หลังๆ ดูเหมือนคนจะชอบ ‘ด่า’ มากกว่าชม แถมแนวคิดประเภท ‘ด่ามา-ด่ากลับ-ไม่โกง’ หรือ ‘ถ้าทนไม่ไหวก็ให้ด่ากลับ’ ดูเหมือนจะแพร่หลายกลายเป็นแฟชั่นในโซเชียลมีเดีย
ลักษณะแบบนี้ดูเผินๆ เหมือนเฟียร์ซ เหมือนสู้ เหมือนกล้า แต่คนหนึ่งที่ศึกษาเรื่องความ ‘ปากร้าย’ และ ‘โรคระบาดของการด่า’ มายาวนานอย่าง จามิล ซากิ (Jamil Zaki) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้พูดใน TED Talk เรื่อง How to Escape the Cynicism Trap บอกเราว่าลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นเพราะเรารู้สึก ‘ไม่ปลอดภัย’ อยู่ลึกๆ (deeply unsafe)
ถามว่าไม่ปลอดภัยกับอะไร?
คำตอบง่ายๆ เลยก็คือไม่ปลอดภัยกับ ‘สังคม’ ที่เราอาศัยอยู่นี่แหละครับ
เพราะลึกๆ แล้ว เราต่างก็รู้เหมือนกันถ้วนทั่วทุกตัวคนนั่นแหละ ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เปราะบางแทบจะทุกมิติ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ การเมือง การรักษาคุณค่า ฯลฯ ดังนั้น สิ่งที่เราพอจะทำได้มากที่สุด ก็คือการ ‘เบ่งหนาม’ ของตัวเองออกมาให้แหลมที่สุด ทำให้คนอื่นเห็นให้ได้มากที่สุด ว่าฉันมันดุ ฉันมันด่าเก่ง ฉันมันปากร้าย
จามิลเรียกอาการทำนองนี้ว่า cynicism ซึ่งอาจพอแปลเป็นไทยได้ว่า ‘วิสัยใฝ่การถากถางดูถูกผู้อื่น’ เขาบอกว่าที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะพวกไซนิก (Cynics) มักจะมองโลกด้วยสายตา ‘ไม่ไว้วางใจ’ เป็นฐาน แล้วใช้วิธี ‘สร้างเกราะ’ ให้ตัวเองด้วยท่าที คำพูด หรืออาการที่ดู ‘ร้าย’ เอาไว้ก่อน โดยละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า empathy เอาไว้ข้างหลังให้ไกลสุดกู่
ยิ่งในกลุ่ม ‘ชนเผ่าทางการเมือง’ (political tribe) ยิ่งเกิดอาการแบบนี้ได้ง่าย กล่าวคือถกผ้าไปตีรันฟันแทงกับคนอื่นเสร็จแล้วก็วิ่งโร่กลับมารวมกลุ่มของตัวเองอยู่ในเซฟโซน ชมกันเอง เยินยอปลอบใจกันเองในกลุ่ม เพื่อให้ประคับประคองตัวเองต่อไปได้ทั้งในด้านจิตใจ สังคม และผลประโยชน์ ซึ่งในด้านกลับ – ก็ยิ่งแสดงให้เห็นเข้าไปใหญ่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจไม่รู้สึกได้ถึงความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
จามิลบอกว่า คนจำนวนไม่น้อยตกอยู่ใน ‘กับดัก’ ของ cynicism หรือมี cynicism trap ครอบอยู่ และมันเป็นอาการแบบงูกินหางที่ทำให้เรา ‘ไว้ใจ’ คนที่เราเห็นว่าเป็น ‘คนอื่น’ ได้น้อยลงเรื่อยๆ และกลับกันก็คือหันไปไว้วางใจอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูไร้การตรวจสอบกับกลุ่มคนที่เรารู้สึกว่าเป็น ‘พวกเดียวกัน’ ได้โดยไม่เอะใจอะไรเลยกับ ‘ความจริง’ ต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้น
