ฉันดื่มดวงอาทิตย์และคิดถึงเธอทุกปี: บทสนทนาในวัย 60 ปีของบินหลา สันกาลาคีรี

ภาพถ่ายโดย พร อันทะ

บินหลาเกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2508

สี่วันก่อนถึงวันครบรอบ 60 ปีของเขา ชาวไรท์เตอร์จัดงาน The Writer’s Secret Reunion ชวนเพื่อนสนิทมิตรรักนักอ่านเขียนมาร่วมพบปะกันที่บ้านพักของบินหลาและคนรัก อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

บินหลาเป็นนักเขียน เป็นนักข่าว เป็นบรรณาธิการ และหลายครั้งเขาเป็นพี่และเพื่อนที่ทำให้วงพูดคุยครื้นเครงมีพลัง – ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ถ้าจะบอกว่าทุกครั้งที่เขาปล่อยมุก สิบในสิบ ไม่มีครั้งไหนไม่ขำ

บินหลาเขียนงานหลากหลายทั้งเรื่องสั้น นิยาย นิทาน สารคดี ไปจนถึงงานแนวประวัติศาสตร์ หนังสือหลายเล่มที่ยังอยู่ในใจของนักอ่าน เช่น คิดถึงทุกปี, นกก้อนหิน, เจ้าหงิญ, หลังอาน, ฉันดื่มดวงอาทิตย์ ฯลฯ ยังคงถูกพูดถึงและหยิบอ่านซ้ำๆ

บินหลาป่วยหนักเมื่อปี 2561 นับแต่นั้นเขาก็ห่างหายจากการเขียนหนังสือ เขาพักรักษาตัวนานหลายปี ตอนนี้ใช้ชีวิตที่บ้านริมแม่น้ำแม่กลอง

บทสนทนานี้เกิดขึ้นในวันที่ลมพัดแรง วันก่อนหน้านั้นที่กาญจนบุรีอากาศร้อนระอุ แต่วันนี้ฟ้าครึ้มตั้งแต่ต้นบ่าย แล้วกลายเป็นฝนลงมาในตอนเย็นลากไปจนค่ำมืด

ใต้ฟ้าครึ้มและต้นไม้ปลิวไหว บินหลาในวัย 60 ปีนั่งคุยถึงชีวิตแบบ ‘บินทีละหลา’ ของเขา และย้อนความหลังถึงไรท์เตอร์ร่วมกับ ‘นรา’ พรชัย วิริยะประภานนท์ หนึ่งในสามบรรณาธิการผู้ร่วมปลุกชีวิตนิตยสารไรท์เตอร์ (อีกคนคือวรพจน์ พันธุ์พงศ์)

อ่านทีละประโยค ถัดไปทีละบรรทัด และล่องไปทีละหลา

ปีนี้ (2568) คุณอายุครบ 60 ปี ย้อนไปก่อนหน้านี้ คุณเริ่มป่วยหนักตอนปี 2561 ช่วงเวลาเจ็ดปีในการรักษาอาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง

ผมจำได้ว่าปี 2561 ผมยังอยู่เชียงใหม่ อยู่คนเดียวอย่างที่เป็นมาสักราว 20 ปี ตอนนั้นผมไม่สบาย จึงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ลำพูน แต่ผมอยู่โรงพยาบาลได้สี่วัน ทางโรงพยาบาลก็แจ้งให้ผมย้ายออกด้วยเหตุผลว่าหมดวิธีการจะรักษาผม ผมก็แย่ เลยโทรบอกน้องสาวว่าให้หาโรงพยาบาลเอกชนที่เชียงใหม่เพื่อที่ผมจะเข้าไปรับการรักษา

โรงพยาบาลเอกชนในเชียงใหม่ก็รับรักษา แต่เรียกค่าเข้าผมหนึ่งแสนบาท ผมก็เลยงงว่าเราเป็นอะไรเขาถึงกลัวขนาดนั้น ผมก็เลยต้องแจ้งพี่สาวซึ่งเป็นอาจารย์อยู่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ว่าผมไม่สบาย พี่สาวเลยบินขึ้นไปจากสงขลา พาผมไปจากโรงพยาบาลเอกชนที่ลำพูนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

โรงพยาบาลมหาราชตรวจร่างกายผม พบว่าผมมีอาการของโรคหัวใจ จึงไม่แนะนำให้พาผมไปสงขลาเพราะเกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทาง แต่พี่สาวผมบอกว่าเขาต้องทำงานที่สงขลา อยู่ดูแลที่เชียงใหม่ไม่ได้ โรงพยาบาลที่สงขลาจึงยอมให้เดินทางได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเดินทางโดยรถยนต์ ผมเลยต้องไหว้วานน้องเขยซึ่งทำงานที่กรุงเทพฯ ให้ขับรถพาตัวผมจากเชียงใหม่มา พักนอนหัวหิน แล้วอีกวันก็เข้าโรงพยาบาลที่หาดใหญ่ หลังจากนั้นก็รักษาเรื่อยมา

อาการของผมคือโรคไต ความดัน เบาหวาน หัวใจ ซึ่งแต่ละโรคจะกระทบถึงกันหมด รักษาเบาหวานก็ต้องดูแลหัวใจ รักษาหัวใจก็ต้องดูแลเบาหวาน ทุกอย่างยุ่งพันกันไปหมด ผมก็รักษามาจนกระทั่งวันนี้

ช่วงที่รักษาตัว หยุดเขียนหนังสือไปเลยใช่ไหม

ไม่ได้หยุดเขียนหนังสือ ผมแค่เขียนไม่ได้อีกเลย ผมเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่อหลายปีที่แล้ว รักษายังไม่ทันหาย ผมก็ซ่า ไม่รักษาต่อ ปรากฏว่าอาการที่เป็นคือแขนขาด้านขวาชาไปหมด ผมรักษาจนกระทั่งแขนขาด้านขวาขยับได้ ไม่ชา แต่ยังจับปากกาเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรง แต่ผมก็ไม่ได้รักษาต่อ ก็เลยเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้แขนขาด้านขวาก็ยังไม่มีเรี่ยวแรง

ย้อนกลับไป คุณเป็นนักเขียน-นักข่าวที่มีประสบการณ์การเดินทางเยอะ เห็นได้จากหนังสือหลายเล่ม ในช่วงเจ็ดปีที่รักษาตัวแล้วเดินทางไม่ได้เหมือนก่อน คุณรู้สึกอย่างไร ตกผลึกอะไรกับชีวิตบ้าง

เป็นความเศร้า ผมเคยคิดว่าตัวเองคงเขียนหนังสือไปจนตาย พอใกล้ตายไม่มีแรงเขียนก็คงหยุดเขียน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายยังไม่ถึงกับทำให้ผมตาย คงอีกหลายปี แต่ผมต้องหยุดเขียนแล้วเพราะไม่มีเรี่ยวแรง ก็เศร้า รู้สึกว่าเราก็ทำตัวไม่เหมาะสม ทำตัวแย่เอง ไม่ประวิงเวลา ไม่ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้

ตั้งแต่แรก ทำไมคุณจึงสนใจการเขียน

ผมโตมาในบ้านที่มีพ่อเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย มีหนังสือเต็มบ้าน ผมก็อ่านหนังสือในตู้ของพ่อ แล้วก็อยากเป็นนักเขียนอย่างที่เห็นตัวอย่าง ประกอบกับช่วงนั้นนักเขียนในไทยที่มีชื่อเสียงมักเป็นนักข่าวด้วย เช่น มนัส จรรยงค์, ยาขอบ, มาลัย ชูพินิจ, ศรีบูรพา ผมจึงรู้สึกว่าถ้าผมโตขึ้นเป็นนักข่าวก็น่าจะเป็นนักเขียนอย่างที่พวกเขาเป็นได้ ใฝ่ฝันอย่างนั้น

เรื่องแรกที่เขียนแล้วได้รับการตีพิมพ์คือเรื่องอะไร

ผมจำไม่ได้ว่าผมเขียนหนังสือเรื่องแรกคือเรื่องอะไร แต่ถ้าจำไม่ผิดคือในช่วงปี 2527 ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี เรื่องสั้นเรื่องแรกได้ลงที่นิตยสารสกุลไทย เป็นเรื่องสั้นชิงรางวัล 2,000 บาท ผมส่งเรื่องสั้นตั้งแต่ตอน มศ.5 สกุลไทยใช้เวลาปีกว่ากว่าจะตีพิมพ์ ผมเลยได้ไปรับรางวัลตอนที่เรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ แล้ว

