กว่าจะมาเป็น Adolescence (2025) : ในนามของคนทำหนังและความเป็นพ่อ

Adolescence (2025) คือมินิซีรีส์ความยาวสี่ตอนจากสหราชอาณาจักรที่เพิ่งสร้างปรากฏการณ์เป็นวงกว้าง ทั้งในแง่กระบวนการถ่ายทำที่ถ่ายด้วยลองเทคตลอดความยาวหนึ่งชั่วโมงเต็ม, การแสดงอันหมดจดและชวนหัวใจสลาย และโดยเฉพาะประเด็นแหลมคมอ่อนไหวอย่างโลกของความเป็นชาย กับการเติบโตในโลกซึ่งอยู่พ้นเงื้อมมือของผู้ปกครอง

อย่างย่นย่อ ซีรีส์เล่าเรื่องราวของ เจมี (โอเวน คูเปอร์ -ผู้แจ้งเกิดจากเรื่องนี้ได้อย่างงดงาม) เด็กชายวัย 13 ปีที่ถูกเจ้าหน้าที่บุกจับกุมด้วยข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมชั้นเรียน โดยที่ เอ็ดดี (สตีเฟน กราแฮม) พ่อของเขาพยายามกัดฟันสู้เพื่อปกป้องลูกชายอย่างที่สุด แม้ความหวังจะริบหรี่ลงทุกทีก็ตาม

และแม้ฉากหน้า ตัวซีรีส์ทำท่าเหมือนจะชวนคนดูสำรวจคดีฉกรรจ์ของเด็กชายคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้ว มันกลับเล่าเรื่องอันสลับซับซ้อนกว่านั้น คดีของเจมีเป็นเพียงปลายน้ำ เพราะซีรีส์ได้พาสำรวจวัฒนธรรมที่แนบเนียนเป็นหนึ่งเดียวกันกับวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตร่วมสมัย และการที่มันแทบจะตัดขาดจากโลกของผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง รวมทั้งฉายภาพความเป็นชายอันเปราะบางผ่านสายตาของ ‘ผู้ชาย’ ด้วยกันโดยไม่มีท่าทีตัดสิน ตั้งคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัวแน่ชัดว่าอะไรผลักให้เด็กคนหนึ่งกระทำความรุนแรงอย่างที่สุดในฐานะมนุษย์กับเด็กอีกคนหนึ่ง ตลอดจนน้ำหนักแห่งความรู้สึกผิดบาปที่ครอบครัวต้องแบกรับโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

1.

Adolescence กำกับโดย ฟิลิป บารานตินี (Philip Barantini) คนทำหนังชาวอังกฤษผู้เคยแจ้งเกิดจากหนังชีวิตคนครัวสุดระห่ำ Boiling Point (2021) ที่ตะบี้ตะบันถ่ายด้วยลองเทคตลอดความยาวเก้าสิบนาทีเต็ม (!!) โดยหนังได้กราแฮมนำแสดง เขากวาดคำชมไปมหาศาลจากการรับบทเชฟหัวเดือดที่ต้องคอยรับมือกับคำสั่งมหาศาลในแต่ละวัน อย่างไรก็ดี ทั้งบารานตินีและกราแฮมไม่คาดหวังเลยว่า ตัวหนังจะเข้าชิงเวทีบาฟต้า (BAFTA) -เวทีใหญ่ระดับออสการ์ของสหราชอาณาจักร- และเปิดประตูบานสำคัญให้พวกเขาได้ทำโปรเจ็กต์ในฝันร่วมกันอีกครั้ง เมื่อความบ้าดีเดือดทั้งประเด็นและกระบวนการถ่ายทำไปเข้าตาสตูดิโอแพลนบี (Plan B Entertainment) อันเป็นสตูดิโอยักษ์ของฮอลลีวูดที่ผลิตหนังเรื่องสำคัญๆ มามหาศาล เช่น The Tree of Life (2011), The Big Short (2015), Moonlight (2016) และ Minari (2020) 

“สตูดิโอแพลนบีติดต่อผมมาว่าอยากทำซีรีส์หรืออะไรที่ออกฉายทางโทรทัศน์สักเรื่องไหม ความยาวสักแปดตอนที่ถ่ายแบบลองเทค คือถ่ายทำคล้ายๆ Boiling Point นั่นแหละ” กราแฮมเล่า “ผมขอบคุณพวกเขาไป คิดว่าการที่พวกเขาชื่นชมผลงานผมก็น่าปลื้มจะแย่แล้ว แต่ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าอยากทำอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า”

