fbpx

ความทุกข์ของยุคสมัยใน ‘แมลงสาบในเมืองสลด’

ก่อนหน้าที่ผมจะลงมือเขียนบทวิจารณ์ชิ้นนี้ ผมตีแมลงสาบตายไปหนึ่งตัว เพราะมันนวยนาดมากไป มันย่ามใจมากไประหว่างที่ผมกำลังรับประทานอาหารกลางวัน ทุกครั้งที่ผมเผชิญหน้ากับแมลงสาบ มันเหมือนเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างผมกับสัตว์แบบนั้น เราจะต้องชิงไหวชิงพริบกัน – ไม่มึงก็กู… – ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพุทธ มีค่านิยมแบบพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นหลักชัยในชีวิตของผู้คนและประเทศชาติ[1] การเข่นฆ่ากันเช่นนี้ย่อมไร้คุณธรรม เพราะมีแต่เพียงมนุษย์อย่างผมเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตแมลงสาบได้ การเอาชีวิตสัตว์น้อยเช่นนี้ไม่ทำให้ผมเป็นมนุษย์ที่ดีมีคุณธรรมและต้องเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมอย่างแน่นอน[2] แต่ใครเล่าจะปฏิเสธว่าแมลงสาบไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน…

การช่วงชิงจังหวะระหว่างผมกับแมลงสาบนั้น ต้องใช้ประสบการณ์เพื่อคาดเดาว่ามันจะโผบินเข้าใส่คุณ หรือบางครั้งก็เป็นอาหารของคุณ เป็นคนในครอบครัวของคุณและพวกเขาไม่รักแมลงสาบ สัตว์อย่างแมลงสาบนั้นคาดเดาไม่ได้ รู้แต่เพียงมันว่ามันสกปรกและน่าขยะแขยง สัมผัสระหว่างคุณกับขาของพวกมันในยามที่มันไต่มาตามผิวหนังของคุณนั้นยากจะบรรยาย มันสยึ๋มกึ๋ยส์สิ้นดี มันคือดัชนีบ่งชี้ความสกปรกในบ้านของคุณ มันมีเพื่อน มันมีครอบครัวซึ่งไม่น่าอภิรมย์และไม่น่าอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับทุกคนได้ เรา -อย่างน้อยๆ ก็ผม- ไม่รักแมลงสาบ ฉะนั้นแล้วเราอยู่ร่วมกันไม่ได้ เมื่อตระหนักได้ถึงความไม่น่ารักและน่าชิงชังของพวกมัน เราอยู่ร่วมกันไม่ได้ – ไม่มึงก็กู – …

เมื่อแมลงสาบเป็นสัตว์ที่ไม่น่ารักสำหรับคนทุกคน หลายครั้งและหลายโอกาสมันจึงถูกใช้เป็นอุปมาและอุปลักษณ์หรือความเปรียบใดๆ ทั้งมวลของสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์บนโลกใบนี้ด้วย สิ่งเดียวที่แมลงสาบอาจถูกชื่นชมก็คือความสามารถในการปรับตัวและอดทนต่อสภาพแวดล้อมทำให้มันยืนยงคงสปีชีส์ของมันมาได้นับหลักล้านปี ในทางกลับกัน หากเราทำตัวเป็นดั่งแมลงสาบ – เอิ่ม – หมายถึงเราสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้ ต่อให้อยู่ในสภาพแบบไหน เราก็จะรอด การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์จะไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราจะเป็นแมลงสาบ คำถามก็คือ ทุกท่านสนใจอยากเป็นแมลงสาบบ้างหรือไม่

‘แมลงสาบในเมืองสลด’ เป็นผลงานเขียนของ อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์  ที่ใช้แมลงสาบเป็นสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ แมลงสาบของอ้อมแก้วไม่ใช่เพียงสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นได้ทั้งความสุข หลุมหลบภัยของใครสักคน เป็น ‘ความเป็นอื่น’ เป็นความแปลกแยก (การตีความยอดฮิตของแมลงสาบ) ก็ได้ แมลงสาบมีความเป็นไปได้หลายอย่างในเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันเราจะเห็นน้ำเสียงเสียดสียุคสมัยที่สะกิดให้ได้อมยิ้มอยู่หลายครั้ง