ตอนนั้นดีใจมากไหมที่รู้ว่าได้ตีพิมพ์ที่สกุลไทย

มันเท่ ดีใจ รู้สึกว่าเราเริ่มชีวิตของการเขียนหนังสือแล้ว

เส้นทางชีวิตนักเขียนหลังจากนั้นต้องเจออะไรบ้าง ตีพิมพ์แล้วแล้วอย่างไรต่อ

พอตีพิมพ์แล้ว เราก็งงๆ ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อ ในที่สุดผมก็เริ่มเขียนโดยการส่งเรื่องไปตามที่ต่างๆ ซึ่งก็ไม่ค่อยได้รับการตีพิมพ์ ก็อดอยาก ไส้แห้ง

เรื่องที่สองที่ได้ตีพิมพ์ ตอนนั้นประมาณปี 2528-2529 ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2-3 แล้ว คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์มาสอนหนังสือที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ผมก็เตรียมเรื่องสั้นเหน็บไปด้วย พอคุณอาจินต์สอนเสร็จจะเดินออกจากห้อง ผมก็วิ่งตามไปขอส่งต้นฉบับเรื่องสั้น ปรากฏว่า 2-3 เดือนต่อมา เรื่องสั้นเรื่องนั้นได้รับการตีพิมพ์ที่นิตยสารฟ้าเมืองไทยในคอลัมน์ ‘เขาเริ่มต้นที่นี่’ ผมก็เฮ บอกเพื่อนๆ ว่าพวกมึงไปกินเหล้ารอเลย เดี๋ยวกูไปรับค่าเรื่องแล้วจะเอาตังค์ไปจ่ายให้ ด้วยความเท่ ผมก็ไปรับค่าเรื่อง ปรากฏว่าเรื่องสั้นเรื่องนั้นได้รับค่าเรื่อง 100 บาท ผมก็หัวเราะ เราจะทำอย่างไรต่อ แต่ก็ไม่มีทางเลือก สุดท้ายเพื่อนก็ช่วยกันจ่าย ผมเอาเงิน 100 บาทนั้นไปช่วยแชร์ค่าเหล้ากับเพื่อน เป็นเรื่องที่จำมา 40 ปีแล้ว ก็แปลว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำ ใครจะมีความทรงจำเรื่องแบบนี้ได้บ้าง

หลังจากได้ลงคอลัมน์ เขาเริ่มต้นที่นี่ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่สร้างนักเขียนหลายคน หลังจากนั้นชีวิตนักเขียนคุณเป็นอย่างไรบ้าง

ผมก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตนักเขียนเป็นแบบนี้นี่เอง คุณคาดหวังได้แต่ก็ไม่แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ประมาณปี 2529 คุณจุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง ซึ่งตอนนั้นเป็นสมาชิกวงเฉลียงแล้ว คุยกับคุณวัชระ แวววุฒินันท์ซึ่งอยู่ที่ JSL เป็นรุ่นพี่ที่คณะสถาปัตย์ กับคุณจิก-ประภาส ชลศรานนท์ ว่ากำลังจะออกนิตยสารชื่อ ‘สะดือ’ แต่ไม่ผ่านคณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) สมัยนั้น กบว. มีอำนาจมากที่จะให้ชื่อผ่านหรือไม่ผ่าน ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ไปยาลใหญ่’

ตอนนั้นด้วยความที่ผมเป็นรุ่นน้องจุฬาฯ ของพี่จุ้ย ก็เลยได้ทำงานในกองบรรณาธิการไปยาลใหญ่ด้วย ผมจึงมีประสบการณ์ร่วมกับกองบรรณาธิการกองแรกในชีวิตคือกองไปยาลใหญ่ในฐานะคนพิสูจน์อักษร

ตอนนั้นไม่ได้เข้าไปเขียน?

อยากเข้าไปเขียนแต่กลัวเขาไม่รับ ก็เลยขอเป็นคนพิสูจน์อักษรก่อน แต่หลังจากนั้นผมก็เขียนงานด้วย จนกระทั่งผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักเขียน

ผมทำงานที่ไปยาลใหญ่หลายปีเหมือนกัน จำไม่ได้ว่ากี่ปี แต่พอดีผมต้องไปฝึกงานที่หนังสือพิมพ์มติชนด้วย ผมเลยออกจากไปยาลใหญ่ไปอยู่มติชน

ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือแล้วใช่ไหม ทำงานแล้วทำยาวเลย

ใช่ ตอนผมเรียนหนังสือ ผมติดเอฟตั้งแต่ปีหนึ่ง เพราะผมขาดเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง ซึ่งการจะเรียนจบต้องแก้เอฟให้ได้ เพื่อเรียนต่อวิชาในปี 2-3 แต่ผมรู้สึกว่าแก้ไม่ไหว ไม่อยากแก้ด้วย เอฟก็ช่างมัน ผมรู้อยู่แล้วว่าโดนรีไทร์แน่ แต่ก็ไม่รู้จะบอกที่บ้านอย่างไร เลยอาศัยการอยู่แบบหางานทำไปด้วย

พออยู่ปี 4 ผมได้ทำงานที่มติชน ไปฝึกงานธรรมดานี่แหละ แล้วรุ่นพี่ที่มติชนชอบมาก พี่เขาบอกผมว่าให้กลับไปเรียนหนังสือ เรียนจบเมื่อไหร่แล้วก็มาทำงานที่มติชน แต่ผมบอกไปว่า “ถ้าพี่จะรับผมก็รับเลยดีกว่า ผมพร้อมจะทำงาน” ผมก็โชว์ให้เขาเห็นว่าผมพร้อมจริงๆ สุดท้ายผมก็ได้ทำงานที่มติชนโดยไม่มีวุฒิปริญญาตรี ทำที่โต๊ะข่าวเศรษฐกิจประจำอยู่กระทรวงพาณิชย์ ชีวิตนักข่าวเศรษฐกิจทั้งสนุกและท้าทาย ผมต้องเรียนรู้หลายอย่างและพยายามฝึกปรือตัวเองเรื่อยๆ

เคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่างานข่าวสมัยก่อนเป็นยุคเฟื่องฟู นักข่าวถูกส่งไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ชีวิตนักข่าวของคุณเป็นแบบนั้นไหม

ผมก็ไม่รู้ว่าเฟื่องฟูไหม แต่ก็ได้ไปหลายที่จริงๆ อย่างต่างจังหวัด ผมก็ได้ไปบ่อย จนกระทั่งน่าจะปลายปี 2531 ผมทำข่าวได้ไม่ถึงปี ก็มีข่าวว่าที่ยุโรปกำลังจะมีการรวมแต่ละประเทศเป็นประเทศเดียวกันซึ่งคือสหภาพยุโรป (EU) กระทรวงพาณิชย์ไทยจึงส่งนักข่าวเพื่อไปรู้จักอียู ผมก็ไปเล่าให้ในกลุ่มมติชนฟังว่าน่าสนใจมาก โดยที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ารุ่นพี่ที่ออฟฟิศเขารู้อยู่แล้ว พอเขารู้ว่าผมรู้ พี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่อาวุโสเลยบอกว่าเขาตกลงกันแล้วว่าจะส่งต้อไปยุโรป ผมก็ตื่นเต้นมาก โอ้โห ได้ไปยุโรปเลยเหรอ แต่บาดแผลของผมคือการตกภาษาอังกฤษตั้งแต่ปีแรกที่อยู่จุฬาฯ มันก็ยังฝังใจผม ผมเห็นภาพตัวเองว่าเราเป็นนักข่าวไทยได้ไปยุโรป ได้ไปรู้จักโลกกว้าง แต่กูตกภาษาอังกฤษ กูจะไปอย่างไร กูจะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างไร แต่ตอนนั้นคิดว่าไปก่อนละ ทั้งหมดทั้งปวงค่อยว่ากัน

พอดีกับช่วงนั้นมติชนกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เขาเลยแจกหุ้นมติชนให้พนักงานบริษัท ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการแจกหุ้นมา ไม่เยอะมาก แต่ก็ไม่น้อย ผมก็มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งราคาพุ่งสูงมาก ผมก็เลยขายหุ้น จำได้ว่าน่าจะขายได้สองแสนกว่าบาท ผมก็ดีใจว่าถ้าอย่างนั้นกูไม่กลับเมืองไทยดีกว่า ฝันหวานว่าไปยุโรปแล้วจะไม่กลับมา เลยไปซื้อดิกชันนารี ภาษาไทยหนึ่งเล่ม ภาษาอังกฤษหนึ่งเล่ม คิดว่าจะใช้สองเล่มนี้ที่จะทำให้ไม่ต้องกลับมา แล้วก็ออกเดินทาง