ข้อเสนอแรกคือการทำซีรีส์ความยาวแปดตอน แต่ละตอนถ่ายทำด้วยลองเทค และแทบไม่มีข้อจำกัดในการเล่าเรื่องหรือประเด็นใดๆ แน่นอนว่าสำหรับกราแฮม -รวมทั้งคนทำหนังอีกหลายๆ คน- ข้อเสนอนี้เย้ายวนใจ แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าตัวเองมีพลังมากพอจะเข็นมหากาพย์เรื่องนี้ออกมาได้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในเวลานั้นเขายังไม่มีประเด็นในหัวที่สนใจอยากถ่ายทำมันออกมาเป็นเรื่องยาวออกฉายทางโทรทัศน์ กระนั้น กราแฮมก็ตัดสินใจเล่าข้อเสนอนี้ให้บารานตินีฟังระหว่างทางที่พวกเขาออกเดินทางกลับบ้านจากงานประกาศรางวัลบาฟต้า

“ผมเล่าให้ฟิลฟังบนรถระหว่างทางที่เราขับรถกลับจากการประกาศรางวัล เขาบอกผมว่า ‘ก็แหงดิวะ ข้อเสนอนี่แม่งโคตรเจ๋งเลยไม่ใช่หรือไง มึงไม่อยากทำเหรอวะ!’ และผมสาบานด้วยชีวิตแม่ผมเลยนะ” กราแฮมบอก “ตอนนั้นแหละ ที่ผมนึกถึงคำเพื่อนนักดนตรี ตอนเขาเล่าว่าเขียนเพลงขึ้นมาได้ยังไง พวกเขาบอกผมว่าเหมือนดนตรีกับเนื้อเพลงมันมารวมกันเอง ราวกับต่างก็รอกันและกันอยู่แล้ว นี่ผมไม่ได้อยากทำตัวเท่หรืออะไรนะ -แค่ชนชั้นแรงงานแบบผมมันก็อย่างนี้แหละ- คือวินาทีนั้น ผมก็เห็นซีรีส์ทั้งเรื่องแล่นผ่านในหัวผมแล้ว ทั้งเรื่องเลย ผมเลยหันไปบอกฟิลว่า ‘เอาล่ะ ที่กูอยากทำมันมีแบบนี้นะ…’”

ถอยหลังไปไม่กี่ปีตอนหน้า สหราชอาณาจักรมีข่าวเด็กผู้ชายแทงเด็กผู้หญิงจนถึงแก่ชีวิต มันไม่เพียงสร้างความแตกตื่นให้แก่คนในสังคม แต่มันยังชวนสำรวจประเด็นอื่นที่ชวนสะท้านไม่แพ้กัน อย่างการที่คุณครูผู้หญิงออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเธอถูกนักเรียนชาย ‘ไล่’ ให้ไปทำแซนด์วิชแทนที่จะมาสอนหนังสือ หรือภาวะเกลียดชังผู้หญิงที่ขยายตัวขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงในสหราชอาณาจักร

กราแฮมเองตกอยู่ภายใต้ความกังวลเหล่านี้ เขาทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เอาเสียเลย 

“ผมเห็นข่าวเด็กผู้ชายแทงเด็กผู้หญิงตายในสหราชอาณาจักรเยอะมาก มันไม่เหมือนข่าวเด็กชายตีกันนะ เพราะความรุนแรงที่เกิดจากเด็กผู้ชายยกพวกเอามีดเสียบกันในลอนดอน, เบอร์มิงแฮมกับแมนเชสเตอร์น่ะมันน่ากลัว และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมที่เราต้องใส่ใจเหมือนกัน แต่สำหรับผม การที่เด็กผู้ชายแทงเด็กผู้หญิงจนตายในเวลานี้นี่มันคืออะไรแน่ ผมไม่เข้าใจเลย”

ตัวกราแฮมเองเติบโตขึ้นมาในยุคที่เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรไม่สู้ดีนัก เขาใช้ชีวิตวัยเยาว์ด้วยการเป็นประจักษ์พยานการก่ออาชญากรรมหลายอย่าง (“ผมไม่เคยขายยานะ คือผมเสพแน่แหละ แต่ไม่เคยขาย”) หนึ่งในนั้นคือการวิวาทกันระหว่างกลุ่มก้อนของเด็กหนุ่มเลือดร้อน ที่แม้เขาจะเห็นเป็นเรื่องน่ากังวล แต่ก็ดูเป็นสิ่งที่ไม่เกินความเข้าใจนัก