ตัวเรื่อง ‘แมลงสาบในเมืองสลด’ เป็นเรื่องของ ‘พายัพ’ ผู้ซึ่งค้นพบว่าตนเอง ‘กลาย’ ร่างเป็นแมลงสาบทุกๆ ครั้งที่ตัวเอง ‘มีความสุข’ เขาเป็นคนอมทุกข์มายาวนาน งานการที่เคยทำได้ดีก็กลายเป็นคนทำงานไม่รอบคอบจนต้องออกจากงาน ได้งานใหม่พายัพก็พยายามพิสูจน์ตัวเองแต่เขาก็แปลกแยกจากคนอื่นๆ เกินไป แฟนที่เพิ่งเลิกรากันก็จบไม่สวย เพราะพายัพไปยืมเงินหล่อน ในแง่หนึ่ง พายัพคือผู้พ่ายแพ้ที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยของเราและท่าน เขาเผชิญหน้ากับความทุกขเวทนา ความโดดเดี่ยวนานาชนิด ความอับอาย และต้องปกปิดว่าตัวเองจะต้องกลายร่างเป็นแมลงสาบ การมีความสุขอาจเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับเขา

การกลายร่าง/กลาย/metamorphosis

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเราคงไม่พูดถึง เกร์เกอร์ แซมซา ของ ฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka -นักเขียนชาวยิว) จากเรื่อง The metamorphosis ไม่ได้ ชะตากรรมของพายัพและแซมซาดูจะไม่ต่างกัน แต่อันที่จริงแล้วเขาทั้งคู่ต่างกันมาก แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการเป็นแมลงสาบได้ ผมคิดว่านี่เป็นชะตากรรมอันน่าโศกเศร้าของมนุษย์ในศตวรรษแห่งโลกสมัยใหม่และความทันสมัย ชะตากรรมแห่งการเป็นอื่นที่นำมาซึ่งความทุกข์อันแสนสาหัส

กระบวนการ ‘กลายร่าง’ ของพายัพและแซมซานั้นต่างกันชัดเจน นั่นคือ

“เมื่อเกรเกอร์ แซมซา ตื่นขึ้นจากฝันร้ายในเช้าวันหนึ่งก็พบว่าตนเองได้กลายร่างเป็นแมลงยักษ์อยู่บนเตียงไปเสียแล้ว

“เขากำลังนอนหงายอยู่บนกระดองแข็งๆ เมื่อเผยอศีรษะดู แลเห็นหน้าท้องสีน้ำตาลนูนป่องออกมาเป็นปล้องๆ ดันผ้าห่มจนแทบจะลุ่ยลงไปกองอยู่ที่ปลายเตียง ขายั้วเยี้ยที่ลีบเล็กไม่ได้ส่วนกับลำตัวกำลังดิ้นกระดุบกระดิบอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา”

ในขณะที่พายัพ

“ผมตัวเล็กลง หดลง มันเป็นการหดลงจริงๆ ผมงงว่าไวน์สองสามแก้วจะทำให้เมามายขนาดนี้ได้อย่างไร หรืออาจเพราะอาการไม่สบายด้วยจึงรู้สึกอ่อนไหวกว่ากว่าปกติ แต่แล้วทุกอย่างรอบตัวก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างกับฝันไป ผมรีบตั้งสติ รู้ตัวเองว่าไม่ได้เมาขนาดนั้น ทว่าทุกอย่างยังดูประหลาด ตัวของผมหดเล็กลงจนแทบติดพื้น บ้าไปแล้ว นี่มันอะไรกัน ผมเริ่มตกใจหันซ้ายหันขวา พบตัวเองอยู่ในแนวระนาบกับพื้นรองเท้า เตี้ยกว่ารองเท้าด้วยซ้ำ หูตาสติสว่างวาบฉับพลันทันที เกิดอะไรขึ้น ผมสบถและโวยวายแต่ไม่มีเสียงออกมา เมื่อมองแขนขาตัวเองก็พบว่ามันกลายเป็นเส้น เป็นซี่ เป็นก้าง และมีขนน่าเกลียด ขึ้นรำไร ผมรู้ว่าไอ้ที่กำลังหันพลิกหันขวางอยู่นืคือแขนตัวเอง เพียงแต่มันไม่ใช่แขนอย่างมนุษย์ทั่วไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกมันว่าอะไร และผมได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?”

