เรือธงซอฟต์พาวเวอร์จะแล่นไกลแค่ไหน: อ่านนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ร่วงหรือรอด? กับ ชาคริต พิชญางกูร

เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และอีกหลายประเทศทั่วโลกต่างมุ่งพัฒนา ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ กล่าวคือเป็นการนำความคิดสร้างสรรค์มาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ โดยเชื่อว่า ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมและเพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากรเพื่อยกระดับระบบเศรษฐกิจ

การขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ให้ประสบความสำเร็จได้ไม่สามารถเกิดขึ้นจากน้ำมือของภาคเอกชนเท่านั้น แต่ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน ทั้งเรื่องของงบประมาณและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภาพรวม เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ

แม้ว่าประโยคที่ว่า ‘ภาครัฐต้องสนับสนุน’ มักเป็นคำอธิบายที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งและซ้ำซาก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคำอธิบายดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เนื่องจากหลายประเทศที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จนสามารถแปรเปลี่ยนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้กลายมาเป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ภาครัฐเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของการผลักดันโจทย์เหล่านี้

ในปี 2565 มูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยอยู่ที่ 1.28 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีประเทศอยู่ที่ 7.39% ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ได้สร้างผลกระทบเพียงภายในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์กันเอง แต่สามารถสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย โดยมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 1 บาท สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจทั้งประเทศได้ถึง 1.95 บาท แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่สร้างมูลค่าในตัวเอง แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้างผ่านกลไกการจ้างงาน การบริโภค และการลงทุนในระบบเศรษฐกิจโดยรวม [1]

สำหรับประเทศไทย การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะแนวคิดดังกล่าวถูกบรรจุใน ‘แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ’ มาหลายฉบับ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 พ.ศ. (2566-2570) ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน อีกทั้งในปี 2561 รัฐบาลยังจัดตั้ง ‘สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)’ หรือ Creative Economy Agency (Public Organization) : CEA ภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อผลักดันนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม และพัฒนาศักยภาพของนักสร้างสรรค์ไทยอย่างเป็นระบบ จนนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

ทาง CEA ถูกมอบหมายให้มีบทบาทในการส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จำนวนทั้งสิ้น 15 สาขา ประกอบด้วย งานฝีมือและหัตถกรรม ดนตรี ศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การแพร่ภาพและกระจายเสียง การพิมพ์ ซอฟต์แวร์ การโฆษณา การออกแบบ สถาปัตยกรรม แฟชั่น อาหารไทย การแพทย์แผนไทย และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ปัจจุบันสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) อยู่ภายใต้การนำทัพของของ ดร.ชาคริต พิชญางกูร ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์การบริหารในแวดวงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มานานกว่า 15 ปี และในอีกบทบาทหนึ่งเขาเป็นหนึ่งในกรรมการและเลขานุการร่วมของ ‘คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ’

จนถึงปัจจุบันนี้ สังคมไทยเริ่มเห็นรากการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์แล้ว ผ่านความสำเร็จของนักสร้างสรรค์ไทยที่ไปประสบความสำเร็จในเวทีโลก แต่ยังถือว่าเป็นส่วนน้อย คำถามต่อไปคือเราจะผลักดันต่ออย่างไรให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เติบโตจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงมากพอ จนสามารถสร้างดอกผลทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยได้

อีกทั้งในวันที่ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ กลายเป็นนโยบายเรือธงสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่าง ‘สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ต้องปรับบทบาทการทำงานอย่างไร วันโอวันชวน ดร.ชาคริต พิชญางกูร มาสนทนาเพื่อตอบคำถามเหล่านี้

ชาคริต พิชญางกูร

ภาพยนตร์-ดนตรี: อุตสาหกรรมเรือธงใหม่ของวงการสร้างสรรค์ไทย

ชาคริตเริ่มต้นอธิบายถึงภารกิจที่สำคัญของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) คือการทำงานระหว่างหน่วยงานกับนักสร้างสรรค์ในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการทำงาน ต่อยอดทักษะและทำให้นักสร้างสรรค์สามารถส่งออกผลงานไปยังต่างประเทศได้

ที่ผ่านมา บาง ‘อุตสาหกรรมสร้างสรรค์’ ของประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูง เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกให้ความสำคัญมาอย่างยาวนานจนได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมออกแบบ อุตสาหกรรมแฟชั่น หรืออุตสาหกรรมโฆษณา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาให้อุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้เติบโตขึ้นไปอีกอย่างมีนัยสำคัญ