“ผมเองก็เคยเป็นเด็กชายอายุ 13 มาก่อน เลิกเรียนก็ดื่มไซเดอร์ ดูดกัญชาสักสองสามปื้ด แล้วพอค่ำๆ ก็มีรายการของ เคนนี เอเวอเรตต์ (Kenny Everett -นักแสดงตลกชาวอังกฤษ) แพลมหัวนมให้เห็นแค่สักแวบ แม่ก็จะบอกว่า ‘ไปนอน! เดี๋ยวนี้!’ แต่ตอนนี้ถ้าคุณบอกลูกคุณว่า ‘ไปนอน’ พวกเขาก็จะเล่นโทรศัพท์กันอยู่ดี 

“ผมคิดว่าการเป็นพ่อแม่ในทุกวันนี้มีเรื่องที่ต้องทำมากกว่าเมื่อก่อนน่ะ ตอนยังเด็ก ถ้าผมเข้านอนแล้ว แม่จะรู้ว่าผมปลอดภัยแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรให้ผมทำจนเกิดอันตรายให้ตัวเองสักกี่มากน้อย แต่ตอนนี้สิ โทรศัพท์เหล่านี้มันอันตรายมากนะ ไหนจะพวกที่ถูกเรียกว่าอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้อีก ผมคิดว่ามันมีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบมากมายอยู่”

ความกังวลนี้ทำให้เขาร่างภาพขึ้นมาในหัวว่าอยากเล่าเรื่องราวของเด็กชายกับความรุนแรงนี้ แค่ว่าเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก กระทั่งเมื่อเขาได้เจอกับ แจ็ค โธรน (Jack Thorne) มือเขียนบทจาก Shameless (2004–2013) ซีรีส์สัญชาติอังกฤษและ This Is England ’90 (2015) ที่คุ้นหน้าคุ้นตากราแฮมอย่างดีหลังเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Virtues (2019) และ Help (2021) เป็นโธรนนี่เองที่ขยับขยายไอเดียของกราแฮมไปสู่ประเด็นร่วมสมัยอย่างอินเซล (incel) หรือกลุ่มคนที่ ‘โสดโดยไม่สมัครใจ’ ที่มีแนวโน้มจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและเกลียดชังผู้หญิง

อีกเหมือนกัน ที่กราแฮมไม่เข้าใจสักนิดว่ามันคืออะไร กระทั่งเมื่อลูกๆ ของเขาช่วยอธิบายเพิ่มเติมถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังวัฒนธรรมนี้ รวมทั้ง แอนดรูว เทต (Andrew Tate) อินฟลูเอนเซอร์ผู้อื้อฉาวด้านการคุกคามและแสดงทัศนคติเหยียดเพศ (กราแฮมจึงพยายามขุดข้อมูลเพิ่มเติม จนอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียเข้าใจว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่สรรเสริญแอนดรูว เทต “เจ้าหนุ่มนี่โผล่เข้ามาในหน้าฟีดผมทั้งวัน แสดงทัศนคติกับความเห็นตลอดเวลา ซึ่งผมก็ไม่อะไรหรอก แต่ก็รู้ว่าไม่เห็นด้วยเลยสักนิดน่ะ” เขาบอกอย่างอ่อนใจ)

“พอค้นข้อมูลพวกนี้มากๆ เข้า ผมก็พบว่า ผมคือตาลุงวัย 51 -ที่พอเข้าใจตัวเองอยู่บ้าง- พยายามปะติดปะต่อเรื่องพวกนี้อยู่นี่หว่า ลองคิดว่าถ้าผมเป็นเด็กชายอายุ 13 ปีที่มีความสัมพันธ์กับพ่อไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้มีคนให้ยึดเป็นแบบอย่างเท่าไหร่ ผมจะไปยึดหาจากใครได้อีก” เขาเล่า และเช่นนี้เอง เขาค่อยๆ สอดร้อยประสานไอเดียที่ว่าด้วยเด็กหนุ่มกับวัฒนธรรมจากโลกอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาถึง โดยมีโธรนช่วยเขียนบทอย่างละเอียดอีกทอดหนึ่ง