แน่นอนว่าความรู้สึกที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือความประหลาดใจ ความตกใจที่ตัวเองต้องกลายเป็นสิ่ง/ตัว/อะไร อย่างอื่นที่ไม่ใช่คน ทั้งพายัพและแซมซาคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันของทั้งคู่ก็คือ ในขณะที่แซมซากลายเป็นแลงสาบบนเตียงนอนของตัวเอง ทุกอย่างเหมือนเดิม ทุกอย่างเท่าเดิม สภาพแวดล้อมยังคงเป็นแบบเดิม มีเพียงแซมซาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป แซมซากลายเป็นแมลงสาบยักษ์ แต่พายัพกลายเป็นแมลงสาบจริงๆ แมลงสาบที่เราพบเห็นได้ทั่วไปตามบ้าน

ประเด็นทีน่าสนใจสำหรับผมก็คือ แซมซานั้นกลายเป็นแมลงยักษ์ เขาเป็นสัตว์ประหลาด เป็นความประหลาด ทุกคนตระหนักได้ แต่ในขณะที่พายัพนั้นเป็นเพียงแมลงสาบทั่วไป เป็นแมลงสาบอย่างที่แมลงสาบควรจะเป็น ทุกคนรู้ ทุกคนทราบ แต่ไม่ได้แปลกใจว่านั่นคือแมลงประหลาดอะไร ฉะนั้นแล้ว หากจะใช้ความเปรียบช่วยในการอธิบาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราตีความแมลงสาบในลักษณะของความเป็นอื่น ความแปลกแยก ไม่น่าเข้าใกล้ เราอาจเห็นได้ว่า แซมซานั้นเป็นความแปลกแยกที่ถูกรับรู้และตระหนักได้ว่าแปลกแยก แตกต่าง และโดดเดี่ยว แต่พายัพนั้นนอกจากเป็นความเป็นอื่นและความแปลกแยกแล้ว พายัพยังไม่ถูกตระหนักไม่ถูกรับรู้จากคนอื่นๆ ว่าเขาแปลกแยกและประหลาดอย่างไรอีกด้วย

ผมคิดว่าการบรรยายฉากการกลายร่างของพายัพนั้นน่าสนใจ เพราะการกลายเป็นแมลงสาบจริงๆ ที่ไม่ใช่แมลงสาบยักษ์นั้นคือการ ‘จมหาย’ ไปในสภาพแวดล้อม “ผมตัวเล็กลง หดลง มันเป็นการหดลงจริงๆแต่แล้วทุกอย่างรอบตัวก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อตัวของผมหดเล็กลงจนแทบติดพื้น บ้าไปแล้ว นี่มันอะไรกัน” การกลายเป็นอื่น/อย่างอื่น ที่แปลกแยก และไม่เข้าใกล้นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความหดหู่ใจอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว และยิ่งเมื่อความทุกข์ทรมานของความแปลกแยกถูกทำให้จมหายลงไปในสภาพแวดล้อม กลายเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ไม่ตระหนัก ไม่รับรู้และมองไม่เห็นหรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ การถูกละเลย ก็ยิ่งทำให้คุณภาพของความทุกข์ที่เกิดความแปลกแยกนั้นทบเท่าทวีคูณ เสมือนเป็นการถีบผู้กอบกุมเอาความทุกข์ให้ลึกลงไปในหลุมแห่งความโศกศัลย์อันเป็นอนันต์ซึ่งหาที่สุดของก้นบึ้งนั้นไม่ได้

(แม้กระนั้น ในชีวิตประจำวัน เราอาจได้พานพบกับผู้คนที่ยินดีจะมีความสุขกับความแปลกแยกและเป็นอื่นนั้น ยิ่งอ้างว้าง เคว้งคว้างเท่าใดยิ่งรู้สึกกดี ฉะนั้นพวกเขาจึงยินดีที่จะจมหายไปในสรรพสิ่งโดยที่ไม่ต้องการให้ใครมาสังเกตเห็น)

ชะตากรรมของพายัพจึงเป็นชะตากรรมของคนที่ถูกละเลย ถูกทำให้หาย ถูกทำให้กลายเป็นอื่น ทั้งๆ ที่เขาก็มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เช่นกัน[3]

