1
เมื่อสิบปีก่อน (2015) ผมได้รู้จักกับภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่งของประเทศจีน โดยผมสะดุดใจตั้งแต่เห็นชื่อ The Chinese Mayor บนโปสเตอร์ที่ออกแบบได้เก๋ เป็นภาพถ่ายแนวขวางเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนบนกำแพงโบราณที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง น่าจะทาง Documentary Club นี่แหละเอาเข้ามาฉาย คำเชื้อเชิญยิ่งทำให้อยากดู โดยเฉพาะท่อนลงท้าย “…น่าแปลกมากที่หนังรอดการโดนรัฐบาลจีนแบนมาได้“
จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างเตรียมสอนก่อนเปิดเทอมใหม่นึกขึ้นได้จึงลองใช้ชื่อเรื่องหาใน YouTube อีกครั้ง เห็น Chinese Mayors ขึ้นก่อน[1] ตั้งชื่อคล้ายกันโดยเป็นสารคดีจีนเหมือนกัน แต่ใหม่กว่า (2023) ต้องเลื่อนลงมาหน่อยถึงจะเจอเวอร์ชั่นที่ตามหา[2]
2
ขอเริ่มเล่าจากภาพยนตร์เรื่อง The Chinese Mayor (ที่มี The และไม่มีตัว s) ก่อน โดยที่สารคดีเรื่องนี้เป็นผลงานของ Zhou Hao นักสร้างภาพยนตร์สารคดีมือรางวัลชาวจีน ซึ่งได้ตามติดชีวิตการทำงานช่วง 5 ปี (2008-2013) ของ Geng Tanbo (เกิ้งหยันปอ) ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้าถง (Datong), มณฑลซานซี (Shanxi) กับบทบาทในความพยายามเปลี่ยนเมืองที่เขาได้เข้าไปดูแล จาก ‘เมืองมลพิษ’ สืบเนื่องจากเหมืองถ่านหิน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยชุมชนแออัด ไปสู่ ‘เมืองโบราณ’ ที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ให้สมกับที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าอันรุ่งโรจน์ในอดีต ทำเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนและหวังสร้างจุดดึงดูดทางการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน
ความยากอยู่ที่ต้องโยกย้ายคนกว่า 5 แสนคน (หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งเมือง) ไปยังที่อยู่ใหม่ (relocation) และไล่รื้อทุบตึกรามบ้านช่องที่คนเหล่านี้เคยอาศัย (demolition) กว่า 2 แสนหลังคาเรือน เพื่อจะเนรมิตพระราชวังที่ห้อมล้อมด้วยกำแพงเมืองใหญ่โต คือภาพฝันจากวิสัยทัศน์ในหัวนายกฯ เกิ้ง
พูดตามที่เห็นคือไม่ใช่ทุกคนที่จะเอาด้วยกับนโยบายนี้ ฉากโต้เถียงกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ยังต้องออกมาประท้วง/วิงวอน นายกเทศมนตรีประชุมสั่งการอย่างซีเรียส ฉากคนงาน/เครื่องจักรหนักเร่งทำงานไม่บันยะบันยังถือเป็นองค์ประกอบหลักที่มีแทรกให้เห็นแทบตลอดทั้งเรื่อง
ฉากที่พอเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์อยู่ที่ตอนประชุมสภาผู้แทนประชาชนท้องถิ่นเพื่อเลือกนายกเทศมนตรี (พร้อมกับอีก 2 ตำแหน่งที่มีความสำคัญอยู่ในระนาบเดียวกัน ได้แก่ ประธานศาลและหัวหน้าอัยการระดับจังหวัด) ที่ประชุมมีตัวเลือกเพียงคนเดียวคือ นาย Geng Tanbo ปรากฏว่าเขาได้รับคะแนน 337 เสียง นั่นเท่ากับสมาชิกสภาทุกคนลงคะแนนเสียงเลือกเขา (ไม่มีใครกล้าแตกแถวออกเสียงค้านแต่อย่างใด) เป็นผลให้เขาได้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องอีกสมัยหนึ่ง (วาระตามปกติคือ 5 ปี) แสดงว่าแม้โครงการจะโดนต่อต้านเพียงใด พรรคยังคงอยู่ข้างเขาและสถานการณ์ดูเหมือนกำลังจะดำเนินไปด้วยดี