จากแนวคิดดังกล่าวส่งผลให้ทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตัดสินใจริเริ่มโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีขนาดเล็ก เนื่องจากมองว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตหากมีภาครัฐเข้าไปสนับสนุน โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องคือ ‘กลุ่มคอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์’ (creative content&media) ซึ่งประกอบด้วย ภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน และอุตสาหกรรมดนตรี เพื่อพลักดันให้อุตสาหกรรมเหล่านี้กลายเป็น ‘อุตสาหกรรมเรือธง’ ของประเทศ

“แม้ว่าอุตสาหกรรมกลุ่มคอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์อาจไม่ใช่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงมาก แต่หากภาครัฐลงทุนกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้มากขึ้น มักเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘spillover effect’ (การเกิดผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ) ให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ของประเทศด้วย จึงเป็นเหตุผลที่เราหันมาพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้

“เห็นได้จากกรณีของภาพยนตร์เรื่อง ‘หลานม่า’ ซึ่งมีโอกาสเดินทางไปฉายในหลายประเทศทั่วโลกจนได้รับความนิยม หนึ่งในนั้นคือประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้ภายในระยะเวลาสามเดือน มีจำนวนนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เห็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้เพียงแค่ตัวเลขเม็ดเงินกลับมาเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ยังสามารถทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเติบโตตามภาพยนตร์ไปด้วย” ชาคริตอธิบาย

จากคำอธิบายของชาคริตสอดคล้องกับข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม ‘คอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์’ ซึ่งพบว่า ‘ดนตรี’ เป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากปี 2564 ที่เติบโตถึงร้อยละ 12 โดยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.08 แสนล้านบาท โดยทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) คาดการณ์ว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจอาจเติบโตมากขึ้นในอนาคตจากการเติบโตของสตรีมมิงแพลตฟอร์ม

ชาคริต พิชญางกูร

ชาคริตย้ำว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์แต่ละประเภทต่างมีโจทย์และปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยวิธีการแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาให้สอดคล้องกับปัญหาที่เหล่านักสร้างสรรค์ต้องเผชิญในแต่ละอุตสาหกรรม

สำหรับแนวทางการพัฒนา ‘อุตสาหกรรมดนตรี’ นั้น ทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์เคยรวบรวมข้อมูลผ่านการแลกเปลี่ยนจากมุมมองของผู้ที่อยู่ในวงการดนตรีจากต่างประเทศพบว่า ศิลปินไทยเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ อีกทั้งยังมีความสามารถทั้งในด้านการแสดงดนตรีและความคิดสร้างสรรค์ แต่ต้องยอมรับว่าศิลปินไทยหลายคนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมักประสบความสำเร็จจากการดิ้นรนด้วยตนเองเป็นหลัก

ดังนั้น ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนศิลปินอีกหลายคนที่อาจไม่มีโอกาสเดินทางไปจัดการแสดงที่ต่างประเทศ โดยหนึ่งในข้อจำกัดของอุตสาหกรรมดนตรีไทยที่ต้องเร่งพัฒนา คือ การสร้างแบรนด์ (branding) และกระบวนการของการจับคู่ธุรกิจกับต่างประเทศ (business matching)

“โจทย์หลักของเราคือการผลักดันศิลปินไทยให้ไปสู่เวทีระดับนานาชาติ จนเกิดเป็นกระแส ‘Thai Music Wave’ เราจึงต้องออกแบบกระบวนการสร้างแบรนด์ของศิลปินไทยใหม่ให้สื่อสารกับสากลมากขึ้น ซึ่งวิธีการสื่อสารย่อมแตกต่างจากเป้าหมายการขายผลงานภายในประเทศแน่นอน แต่ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศไทยอาจไม่เชี่ยวชาญการสื่อสารกับต่างประเทศมากนัก” ชาคริตอธิบาย

ที่ผ่านมา CEA จึงมีโครงการส่งเสริมศิลปินไทยให้ไปแสดงผลงานบทเวทีเทศกาลดนตรีระดับโลก อีกทั้งยังนำผู้จัดเทศกาลดนตรีนานาชาติและผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกศิลปินเดินทางมาเยี่ยมชมเทศกาลดนตรีในประเทศไทย เช่น CAT Expo, Big Mountain Music Festival, Longlay Beach Life Music Festival เป็นต้น เพื่อให้ได้เห็นศักยภาพของศิลปินไทย อีกทั้งยังสร้างโอกาสทางธุรกิจระหว่างค่ายเพลง ศิลปิน และผู้จัดเทศกาลดนตรี