เมืองที่เป็นเป้าหมายคือบรัสเซลส์ที่เบลเยียม เขาเป็นศูนย์กลางของอียู แต่เป้าหมายจริงๆ ที่แฝงอยู่คือกูจะไม่กลับไทย เพราะฉะนั้นผมก็แทบไม่สนใจว่าต้องไปสัมภาษณ์ใคร รู้แต่ว่าต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่ต้องกลับไทย คนที่ผมสนใจคือคนที่เขาทำให้ผมอยู่ได้ จนผมไปเจอธุรกิจอันหนึ่งคือธุรกิจซื้อรถเบนซ์ส่งขายเมืองไทย คือซื้อรถเบนซ์ในต่างประเทศในราคาไม่แพง แล้วส่งกลับเมืองไทย ผมจึงไปเป็นผู้ช่วยคนขายรถเบนซ์ นั่งไปกับเขา คุยว่าเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง ผมพูดภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ แต่ก็ช่วยเขาได้

เป็นอาชีพที่ทำให้อยู่ได้นะครับ ผมอยู่กับเขาจนกระทั่งคนขายรถที่บรัสเซลส์ถามว่าน้องอยากไปที่ไหนอีกบ้าง ผมบอกว่าผมอยากไปเยอรมนี เขาก็บอกพี่มีเพื่อนพอดี เขาก็คุยกับเพื่อนให้ว่า “มีคนหนึ่งจะช่วยขายรถเบนซ์ มึงเอาไหม นิสัยดี ใช้ได้” ผมก็ไปอยู่เยอรมนีพักหนึ่ง จากเยอรมนีก็ไปออสเตรียต่อ

ตอนนั้นมติชนได้ติดต่อไปบ้างไหม

ตอนที่ผมอยู่ออสเตรีย ผมก็ทำจดหมายลาพักร้อนไปที่มติชน เขาบอกว่าลาไม่ได้แล้ว ต้องกลับเมืองไทย ผมจึงลาออกเลย แล้วก็ไปของผมต่อ ผมอยู่ยุโรปประมาณ 20 กว่าวัน จนกระทั่งเงินสองแสนกว่าบาทหมด คือเงินสองแสนนับเป็นเงินเยอะ แต่ก็นับเป็นเงินน้อยสำหรับคนที่ใช้เงินไม่เป็น

ในออสเตรีย ผมอยู่ห้องเช่าที่ราคาไม่แพง แต่ผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเลยนั่งแท็กซี่ตลอด ซึ่งแท็กซี่แพงมาก พอลงจากรถทีก็ใจหายวาบว่าหมดไปขนาดนี้เลยเหรอ แต่ก็นั่งแท็กซี่ต่อ นั่งจนกระทั่งเงินหมด ก็สะใจดี แต่ก็เจ็บใจด้วย

แล้วภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม

ไม่ได้ดีกว่าเดิม (หัวเราะ) แต่ก็โอเค ผมก็พอใจนะ กูไม่ตาย แล้วขากลับผมก็ได้ตั๋วเครื่องบินมากรีซ พอมาถึงกรีซ ผมก็ชอบกรีซมาก เลยอยู่ต่ออีกสองวัน แล้วค่อยกลับเมืองไทย

งานก็ลาออกแล้ว กลับมาทำอะไร

ก็หน้าด้านกลับไปมติชนต่อ กะไว้ว่าแล้วแต่เขาตัดสินใจ ถ้าเขาไม่เอา ผมก็จะกลับบ้าน แต่ถ้าเขาไม่ไล่ผมออก ผมก็จะทำงานต่อ ปรากฏว่าเขาไม่ได้ไล่ออก พอดีช่วงนั้นเกิดพายุที่ภาคใต้ ไม่มีใครไปภาคใต้เลย ผมเลยอาสาไป เขาก็ให้ผมไป ผมไปทำทั้งข่าวน้ำท่วมและข่าวอย่างอื่นรวมแล้วประมาณหนึ่งปี ประมาณปี 2532 ผมก็ลาออกจากมติชน

ลาออกไปทำอะไร

พอดีพี่จิก-ประภาส กำลังจะทำเวิร์กพอยต์ ผมก็รู้สึกว่าเท่ดี ชื่อก็ดี ผมก็ไปสมัครงานเลย แล้วพี่จิกก็รับ ผมจึงกลายเป็นคนทำงานเวิร์กพอยต์คนแรกๆ ตอนนั้นบริษัทยังไม่เป็นตัวเป็นตนด้วยซ้ำ ยังเป็นห้องเช่า แต่พอไปถึงออฟฟิศ ผมเจอกล้องตัวใหญ่วางอยู่กลางห้องก็ตกใจ กูจะทำงานได้จริงเหรอ ไม่รู้จักภาษาที่เขาเรียกสักตัวเลย ผมก็เริ่มกลัว ชักไม่มั่นใจว่าตัวเองทำได้หรือเปล่า จนกระทั่งมาเจอพี่จุ้ย ผมเล่าให้พี่จุ้ยฟังว่าผมกลัวจริงๆ ว่ะ เจอกล้องที่ผมไม่รู้จัก แล้วจะทำงานได้อย่างไร

พี่จุ้ยก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นมึงมาทำงานกับกูดีกว่า ที่ไปยาลใหญ่ต้องการคนด้วย พอพูดถึงไปยาลใหญ่ ผมก็คุ้นเคย ผมไม่กลัว ผมก็เลยไม่ทำเวิร์กพอยต์แล้ว ไปไปยาลใหญ่ดีกว่า ก็ลาออกจากเวิร์กพอยต์

การไปไปยาลใหญ่รอบนี้ ไม่ใช่ในตำแหน่งคนพิสูจน์อักษรแล้ว?

ใช่ รอบนี้เป็นบรรณาธิการ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าบรรณาธิการเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าก็ใหญ่กว่าพิสูจน์อักษร ทำที่นั่นมาเรื่อยๆ สักปีกว่า ปรากฏว่ามติชนไปซื้อหัวข่าวสดมาทำ เขาต้องการหาคนมาทำ รุ่นพี่ผมที่เป็นบรรณาธิการหน้าเศรษฐกิจของมติชนก็เรียกผมไปคุย ผมกำลังเบื่อๆ กับไปยาลใหญ่พอดี เลยตัดสินใจไปทำที่ข่าวสด

ตอนนั้นที่ไปทำตำแหน่งอะไรที่ข่าวสด

เป็นนักข่าวที่อาจถือว่าอาวุโสหน่อย ผมทำงานอยู่ข่าวสดได้สัก 3-4 วัน ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าข่าว ตอนนั้นมีปัญหาความไม่ลงรอยกันของคนทำงาน นักข่าวจำนวนหนึ่งจึงลาออก หัวหน้าข่าวก็ต้องแบกภาระ เขาก็ส่งบรรณาธิการคนใหม่เข้ามา แต่ก็ต้องแบกภาระเยอะมาก ผมเลยได้รับการโปรโมตให้เป็นหัวหน้าข่าวที่ใหญ่ขึ้น ทำงานกว้างขวางขึ้น จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง เลยมีการตั้งผู้บริหารข่าวสดยุคใหม่ขึ้นมาสี่คน มีบรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร และผู้ช่วยบรรณาธิการสองคน ผมได้เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหนึ่งในสองคน คนที่เป็นคู่กันคือพี่ตั้น-วรศักดิ์ ประยูรศุข (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทมติชนและบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ)

ตอนนั้นคุณได้เขียนหนังสือของตัวเองไหม นอกจากงานนักข่าวที่เป็นอาชีพประจำแล้ว

ไม่ เพราะงานนักข่าวเป็นงานที่หนักมาก แทบไม่มีเวลาเลย ผมเข้าออฟฟิศตอน 11 โมงเช้า อยู่ออฟฟิศจนตีสอง พอหนังสือพิมพ์ออกจากแท่น เราก็เฮฮากันแล้วกลับบ้านนอน พอ 11 โมงเช้าก็เข้าออฟฟิศอีก แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณปีหนึ่ง ถึงจะมีเวลาเขียนหนังสือ