แต่แล้วตอนท้ายกลับหักมุม จู่ๆ เขาถูกคำสั่งสั่งย้ายให้ไปเป็นนายกเทศมนตรีเมืองไท่หยวน (Taiyuan) อย่างไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางข้อกังขาและความเสียดายของประชาชน บ้างถึงกับบอกเกิ้งเป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดเท่าที่ต้าถงเคยมีมา ทั้งที่เอาเข้าจริง เขาก็ไม่ใช่คนต้าถงโดยกำเนิด หนำซ้ำยังเพิ่งย้ายมาประจำการที่ต้าถงเมื่อราวปี 2007 ด้วยบทบาทรองนายกเทศมนตรี จนได้เลือกเป็นนายกเทศมนตรีสมัยแรกในปี 2008 น่าจะเพราะเกิ้งยังมีอีกด้านที่สะท้อนถึงภาวะความเป็นผู้นำ เขาทำงานแบบถึงลูกถึงคน ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ว่ากับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เฉื่อยชาหรือผู้รับเหมาซึ่งฉ้อฉล และความเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน ดูได้จากการตื่นแต่เช้าตรู่ออกไปลุยรับฟังเสียงก่นด่าของประชาขนที่ได้รับผลกระทบด้วยตัวเอง
3
ตามด้วยภาพยนตร์เรื่องต่อมาคือ Chinese Mayors (ซึ่งไม่มี The และมีตัว s ต่อท้าย แถมมีพ่วงด้วยคำว่า Delivering Democracy) ซึ่งเป็นสารคดีที่พาเราไปสนทนากับนายกเทศมนตรีของสี่เมืองใหญ่ในจีน นำการพูดคุยโดย Miao Xiaojuan (เมียว เสี่ยวจวน) นักข่าวสาวซินหัว สำนักข่าวของทางการจีน ร่วมด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญอีก 7 คนจากหลายชาติตะวันตก เช่น นักวิชาการอเมริกัน นักธุรกิจอังกฤษ โดยที่ายกเทศมนตรีแต่ละคนล้วนมีนโยบายสำคัญต่างกัน ผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์คนละด้าน เรียงตามลำดับในเรื่องดังนี้
(1) Luo Yunfeng นายกเทศมนตรีนครเหอเฝย์ (Hefei), มณฑลอานฮุย (Anhui)
(2) Hong Qing ผู้ว่าการจังหวัดปกครองตนเองชนชาติเกาหลีหยันเปียน (Yanbian), มณฑลจี๋หลิน (Jilin)
(3) Wang Jinzu นายกเทศมนตรีนครจางโจว (Zhangzhou), มณฑลฝูเจี้ยน (Fujian)
(4) Tenba นายกเทศมนตรีนครนักซู (Nagqu), เขตปกครองตนเองทิเบต (Tibet)
Luo Yunfeng เน้นความเป็น ‘เมืองนวัตกรรม’ สร้าง Start-up โดยให้เงินทุนระยะยาว 10 ปี สำหรับนักศึกษาจบใหม่เพื่อก่อร่างสร้างธุรกิจทางด้านไอที ขณะเดียวกันก็มีโครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้แก่ทะเลสาบหลายแห่ง
Hong Qing ชูจุดเด่นเรื่อง ‘เมืองกีฬา’ ครบวงจร ไล่เรียงตั้งแต่โรงเรียนกีฬา สนามกีฬา ลานกีฬา การแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเห็ด Sanghuang เพื่อป้อนอุตสาหกรรมยาที่มีมูลค่าสูง
Wang Jinzu ตอกย้ำถึงความเป็น ‘เมืองมรดกโลก’ ทำโครงการอนุรักษ์บ้านสไตล์ Tulou ที่นับวันรังแต่จะทรุดโทรมลง หวังใช้เอกลักษณ์ตรงนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ในอีกด้านหนึ่งก็สนับสนุนผู้ประกอบการชารายใหญ่ในนามกลุ่ม Tenfu จากไต้หวันให้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตอยู่ในพื้นที่
Tenba ให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘เมืองนิเวศ’ ดูแลรักษาสัตว์ป่าหายาก อย่างจามรี รวมถึงแหล่งน้ำของมัน อีกทั้งยังสนใจประเด็นผู้สูงอายุ โดยตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ บริการอาหารฟรี และจัดกิจกรรมนันทนาการมากมาย