จามิลทำงานอยู่ใน Social Neuroscience Lab ของสแตนฟอร์ด งานของเขาคือการพยายามวัดค่าสิ่งที่ดูเหมือนวัดไม่ได้ เช่น วัดความดี (goodness), ความเมตตา (kindness) หรือวัดความเข้าอกเข้าใจคนอื่น (empathy) เขาเล่าว่า ในปี 1972 คนอเมริกัน 45% คิดว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วไว้วางใจได้ แต่พอมาถึงปี 2018 ตัวเลขนี้ลดลงมาเหลือเพียง 30% ทำให้เขาบอกเราว่า ขณะนี้ คนอเมริกันกำลังตกอยู่ใน ‘โรคระบาด’ ที่เรียกว่า ‘cynicism epidemic’ ซึ่งผมอยากจะแปลว่า ‘โรคระบาดแห่งการด่า’ (แม้จะไม่ตรงความเสียทีเดียว) ยิ่งถ้านำแนวโน้มนี้มาเปรียบเทียบกับคนในสังคมไทย ก็เป็นไปได้ว่าคนในสังคมไทยยุคนี้น่าจะ ‘ไว้วางใจคนอื่น’ น้อยกว่าตัวเลขของจามิลเสียอีก เพราะเราตกอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วย ‘มิจฯ’ และการหลอกลวง หรือแม้กระทั่งการ ‘ตระบัดสัตย์’ ที่พบเห็นได้ในแทบทุกระดับ รวมทั้งการ ‘บิดตระบัด’ หรือความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับเรื่องที่ไม่น่าจะชอบธรรมด้วย
จามิลเล่าถึงการศึกษาหนึ่งที่เขาชอบมาก เป็นการศึกษาชาวประมงสองหมู่บ้านในบราซิลตอนใต้ สองหมู่บ้านนี้อยู่ห่างกันแค่ 30 ไมล์เท่านั้น แต่หมู่บ้านหนึ่งจะอยู่ติดกับมหาสมุทร ในขณะที่อีกหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ
ดูเผินๆ ชาวประมงสองหมู่บ้านนี้ไม่น่ามีอะไรแตกต่างกันมากมายนัก เพราะอยู่ในพื้นที่แถบเดียวกัน ทำอาชีพก็เหมือนกัน แล้วจะมีอะไรต่างกันได้ขนาดไหนเชียว
แต่คำตอบที่ได้จากการศึกษานั้นน่าตื่นตะลึงมาก โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับ ‘ความไว้วางใจ’ ที่ชาวประมงสองหมู่บ้านมีให้กับคนอื่น!
พบว่าชาวประมงมหาสมุทรนั้น เวลาออกไปหาปลาไม่สามารถไปคนเดียวได้ เพราะมหาสมุทรมีคลื่นแรง พวกเขาจึงต้อง ‘ทำงานร่วมกัน’ เป็นทีม แต่ชาวประมงทะเลสาบต่างออกไป เพราะทะเลสาบนั้นเรียบสงบ พวกเขาจึงออกไปหาปลาได้เพียงลำพัง มีแต่ตัวเองคนเดียวกับเรือลำเล็กๆ ก็สามารถหาเลี้ยงชีพได้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป นักวิจัยได้ทดสอบชาวประมงสองหมู่บ้านนี้ด้วยการทดลองทางสังคมหลายอย่าง แล้วพบว่าชาวประมงมหาสมุทรนั้น มีความไว้วางใจ ‘คนแปลกหน้า’ และร่วมไม้ร่วมมือกับเพื่อนบ้านดีกว่า ในขณะที่ชาวประมงทะเลสาบที่ดูแสนสงบ (และโดดเดี่ยว) นั้น กลับไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้าเลย แถมยังมีอาการชอบ ‘แข่ง’ มากกว่าด้วย
ที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งเป็นชาวประมงที่ทำงานในทะเลสาบนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งไว้วางใจคนอื่นน้อยลงเท่านั้น และมีท่าทีในการขันแข่งกับคนอื่นมากขึ้นด้วย แต่ชาวประมงที่ทำงานในมหาสมุทรกลับกัน ยิ่งทำงานมานานเท่าไหร่ กลับยิ่งไว้วางใจคนอื่นมากขึ้นและมี empathy มากขึ้น ลักษณะแบบนี้ทำให้ ‘สังคม’ ของหมู่บ้านสองแห่งแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งๆ ที่ทำอาชีพเดียวกันและอยู่ห่างกันไม่มาก
จามิลบอกว่า – ปัจจุบันนี้ เขารู้สึกเหมือนเรากำลังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชาวประมงริมทะเลสาบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ตัว!