เล่มที่เขียนช่วงที่ทำที่ข่าวสดคือเล่มไหน

มีอยู่เล่มหนึ่งคือ ดวงจันทร์ที่จากไป เป็นเรื่องของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข่าวสดให้ผมเป็นหัวหน้าข่าวบันเทิง ผมไม่เคยเป็นหัวหน้าข่าวบันเทิง ก็งงๆ ว่าจะเป็นอย่างไรดี นักข่าวแต่ละคนก็ไม่เคยเป็นนักข่าวบันเทิงด้วย คือข่าวสดแตกมาจากข่าวกีฬา บางคนเป็นนักข่าวสายตะกร้อ ผมก็ต้องการสร้างนักข่าวบันเทิงขึ้นมา เลยคุยกับนักข่าวว่าเราควรจะรู้จักคนบันเทิงสักคน จะได้ดูแง่มุมในชีวิตเขาว่ามีอะไรบ้าง เวลาเขียนถึงจะได้เขียนง่ายขึ้น ทุกคนก็เห็นด้วย เราจึงเลือกคนบันเทิงขึ้นมาหนึ่งคนคือพุ่มพวง ดวงจันทร์

ตอนนั้นพุ่มพวงยังไม่เสียชีวิตแต่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเยอะมาก มีข่าวเขาทะเลาะกับสามี มีข่าวเขาไปอยู่กับพี่ชาย ผมก็รู้สึกว่าน่าจะเอามาใช้ได้ เลยตกลงกันว่าควรจะศึกษาพุ่มพวง ดวงจันทร์ นักข่าวแต่ละคนก็ถูกมอบหมายให้ไปศึกษาแต่ละประเด็น เรื่องนี้ควรคุยกับใคร เรื่องนี้มีแง่มุมอะไรบ้าง พอได้ไอเดียหลักก็แจกแจงงานให้ไปสัมภาษณ์ ปรากฏว่าเป็นงานที่ได้ผล เพราะแต่ละคนไม่เคยทำ ตื่นเต้นกัน ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้เทปสัมภาษณ์เกี่ยวกับพุ่มพวงมาสักสิบเทป ผมก็ฟังเพลินๆ ฟังดูก็น่าสนใจดี ตื่นเต้นดี แต่รู้สึกว่ายังไม่ครอบคลุม คิดว่าควรให้สัมภาษณ์เพิ่ม ก็แจกงานนักข่าวให้ไปสัมภาษณ์เพิ่ม

พอไปสัมภาษณ์ครั้งที่สอง เทปยังมาไม่ถึงผม พุ่มพวงก็เสียชีวิต พอพุ่มพวงเสียชีวิตก็กลายเป็นข่าวใหญ่ ผมซึ่งมีหน้าที่เป็นหัวหน้าข่าวบันเทิงของข่าวสดอยู่แล้ว เลยเอาข่าวพุ่มพวงกับเทปคาสเซ็ตที่ผมได้รับมาเรียงลำดับชีวิตของพุ่มพวง แล้วก็เขียน กะจะให้จบภายในสามวัน พอเขียนไปสามวัน ปรากฏว่าพี่เสถียร จันทิมาธร ซึ่งเป็นบรรณาธิการมติชนสุดสัปดาห์ก็เรียกเข้าพบ ถามว่า “ลื้อเอาเรื่องมาจากไหน” ผมก็เล่าที่มาให้ฟัง พี่เถียรเลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวลื้อไปเขียนใหม่ เขียนลงมติชนสุดสัปดาห์” ผมก็ถามว่า “เขียนกี่ตอนครับพี่” พี่เถียรก็บอกว่า “ตามใจลื้อ ลื้ออยากเขียนเท่าไหร่ก็เขียน” ผมก็เลยรู้สึกตัวเบา เท่ ผู้ใหญ่เห็นกูแล้ว ก็กลับไปเขียนลงมติชนสุดสัปดาห์ จากสามตอนก็กลายเป็น 30 กว่าตอน ได้เงินใช้ตอนละ 3,000 บาท

ตอนนั้นใช้นามปากกาบินหลา สันกาลาคีรีแล้วใช่ไหม

ใช้แล้ว นามปากกาบินหลาใช้ตั้งแต่ไปยาลใหญ่ ตอนนั้นต้องไปสัมภาษณ์เล็ก คาราบาว กับหงา คาราวาน ผมก็เลยคิดว่าจะใช้ชื่อใครสัมภาษณ์ดี ก็เลยเป็น ‘บินหลา คาราคีรี’ ก็แล้วกัน

ภูเขาสันกาลาคีรีเป็นภูเขาที่ผมรู้จักอยู่แล้ว ผมก็แค่เปลี่ยนชื่อจาก ‘สันกาลาคีรี’ เป็น ‘คาราคีรี’ เอาเท่น่ะ แต่ไม่มีใครรู้จักเลย หลังจากนั้นก็เงียบหาย พอมาข่าวสด ผมก็เลยเอาบินหลา สันกาลาคีรีมาใช้เขียนลงหน้าบันเทิง

อยากพูดถึงเล่มเด่นๆ ของคุณ อย่าง คิดถึงทุกปี ที่เป็นหนังสือในดวงใจของหลายคน เล่มนี้มีที่มาอย่างไร

คิดถึงทุกปี เป็นรวมเรื่องสั้นที่ตีพิมพ์ลงรายเดือนกับนิตยสารแพรว ตอนนั้นผมออกมาเป็นนักเขียนอิสระแล้ว ก่อนหน้านั้นผมเขียนหนังสือรวมเรื่องสั้นครั้งแรกออกมาชื่อ ฉันดื่มดวงอาทิตย์ พิมพ์ 3,000 เล่ม ขายได้ 600 เล่ม ก็เป็นความจริงที่เจ็บปวด พอจะพิมพ์คิดถึงทุกปีก็ไม่แน่ใจว่าจะขายได้ถึงเมื่อไหร่ แต่ผมชอบชื่อ ‘คิดถึงทุกปี’ ก็เลยคิดว่าเอาชื่อนี้แหละ ขายได้เท่าไหร่ค่อยว่ากัน ปรากฏว่าก็ขายได้ไม่เยอะ แต่หนังสือได้รางวัลชมเชยของสมาคมภาษาและหนังสือ ปีนั้นไม่มีรางวัลที่หนึ่งด้วย มีแต่รางวัลชมเชย ผมก็ยืดๆ หน่อย

คนรักเล่มนี้เยอะ ในฐานะคนเขียน คุณรักเล่มนี้มากเหมือนที่นักอ่านรักไหม

หนังสือที่ผมเขียน ผมก็รักเยอะทุกเล่ม (ยิ้ม)

แล้วเรื่อง เจ้าหงิญ ล่ะ มีที่มาที่ไปอย่างไร

เจ้าหงิญเป็นเรื่องที่อยู่ในใจผมหลายปีแล้ว แต่ปัญหาคือชื่อเรื่อง ตอนแรกตั้งชื่อเรื่องว่า ‘เจ้าหญิง’ เพราะทุกเรื่องนางเอกเป็นเจ้าหญิง ง่ายดี ปรากฏว่าคนที่อ่านหนังสือผมหลายคน รวมถึงคนหนึ่งคือศุ บุญเลี้ยง เขาก็ทักท้วงว่าชื่อ ‘เจ้าหญิง’ ฟังดูไม่น่าใช้เป็นชื่อเรื่อง เชยไป เขาบอกว่าควรจะเติมหน่อยว่าเจ้าหญิงอะไร เจ้าหญิงดอกไม้ เจ้าหญิงนั่นนี่ ผมลองเติมดูก็เห็นว่าคำไหนก็จืด ไม่มีคำไหนดึงดูดใจเลย ผมก็เลยนึกชื่อ ‘เจ้าหงิญ’ ได้

เจ้าหงิญเป็นชื่อตัวละครในเรื่องอยู่แล้ว ผมก็ดูว่าคำว่าเจ้าหงิญออกเสียงได้ไหม ก็ออกเสียงได้ แต่หมายความว่าอย่างไร ไม่รู้ แต่ออกเสียงได้ สะกดได้ ไม่ผิด ผมก็เลยใช้คำว่าเจ้าหงิญ

เล่มเจ้าหงิญเป็นเล่มที่คุณพอใจกับมันไหม

ไม่ถึงกับพอใจ คืองานเขียนทุกเล่มที่ออกมา ผมก็เสียใจหมดว่ามีอะไรที่ต่อเติมได้ คือก่อนจะออกมา มันก็เป็นงานที่เราพอใจแหละ ทุกเล่มเราก็ไปนั่งปรู๊ฟเอง แก้เท่าที่แก้ได้ แต่พอออกมาแล้วก็จะมีข้อที่แก้ต่อไปได้อีก เราก็เสียดายที่ไม่ได้ทำ เรื่องเจ้าหงิญก็เหมือนกัน