“ผมมีไอเดียจะเล่าเรื่องนี้ออกมาเป็นสี่ตอน มีภาพคร่าวๆ ในหัว เรื่องของเรื่องคือผมกับแจ็คเป็นเหมือนแฟรงค์เกนสไตน์เลยครับ ผมเอาเรื่องราวหรือร่างกายไปให้เขา และเขาสร้างชีวิตให้มัน และเช่นนี้เองที่เราสร้างจิตวิญญาณของมันขึ้นมาได้ เพราะผมมีไอเดียกับตัวละครไร้ใบหน้า และแจ็คก็ใส่เรื่องอินเซลทั้งปวงมาให้ ผมบอกเขาว่า ‘นี่นะ ผมเห็นข่าวความรุนแรงต่างๆ แล้วล่ะ แค่ไม่เข้าใจมันเลย ไม่เข้าใจเอาเสียจริงๆ’ และแจ็คก็ไปค้นข้อมูลมาให้”

ไอเดียแรกเริ่มตั้งต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปของทั้งกราแฮม, โธรนและบารานตินี คือการหานักแสดง และจัดวางมหากาพย์การถ่ายทำ ที่ตั้งมั่นกันว่ามันต้องเป็นลองเทคยาวหนึ่งชั่วโมง แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องเขียนบทกันเสียก่อน… และนี่ก็ดันเป็นโจทย์ใหญ่ที่ชายวัยกลางคนทั้งสามต้องทำการบ้านอย่างหนักเสียด้วย 

2.

ถอยหลังไปไม่กี่ปีก่อนหน้า แจ็ค โธรน ได้รับโทรศัพท์จากหนึ่งในนักแสดงคู่บุญของเขาอย่างกราแฮม ปลายสายถามว่าเขาสนใจจะเขียนบทซีรีส์ที่ว่าด้วยอาชญากรรมหรือไม่ โดยธีมหลักของมันคือความรุนแรงต่อผู้หญิงในกลุ่มเด็กหนุ่ม และโจทย์สำคัญที่สุดของกราแฮมมีอยู่สองข้อ ข้อแรก ซีรีส์ต้องถ่ายลองเทคทั้งเรื่อง ข้อสอง เขาไม่อยากให้โทษพ่อแม่ของตัวละครหลักที่เป็นคนก่ออาชญากรรม

โธรนมะงุมมะงาหราควานหารากของการก่อความรุนแรงของตัวละคร และนับเป็นเรื่องยากมหาศาลเมื่อไม่อาจเบนเข็มไปยังสาเหตุทั่วๆ ไปอย่างการถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกาย หรือบาดแผลที่เกิดจากการเลี้ยงดูผิดๆ ได้ กระทั่งเมื่อเพื่อนคนหนึ่งของเขาแนะนำว่า “ลองไปค้นคว้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเซลดูไหมล่ะ” และนี่เองที่เป็นเชือกพาให้โธรนไปเจอวัฒนธรรมใหญ่อย่าง manosphere หรือกล่าวอย่างย่นย่อคือชุมชนออนไลน์สำหรับ ‘ชายแทร่’ ที่สนับสนุนเรื่องชายเป็นใหญ่สุดขั้วและเกลียดผู้หญิง 

“ผมรู้เลยว่าถ้าผมเป็นเด็กโดดเดี่ยวสักคน ผมคงพยายามควานหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมผมจึงตัวคนเดียวนัก” โธรนว่า “และไอเดียใหญ่ของเรื่องนี้คือ ผู้หญิง 80 เปอร์เซ็นต์จะหลงใหลผู้ชายเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าผมเห็นอะไรแบบนี้ตอนวัยรุ่นคงพยักหน้าเห็นด้วยเลยละมั้ง และหลังจากนั้น มันก็จะกลายเป็นว่า คุณจะทำทุกทางเพื่อทำลายกฎข้อนั้น คุณจะใช้อำนาจและลงมือกระทำความรุนแรงด้วยวิธีไหน เพื่อหยุดยั้งโลกที่ผู้หญิงยึดครองซึ่งทำให้คุณไร้อำนาจ”