ชะตากรรมของผู้พ่ายแพ้

พายัพเป็นตัวละครที่มีความพ่ายแพ้เป็นศูนย์กลางในชีวิต ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลยนับตั้งแต่เริ่มเรื่องมาก นับตั้งแต่การงานจนถึงเรื่องความรัก ชีวิตต้องคำสาปของพายัพคือ หากเขามีความสุข เขาจะกลายร่างเป็นแมลงสาบ แต่หากเขายังคงโอบกอดความทุกข์ไว้ เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ตามเดิม ชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับหลายคนในยุคสมัยปัจจุบัน ที่การมีความทุกข์เป็นของสามัญ แต่เมื่อใดก็ตามที่เริ่มจะมีความสุขเราจะรู้สึกผิดบาปราวกับตกนรกหมกไหม้

พายัพไปเริ่มงานที่ใหม่ เขาพยายามพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเพราะความแปลกแยกของเขาก็ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จ พายัพได้รู้จักกับเหมย บทสนทนาของทั้งคู่ดูจะไปกันได้ด้วยดี แต่สุดท้ายแล้ว พายัพต้องยับยั้งใจตัวเองให้ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งไม่ได้ “เพราะมันจะทำให้ผมเริ่มมีความสนุกในชีวิต มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ” และเมื่อเป็นเช่นนั้น พายัพจะกลายเป็นแมลงสาบ

การเป็นแมลงสาบในบางครั้งอาจสิ่งที่พายัพอยากเป็น เช่นในวันที่เขาพบว่ามีชายจับผู้หญิงไปถ่วงน้ำและเขาอยู่ในบริเวณนั้น อาชญากรรมกำลังอยู่ต่อหน้าเขา แต่เขากลับพยายามจะกลายเป็นแมลงสาบ “ผมหลับตา จินตนาการว่าตัวเองได้กลายร่างเป็นแมงสาบไปแล้ว คู้ตัวอยู่อย่างนั้นในหลืบแคบ อึบทึบ หมกอยู่ในมวลกลิ่นเหม็นเน่าสะสมของแผ่นไม้โสโครก…” แต่เขากลายเป็นแมลงสาบไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่คนเราจะมีความสุข เราอาจเห็นได้ว่าพายัพนั้น ขี้ขลาดเกินไป แต่ถ้าเราอยากเข้าใจพายัพสักนิดเราอาจเห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนจะกลายร่างเป็นฮัลค์หรือเป็นอเวนเจอร์เพื่อผดุงความยุติธรรมในโลกนี้ หากเราไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างผู้ที่จะเป็นอัศวินในยุคกลาง ความกลัวจะทำให้เรามีชีวิตรอด การเจียมเนื้อเจียมตัวยอมรับความเป็นผู้พ่ายแพ้จะทำให้เรามีชีวิตรอด

สิ่งที่ผมสนใจประการหนึ่งก็คือ สังคมที่สร้างคนอย่างพายัพขึ้นมานั้นเป็นสังคมที่ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองต้องพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา จะมีความสุขก็ไม่ได้ ต้องหยิกเนื้อไว้ตลอดเวลา ว่าห้ามยิ้มนะ จงร้องไห้ เพราะการร้องไห้และทนทุกขเวทนาคือชะตากรรมสามัญที่แท้จริงของมนุษย์ เช่น อากาศเย็นสักหน่อยจะรู้สึกดีก็ไม่ได้ เพราะอาจมีคนที่กำลังจะหนาวตายอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก ไอ้พวกที่ยินดีกับอากาศเย็นนี่มันคนแบบไหนกันนะ หรือทุกครั้งที่เรามองเห็นคนไร้บ้านนอนเกลือกกลิ้งอยู่ข้างถนน เราจะต้องรู้สึกผิดเพราะเรามีบ้านให้อยู่ เราควรจะต้องเอาความทุกข์ของพวกเขามารวมอยู่ในลมหายใจของเราด้วย มันถึงจะสาสมกับการมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้

จงโอบกอดความพ่ายแพ้ของเรา

วรรณกรรมไทยร่วมสมัยมักจะนำเสนอเรื่องราวของการขูดเลือดขูดเนื้อตัวเอง การถากแผลให้ใหญ่โต การเอาไม้แยงเข้าไปในแผลสดๆ ให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวและเพื่อให้รู้สึกว่าแผลของข้าพเจ้านั้นใหญ่กว่าใครๆ ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าคนเรานั้นมีบาดแผล และคนเราต้องการการเยียวยา การนำเสนอความเจ็บปวดรวดร้าวอาจเป็นช่องทางหนึ่งในการเยียวยาตนเองของผู้เขียนและผู้อ่านได้บ้าง แต่ในเมื่อยุคสมัยของวรรณกรรมไทยร่วมสมัยนั้นมีแต่การนำเสนอบาดแผลหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ แผลน้ำร้อนลวก แผลผุพอง เป็นหนอง แผงหนังสือในร้านขายหนังสือบางทีดูเหมือนนิทรรศการบาดแผลยังไงยังงั้น