อีกนัยย่อมสะท้อนสภาวะการแข่งขันกันเองขององค์กรการปกครองท้องถิ่นภายในจีน
นอกเหนือจากนี้ เมียวยังได้ไปไล่สัมภาษณ์ความเห็นของชาวเมืองต่างๆ ประกอบ คำถามหนึ่งที่ชาวเมืองมักถูกถามเหมือนกันคือ คุณพอใจกับวิธีการได้มาซึ่งนายกเทศมนตรีที่ใช้อยู่หรือไม่ แน่นอน 100% ตอบว่าดีแล้ว พอๆ กับฉากการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับภาคเอกชน ประชาสังคม หรือชุมชนที่ถูกใส่เข้ามาหลายช่วง เพื่อย้ำให้เห็นว่าประชาชนจีนก็มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบาย
ก่อนที่ตอนท้ายสารคดีจะจับเอาคณะผู้เชี่ยวชาญมานั่งล้อมวงร่วมกันถอดบทเรียน บทสรุปก็คือสารที่รัฐบาลจีนอยากจะสื่อถึงชาวโลกให้รับรู้ว่าจีนก็มีประชาธิปไตยในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งให้ความสำคัญต่อกระบวนการคัดสรรผู้บริหารท้องถิ่นที่มีการศึกษา เปี่ยมประสบการณ์ และมีอุดมการณ์รับใช้ประชาชน ผ่านการเลือกของสมาชิกสภาประชาชนที่มาจากการเป็นตัวแทนของคนระดับล่างขึ้นมาเป็นชั้นๆ เผลอๆ จะดีกว่าประชาธิปไตยตามแบบตะวันตกเสียอีก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งปล่อยให้อิทธิพลของทุนเข้ามาแทรกแซงการเมือง
ถ้านิยามประชาธิปไตยว่าคือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน สารคดีนี้พยายามบอกกับผู้ชมว่าประชาธิปไตยแบบจีนเน้นไปที่คำว่า ‘เพื่อ’ ประชาชน (for the people) เป็นที่สุด และแน่นอนว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่มีการเลือกตั้งเท่านั้น
4 [3]
จีนเป็นรัฐเดี่ยว (unitary state) ยึดหลักการปกครองประชาธิปไตยรวมศูนย์ (democratic centralism) โดยหลักการดังกล่าวมาจากความคิดของเลนินที่ใช้ในการจัดตั้งองค์การพรรค หากอธิบายโดยรวบรัดอาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงสร้างทางด้านนิติบัญญัติเป็นแบบล่างขึ้นบน (สมาชิกสภาระดับสูงได้รับการเลือกตั้งมาจากสภาระดับล่างเป็นทอดๆ) ส่วนโครงสร้างอำนาจบริหารเป็นแบบบนลงล่าง (นโยบายถูกกำหนดลงมาจากส่วนกลาง หน่วยการปกครองท้องถิ่นอยู่ภายใต้รัฐบาลระดับเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นเสมอ) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองสูงสุด ซึ่งประเทศจีนให้ความสำคัญต่อการปกครองท้องถิ่นมากถึงขนาดบัญญัติสาระโดยละเอียดไว้ในรัฐธรรมนูญ แบ่งโครงสร้างภายนอก (external structure) ออกเป็น 4 ระดับชั้น (multi-tier system) (มาตรา 30)
– ชั้นที่ 1 องค์กรการปกครองท้องถิ่นชั้นมณฑล (provinces) ได้แก่ มณฑล เขตปกครองตนเอง และนครขึ้นตรง รวมถึงเขตปกครองพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า
– ชั้นที่ 2 องค์กรการปกครองท้องถิ่นชั้นจังหวัด (prefecture) ได้แก่ จังหวัดปกครองตนเอง (บางแหล่งใช้คำว่าแคว้นแทน) นครทั่วไป และเขตที่ขึ้นกับนครขึ้นตรง
– ชั้นที่ 3 องค์กรการปกครองท้องถิ่นชั้นอำเภอ (county) ได้แก่ อำเภอกับอำเภอปกครองตนเอง
– ชั้นที่ 4 องค์กรการปกครองท้องถิ่นชั้นตำบล (township) ได้แก่ ตำบล ตำบลชนชาติ และเมืองเล็กในชนบท (บ้างก็แปลว่าสุขาภิบาล)
จากภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องดังกล่าว ทั้ง 5 เมืองจัดอยู่ในชั้นเดียวกันคือเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นระดับจังหวัด โดยมี 4 แห่งเป็นนครทั่วไปกับอีก 1 แห่งเป็นจังหวัดปกครองตนเอง
อีกความน่าสนใจของการปกครองท้องถิ่นจีนอยู่ที่การยอมรับการปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อย โดยให้หน่วยปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยที่ก็มีอยู่ในทุกระดับ (เขต, จังหวัด, อำเภอ และตำบล) มีสิทธิพิเศษและอิสระมากกว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นโดยทั่วไป เช่น กำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องเป็นคนชนชาตินั้นๆ (มาตรา 114) การรับเจ้าหน้าที่รัฐเข้าทำงานก็ต้องคำนึงถึงคนชนชาติส่วนน้อยในสัดส่วนที่เหมาะสม, สามารถเลือกใช้ภาษาของชนชาติเป็นอีกภาษาหลักในทางราชการ, บางนโยบายไม่สอดคล้องกับวิถีของชนเผ่าได้รับการยกเว้น เช่น นโยบายลูกคนเดียว
โครงสร้างภายใน (internal structure) ใช้รูปแบบ สภา-นายกเทศมนตรี (council-mayor form) แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ คณะผู้บริหารกับสภาผู้แทนประชาชนขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น สภาผู้แทนประชาชนนครต้าถง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนในระดับอำเภอทั้ง 10 แห่ง ขณะที่นายกเทศมนตรีนครต้าถงเข้าสู่ตำแหน่งโดยการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนนครต้าถง ทั้งสองฝ่ายมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี
ในแง่ของการเลือกตั้ง โดยหลักการแล้ว ประชาชนจีนที่มีอายุครบ 18 ปีมีสิทธิเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง เขาหรือเธอมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ‘โดยตรง’ เฉพาะตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนในองค์กรการปกครองท้องถิ่นระดับฐานรากสุด ซึ่งก็คือ ชั้นตำบลกับชั้นอำเภอ (ในที่นี้ไม่รวมระดับหมู่บ้าน (village)) สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนขององค์กรปกครองท้องถิ่นในชั้นที่เหนือขึ้นไป อย่างชั้นจังหวัดและมณฑล ถือเป็นการเลือกตั้งแบบ ‘ทางอ้อม’ โดยให้ตัวแทนสภาท้องถิ่นระดับต่ำลงไปหนึ่งชั้นเป็นผู้เลือกบุคคลไปทำหน้าที่ผู้แทนในสภาท้องถิ่นระดับสูงขึ้นไปหนึ่งชั้นไปเรื่อยๆ (มาตรา 97) ไล่เรียงจากตำบล/อำเภอสู่จังหวัด จังหวัดสู่มณฑล สุดท้ายจากมณฑลสู่ประเทศ
กล่าวโดยรวม รัฐบาลท้องถิ่นของจีนมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบอันกว้างขวางมาก ขณะที่ท้องถิ่นระดับมณฑลและจังหวัดมีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่น[4] เช่น จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง สามารถคิดค้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มทุนต่างชาติ อย่างลดหรือยกเว้นภาษี อุดหนุนทางการเงินให้แก่อุตสาหกรรมบางอย่าง รวมไปถึงการติดต่อตกลงกับต่างประเทศก็สามารถทำได้ระดับหนึ่ง เช่น รัฐบาลท้องถิ่นมณฑลยูนนานเข้าร่วมในโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) รูปธรรมคือ การสร้างถนน R3A จากคุณหมิงผ่านลาวมาถึงกรุงเทพฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ท้องถิ่นระดับบนยังมีอำนาจบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตลอดจนปฏิรูปและเวนคืนที่ดิน ทำให้มีบทบาทชี้นำการพัฒนาเมืองเป็นอย่างมาก