นี่จึงเป็นที่มาของฉากในเอพิโซดที่สอง เมื่อนักสืบลุค (แอชลีย์ วอลเตอร์ส) ตีความไปว่าเจมีกับเด็กสาวผู้ตายมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จากการอ่านคอมเมนต์ที่เด็กสาวเข้าไปแสดงความเห็นด้วยสัญลักษณ์ ‘ยา’ ในอินสตาแกรมของเด็กหนุ่ม เพราะสำหรับเขา คำตอบที่เข้าใจได้ในสมการนี้คือการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันย่อมหมายถึงเรื่องราวแง่บวก เขาอ่าน ‘นัยยะ’ หรือค่าความหมายอื่นไม่ได้เพราะไม่เข้าใจ และก็เป็นลูกชายผู้ห่างเหิน ทั้งยังเป็นลูกไล่เพื่อนในโรงเรียนต้องเข้ามาอธิบายความหมายแฝงที่อยู่ใต้คอมเมนต์เหล่านั้น ว่าการกลืนยาสีน้ำเงินหมายถึงการใช้ชีวิตนอบน้อมต่อโลก และยาสีแดงหมายถึงการลุกขึ้นมาต่อต้านและปฏิวัติสังคมซึ่งไม่เป็นมิตรต่อพวกเขา

“ลูกก็ดู The Matrix (1999) เหมือนกันเหรอ”

“The Matrix อะไรวะ”

ความเข้าใจระหว่างนักสืบกับลูกชายยังกลับหัวกลับหางอีกพักใหญ่ เพราะตัวเขา ‘รู้จัก’ ตรรกะยาสีน้ำเงินและสีแดงจากหนังของพี่น้องวาชาวสกี (Wachowski) ที่สร้างปรากฏการณ์นับตั้งแต่นาทีแรกที่มันออกฉาย ขณะที่ลูกชายของเขารู้จักตรรกะของยาสองสีจากพื้นที่แห่งอื่น ทั้งยังให้ความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นิยามความหมายใหม่นี้ถือกำเนิดขึ้นในเว็บบอร์ด reddit (ประมาณเว็บไซต์พันทิปของต่างประเทศ) ชี้ว่าผู้ชายไม่ควรตกอยู่ภายใต้สังคมที่ให้บทบาทผู้หญิงเท่าเทียมกับพวกเขา และการต่อต้านปฏิวัติระบบสังคมเช่นนี้ คือการ ‘กินยาสีแดง’ ที่ทำให้พวกเขาตื่นรู้ว่าสังคมแห่งความเท่าเทียมนี้ลดอำนาจพวกเขาอย่างไร (เรื่องน่าชวนเวทนาอย่างที่สุดคือ พี่น้องวาชาวสกีเป็นคนข้ามเพศ ขณะที่ตัวหนังพูดถึงมนุษย์ตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกระบบทุนนิยมกดขี่ การนำสัญลักษณ์จากหนังมาบิดใช้แบบผิดฝาผิดตัวเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องน่าละเหี่ยใจอยู่ไม่น้อย) 

โธรนก็เป็นหนึ่งในคนที่ ‘เข้าใจ’ สัญลักษณ์สีของเม็ดยาจากหนังบล็อกบัสเตอร์ และไม่รู้สักนิดว่าในอีกสองทศวรรษต่อมา ความหมายของมันบิดเพี้ยนไปไกลในระดับยากจะทำความเข้าใจ “แต่มันทรงพลังมากนะ มันตอบคำถามถึงความโดดเดี่ยวได้ดีมากๆ” โธรนบอก “มันทำให้คำตอบความเคว้งคว้างในใจคุณที่ว่า ‘ฉันไม่น่าดึงดูด คุยกับใครก็ไม่เป็น จะเป็นคนที่อยากเป็นก็ทำไม่ได้ และน่าจะโดดเดี่ยวไปจนตาย’ อะไรทำนองนั้น”

โธรนเสนอให้กราแฮมเขียนบทร่วมกันกับเขา -ซึ่งกราแฮมตอบตกลง- หากแต่มีเอพิโซดเดียวที่กราแฮมให้เพื่อนรักเขียนเพียงคนเดียวคือเอพิโซดที่สาม ซึ่งเล่าเรื่องเจมีต้องเผชิญหน้ากับจิตแพทย์หญิง ที่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ได้ขุดเอาความคับแค้นของการเป็นมนุษย์ไร้อำนาจของเจมีออกมาจนหมด