ที่แปลกก็คือ ในสังคมโดยทั่วไป เรามักจะไว้วางใจหรือ ‘เชื่อ’ คนประเภท ‘ปากร้ายไซนิก’ กันมาก ที่เป็นอย่างนี้เพราะเกิด ‘ภาพลวง’ ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า cynical genius illusion หรือมายาคติที่คิดว่า ถ้าใครปากร้าย ด่าเก่ง เถียงเก่ง ฉอดไม่ลดราวาศอก คนเหล่านี้น่าจะ ‘ฉลาด’ กว่าคนอื่น
จามิลบอกว่า ถ้ามีสองคนให้เลือกเป็นหัวหน้า คนแรกเป็นคนที่ไม่ไว้ใจใครเลย และเป็นพวกปากร้ายไซนิก ชอบเสียดสีประชดประเทียด กับคนที่สองเป็นคนที่เปิดกว้างและไว้วางใจคนอื่นจริงๆ พบว่าคนเรา 70% จะเลือกคนแรก เพราะมักคิดว่าคนประเภทไซนิกนั้นน่าจะเก่งกว่าพวกที่ไม่ไซนิก หรือแปลอีกอย่างก็คือคิดว่าไซนิกนั้นฉลาดกว่า มีคารมคมกล้ากว่า แถม 85% ยังคิดด้วยว่าพวกไซนิกนั้นฉลาดในทางสังคมมากกว่าด้วย เช่น แยกแยะความจริงความลวงได้เก่ง
ผลก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะ ‘ศรัทธา’ ในคนที่ ‘ไม่มีศรัทธา’ ในคนอื่น ซึ่งฟังดูประหลาด และที่จริงก็ผิดด้วย เพราะมีผลการทดสอบด้านการรู้คิด (cognitive test) จำนวนไม่น้อยที่บอกว่าพวกไซนิกนั้นแยกแยะความจริงความลวงได้ไม่เก่ง คือไม่ค่อยรู้หรอกว่าคนอื่นกำลังพูดโกหกหรือพูดความจริง เพราะคนเหล่านี้ไปติดกับดักเรื่องความไม่ไว้วางใจคนอื่นเสียแล้ว จึงมักจะตัดสินคนอื่นไปก่อนล่วงหน้าว่าดีหรือชั่ว ดำหรือขาว โดยดูจากลักษณะอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายการตัดสินใจเรื่อง ‘ความจริง’ เลยย่ำแย่
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงมองว่า cynicism มีแต่ด้านร้ายๆ แต่ต้องบอกคุณว่า แท้จริงแล้ว ‘ราก’ ของคำว่า cynicism นั้นไม่ร้ายเลยนะครับ
cynicism มีที่มาจากแนวคิดของกลุ่มนักปรัชญากรีกโบราณที่เรียกว่ากลุ่มไซนิก (Cynics) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการแสวงหาชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ไม่สนใจความหรูหราหรือวัตถุนิยม เพราะมองว่าเรื่องพวกนั้นไร้สาระและทำให้มนุษย์ ‘หลงทาง’ จากชีวิตที่ดี มนุษย์ควรจะแสวงหาความสุขและเสรีภาพที่แท้จริงผ่านการปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็นมากกว่า
คำว่าไซนิก มาจากคำว่า kynikos (หรือ κυνικός) ในภาษากรีก แปลว่า ‘เหมือนสุนัข’ หรือ dog-like แต่เป็นการ ‘เหมือนสุนัข’ ในด้านที่ดีนะครับ เพราะคนในกลุ่มนี้มักถูกมองว่าใช้ชีวิตเรียบง่ายจนเหมือนสัตว์อย่างสุนัข โดยแนวคิดนี้เริ่มต้นจากแอนตีสเธเนส (Antisthenes) ศิษย์ของโสกราตีส และพัฒนาต่อมาโดยไดโอจีเนสแห่งซิโนเป (Diogenes of Sinope)
แล้วคำว่า cynicism ในปัจจุบัน ทำไมถึงมีความหมายต่างออกไปมากขนาดนี้ล่ะ?
เอ๊ะ! หรือจะมีรากมาจากคนละคำ
คำตอบคือไม่ใช่หรอกนะครับ มันมาจากคำเดียวกันนี่แหละ แต่พอเวลาผ่านไป ปรากฏว่าคนที่บอกว่าตัวเองเป็นไซนิกไม่ได้ใช้ชีวิตตามแนวทางดั้งเดิม พวกไซนิกเลยถูกเสียดเย้ยว่าเป็นแค่คนที่ ‘เสแสร้ง’ ทำตัวให้ดูดี ดูเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง นั่นทำให้ cynicism เริ่มมีนัยเชิงลบ นับตั้งแต่ยุคโรมัน ไล่มาจนถึงยุคเรอเนสซองส์ เช่นในงานเขียนของมิเชล เดอมอนเทน (Michel de Montaigne) หรือเดซีเดริอุส เอรัสมุส (Desiderius Erasmus) ประมาณว่ามีพวกไซนิกไม่น้อยเลยที่ใช้ปรัชญานี้มาเป็นข้ออ้างในการละเลยความรับผิดชอบในทางสังคมหรือถึงขั้นเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก (hypocrisy) ไปเลย
แล้วความหน้าไหว้หลังหลอกเกี่ยวอะไรกับความ ‘ปากร้าย’ ที่กลายเป็นนัยสำคัญของคำว่า cynicism ในปัจจุบันด้วยเล่า
มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า แม้แต่ไซนิกรุ่นนักปรัชญาดั้งเดิมเอง ก็ใช้ ‘ความปากร้าย’ เป็นเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์สังคมมาตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างไดโอจีเนสแห่งซิโนเป ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ใช้คำพูดตรงไปตรงมาและรุนแรงในการวิพากษ์สังคม (และแม้กระทั่งกับอเล็กซานเดอร์มหาราช) ซึ่งในยุคโน้นถือว่าเป็นการกระทำที่ซื่อสัตย์หรือกล้าหาญ เพราะคนเหล่านี้มี ‘คุณธรรม’ หรือ ‘ความเชื่อ’ ที่แรงกล้ามารองรับ แต่พอถึงรุ่นหลังๆ ไซนิกกลายเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก แต่ก็ยังรักษามรดกความ ‘ปากร้าย’ อยู่ จึงมีผู้วิเคราะห์ว่า คำนี้ค่อยๆ เปลี่ยนความหมาย กลายมาหมายถึงคนที่ทั้งมองโลกในแง่ลบและปากร้ายชอบพูดจารุนแรงประชดประชันรวมกันไป
ดังนั้น จากที่ cynicism หมายถึง ‘เหมือนสุนัข’ (dog-like) ที่วิถีชีวิตและความเรียบง่าย ก็ได้กลายมาเป็น ‘เหมือนสุนัข’ เฉพาะอวัยวะ – คือที่ปาก (ตามสำนวนไทยนะครับ ไม่ได้หมายความว่าสุนัขจริงๆ ปากไม่ดี) ไปเสียนี่
ไซนิกสมัยโบราณที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย แสวงหาความสุขและความดี เชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ดี เลยกลายมาเป็นไซนิกที่ไม่ไว้วางใจคนอื่น แถมยังปากร้าย ชอบวิจารณ์และเสียดสี หรือเลยไปถึงขั้นเชื่อว่ามนุษย์ (คนอื่น) เห็นแก่ตัวหรือผิดพลาด แถมยังเป็น ‘อาการ’ ที่เริ่มจะแพร่หลายไปในวงกว้างอีกต่างหาก
แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี?
เรื่องนี้ จามิลบอกว่าเราควรฝึกเปลี่ยนตัวเองจาก cynicism มาเป็น skepticism หรือสงสัยและตั้งคำถามแทน โดยควรเป็น hopeful skepticism หรือสงสัยและตั้งคำถามอย่างมีความหวังด้วย
เขาบอกว่า cynicism คือการ ‘ไม่ไว้วางใจมนุษย์’ ในขณะที่ skepticism คือการ ‘ไม่ไว้วางใจแนวคิด’ แต่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวคน การไม่ไว้วางใจแนวคิดนั้นช่วยให้เราได้ตรวจสอบแนวคิดนั้นๆ และนำแนวคิดนั้นๆ มาเปรียบเทียบกับแนวคิดของเราเพื่อตรวจสอบตัวเองอีกทีหนึ่ง คนที่เป็น ‘นักสงสัย’ (skeptics) จะคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือมีการตั้งข้อสันนิษฐานแล้วหาหลักฐานต่างๆ มารองรับและพิสูจน์ จึงเกิดเป็นการให้เหตุผลในแบบที่ไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ก่อนล่วงหน้า (reasoning) ไม่ใช่การหาเหตุผลมารองรับเป้าที่วางเอาไว้แล้วจนบางคราวก็กลายเป็นการแถ
ที่สำคัญ จามิลย้ำด้วยว่า hopeful ไม่ได้หมายถึงการมองโลกในแง่ดี แต่คือแนวคิดเปี่ยมความหวังที่ว่า – สิ่งต่างๆ อาจจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีก เพราะเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตมีอะไรรอคอยเราอยู่บ้าง เราจึงไม่ควรสิ้นหวัง
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางภาษาเท่านั้น แต่คำที่เราใช้และอาการที่เราเป็น ได้สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความเสื่อมถอย’ ของความไว้วางใจในสังคมไปด้วยในตัว และมันแสดงให้เราเห็นด้วยว่า ‘การด่า’ หรืออาการ ‘ปากร้าย’ ที่เห็นกันอยู่แพร่หลายนั้นไม่ได้เกิดจากความกล้าหาญที่จะพูดความจริง แต่เกิดจากการรักษาผลประโยชน์อันมีรากมาจากความไม่มั่นคงปลอดภัยในตัวเอง จนก่อให้เกิดการขีดเส้นแบ่งที่กัดกินความสัมพันธ์ และสุดท้ายกลายเป็นเครื่องมือในการ ‘บิดและสร้าง’ ความจริงชุดต่างๆ ขึ้นมาจนเบลอ
วิธีเดียวที่อาจช่วยได้ ก็คือการหวนย้อนกลับไปสู่ความหมายแรกเริ่มของ cynicism หรือ ‘เหมือนสุนัข’
นั่นคือมีความ ‘กล้า’ ที่จะไว้วางใจในมนุษย์ที่เราเห็นว่า ‘เป็นอื่น’ อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนที่มันจะสายเกินไป!