ในด้านการคลัง แม้นรายรับส่วนใหญ่ยังเป็นของรัฐบาลกลาง ทว่าเมื่อดูงบประมาณรายจ่ายแล้ว การใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสูงถึงประมาณเกือบ 70% เมื่อนำมาเทียบกับของรัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ตาม ภาษีในส่วนของรัฐบาลท้องถิ่นโดยเฉพาะมีนับสิบประเภท (ในรายละเอียดขึ้นอยู่กับระดับชั้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย) อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีมูลค่าเพิ่มของที่ดิน ภาษียานพาหนะ (รถและเรือ) ภาษีการใช้ที่ดินเพื่อการเพาะปลูก ภาษีใบยาสูบ ภาษีสัญญาซื้อขาย ฯลฯ ยังมิพักกล่าวถึงรายรับที่ไม่ใช่ภาษีอีกจำนวนมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางรัฐบาลท้องถิ่นมีทั้งแบบบังคับบัญชาและแบบจัดสรรอำนาจ นั่นคือท้องถิ่นมีทั้งด้านที่ต้องรับนโยบายของส่วนกลางนำไปปฏิบัติ และด้านที่เป็นอิสระในการดำเนินนโยบายสาธารณะของตนเองให้เป็นไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตอกย้ำว่าส่วนกลางกับท้องถิ่นของจีนไม่อาจแยกขาดจากกันได้
5
ไม่รู้ผมคิดมากไปเองรึเปล่า เพราะดันเชื่อว่าลึกๆ แล้ว สารคดีเรื่องหลังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ต่างให้กับสารคดีเรื่องแรก ตั้งใจที่จะเปลี่ยนภาพจำเชิงลบของระบบการเมืองการปกครองท้องถิ่นจีนให้เป็นไปในทางบวกยิ่งขึ้น

หากลองประเมินโดยใช้กรอบแนวคิดการกระจายอำนาจสามมิติของธนาคารโลก[6] ดังแผนภาพข้างต้นมาจับประเด็นดังกล่าวอาจพูดได้เต็มปากว่าจีนมีการกระจายอำนาจทางการบริหารและการคลัง (administrative and fiscal decentralization) อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างสูงมาก
กิจการภายในขอบเขตอำนาจการบริหารของห้านครเท่าที่ปรากฏในสารคดีมีอย่างรอบด้าน ครบถ้วนทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ การรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การกีฬา ศิลปวัฒนธรรม สาธารณสุข สวัสดิการสังคม งานชนชาติส่วนน้อย ซึ่งแต่ละนครมีอิสระในการริเริ่มและจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขสารพัดปัญหาได้เอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาเมือง องค์กรท้องถิ่นของจีนมีศักยภาพในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารที่ทำการของรัฐ ที่อยู่อาศัย ถนน สวนสาธารณะ ลานคนเมือง พิพิธภัณฑ์ การคมนาคมขนส่ง สาธารณูปโภคต่างๆ งบประมาณจำนวนมากเป็นรายรับที่ได้จากการให้เอกชนเช่าที่ดินที่ท้องถิ่นถือครองกรรมสิทธิ์ ขณะเดียวกันรัฐบาลท้องถิ่นก็สามารถขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาใช้จ่ายเป็นงบลงทุน จนอาจก่อให้เกิดหนี้สาธารณะก้อนโตขึ้นได้ ซึ่งกรณีนครต้าถงในสารคดี The Chinese Mayor คือตัวอย่างชั้นยอดเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างมิต้องสงสัย