‘แมลงสาบในเมืองสลด’ แตกต่างจากวรรณกรรมไทยร่วมสมัยอย่างน่าสนใจ เพราะแม้มันจะนำเสนอความเจ็บปวดรวดร้าวของตัวละคร แต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าคนเราจะต้องทนอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา อ้อมแก้วไม่ได้พยายามนำเสนอว่าความสุขเป็นเรื่องหลอกลวง มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เป็นจริง ผมคิดว่าสิ่งที่อ้อมแก้วกำลังนำเสนอก็คือ เราสามารถโอบกอดความสุขและความทุกข์ได้ โดยที่เราอาจไม่ต้องทนทุกข์ตลอดเวลา ทุกข์และสุขต่างหากที่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ ไม่ใช่ความทุกข์อย่างเดียว

แม้ความสุขจะทำให้เราโดดเดี่ยว แปลกแยกและกลายเป็นอื่น แต่นั่นมันคือชีวิตของเรา ดังที่ตอนจบของเรื่องกล่าวไว้ว่า

“มีความสุขไปเถอะ ชีวิตเป็นของเรา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ เพื่อตัวเอง เพื่อส่วนที่เหลืออยู่ จะเป็นอะไรก็ตาม คนหรือสัตว์ เรื่องดีดีหรือหายนะ จะสมบูรณ์หรือไม่ อย่างไรชีวิตก็คือชีวิต ผมเลือกแล้วที่จะมีความสุข แม้เพียงเล็กน้อยก็ดี เพราะมันคือวาบสว่างเปี่ยมความหมาย เป็นเสี้ยววินาทีสำคัญของการยังคงดำรงอยู่ ที่ช่วยให้เราท่วมท้นด้วยความรักและยินดีต่อโลกใบนี้”

ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นการสั่งสอนที่เชยเฉิ่ม หรือไม่ก็เป็นความพยายามแบบหนังฟีลกู๊ดที่ให้กลับมารักตัวเองกันเถิด แต่ผมกำลังมองว่าถ้าหากผมจะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของ ‘แมลงสาบในโลกสลด’ ของอ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์ เล่มนี้เอาไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งของจักรวาลวรรณกรรมไทยร่วมสมัยเสียแล้ว ผมคิดว่าก็อาจจะต้องวางเอาไว้ในตำแหน่งที่โดดเด่นอยู่พอสมควร เพราะ ‘แมลงสาบในโลกสลด’ ไม่ใช่วรรณกรรมฟีลกู๊ด ไม่ใช่วรรณกรรมบาดแผลที่อ่านแล้วต้องเอามีดขูดหน้าขาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แน่ล่ะ ผมไม่ดูเบาบาดแผลของใคร แต่ถ้าวรรณกรรมสักเรื่องทำให้เราพิจารณาบาดแผลอย่างถี่ถ้วนโดยที่ไม่จำเป็นต้องจมหายลงไปในบาดแผลจนสำลักเลือกสำลักหนอง ทำให้เราตระหนักถึง ‘ชีวิต’ ของคนธรรมดาๆ ได้ ในทุกมิติก็น่าจะดีกว่าเราต้องอ่านไปช้ำไป

อนึ่ง ก่อนจะจากกันไป ผมต้องขอสารภาพผิดว่า แมลงสาบที่ผมได้เอาชีวิตเขาไปในตอนต้นบทความนั้น ผมเพิ่งจะมาตระหนักได้ว่า บางทีเขาอาจจะเป็นใครบางคนที่กำลังมีความสุขอยู่ก็ได้

ฉะนั้นแล้ว ต่อไปนี้ ผมอาจจะมองแมลงสาบด้วยความคิดที่เปลี่ยนไป…

ก็ได้[4]


[1] ประชด

[2] ประชด

[3] ย่อหน้านี้มีแต่ประโยคแบบ ‘กรรมวาจก’ ซึ่งเป็นรูปประโยคแบบภาษาอังกฤษ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเขียนอะไรแบบนี้ แต่ผู้เขียนจนปัญญาแล้วจริงๆ

[4] …….

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save