การปรากฏตัวของกลุ่ม ‘ทนายอเวนเจอร์ส’ (รวมไปถึงผู้เคลื่อนไหวด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของกลุ่ม เช่น สายไหมต้องรอด, เครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม, กลุ่มทนายประชาชน, ทนายคลายทุกข์ หรือที่กระทำในลักษณะปัจเจกอย่าง กัน จอมพลัง เป็นต้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแวดวงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยเป็นอย่างมาก
โดยทั่วไปปฏิบัติการทางกฎหมายของทนายกลุ่มนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาทางสังคมผ่านการใช้กฎหมายหรือการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าการดำเนินงานในลักษณะเช่นนี้จะเคยมีนักกฎหมายหรือองค์กรทางกฎหมายเคยทำมาก่อนในสังคมไทย แต่ความแตกต่างอย่างสำคัญก็คือ ขณะที่นักกฎหมายแบบดั้งเดิมมักจะทำงานที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสื่อสารกับสังคม โดยอาจเป็นข่าวคราวบ้างในช่วงจังหวะที่เกิดเหตุหรือมีผลของการตัดสินคดีเกิดขึ้น
แต่ทนายอเวนเจอร์สไม่ใช่เพียงการใช้กระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น หากยังใช้สื่อสาธารณะสมัยใหม่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารควบคู่กันไปเพื่อทำให้ประเด็นปัญหาดังกล่าวได้รับความสนใจจากสังคม พร้อมกับเป็นแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องให้ต้องตอบสนองปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น
เช่น เมื่อผู้เสียหายถูกหลอกลวงอย่างไม่เป็นธรรม ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้นอกระบบเรียกดอกเบี้ยหฤโหด หรือบุคคลถูกตำรวจรีดไถ เป็นต้น ปฏิบัติการที่จะติดตามมาก็คือ การให้ข้อมูลต่อสาธารณะด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าว การลงพื้นที่เพื่อค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ การตอบโต้กับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังแบบไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด รวมถึงการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นว่าได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งในหลายกรณีรูปแบบการทำงานเช่นนี้สร้างผลติดตามมาอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าการทำงานในแต่ละขั้นตอนจะดำเนินไปผ่านสื่อสาธารณะอันทำให้ประชาชนสามารถรับรู้ได้โดยง่าย
ไม่น่าแปลกใจต่อข้อครหาว่า หากต้องการให้ทนายอเวนเจอร์สแถลงข่าวแล้วจะต้องมีค่าใช้จ่ายในหลักแสนเป็นค่าตอบแทนให้กับพวกเขา เพราะหลายครั้งแค่การแถลงข่าวก็สามารถทำให้คดีมีความคืบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปฏิบัติการในลักษณะเช่นนี้มีให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกระทั่งกลายเป็นภาวะที่แสนจะปกติของสังคมไทยในห้วงเวลาปัจจุบัน ทนายอเวนเจอร์สหลายคนได้กลายเป็น ‘บุคคลสาธารณะ’ อันเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางผ่านการทำงานในลักษณะดังกล่าว รวมถึงเป็นที่น่าเชื่อถือซึ่งจะดึงดูดให้ผู้เสียหายตัดสินใจที่จะเข้ามาขอความช่วยเหลือมากกว่าการพึ่งองค์กรด้านกฎหมายที่เป็นทางการเฉกเช่นสภาทนายความ
แม้ว่าโดยทั่วไปปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏนี้คือการขยายตัวของสื่อสมัยใหม่ที่แพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง แต่ไม่ใช่เพียงเฉพาะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น อีกด้านหนึ่งการเกิดขึ้นของกระแสทนายอเวนเจอร์สก็สะท้อนบางด้านของสังคมการเมืองไทยได้เช่นกัน ทั้งนี้ มีบางประเด็นที่อยากจะชวนพิจารณา ดังนี้
ประเด็นแรก การตระหนักถึงสิทธิของผู้คนที่แผ่กระจายอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างนักกฎหมายที่หยิบยกรายชื่อขึ้นมาเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ยังมีนักกฎหมายในลักษณะเช่นนี้อยู่อีกมากมาย จำนวนอันมหาศาลของนักกฎหมายที่รับทำคดีของประชาชนในลักษณะแบบ ‘อาสา, ช่วยเหลือ, คลายทุกข์, ปกป้องสิทธิ’ ไม่ใช่เพียงการแสดงถึงจำนวนความทุกข์ยากของผู้คนในประเด็นทางกฎหมายเท่านั้น อีกแง่มุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าในด้านของประชาชนเองก็เกิดความตระหนักถึงสิทธิของตนเอง รวมถึงความเข้าใจว่าการต่อสู้ผ่านสื่อสาธารณะและกลไกทางกฎหมายเป็นสิ่งที่ประชาชนก็สามารถกระทำได้
การตระหนักในสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและการปกป้องสิทธิในพื้นที่สาธารณะ กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนต่างรับรู้และเข้าใจว่าตนเองก็พึงได้รับการคุ้มครอง และเข้าใจว่ากลไกทางกฎหมายยังพอมีประสิทธิภาพที่จะคุ้มครองสิทธิของประชาชนได้อยู่ไม่น้อย เพียงแต่จะต้องใช้ช่องทางที่เหมาะสม ซึ่งก็คือการต่อสู้ผ่านทนายอเวนเจอร์ส ผ่านสื่อสมัยใหม่
ประเด็นที่สอง ความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ
ในหลายสังคมซึ่งผู้คนตระหนักถึงสิทธิของตนอย่างเข้มข้น แต่ปรากฏการณ์ทนายอเวนเจอร์สก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นติดตามมาอย่างอัตโนมัติ หากพิจารณาตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม เมื่อมีบุคคลใดที่ถูกกระทำจนเป็นผู้เสียหายก็ควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ชั้นตำรวจ ไปถึงอัยการ และศาลในบั้นปลายเข้ามาจัดการเพื่อให้ได้รับการเยียวยา กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือในสังคมที่ระบบกฎหมายมีประสิทธิภาพ ตรงไปตรงมา ก็ไม่จำเป็นต้องมาแสดงดรามาผ่านสื่อโซเชียลให้กลายเป็นไวรัลเสียก่อน กระบวนการยุติธรรมจึงค่อยจะเริ่มทำงาน
แต่สำหรับสังคมไทยก็รู้กันอยู่ว่ากลไกในกระบวนการยุติธรรมนั้นทำงานได้ดีมากน้อยเพียงใด หากผู้เสียหายที่เป็นสามัญชนเดินเข้าไปสู่องค์กรต่างๆ ด้วยตนเองก็อาจต้องเผชิญกับความไม่ใส่ใจ การเรียกรับผลประโยชน์ ความไม่จริงจังต่อการทำหน้าที่ ความจำเป็นที่ผู้คนต้องมาพึ่งทนายอเวนเจอร์สไม่ใช่เพียงเพราะความรู้ทางด้านกฎหมายของคนเหล่านี้ หากยังรวมถึงทักษะในการใช้สื่อสมัยใหม่ การสร้างประเด็นเพื่อทำให้กลไกทางกฎหมายได้ทำงานอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเด็นที่สาม ข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวของทนายอเวนเจอร์ส
หากพิจารณาถึงประเด็นที่นักกฎหมายกลุ่มนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้อพิพาทที่จะรับทำงานให้นั้นจะมีลักษณะที่เป็นประเด็นของปัจเจกบุคคลภายใต้แง่มุมทางศีลธรรมที่สามารถแบ่งขั้วระหว่างดี-เลวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะที่สอดคล้องกับระบบคุณธรรมของสังคมไทย ดังนั้น ประเด็นที่ทนายอเวนเจอร์สพร้อมที่จะโดดเข้าใส่อย่างรวดเร็วก็คือ การอกตัญญูของลูกต่อพ่อแม่, การทำร้ายเด็กหรือผู้หญิงของคนในครอบครัว, การหลอกลวง ‘ชาวบ้าน’ ที่มีความรู้น้อยกว่า, นักเรียนอาชีวะที่เป็นแก๊งทำร้ายนักเรียนอาชีวะที่เป็นคนดี เป็นต้น
ประเด็นต่างๆ เหล่านี้จะมีการแยกแยะระหว่างดำ-ขาวอย่างชัดเจน ผู้กระทำคือคนชั่วที่ต้องได้รับการลงโทษ ผู้ถูกกระทำคือผู้บริสุทธิ์ที่ต้องได้รับการปกป้อง นักกฎหมายกลุ่มนี้จะทำหน้าที่เฉกเช่นเดียวกันกับบรรดาซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด คือปกป้องผู้อ่อนแอ ผู้บริสุทธิ์ ด้วยพลังอำนาจวิเศษของตนเอง
ส่วนประเด็นที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างหรือเกี่ยวพันกับอำนาจทางการเมืองจะกลายเป็นประเด็นที่อยู่นอกขอบเขตความสนใจ ขณะที่มีการตรวจสอบเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อย่างละเอียดยิบ แต่การทุจริตของนักการเมือง ข้าราชการ นายทหารระดับสูงที่ทุจริตประพฤติมิชอบเบียดบังทรัพยากรของประชาชนไปกลับไม่เคยเป็นประเด็นที่ได้รับความใส่ใจหรือการให้ความสนใจเท่ากับการทำร้ายเข่นฆ่าของนักเรียนอาชีวะหรือคนเมายา ขณะที่คดีการตายของทหารเกณฑ์ในค่ายทหารที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง กลับไม่เคยถูกตั้งคำถามจากทนายอเวนเจอร์สแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ความเฟื่องฟูของทนายอเวนเจอร์สก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง บางคนอาจแสวงหาประโยชน์ในหลากหลายแง่มุมจากกระแสดังกล่าว บางคนก็อาจกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือจริยธรรมทางวิชาชีพ อันจะทำให้ความเชื่อถือของผู้คนที่มีต่ออาชีพทนายความลดน้อยถอยลง ทั้งอาจสร้างความกังวลใจต่อผู้คนไม่น้อยโดยเฉพาะในแวดวงนักกฎหมายด้วยกันเอง หรืออาจมีความพยายามในการสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ มากำกับการทำหน้าที่ของทนายความให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ต้องใส่ใจไม่น้อยไปกว่ากันที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ใช่หรือไม่ว่ายิ่งทนายอเวนเจอร์สเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งบ่งชี้ถึงความเหลวแหลกของระบบกฎหมายไทยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หัวใจสำคัญของปรากฏการณ์ทนายอเวนเจอร์สจึงอาจเป็นเรื่องที่ใหญ่มากไปกว่าความดีชั่วส่วนตัวของนักกฎหมายเหล่านี้แต่อย่างเดียว