ปฏิเสธมิได้ว่าจุดแข็งของรัฐบาลท้องถิ่นของจีนอยู่ที่การเป็นเจ้าของที่ดินในเขตเมืองทั้งหมด เป็นไปตามหลักการรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ แต่ทว่าจีนยังปราศจากการกระจายอำนาจทางการเมือง (political decentralization) ซึ่งตัวชี้วัดขั้นต่ำสุดอยู่ที่การมีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เป็นที่แน่ชัดว่าระบบไม่มีการแข่งขันที่เปิดกว้าง ประชาชนไม่มีสิทธิเลือกผู้บริหารท้องถิ่นได้ด้วยตัวเอง
การปกครองท้องถิ่นจีนไม่พ้นตกอยู่ภายใต้การชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ จัดตั้งองค์กรคู่ขนานไปกับสถาบันทางการเมืองของจีนในทุกระดับ เป็นต้นว่าชื่อของผู้บริหารท้องถิ่นที่เสนอให้สภาผู้แทนประชาชนประจำท้องถิ่นเลือกก็ถูกส่งมาจากคณะกรรมการกลางพรรค ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเป็นสมาชิกพรรค แสดงว่าได้ผ่านการคัดกรองทางความประพฤติและอุดมการณ์มาแล้ว[7] ขณะเดียวกันประธานสภาผู้แทนประชาชนขององค์กรปกครองท้องถิ่น (ผู้ที่ควบคุมกระบวนการเลือกตั้ง) ก็คือ เลขาธิการพรรคในระดับองค์กรจัดตั้งที่อยู่ในชั้นเดียวกันกับองค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งนั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สารคดี Chinese Mayors ไม่พูดถึงเลยแม้แต่น้อย
ในทางวิชาการเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าเป็นการปกครองท้องถิ่นโดยรัฐ (local state-government) ไม่ใช่การปกครองท้องถิ่นที่แท้จริง (pure local government) ที่เชื่อกันว่าหมายถึงท้องถิ่นที่มีความเป็นอิสระในการปกครองตนเองและเป็นประชาธิปไตยสูง
[1] “Documentary | Chinese Mayors [4K],” Miao Xiaojuan, YouTube (4 April 2023), from https://youtu.be/VEM903DsC5U?si=CJC_Hz-heKcBKVj7
[2] “大同 The Chinese Mayor 2015 HDTV 国语中字,” Kelly Hwong, YouTube (5 September 2019), from https://youtu.be/71tHbE4ZDbs?si=wKfROrwQwb9P_-7V
[3] เนื้อหาในหัวข้อนี้เรียบเรียงขึ้นโดยอาศัยหนังสือ 3 เล่ม ซึ่งมีข้อมูลบางส่วนไม่ตรงกัน เช่นเรื่องระดับชั้นของหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งโดยตรง ได้แก่ นรชาติ วัง, ประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นมณฑลยูนนาน, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, 2559); นิยม รัฐอมฤต, การปกครองท้องถิ่นจีน, (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2557); นิยม รัฐอมฤต, การปกครองท้องถิ่นในมณฑลซานตง สาธารณรัฐประชาชนจีน, (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560).
[4] ดูเพิ่มเติม ปรีดี บุญซื่อ, “รัฐบาลท้องถิ่นของจีนพัฒนามณฑลต่างๆ อย่างไร จนมีเศรษฐกิจมั่งคั่งเท่ากับประเทศขนาดกลาง,“ THAIPUBLICA (13 เมษายน 2567), จาก https://thaipublica.org/2024/04/pridi405/
[5] ที่มาภาพ: ณัฐกร วิทิตานนท์, “บทที่ 7 การปกครองท้องถิ่น,” ใน สุพิชฌาย์ ปัญญา (บรรณาธิการ), รัฐศาสตร์ 101, (เชียงใหม่: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2568), หน้า 196.
[6] ย้อนอ่าน ณัฐกร วิทิตานนท์, “การกระจายอำนาจ: หนึ่งในค่านิยมสากลที่องค์กรโลกบาลพยายามสร้าง,“ The101.World (6 มีนาคม 2566), จาก https://www.the101.world/global-organization-and-decentralization/
[7] นิยม รัฐอมฤต, การปกครองท้องถิ่นในมณฑลซานตง สาธารณรัฐประชาชนจีน, อ้างแล้ว, 57.