“ตอนลงมือเขียน ผมตกใจกับเจมีในตัวผมมาก ความเจ็บปวดของเขา ความโกรธของเขา เป็นส่วนเสี้ยวในเนื้อตัวผมที่ผมไม่อยากมองด้วยซ้ำ” โธรนบอก “เรื่องที่พวกนั้นบอกทางอินเทอร์เน็ตมันคงเป็นคำตอบให้เด็กหลายๆ คน ‘นี่แหละคือเหตุผลที่นายโดดเดี่ยว นี่แหละคือเหตุผลที่นายถูกทิ้งให้ตัวคนเดียว ที่ไม่มีใครชอบนาย ที่นายรู้สึกตัวเองไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย’ แล้วเจมีน่ะ เขามาจากครอบครัวที่ดีเหมือนกันกับผม เป็นเด็กฉลาดแบบเดียวกับที่ผมเคยเป็น

“คำถามคือ แล้วเราต่างกันตรงไหนแหละ เขามีอินเทอร์เน็ตไว้อ่านอะไรต่อมิอะไรในตอนกลางคืน ส่วนผมน่ะมีแค่นิยายของ เทอร์รี แพร็ตเช็ตต์ (Terry Pratchett -นักเขียนชาวอังกฤษ เจ้าของผลงานแฟนตาซีอย่าง Good Omens, Going Postal) กับ จูดี บลูม (Judy Blume -นักเขียนนิยายชาวอเมริกัน เขียนสำหรับเด็ก เช่น Superfudge และ Fudge-a-Mania) ไงล่ะ”

เขาสำรวจประเด็นวัฒนธรรมอินเซลอย่างเข้มข้นเช่นเดียวกับกราแฮม และพบว่าตัวเองขนลุกขนชันกับเนื้อหาที่ปรากฏตรงหน้า “มันเหมือนกระโจนเข้าไปในหลุมอะไรสักอย่างที่ผมไม่อยากเข้าไปเลย อัลกอริทึมของผมยังพินาศอยู่จนตอนนี้” เขาพูดท้อๆ

โธรนทำตามเงื่อนไขที่กราแฮมตั้งไว้ อย่างการไม่ชี้เป้าไปยังพ่อแม่ในฐานะ ‘ต้นธาร’ พฤติกรรมที่ลูกชายทำ สำหรับโธรน เจมีไม่ได้เป็นแค่ผลสืบเนื่องของวัฒนธรรม manosphere เท่านั้น หากแต่ยังเป็นผลจากสิ่งที่พ่อแม่เขาไม่เห็น จากโรงเรียนซึ่งไม่แยแสเขาและตัวเขาเองที่ไม่อาจหยุดยั้งความแค้นเคืองในใจได้ ไม่ใช่เด็กผู้ชายทุกคนจะเป็นอย่างเจมี แม้เด็กเหล่านั้นจะท่องอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์เดียวกับเขา อยู่ในชุมชนออนไลน์เดียวกันกับเขาก็ตาม และไม่ว่าพ่อแม่หรือโรงเรียนจะพยายามแค่ไหน คำตอบอันชัดเจนก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นโดยง่ายนัก โธรนจึงมองไปไกลกว่านั้น -เช่นเดียวกับกราแฮม- เขาคิดว่าสังคมควรมีส่วนในการรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูเด็ก และไกลกว่านั้นคือรัฐบาลเองก็ต้องหาทางจัดการประเด็นอ่อนไหวในเชิงวัฒนธรรมเหล่านี้ด้วย

“ลูกชายผมอายุเก้าขวบ อีกสักสองปีเขาคงร้องขอให้ผมซื้อสมาร์ตโฟนให้ และเมื่อถึงเวลานั้น เพื่อนร่วมชั้นของเขาราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ก็คงมีโทรศัพท์ส่วนตัวกันหมดแล้ว ผมจะปฏิเสธคำขอของเขาแล้วปล่อยให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างนั้นหรือ” โธรนตั้งคำถาม “ผมอาจควบคุมได้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญเรื่องดิจิทัลอะไรนี่”

กราแฮมที่ร่วมเขียนบทด้วยกัน บอกโธรนว่า สำหรับเขาแล้ว ไม่มีวลีไหนจะจริงเกินไปกว่าคำว่า “เลี้ยงเด็กคนเดียวต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน” และโธรนเองเห็นด้วยตามนั้น ในสมการที่ว่า ‘หมู่บ้าน’ ที่ว่าย่อมหมายถึงหน่วยเล็กที่สุดอย่างครอบครัว แล้วไล่ไปเป็นชุมชน โรงเรียนและรัฐ ซึ่งสำหรับเขาแล้ว ในมุมกลับกันนั้น มันก็ต้องอาศัยทั้งหมู่บ้านเพื่อ ‘ทำลาย’ เด็กคนหนึ่งเหมือนกัน