จริงๆ แล้วเจ้าหงิญเป็นหนังสือที่ขายไม่ดีนะ พิมพ์ครั้งแรกประมาณ 4,000 เล่มก็ขายไม่ดี ทางมติชนก็สงสัยกันว่าขายไม่ดีเพราะอะไร ปกไม่สวยหรืออะไร ผมก็เดือดร้อน เพราะผมเป็นเจ้าของหนังสือ ทำให้เขาขาดทุน แต่พอมีประกาศรางวัลว่าเล่มนี้เข้ารอบช็อร์ตลิสต์ซีไรต์ หนังสือก็ขายดีขึ้น จนสำนักพิมพ์จะพิมพ์ครั้งที่สอง เขาก็ติดต่อผมมาว่า “พี่ต้อ เดี๋ยวจะพิมพ์ครั้งที่สองนะคะ” ผมก็บอกว่า “โอเค ผมเห็นด้วย พิมพ์เท่าไหร่ครับ” เขาบอกว่า “500 เล่มค่ะ” ผมก็ช็อก คือนักเขียนจะได้ 10% ของราคาหนังสือ ตอนที่หนังสือเล่มนี้ออกมามีราคา 100 บาท พิมพ์ 500 เล่ม ผมได้ 5,000 บาท แล้วชีวิตที่มันขาด ไม่มีเงินกินข้าว จะเอาตัวรอดได้เหรอ ผมก็โวยว่าคุณจะพิมพ์ได้อย่างไร 500 เล่ม ไม่ต้องพิมพ์ดีกว่า ถ้าจะพิมพ์ อย่างต่ำๆ ก็ต้องพิมพ์ 1,500 เล่ม เขาบอกว่าไม่ได้ คุยกันอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง สุดท้ายก็ขยับไปพิมพ์ 1,000 เล่ม

พอผมได้ซีไรต์ก็เลยต้องพิมพ์ครั้งที่สาม ครั้งนั้นพิมพ์อีกหมื่นเล่ม คนละเรื่องเลย พอพิมพ์หมื่นเล่มผมก็ไม่ว่าอะไรแล้ว (หัวเราะ) ก็เป็นอย่างที่ควรจะเป็น

ตลอดชีวิตการเป็นนักเขียน คุณออกหนังสือมาเกือบ 30 เล่ม มีเล่มไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรืออยู่ในความทรงจำไหม

ไม่ถึงกับเป็นเล่มที่ชื่นชอบ แต่มีเล่มที่อยู่ในความทรงจำบ้าง โดยเฉพาะเล่มที่เขียนไม่จบหรือเล่มที่อับอาย ผมเขียนเรื่อง ‘เพลงพญาเหยี่ยว’ ลงมติชน แต่ผมเขียนโดยไม่ได้วางโครงเรื่องให้ดี ไม่ได้วางจุดเชื่อมต่อให้เรื่องไปต่อได้ ในที่สุดผมก็เขียนไม่จบ จากที่เคยส่งสุดสัปดาห์ก็เฉไฉ หนีบ้าง จนพี่เถียร บก. โยนเรื่องผมทิ้ง ก็เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดและอับอาย เป็นความเสียฟอร์มอย่างยิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไร

จนถึงตอนนี้เรื่องนั้นก็ยังไม่ถูกเขียนให้จบ?

ไม่มี หายไปเลย แล้วก็คงไม่มีวันจบแล้ว

ช่วงประมาณปี 2550 คุณริเริ่มอยากทำนิตยสารไรท์เตอร์รุ่นที่สามออกมา ตอนนั้นทำไมถึงอยากทำนิตยสารเกี่ยวกับนักเขียนและวรรณกรรม

ก่อนหน้านั้น ไรท์เตอร์อยู่ในใจผมมา 2-3 ปีแล้ว ผมรู้สึกว่าเมืองไทยทำไมขาดหนังสือที่เชื่อมโยงนักเขียนกับนักอ่านไว้ด้วยกัน เราน่าจะมีการพูดคุยกันได้ แต่ไม่มีพื้นที่จะทำเรื่องพวกนี้ได้เลย ก็รู้สึกว่าถ้าเรามีปัญญาเมื่อไหร่จะทำให้ได้

พอปี 2552 ก็เกิดวิกฤตการณ์ในวงการนักเขียนคือคุณ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ถึงแก่ความตาย ผมก็ขึ้นไปงานศพคุณ ’รงค์ที่เชียงใหม่ ทำให้ผมเจอกับวรพจน์ พันธุ์พงศ์และจ้อย นรา เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน ผมชวนพวกเขาว่าควรจะทำนิตยสารไรท์เตอร์นะ ทั้งสองคนก็บอกว่า “เออ ควรทำๆ” กลายเป็นคนแปลกหน้าสามคนมาคุยกันเรื่องไรท์เตอร์ ผมก็แบบ เฮ้ย มันคุยง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ง่ายมากจนกระทั่งรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้แล้ว

หลังงานศพคุณ ’รงค์ ผมก็ชวนเขานั่งรถผมกลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน บนรถมีวรพจน์ นรา และคำหอม ศรีนอก เป็นการพูดคุยที่สนุกมาก เหมือนรู้จักกันมาสิบปีเป็นอย่างน้อย คุยกันรู้เรื่อง

พอลงมาถึงกรุงเทพฯ แล้วเป็นอย่างไร การจะทำนิตยสารขึ้นมาสักเล่ม ตอนนั้นสิ่งแรกที่ทำคืออะไร

สิ่งแรกที่ทำคือหาตังค์ ผมเปิดตัวทุกแห่งด้วยการคุย ยิ่งคุยมาก ยิ่งได้ตังค์มาก ก็ไปคุยกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เขาก็เห็นด้วย ให้เงินมาทำสามแสนบาท ไปคุยกับพี่ชาติ กอบจิตติ พี่ชาติบอกว่ามึงคุยผิดคนแล้ว กูไม่มีตังค์ แต่พี่ชาติก็แนะนำให้รู้จักกับพี่กล้วยและพี่วินัยจากเคล็ดไทย ซึ่งพี่สองคนนี้ก็ตกลงง่ายมาก บอกว่าต้อเอาเงินเคล็ดไทยไปก่อนเลย ผมก็สงสัยอีกว่าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

ที่สำคัญคือวันนั้นเราไม่มีอะไรเป็นต้นทุนเลย เรามีภาพเขียนศิลปินนักเขียนที่วาดโดยอุกฤษฎ์ ทองระอาเยอะเหมือนกัน หนึ่งในนั้นมีภาพพี่วาณิช จรุงกิตอนันต์ ผมก็คิดว่าเอารูปพี่วาณิชไปขายอากู๋ แกรมมี่ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ก่อน เพราะเขาเป็นเพื่อนกัน พี่นิภา เผ่าศรีเจริญ (อดีตบรรณาธิการนิตยสาร IMAGE) ก็ร่วมหัวจมท้ายด้วย หาช่องทางจนติดต่ออากู๋ได้ พวกเราก็ไปพบอากู๋โดยที่ไม่มีตังค์เลยนะ ในใจก็คิดว่าต้องขายรูปพี่วาณิชให้ได้ พอไปถึงอากู๋บอกว่า “รูปวาณิชมีเยอะแล้ว เต็มบ้านไปหมดเลย” แต่อากู๋ก็เห็นด้วยกับการมีหนังสือ บอกว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า พวกคุณมาทำงานอยู่ใต้ชายคาผม แล้วก็เอาเงินไปสิบล้าน เราก็ขนลุกซู่

เราก็ออกมากินข้าวกันก่อน ยังไม่รู้ว่าจะเอาไม่เอา จนคุยกันว่า “ไม่น่าไปอยู่กับแกรมมี่นะ แต่น่าเอาเงินสิบล้าน” ก็มาคิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้เงิน เลยสรุปกันสั้นๆ ว่า หนึ่งไม่อยู่แกรมมี่ สองจะเอาตังค์ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้สิบล้านหรอก

จำไม่ได้ว่าเราไปใหม่อีกรอบ หรือพี่นิภาไปคุยให้นะ แต่สรุปว่าเขาให้เงินมาหนึ่งล้าน แต่ไม่เอารูปวาณิช ให้เปล่าเลย เท่ากับว่าเรามีเงินล้านสามแล้ว ก็ทำงานเลย สร้างไรท์เตอร์จากไม่มีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมา

