ชัยวัฒน์วิทยา: ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ในฐานะนักวิจัยนานาชาติด้านสันติภาพ

จากบทความก่อนหน้าที่ชี้ถึงภูมิหลังทางวิชาการที่หล่อหลอมโลกทางความคิดเกี่ยวกับสันติวิธีหรือปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เราอยากเล่าต่อไปให้เห็นถึงความโดดเด่น (เรียกว่าความประหลาดก็ได้) รวมถึงคุณูปการของ ‘ชัยวัฒน์วิทยา’ ในแวดวงวิชาการนานาชาติ

ความโดดเด่นนี้มีที่มาสองส่วน ประการที่หนึ่งคือความเป็นอิสระต่อกรงขังของศาสตร์สมัยใหม่ ส่งผลให้อาจารย์มักจับความรู้จากหลายที่มาผสมเพื่ออธิบายสิ่งที่ต้องการอธิบาย โดยไม่สนใจพรมแดนทางญาณวิทยา ส่วนประการที่สองคือการร่วมดีเบตกับประเด็นระดับโลกโดยใช้ตัวอย่างจากสังคมไทย โดยมักเห็นว่าแม้สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยจะมีรายละเอียดที่เฉพาะ แต่ก็ไม่ได้ ‘unique’ เกินกว่าจะอธิบายจากมุมมองนานาชาติได้

ในงานประชุมนานาชาติว่าด้วยไทยศึกษาครั้งที่ 9 เมื่อปี 2005 ซึ่งมหาวิทยาลัย Northern Illinois เป็นเจ้าภาพ มีเวทีนำเสนอบทความหัวข้อ Chaiwat Satha-anand: Human Rights and Buddhist-Muslim Relations in Thailand ที่มุ่งวิเคราะห์นักคิดมุสลิมในไทย โดยเฉพาะชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ในบริบทความสัมพันธ์ไทย-พุทธในสามจังหวัดภาคใต้ และในไทยภาพรวม จากจำนวนผู้เสนอบทความทั้งเจ็ดคน นักวิชาการสามคนมุ่งความสนใจไปที่บทบาทของชัยวัฒน์ ได้แก่ Saroja Dorairajoo (นักมานุษยวิทยาด้านมุสลิมศึกษาในไทยและเอเชียอาคเนย์), Carool Kersten (นักวิชาการด้านเทววิทยาชาวดัตช์) และ Raymond Scupin (นักมานุษยวิทยาด้านศาสนาชาติพันธุ์)

ขณะที่ Scupin พิเคราะห์บทบาทของชัยวัฒน์ในฐานะนักวิชาการและนักกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกับนักคิดมุสลิมท่านอื่น (เช่นสุรินทร์ พิจสุวรรณ) และ Dorairajoo สนใจงานของชัยวัฒน์ที่สัมพันธ์กับปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ Kersten วิเคราะห์ ‘ลัทธิ’ (doctrine) สันติวิธีของชัยวัฒน์ โดยอ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกและบทความที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสันติวิธีและอิสลามของชัยวัฒน์อย่างละเอียดและระมัดระวัง ทั้งยังศึกษางานของชัยวัฒน์เทียบกับวิธีคิดต่อสันติวิธีและอิสลามของนักคิดชาวฝรั่งเศส Louis Massignon (1883-1962) กล่าวอีกแบบได้ว่า Kersten ศึกษา ‘ชัยวัฒน์วิทยา’ จากมุม ‘ชีวประวัติปัญญาชนศึกษา’ (intellectual biography) โดยถกเถียงว่าจุดยืนและท่าทีของชัยวัฒน์ต่อสันติวิธีมาจากมุม ‘นักปฏิบัติผู้ทรงจริยธรรม’ (ethical pragmatist) ซึ่งแสวงหาทางออกจากปัญหาความรุนแรงที่จับต้องได้ แต่การคิดถึงทางออกนี้ได้อาศัยรากฐานศาสนาและปรัชญาการเมืองของชัยวัฒน์

บทความชิ้นนี้มีพื้นที่จำกัดเกินกว่าที่จะสรุปบทวิเคราะห์ของ Kersten ได้ทั้งหมด ถ้าใครสนใจตามอ่านต่อได้ตามอ้างอิงท้ายบทความ แต่ที่อยากขยายความเพิ่มในข้อเขียนชิ้นสั้นๆ นี้คือข้อสังเกตของ Kersten ต่อการเข้าถึงความรู้ของชัยวัฒน์มีลักษณะ eclectic คือยืมองค์ความรู้มาจากทุกสำนักที่อาจารย์เห็นว่าช่วยเปิดมุมมอง โดยทลายพรมแดนทางญาณวิทยาที่กั้นระหว่างศาสตร์สมัยใหม่แขนงต่างๆ เช่นอาจารย์มักผสมเทววิทยา (เช่นในงานศึกษาชุดอภัยวิถี) เข้ากับแนววิเคราะห์หลังสมัยใหม่ที่ได้อิทธิพลจาก Michel Foucault แต่ก็ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์และสถิติเพื่อสนับสนุนข้อเสนอตน ทั้งๆ ที่สามสกุลนี้ต่อสู้ต่อตีกันในพัฒนาการโลกวิชาการ ศาสตร์สมัยใหม่อย่าง ‘ประจักษ์นิยม’ มาจากญาณวิทยาแบบ ‘ปฏิฐานนิยม’ (positivism) ซึ่งสู้กับโลกทัศน์ที่ศาสนจักรครอบงำในยุโรปยุคกลาง ส่วนแนวคิดหลังสมัยใหม่มุ่งท้าทาย ‘ปฏิฐานนิยม’ ในแง่นี้ชัยวัฒน์จึงตั้งใจ eclectic เพราะอยากดื้อกับกรงขังทางญาณวิทยา