เอพิโซดที่สอง เจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาสืบคดีที่โรงเรียน พวกเขาพบว่าคุณครูไม่สนใจนักเรียนสักกี่มากน้อย หรือคนที่ดูเหมือนจะสนใจสักหน่อยก็ไร้พลังในการจะสื่อสารและควบคุมเยาวชนได้ เด็กนักเรียนถูกปล่อยให้เรียนกับจอคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็ภาพเคลื่อนไหวที่คุณครูเปิดให้ดู พวกเขาไม่มีสมาธินัก และมากต่อมาก ก็พร้อมจะก่อจลาจลใต้จมูกครูสักคนในโรงเรียนโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

“ทุกเอพิโซด เราพยายามมอบคำตอบหลากหลายมุมว่าเจมีเป็นแบบนี้ได้ยังไง สตีเฟนบอกผมว่า ‘เราต้องไม่โทษพ่อแม่นะ’ ก็จริง แต่เราก็ต้องไปทำความเข้าใจด้วยว่าพ่อแม่ของเขาอยู่กันแบบไหน พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เจมีทำอย่างไร”

เจมีเกิดในชนชั้นแรงงาน เขามีความเป็นอยู่ที่ดี พ่อเขาเป็นชนชั้นแรงงานที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำครอบครัว แม่ของเขาเป็นแม่บ้าน และพี่สาวนิสัยดีอนาคตไกล สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏในคำพูดหรือไดอะล็อกของตัวละคร แต่มันอยู่ในชีวิต อยู่บนรถตู้ที่เอ็ดดีขับ อยู่บนสีหน้าหวาดหวั่นของคนเป็นพ่อที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไรตอนที่ลูกชายร้องขอให้ไปอยู่เคียงข้างในฐานะผู้พิทักษ์ เราอาจอนุมานได้ว่าเอ็ดดีไม่ได้เรียนจบสูงนัก เขาไม่เข้าใจเรื่องราวทางกฎหมายและหวาดหวั่นว่าตัวเองจะทำหน้าที่ ‘ปกป้อง’ ลูกชายได้ไม่ดีพอ อันจะเห็นได้จากการละล่ำละลักถามทนายถึงบทบาทและหน้าที่ของเขาตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่ต้องรับมือกับโศกนาฏกรรม

เรื่องราวของครอบครัวเจมียังอยู่ในคำตอบของเขาต่อคำถามของจิตแพทย์ สำหรับเขา พ่อเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ไม่เคยทำร้ายลูกเมีย เขาไม่เห็นความผิดปกติในตัวพ่อและไม่คิดว่าพฤติกรรมของเขาเป็นสิ่งที่พ่อต้องแบกรับ เจมีโอบรับความเป็นชนชั้นแรงงานของพ่ออย่างเต็มอก ทั้งยังล้อเลียนสำเนียงพอร์ชของจิตแพทย์ที่สะท้อนถึงการเป็นชนชั้นกลางหรือมาจากถิ่นฐานที่เพียบพร้อมกว่าเขา ในทางกลับกัน เอ็ดดีเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเขาผิดพลาดตรงไหน อะไรทำให้ลูกชายเขาก่อความรุนแรงในระดับปลายสุดของความเป็นมนุษย์ได้ เพราะถึงที่สุด สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำตอบ คือเขาหวังแค่จะเป็นพ่อที่ดีกว่าพ่อของตัวเองซึ่งทุบตีเขา หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนชั่วช้าแต่อย่างใด

“เราต้องสำรวจเข้าไปให้ลึกที่สุดว่าเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้อย่างไร เจมีหล่นหายไปตรงไหนในเรื่องราวเหล่านี้” โธรนอธิบายถึงการเขียนเส้นเรื่องนี้ขึ้นมา “และการจะทำความเข้าใจได้ดีที่สุดคือการจ้องมองไปยังเอ็ดดี ดูวิธีที่เขาพูดถึงลูกชายตัวเองที่วาดรูปเขามาให้เป็นของขวัญวันเกิดตรงโต๊ะในห้องครัว และเด็กคนนั้น -ไม่รู้ว่าอย่างไร- ก็กลายมาเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวและเอาแต่ฝังตัวแต่ในห้อง โดยที่พ่อแม่ไม่ทันตระหนักด้วยซ้ำว่ามีความโดดเดี่ยวที่ว่านี้ ก่อตัวขึ้นในครอบครัวตัวเอง”