ได้เงินมาแล้ว เริ่มต้นทำงานอย่างไร

พอหลังจากที่อากู๋ให้เช็กเงินล้านมาแล้ว ผมถือเช็กที่ได้มาอย่างภูมิใจ ทันทีนั้นผมก็เอาเข้าธนาคาร แล้วทำเช็กเงินแสนออกมาสองฉบับ หนึ่งแสนบาทให้วรพจน์ อีกหนึ่งแสนบาทให้จ้อย บอกว่านี่คือเงินเดือนล่วงหน้า ถ้าหมดเมื่อไหร่ ผมจะหามาเติมให้ อย่างน้อยผมมีเงินให้คุณล่วงหน้า เผื่อคุณจะได้คาดเดาอนาคตตัวเองได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าคุณทำก็จะได้รู้ว่าต้องใช้เงินดำเนินชีวิตอย่างไร ที่ผมทำตอนนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปหาแสนที่สองมาจากไหน แต่ก็พูดก่อนเพื่อจูงใจ

ตั้งแต่ทำหนังสือไรท์เตอร์ 4-5 ปี วรพจน์ไม่เคยเบิกแสนที่สองเลย แล้วผมก็ไม่เคยมีให้เบิกเลย คือแค่จ่ายเงินเดือนน้องๆ ก็จะตายอยู่แล้ว เขาก็คงรู้ว่ามึงก็จะตายอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก รู้ใจกันโดยที่รู้สึกได้เลยว่าคนคนนี้เป็นคนอย่างไร

ตอนนั้นผมไม่ได้ทำงานออฟฟิศมาสิบกว่าปีแล้ว เป็นนักเขียนอิสระมาตลอด ก็เริ่มเท่าที่เริ่มได้ คือตั้งตัวเองเป็นบรรณาธิการ และบรรณาธิการร่วมอีกสองคนคือวรพจน์และนรา แล้วก็หาคนมาร่วมดำเนินการ คนแรกคือน้ำค้าง (ณัฐจรินทร์ พฤกษถานนท์กุล) เป็นรุ่นน้องที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เคยเห็นฝีมือกันมา ส่วนน้ำค้างก็ดึงคนรู้จักมาอีกคนชื่อกิ๊ฟซี่ (ชยุตม์ สาขา) จนกระทั่งเราสามารถสร้างไรท์เตอร์ฉบับทดลองให้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มีหน้าปกเป็นรูปพี่เฟิ้ม (แดนอรัญ แสงทอง) เราก็ดีใจที่ทำออกมาได้

ตอนนั้นเป็นช่วงปี 2553 ต่อ 2554 บรรยากาศเมืองไทยสมัยนั้นครุกรุ่นรุนแรง มีการปะทะกันทางการเมือง ฝ่ายเหลืองกับฝ่ายแดงชนกันเป็นว่าเล่น พอเราเลือกมาทำตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่าเสี่ยงไปไหม แต่ถ้าจะทำหนังสือเพื่อนักอ่านและนักคิดนักเขียน ผมว่าเราก็ต้องเสี่ยง ผมก็พยายามทำหนังสือให้ยืนมั่นคงที่สุด ตรงที่สุด เบี่ยงเบนไปซ้ายขวาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เงินสามแสนวอดวายไปกับหนังสือเล่มทดลอง ผมก็รู้สึกว่าฉิบหายแล้ว แต่ก็ช่างมัน ยังมีโอกาส หลังจากนั้นเราพัฒนาเป็นไรท์เตอร์ขึ้นมา แต่บรรยากาศสังคมตอนนั้นน่าหดหู่ การปะทะกันทางการเมืองก็เยอะขึ้น ไม่มีท่าทีจะลดราลงมา แล้วเราก็เห็นฝ่ายหนึ่งถูกกระทำ ส่วนอีกฝ่ายก็กระทำข้างเดียวมากขึ้น เราก็มีแต่ต้องช่วยเท่าที่ทำได้

ในแง่ยอดขาย ไรท์เตอร์ถือว่าสำเร็จไหม

ล้มเหลวจนน่าผิดหวัง หนึ่งคือความบกพร่องของพวกเราเองที่ไม่เก่งเรื่องการตลาด สองคือภาวะเศรษฐกิจ การต่อสู้ในยุคนั้นรุนแรงมาก แทบไม่มีใครที่เราจะพูดได้ว่าคนนี้เป็นกลางทางการเมือง คนนี้ควรจะฟัง คือไม่ว่าใครจะเข้ามาก็โดนกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายนู้นฝ่ายนี้

แต่ละเล่มที่ทำออกมาก็เงียบหาย แต่เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องสู้ไปเท่าที่สู้ได้ ผมเสียดาย เวลาผมเอาไรท์เตอร์มาอ่านทุกเล่ม ผมยังเชื่อว่าเป็นหนังสือที่ดีนะครับ แต่เสียดายที่มันแทบไม่ค่อยถูกแตะต้อง มันถูกกล่าวหา ถูกตราหน้า

แล้วอีกอย่างก็มีวิกฤตตามมาเป็นระยะ เช่นพอมาถึงปี 2554 หนังสือเริ่มรันได้ เริ่มทำกันอย่างอยู่ตัว ก็เกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่หลายเดือน ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมมีรถกระบะ ไม่รู้จะเอาตัวรอดอย่างไร ก็ชวนคุณจ้อยว่าไปว่าเชียงใหม่กัน พอไปเชียงใหม่สัก 2-3 เดือน นิตยสารก็ไม่ได้ออกเล่มใหม่

คุณคิดว่านิตยสารเกี่ยวกับวรรณกรรมจำเป็นกับสังคมอย่างไร

หน้าที่ของนักเขียนเป็นหน้าที่ของการเปิดมุมมอง เปิดจุดยืนทางสังคมให้ทุกคนมองเห็นว่านักเขียนมีจุดยืนอย่างไร ถ้าคนอ่านไม่เห็นด้วยก็สามารถโต้แย้งได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่ใครจะมองมุมมองของนักเขียนอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ว่ามุมมองนั้นต้องปรากฏออกมาก่อน ไม่ใช่พอถึงเวลาหนึ่งก็มั่วๆ เอาว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งพอจุดยืนไม่ได้ ก็จะไม่มีตัวตน ยิ่งจะเสียหายไปใหญ่

ผมวางแผนว่าไรท์เตอร์ไม่ควรจะเป็นของบรรณาธิการคนใดคนหนึ่ง อย่างผมก็ไม่ควรเป็นบรรณาธิการไปจนตาย พอเบื่อหน่าย หมดแรง ก็ควรมอบให้คนอื่นทำ ผมวางแผนว่าไรท์เตอร์เปลี่ยนบรรณาธิการทุกสองปีก็ดี ในช่วงที่ผมทำปีแรก ผมก็มองว่าใครจะมาทำต่อดี ก็ไม่รู้จักใครเลย แต่ก็รู้สึกว่าอุทิศ เหมะมูลเป็นนักเขียนที่น่าสนใจ ถ้าเป็นบรรณาธิการก็น่าจะดี ผมก็เริ่มคุยกับอุทิศ

ผมกับเขาไม่เคยรู้จักกัน พอเสนอให้ทำไรท์เตอร์ อุทิศก็บอกว่าไม่อยากทำ เงินเดือนที่ให้เขาคือสองหมื่นบาท ซึ่งก็ไม่จูงใจเลย แต่ผมก็บอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไร มีเท่านี้แหละ แต่ถ้าคุณเป็นบรรณาธิการไรท์เตอร์สองปี หยุดเขียนหนังสือ เก็บเรี่ยวแรง ครบสองปีก็ไปเขียนหนังสือคุณใหม่ ไม่ดีเหรอ อุทิศก็ชักคล้อยตาม จีบอยู่ 2-3 เดือน อุทิศก็ตกลง ผมก็ดีใจว่ามีคนมาช่วยทำ พอดีผมไม่สบาย อุทิศก็เลยมาช่วยทำไรท์เตอร์ก่อนครบวาระสองปีของผม อุทิศเป็นบรรณาธิการที่เข้มแข็ง ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำครบสองปีไหม แต่ก็ทำไรท์เตอร์จนถึงเล่ม 39 ซึ่งเป็นเล่มสุดท้าย

ตอนที่เปลี่ยนบรรณาธิการเป็นอุทิศ เหมะมูล เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับตอนย้ายออฟฟิศไปที่ถนนนครสวรรค์พอดี ซึ่งมีการเปิดร้าน The Writer’s Secret ที่ชั้นล่างออฟฟิศ ประจวบกับที่ตอนนั้นเกิดรัฐประหาร 2557 การเมืองเข้มข้น ร้านก็จัดเสวนาคุยเรื่องการเมือง สังคม และศิลปะสม่ำเสมอ จนร้านไรท์เตอร์กลายเป็นศูนย์รวมนักเขียนนักอ่าน คุณมองพื้นที่ร้านไรท์เตอร์อย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ พอใจกับมันแค่ไหน

