจว่าข้อกล่าวหานี้ (ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) ไม่ได้มีน้ำหนักทางกฎหมายที่หนักแน่น” รอสส์กล่าว
นอกจากนั้นรอสส์ยังกล่าวโทษว่าต้นเหตุของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนี้คือกลุ่มฮามาส โดยรอสส์ได้เทียบให้เห็นว่าฮามาสกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนใช้กลยุทธ์คล้ายกัน นั่นคือ “การใช้ชีวิตพลเรือนเป็นเครื่องมือ” และการ “ใช้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของพลเรือน”
“ฮามาสถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์เมื่อมีพลเรือนในกาซาล้มตายหรือได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้น มันเป็นความต้องการของฮามาสที่อยากให้เราสังหารประชาชน เพราะต้องการให้ภาพลักษณ์ของอิสราเอลเสื่อมเสีย และทำลายความชอบธรรมของอิสราเอล” รอสส์กล่าว
รอสส์นิยามว่ากลยุทธ์ที่ฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ใช้นี้เป็นวิธีการของ “กลุ่มก่อการร้าย ซึ่งแตกต่างจากกองทัพโดยทั่วไปที่ไม่ทำแบบนี้กัน” ซึ่งรอสส์บอกว่าการใช้แบบแผนการต่อสู้นอกขนบเช่นนี้ทำให้ปฏิบัติการของ IDF มีความท้าทายยิ่งกว่าการสู้รบกับกองทัพแบบทางการโดยทั่วไป
“ตามกฎหมายระหว่างประเทศมีหลักการให้กองทัพต้องจำแนกระหว่างคนที่เป็นกำลังพลกับคนที่เป็นพลเรือน แต่ปัญหาคือในสงครามนี้ พวกกำลังพลของกลุ่มก่อการร้ายก็แต่งตัวคล้ายพลเรือนทั่วไป ทำให้เราจำแนกได้ยาก และส่งผลให้เรากระทำการผิดพลาดได้” รอสส์กล่าว
ในระหว่างที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสกำลังดำเนินอยู่นี้ ก็มีความพยายามจากทั้งองค์กรนานาชาติและประเทศต่างๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพ หรือเกิดการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งรอสส์ก็ได้ให้ความเห็นว่ายังมีความหวังที่จะเกิดการพูดคุยหาข้อตกลงได้ โดยมีปัจจัยมาจากฝั่งฮามาสที่กำลังอ่อนแรงลงหลังถูกอิสราเอลถล่มอย่างหนัก รวมทั้งถูกตัดช่องทางการส่งอาวุธและสังหารผู้นำกลุ่ม จึงบีบให้ฮามาสต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
“เรามีความหวังว่ากลุ่มฮามาสจะยอมแพ้และส่งคืนตัวประกันกลับมา” รอสส์กล่าว

“อย่าหมดหวังในสันติภาพ“
ท้ายสุดแล้ว รอสส์กล่าวว่าท่ามกลางสงครามอันหนักหน่วงที่เกิดขึ้นอยู่นี้ เขายังมีความหวังที่จะเห็นสันติภาพอันยั่งยืนเกิดขึ้นได้ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
“สำหรับผม อนาคต (ของตะวันออกกลาง) จะต้องเป็นอนาคตแห่งการมีเสถียรภาพและความมั่งคั่ง เป็นอนาคตที่คนทุกคนเคารพในสิทธิมนุษยชนของกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข” รอสส์กล่าว
ขณะที่หลายคนอาจยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่จะไปสู่ภาพดังกล่าวได้ รอสส์ย้ำเตือนว่าทุกคนยังไม่ควรหมดหวัง
“จากบาดแผลที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว หลายคนบอกว่าสันติภาพกำลังถอยห่างออกไปไกลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมก็ยังมีกำลังใจจากการได้เห็นประวัติศาสตร์ว่าช่วงเวลาที่มืดหม่นที่สุดมักตามมาด้วยรุ่งอรุณ อย่างที่ผ่านมาที่เราเคยได้เห็นความสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าเราควรจะหมดหวัง” รอสส์ให้ความเห็น
“ที่ผ่านมา ผมเคยเห็นหลายประเทศที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่ซับซ้อนยุ่งยากในแบบของมัน แต่ประเทศเหล่านั้นก็สามารถบรรลุสันติภาพได้” รอสส์ตอกย้ำให้เห็นความหวัง
ก่อนจบการพูดคุย รอสส์ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ผมเชื่อมั่นว่าพวกขบวนการหัวรุนแรงจะไม่สามารถทำอะไรที่เป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพและเผยแพร่ความเกลียดชังอย่างที่เคยทำได้อีก และขณะเดียวกันเรา (อิสราเอล) ก็ไม่สามารถประมาทได้ เราต้องเข้มแข็งเสมอ และต้องสามารถปกป้องตัวเองได้”