ในทางหนึ่งความดื้อนี้สะท้อนความเป็นนักปฏิบัตินิยม (pragmatist) ของชัยวัฒน์ดังที่ Kersten ชี้ให้เห็น แต่อีกทางหนึ่งก็เป็นเพราะวิธีคิดแบบชัยวัฒน์ที่เห็นความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของความรู้และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ งานเขียนชิ้นหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักแต่สะท้อนวิธีคิดนี้ได้ดีคือบทนำในหนังสือ The Frontiers of Nonviolence ที่อาจารย์เป็นบรรณาธิการร่วมกับนักวิจัยด้านสันติภาพคนสำคัญอย่าง Michael True ชัยวัฒน์ชี้ว่าการออกเดินทางเพื่อแสวงหาพรมแดนแห่งความรู้ใหม่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาองค์ความรู้สันติวิธี จะ ‘ผจญภัยทางวิชาการ’ ได้ก็ต้องออกนอกกรอบของขนบแห่งการเข้าถึงความรู้ ในแง่นี้การข้ามและกระทั่งผสมศาสตร์อันหลากหลายเข้าด้วยกันสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างทางเลือกให้แก่สันติวิธี

จึงไม่น่าแปลกใจที่งานวิจัยที่เกี่ยวกับสันติวิธีของชัยวัฒน์พยายามแหวกม่านธรรมเนียมทางวิชาการ เพื่อท้าทาย epistemic status quo ที่ครอบงำความรับรู้ของผู้คนต่อปรากฏการณ์ที่เขาศึกษา เช่นหลังจากจบปริญญาเอกใหม่ๆ ชัยวัฒน์พิมพ์งานศึกษาชิ้นสั้น Islam and Violence: A Case Study of Violent Events in the Four Southern Provinces, Thailand, 1976-1981 (พิมพ์ครั้งแรกปี 1987) ซึ่งบุกเบิกงานวิจัยว่าด้วยสันติวิธีและอิสลาม-ชาวมุสลิม และได้พิมพ์บทความในประเด็นนี้ต่อมาเรื่อยๆ เพื่อท้าทายความรับรู้ของสังคมที่มักเชื่อมอิสลาม-ชาวมุสลิมเข้ากับความรุนแรง

หรือช่วงต้นทศวรรษ 1990 บทความ Teaching Nonviolence to the States แย้งกับข้อเสนอของ Max Weber ว่ารัฐผูกขาดการใช้ความรุนแรง โดยชัยวัฒน์ชี้ว่ารัฐสามารถ ‘ถูกสอน’ ให้ใช้สันติวิธีได้ รวมถึงในบทความ Color of the Alternatives: Rethinking Nonviolent Actions in the 21 Century ชัยวัฒน์ถึงกับชี้ว่าในบางบริบทการปารองเท้า อุจจาระ หรือเลือด ถือเป็นปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงได้ สำหรับใครหลายคนคำกล่าวนี้สร้างความงงงวยและกระวนกระวายใจให้ไม่น้อย เพราะขัดกับความเชื่อที่ว่าสันติวิธีต้อง ‘สันติ’ ถ้าใครคนนั้นอ่านงานของชัยวัฒน์ดีๆ และอ่านอย่างต่อเนื่องจะเห็นความซับซ้อนของข้อถกเถียงที่เริ่มจากนิยามของความรุนแรงแบบ minimalist ไปจนถึงการแยกระหว่างปฏิบัติการกับผลของปฏิบัติการ