ก่อนหน้านี้ ออฟฟิศเราอยู่ในซอยอารีย์ 8 อยู่มานานจนรู้สึกว่าอยากมาอยู่ริมถนนเพื่อจะติดต่อผู้คนได้ เราก็เริ่มหาที่อยู่ใหม่ คนที่ช่วยเราหาคือเอฟ เจ้าของร้านมูนชายน์บาร์ เอฟเป็นคนที่หาบ้านเช่าเก่งมาก ดูมาหลายหลังจนมาเจอบ้านริมถนนนครสวรรค์ ค่าเช่าเดือนละหมื่นสอง ผมก็รู้สึกว่ามีปัญญาจ่ายค่าเช่า แต่เป็นบ้านที่เล็กมาก ด้านหลังชนกับสถานีตำรวจนางเลิ้ง ด้านหน้าติดถนนนครสวรรค์ ในที่สุดเราก็เลือกเช่าบ้านหลังนี้ เราจัดข้างบนเป็นพื้นที่ออฟฟิศไรท์เตอร์ แล้วด้านล่างก็เปิดร้านเดอะไรท์เตอร์ซีเคร็ท

ชื่อ The Writer’s Secret เป็นคำที่อยู่บนป้ายไม้หน้าห้องทำงานของคุณ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เราก็ทำเป็นร้านหนังสือ มีพี่กล้วยเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ เอาชั้นมาให้วางหนังสือ ช่วยได้เยอะมาก

ช่วงนั้นการเมืองเข้มข้นมาก เราเองก็อยากพูดอยากฟังด้วย ผมนึกถึงร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ ที่เคยเป็นที่พูดคุยของนักเขียนนักอ่าน ผมก็รู้สึกว่าร้านที่จัดงานแบบนี้หายไปนานแล้ว เราก็เปิดตัวในการเป็นที่จัดเสวนา แต่เราไม่สามารถพูดได้ว่าแนวการพูดของร้านไรท์เตอร์จะเป็นแนวไหน การเมืองกำลังเดือดทะลักอยู่ ก็ให้ทะลักไป ใครจะพูดอะไรก็ให้เป็นวิถีของการพูด ใครจะโต้แย้งก็โต้ได้

ผมดีใจที่มีที่แบบนั้นขึ้นมา คิดว่ามีการคุยทุกสัปดาห์ก็ดี มีการพูดวิจารณ์ ไม่ได้พูดเรื่องการเมืองอย่างเดียว บางครั้งก็มีการพูดเรื่องสังคมและเรื่องอื่นๆ เราทำเท่าที่ทำได้ มันควรจะมีก็ได้มี แต่เสียดายที่มีน้อยไปหน่อย แรงเรามีน้อยไปหน่อย พอปี 2558 เราก็หมดตัว นิตยสารไรท์เตอร์ก็ยอดขายน้อยลง เราเลยปิดตัวนิตยสารไรท์เตอร์ไปก่อน แต่ก็ยังคงร้านเดอะไรท์เตอร์ซีเคร็ทไว้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน พอปี 2559 เราก็ต้องปิดตัวไรท์เตอร์อย่างถาวร

ผ่านมาแล้วสิบปีหลังจากนิตยสารไรท์เตอร์ปิดตัว สังคมก็เปลี่ยนไปเยอะ หลายเรื่องที่เคยพูดยากอาจจะพูดได้มากขึ้น สิ่งที่คุณภูมิใจที่สุด พึงพอใจกับไรท์เตอร์ที่สุด คืออะไร

การทำไรท์เตอร์เหมือนการให้กำเนิดทารกคนหนึ่งขึ้นมา บอกไม่ได้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กที่ดีไหม เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีทั้งดีทั้งเลว ส่วนไหนที่ดีก็พยายามดูแล ส่วนไหนที่ไม่ดีก็ด่าทอได้ เราคงไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเด็กคนหนึ่งเกิดมาแล้วจะกลายเป็นคนที่ดีได้ตลอด

ถ้าให้ย้อนกลับไปมอง คุณพอใจกับไรท์เตอร์แค่ไหน

ในแง่คุณภาพ ผมก็ไม่ได้พอใจมากหรอก เพราะผมรู้สึกว่าฝีมือเราแค่นี้เองเหรอ เราทำได้ดีกว่านี้เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นปกหรือเรื่องข้างใน แต่ผมก็มาคิดว่าเพราะมันผ่านเวลามา เรามีเวลาคิดขนาดนั้น ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะดีกว่า ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ ไม่มีเวลาที่จะทำให้ดีกว่านี้หรอก ก็เอาไปแก้ตัวในรอบหน้าแล้วกัน แต่เราก็รู้สึกว่าน่าจะทำดีกว่านี้ได้ ถ้าเรานิ่งสักนิด

แต่อย่างน้อยผมก็ดีใจที่วันหนึ่งมีดอกไม้บานขึ้นมาในสวน ใครจะมองว่าดอกไม้นี้สวยหรือไม่สวยก็แล้วแต่มุมมอง อย่างน้อยมันได้เกิดขึ้นมา แล้ววันหนึ่งก็ตายไป เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่อย่างน้อยภาพความทรงจำเกี่ยวกับดอกไม้นี้ก็ยังอยู่ในใจผมและคนที่อยากจำมัน แต่ถ้าอยากลืมแล้วลืมไม่ลง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำใจครับ เดี๋ยววันหนึ่งคุณก็จะลืมมันไปเอง

ชีวิตคุณเจออะไรหลายอย่าง ในวัย 60 ปีคุณอยากจะบอกอะไรทิ้งท้ายไหม

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คาใจผมมานาน ผมคิดถึงนักเขียนรุ่นที่เขาเป็นตัวอย่างให้ชีวิตผมคือกุหลาบ สายประดิษฐ์ กุหลาบเป็นนักเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ แล้วพอถึงช่วงชีวิตหนึ่ง กุหลาบก็เขียนหนังสือ

เรื่องที่กุหลาบเขียนแล้วดังที่สุดในชีวิตคือเรื่องข้างหลังภาพ เขาเขียนอย่างอื่นด้วย แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนดังเท่าข้างหลังภาพ ผมก็อ่านงานกุหลาบเรื่อยมา แล้วผมก็มองว่าทำไมเขาถึงไม่เขียนเรื่องแนวข้างหลังภาพอีก เพราะข้างหลังภาพสร้างชื่อเสียงให้เขามาก จนกระทั่งผมอ่านงานหลายชิ้นมากขึ้น ผมก็พบว่าเขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับชนชั้นและความถูกต้อง เขาทำงานในเชิงอุดมการณ์มากกว่า แต่ก็ไม่มีงานชิ้นไหนที่สร้างชื่อเสียงให้เขาได้เลย ทั้งที่เป็นงานที่ดี เป็นงานที่น่าเอาใจใส่ น่ายกย่อง จนกระทั่งสิ้นปี 2500 เขาก็ต้องลี้ภัยไปเมืองจีน ต้องอยู่ที่ปักกิ่งไปจนตาย

มีนักเขียนหลายคนที่ต้องลี้ภัย อาจจะมีชื่อเสียงบ้าง ไม่มีชื่อเสียงบ้าง ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า ผมก็เลยสรุปว่าชีวิตไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณโตมาอย่างไร แล้ววันหนึ่งคุณก็จะถูกตัดสิน กุหลาบเป็นนักเขียนที่มีชีวิตให้เราเห็น แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เป็นนักเขียนแล้วจบชีวิตไปอย่างเงียบๆ โดยที่เราไม่รู้ว่าเขามีชีวิตอย่างไร และเขาจบชีวิตลงอย่างไร

ผมชื่นชมกุหลาบ เขามีความน่าชื่นชมหลายเรื่อง น่าเอาเยี่ยงอย่างหลายเรื่อง วันนี้พอผมรู้ว่าต้องมาพูดเรื่องเกี่ยวกับชีวิต 60 ปี ผมก็คิดต่อว่าจะพูดเรื่องอะไร ก็เลยคิดถึงหลายอย่างมากเลย ผมอยากแจกช็อกโกแลตให้ทุกคน ในนี้ผสมกัญชา

[แจกช็อกโกแลตดูไบให้ทุกคนที่นั่งฟังเสวนา]

พอคุณเป็นนักเขียน คุณต้องสร้างอะไรขึ้นมาเป็นรูปร่าง แต่สิ่งที่คุณสร้างจะเป็นจริงหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่คุณสร้างมันขึ้นมาเป็นรูปร่างคือคุณต้องเข้าใจว่าคุณกำลังทำอะไร ช็อกโกแลตนี้จะเป็นช็อกโกแลตกัญชาก็ต่อเมื่อคุณเอากัญชามายัดไส้จริงๆ ไม่เช่นนั้นมันก็เป็นแค่ช็อกโกแลตดูไบ