ชาคริต พิชญางกูร

แม้ว่าปัญหาในอุตสาหกรรมดนตรีเป็น ‘ปัญหาช่วงปลายน้ำ’ กล่าวคืออยู่ในช่วงการสร้างแบรนด์และการทำการตลาดเป็นหลัก แต่เมื่อสำรวจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หรืออุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเรือธงของประเทศ กลับพบว่าปัญหาที่นักสร้างสรรค์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยต้องเผชิญคือ ‘ปัญหาช่วงต้นน้ำและกลางน้ำ’ อย่างการหาแหล่งทุนเพื่อพัฒนาโครงการ และทักษะของแรงงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์

ชาคริตมองว่าในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมี ‘ช่องว่าง’ อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งมักเกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ในอุตสาหกรรมไทยยังไม่มี นั่นคือ ‘ตลาดซื้อ-ขายคอนเทนต์’ (content project market) ซึ่งหากเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดคงคล้ายกับ Marché du Film ภายใต้เทศกาล Cannes International Film Festival โดยเป็นหนึ่งในตลาดซื้อขายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ตลาดภาพยนตร์ภายในเทศกาลดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่ธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระหว่างนักสร้างสรรค์และกลุ่มผู้ลงทุน จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยนไอเดีย การนำเสนอโปรเจกต์ (pitching) รวมทั้งการซื้อขายภาพยนตร์

ต่อมาคือประเด็นใหญ่อย่างการพัฒนาศักยภาพของนักสร้างสรรค์ไทย ไม่ว่าจะเป็นคนทำหนังรุ่นใหม่ โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ นักเขียนบท และนักออกแบบแอนิเมชัน เนื่องจากนักสร้างสรรค์กลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยให้ไปสู่เวทีระดับโลกได้ โจทย์การพัฒนาศักยภาพของนักสร้างสรรค์ไทยจึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้พวกเขามีทักษะและชั้นเชิงเพื่อตอบรับกับเทรนด์ตลาด

“ผมอยากผลักดันให้ผลงานของนักสร้างสรรค์ไทยไปอยู่บนเวทีโลกและเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก วันหนึ่งเราฝันว่าอยากมีภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จบนเวทีระดับโลกอย่าง ‘Parasite’ (2019) สิ่งนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของผม” ชาคริตกล่าว

การขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ บนยุทธศาสตร์ ‘Soft Power’

นโยบาย ‘One Family One Soft Power’ ของเพื่อไทย ที่ต้องการขับเคลื่อนการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ในระดับนานาชาติ จากนโยบายดังกล่าวนำไปสู่การก่อตั้ง ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ’ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวทำหน้าที่กำกับการกำหนดยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ โดยบูรณาการการดำเนินงานของราชการและภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งชาคริตก็ได้เข้าไปในฐานะหนึ่งในกรรมการและเลขานุการร่วมของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติชุดปัจจุบัน

เขามองว่านโยบาย ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ เป็นนโยบายที่ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่มาจากการร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย จนอาจกล่าวได้ว่าการทำงานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงเป็นเหมือน ‘การต่อจิกซอว์’ ขนาดใหญ่ ภายใต้แผนที่นำทางอย่างการสร้างแผนยุทธศาสตร์ของชาติร่วมกัน ซึ่งมีตัวชี้วัดที่สามารถประเมินผลได้อย่างชัดเจน เพื่อกำกับดูแลภาพรวมของการทำงานภาพใหญ่ ก่อนที่จะมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการต่อไป

“การทำงานที่ผ่านมาของเราไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานคิดที่ว่าแผนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะมาช่วยการทำงานของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างไร แต่เราต้องคิดเสมอว่า CEA จะเข้าไปสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติอย่างไรเสียมากกว่า

“ไม่ว่าจะเป็น ‘การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของ CEA หรือ ‘การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์’ ในฐานะคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ต่างเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกันทั้งสิ้น” ชาคริตกล่าว

ทั้งนี้ ชาคริตคาดหวังว่าหากประเทศไทยต้องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้สำเร็จนั้น หน่วยงานอย่าง ‘สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ต้องเป็นหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณที่มากพอเพื่อสนับสนุนนักสร้างสรรค์ไทย และมีอำนาจในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศ เพื่อให้การขับเคลื่อนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและไม่กระจัดกระจาย

ชาคริต พิชญางกูร

References
1 อ้างอิงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการศึกษาของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save