นอกจากนี้ บทบาทนักวิชาการนานาชาติของชัยวัฒน์ยังแยกไม่ออกจากสถานะปัญญาชนสาธารณะในสังคมไทย เมื่อครั้งที่เราเพิ่งเรียนปริญญาเอกจบและได้ร่วมงานประชุม International Peace Research Association (IPRA) ที่นครซิดนีย์ ปี 2012 กับอาจารย์ จำได้ว่าอาจารย์เสนอบทความเกี่ยวกับการประท้วงของคนเสื้อแดง ซึ่งเขียนขึ้นหลังการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2010 ส่วนบทความเราเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับประเทศเซอร์เบีย เราถามอาจารย์ปนเล่นปนจริงว่าทำไมจึงต้องเอาเคสไทยมาเล่าให้ฝรั่งฟังบ่อยๆ ไม่เบื่อหรือ อาจารย์ยิ้มละไมแบบมีเลศนัย แล้วตอบประมาณว่านักวิชาการจากโลกฝรั่ง (โดยเฉพาะในแวดวงสันติวิธีสำนักอเมริกัน) มักใช้เคสจากหลากหลายประเทศเพื่อถกเถียงในประเด็นต่างๆ ในฐานะกรณีศึกษาเท่านั้น ทว่าหลายครั้งละเลยความซับซ้อนและบริบทที่ละเอียดอ่อนของสถานการณ์จริงๆ ในฐานะนักวิชาการไทยที่ถกเถียงประเด็นระดับโลก เรามีสถานะ ‘คนใน’ ด้วย สามารถอธิบายความซับซ้อนและขัดเกลาให้ทฤษฎีใหญ่สนใจรายละเอียดเชิงบริบทได้

เราคิดว่านี่คือจุดยืนและท่าทีของชัยวัฒน์ตลอดเวลากว่าสามทศวรรษที่ทำงานในโลกวิชาการนานาชาติ งานวิจัยและผลงานตีพิมพ์ในสองหัวข้อใหญ่ที่กล่าวไปข้างต้นถกเถียงกับประเด็นระดับโลก โดยได้แรงบันดาลใจและใช้ข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในประเด็นสันติวิธีกับศาสนาอิสลาม-ชาวมุสลิม งานชิ้นแรกๆ ของชัยวัฒน์อิงบริบทความขัดแย้งรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ ต่อมาเมื่อเกิดการโจมตีตึกเวิลด์เทรด ที่สหรัฐฯ ในปี 2001 จนนำไปสู่การประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ชัยวัฒน์พิมพ์บทความ Praying in the Rain: The Politics of Engaged Muslims in Anti-War Protest in Thai Society โดยอาศัยข้อมูลและเรื่องเล่าจากการชุมนุมต้านสงครามด้วยสันติวิธีของชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัด เพื่อ ‘อ่าน’ คำสอนในศาสนาอิสลามใหม่ว่าสามารถส่งเสริมให้ชาวมุสลิมต่อสู้กับความอยุติธรรมด้วยปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงได้

หรือในบทความ Teaching Nonviolence to the States ที่เกริ่นไว้ข้างต้น ชัยวัฒน์ผสานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก The Nonviolent Prince เข้ากับประสบการณ์การอบรมสันติวิธีแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงม็อบทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมชุกชุม (ราวปี 2538-2545) และบทบาทของชัยวัฒน์ในฐานะผู้ร่วมปั้นและกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี ภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)[1] นอกจากนี้เมื่อต้องยกตัวอย่างความสำเร็จของรัฐในการใช้สันติวิธี ชัยวัฒน์มักอ้างถึงคำสั่ง 66/2523 ว่าสะท้อนถึงความสามารถของรัฐที่จะ ‘ให้อภัย’ และเปลี่ยนทิศทางการรับมือกับความขัดแย้งจากที่ใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการทางการเมืองหรือไม่ใช้ความรุนแรงได้

ในหนังสือและบทความภาษาอังกฤษที่ชัยวัฒน์ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1987 ถึง 2006 จำนวน 46 ชิ้น มีตัวอย่างจากสังคมไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายภาคใต้ปรากฏในอย่างน้อย 21 บทความ ชัยวัฒน์มักวางสังคมไทยในบริบทโลกเสมอ

ทว่าครั้งหนึ่งเราเคยถามอาจารย์ตามประสาเด็กอายุ 20 ที่เห็นนักวิชาการที่ทำงานนานาชาติอย่างเข้มข้นว่า เหตุใดอาจารย์จึงไม่ย้ายไปทำงานต่างประเทศ อาจารย์เหม่อไกลๆ และตอบกลับว่า

“เป็นห่วงคุณแม่และคณะรัฐศาสตร์ มธ.”

ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้งและคิดถึงอาจารย์ชัยวัฒน์อย่างสุดใจ

To AJ

From NJ


อ่านเพิ่มเติม

Carool Kersten, “Machiavelli or Gandhi? Chaiwat Satha-anand’s Nonviolence in a Comparative Perspective,” Thammasat Review 13(1) (2015): 75-88.

Chaiwat Satha-Anand, “Teaching Nonviolence to the States,” in Majid Tehranian (ed.), Asian Peace: Security and Governance in the Asia Pacific Region. (London and New York: I.B.Taurus Publishers, 1999).

Chaiwat Sathan-Anand, “Forgiveness as a Nonviolent Security Policy: An Analysis of Thai Prime Ministerial Order 66/23,” Social Alternatives. Vol.21 No.2 (Autumn 2002).

Chaiwat Satha-Anand, “Praying in the Rain: The Politics of Engaged Muslims in Anti-War Protest in Thai Society,” Global Change, Peace & Security. Vol. 16 No.2 (June 2004).

References
1 คณะกรรมการฯ ถูกยุบไปหลังการรัฐประหารปี 2549

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save