ผมกำลังจะอายุ 60 แล้ว ผมก็เป็นแค่คนเกษียณคนหนึ่งในสายตาพวกคุณ แต่พวกคุณยังมีโอกาส มีสติปัญญา มีพลังที่จะทำงานต่อไป ไม่ใช่ผม เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ทำงานต่อไป มันก็เสียหาย อย่างที่ผมนึกชื่อนักเขียนรุ่นพ่อหรือรุ่นพี่ไม่ออกว่ามีใครบ้าง ก็น่าเสียดายที่พวกเขาจะตายไปโดยที่คนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้จักกระทั่งชื่อด้วยซ้ำ

พวกคุณยังมีเวลา มีเรี่ยวแรง พวกคุณต้องตั้งสติปัญญาให้แข็งแกร่งแล้วทำงาน อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงไป นักเขียนเป็นคนที่มีสติปัญญา มีความกล้าหาญ มีความรู้ผิดชอบชั่วดี และอีกไม่กี่ปีก็จะถึงปี 2575 ครบร้อยปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อถึงวันนั้นคุณก็จะต้องไม่ปล่อยให้ผ่านเลย ปีนั้นจะเป็นปีที่เกิดการต่อสู้ทางความคิด คุณต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน


เรื่องเล่าไรท์เตอร์จาก นรา

กินข้าวแล้วได้เงินล้าน

“ผมเป็นแฟนคลับหนังสือพี่ต้ออยู่แล้ว ส่วนผมกับวรพจน์รู้จักกันมานาน ตอนนั้นเตะฟุตบอลด้วยกัน เจอกันทุกอาทิตย์ จนมาเจอพี่ต้อที่เชียงใหม่ ตอนที่เขาบอกว่าอยากทำไรท์เตอร์ ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบตกลง มาพูดตอนนี้ก็คือรับปากแบบไม่รับผิดชอบ ตอนอยู่ในงานศพคุณ ’รงค์ เราก็ยังคุยกับแบบมารยาท แต่ตอนนั่งรถกลับเหมือนรู้จักกันมานาน

“ตอนที่ไปขายรูปคุณวาณิชกับอากู๋ จำได้ว่าวันนั้นต้องขึ้นไปตึกแกรมมี่ ผม พี่ต้อ หนึ่ง และพี่หมีไปนั่งรอหน้าห้องนานเลย แล้วข้างๆ ที่นั่งรอด้วยกันคือคนที่มาสมัครเป็นศิลปินทั้งนั้น พวกนั้นก็มองหน้าเรา คงสงสัยว่าไอ้พวกนี้วงอะไร พอเข้าไปในห้อง อากู๋ก็ฉับไวมาก แล้วก็ปฏิเสธไม่ซื้อรูปอย่างที่พี่ต้อเล่า แต่สุดท้ายเราก็ได้เงินมาหนึ่งล้าน

“จำได้ว่าตอนไปรับเงินไรท์เตอร์หนึ่งล้าน วันนั้นเราเลี้ยงส่งเต้ (ธวัชชัย พัฒนาภรณ์-ช่างภาพ เจ้าของปาตานีสตูดิโอ) ปาร์ตี้กำลังสนุกเลย แล้วพี่ต้อมาบอกว่า “เฮ้ย ไปแกรมมี่ ไปกินข้าว เขานัด” ตอนนั้นหนึ่งกำลังเฮฮา หนึ่งไม่ไป ตอนแรกผมก็จะเบี้ยว แต่พี่ต้อบอก “ไปเถอะคุณ ในชีวิตจะมีกี่ครั้ง กินข้าวแล้วได้เงินล้านนึง” ผมก็เลยไป เป็นการกินข้าวบนชั้นสูงๆ อาหารหรูหราเลย แล้วเป็นมื้อที่ไม่อร่อยที่สุด อาหารดีมาก แต่เราตัวลีบ ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จะทำฟาล์วตอนไหน ตักผิดไหม แต่หลังจากวันนั้นก็นัดรับเงินเป็นเช็ก”

จ้อย ทองใจ vs บินหลา สันกาลาคีรี ศรีประจวบ

“การแบ่งงานกันทำของสามบรรณาธิการตอนนั้น พี่ต้อกับหนึ่งจะเป็นคนดูเนื้อหาหนังสือหลัก พี่ต้อคุมทิศทางหนังสือทั้งหมด หนึ่งดูสัมภาษณ์ ผมดูคอลัมน์

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ต้อชวนไปนั่งกินเพื่อคุยเรื่องไรท์เตอร์ แล้ววันนั้นก็ค้นพบว่าหนึ่ง พี่ต้อ และผม ชอบฟังเพลงลูกทุ่งเหมือนกันหมด พี่ต้อเสนอคอลัมน์เกี่ยวกับเพลงลูกทุ่ง แล้วก็บอกว่าให้ช่วยกันเขียนคนละเดือน พี่ต้อถึงขนาดตั้งชื่อแบบนักร้องลูกทุ่งเลยนะ พี่ต้อเป็น ‘บินหลา สันกาลาคีรี ศรีประจวบ’ หนึ่งเป็น ‘วรพจน์ เพชรสุพรรณ’ พี่หมีได้ยินบอกเอาบ้าง เป็น ‘ผ่องหมี วรนุช’ พี่ชาติ กอบจิตติได้ยินก็เอาด้วย บอกของ่ายๆ ไม่คล้องจองเป็น ‘ชาติ สมบัติเจริญ’ ส่วนผมเป็น ‘จ้อย ทองใจ’

“ผมเริ่มเขียนคอลัมน์นี้คนแรก พอเขียนเสร็จ ผมก็ไปปรึกษาพี่ต้อว่าเล่มสองใครเขียน พี่ต้อบอกว่าเคยได้ยินตำนานเรื่องหลายชีวิตของอาจารย์คึกฤทธิ์ไหม ผมบอกไม่เคย พี่ต้อเลยเล่าว่า นักเขียนไปเที่ยวล่องเรือกัน คุยกันแบบเราเลยว่าจะเขียนเรื่องสั้นคนละเรื่อง มีตอนเปิดเหมือนกันคือเรือล่ม ท้ายที่สุด พอเขียนตอนแรกมา ทุกคนเบี้ยว

“ผมก็เลยถามว่า ‘ผมเขียนดีอย่างนั้นเลยเหรอ’ พี่ต้อบอกว่า ‘เปล่า ทุกคนหักหลังคุณ’”

ความสำคัญของนิตยสารวรรณกรรม

“ถ้าถามว่านิตยสารเกี่ยวกับนักเขียนและวรรณกรรมจำเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่าจำเป็น ตอนเราเป็นคนอ่านสมัยยังเรียนอยู่ เรารู้สึกว่าตัวช่วยในการอ่านหนังสือ ส่วนหนึ่งก็มาจากนิตยสารแนววรรณกรรม ผมโตมากับนิตยสารโลกหนังสือ ถนนหนังสือ เราเดินเข้าร้านหนังสือ เราก็จะเห็นแค่คำโปรยหลังปก แต่การมีนิตยสารพวกนี้มันบอกกล่าวกับเรามากกว่านั้น เล่าถึงที่มาที่ไปของนักเขียนต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และของต่างประเทศ มีบทสัมภาษณ์นักเขียน ทำให้เรารู้จักตัวตนของนักเขียน มีคอลัมน์แนะนำหนังสือ มีพูดถึงวรรณกรรมบางเรื่อง ซึ่งเกินเลยในช่วงเวลาของเรา

“การอ่านหนังสือของเราท่ามกลางนิตยสารเหล่านี่ช่วยได้เยอะมาก ลักษณะคล้ายๆ กับคนดูหนังมีนิตยสารอย่าง Starpics ฯลฯ คนชอบฟังเพลงมีสีสัน Supersonic ซึ่งวรรณกรรมก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ก็ควรจะมีสื่อสักตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่นี้ ซึ่งพอเทียบกับสื่ออื่นยิ่งน้อย พอยิ่งน้อยก็คิดว่ายิ่งจำเป็น

“แรกเริ่มไรท์เตอร์คือความฝันของพี่ต้อ ผมเป็นแค่คนที่อยากเห็นหนังสือเล่มนี้ พอคิดถึงไรท์เตอร์ก็ดีใจ… ดีใจที่เห็นฝันของพี่ต้อเป็นจริง”

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save