หลังซีรีส์ออกฉาย โธรน -ซึ่งเป็นชายผิวขาวและรูปร่างผอมบาง- เล่าว่าเขาถูกโจมตีทางออนไลน์บ่อยครั้ง ด้วยข้อหาว่าคนที่ดู ‘ไม่แมน’ มากพอเป็นคนเขียนบทซีรีส์ที่โจมตีโลกแห่งความเป็นชายของพวกเขา “พวกเขาบอกว่าผมหน้าตาเหมือนคนมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวเยอะไป ดูไม่เป็นผู้ชายมากพอ ซึ่งก็จริงน่ะนะ” เขาบอกอย่างไม่ยี่หระ “ผมคิดว่าความเป็นชายมันหลากหลายน่ะ เหมือนทุกอย่างที่มันก็มีระดับของมัน และไม่เห็นจำเป็นเลยว่าคุณต้องไปให้สุดขอบแห่งความเป็นชายหรือทุกอย่างตลอดไปนี่หว่า”

โธรนไม่ได้หวังว่า Adolescence ต้องมอบคำตอบที่ชัดเจนว่า ‘อะไร’ ทำให้เจมีตัดสินใจกระทำการเช่นนั้น เพราะสำหรับเขาแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มอบคำตอบ หากแต่มันชวนตั้งคำถามมากกว่า “เราอยากทำซีรีส์ที่ทำให้คนอยากดู และเราก็อยากตั้งคำถามที่ทำให้พวกเขาเอาไปสนทนากันต่อบนโซฟา ในผับ ในโรงเรียนและอาจจะในรัฐสภาด้วยซ้ำ” เขาว่า

หลังจากที่บทพร้อม ขั้นตอนต่อไปคือการหานักแสดงที่จะต้องมารับบทเป็น เจมี หนึ่งในตัวละครหลักที่ต้อง ‘แบก’ ซีรีส์ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเสียก่อน และนั่นคือที่มาของ โอเวน คูเปอร์ เด็กชายวัย 14 ปี (ขณะถ่ายทำ) ที่ไม่เคยผ่านการแสดงเป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่ครั้งเดียว!

3.

“ตอนซีรีส์ออกฉาย ผมก็ดูเหมือนคนอื่นๆ เพราะผมอยู่ในซีรีส์ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีไหม แต่เห็นคนชมเยอะเลย”

โอเวน คูเปอร์ แจ้งเกิดในชั่วข้ามคืนจากการรับบทเป็นเจมี เด็กชายที่ถูกจับกุมข้อหาคดีฆาตกรรมเพื่อนร่วมชั้น โดยสิ่งที่เขาต้อง ‘แบก’ นั้นไม่ใช่แค่บทบาทของเด็กผู้ชายเปราะบางที่โตขึ้นมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน แต่ยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนของการไม่ถูกยอมรับ และความสับสนของการเติบโต นับตั้งแต่เอพิโซดแรกที่เขาสั่นกลัวเมื่อถูกตำรวจจับกุม แววตาเคว้งคว้างงุนงงเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ซักถามข้อมูลส่วนตัว หรือวิธีเข้าหาพ่อหลังจากจนตรอกในที่สุด

พูดอย่างชัดที่สุด หากเป็นซีรีส์หรือหนังประเภทที่ว่าด้วยฆาตกรเด็กวิปลาสอย่าง Joshua (2007) หรือ Benny’s Video (1992) ซึ่งพูดถึงเด็กชายที่สังหารเด็กหญิงแล้วซุกศพเธอไว้ในห้องหน้าตาเฉย ตัวละครเด็กเหล่านี้ก็มักอยู่ในลักษณะที่ ‘ผิดปกติ’ หรือมีเค้าลางแห่งความหายนะบางอย่าง ไม่ว่าจะไอคิวสูงลิ่วหรือท่าทีปฏิสัมพันธ์ต่อคนอื่น ขณะที่เจมีไม่ได้เป็นอย่างนั้น Adolescence ฉายภาพให้เจมีเป็นเด็กทั่วไป เขาแทบไม่มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากเด็กชายชาวอังกฤษผิวขาวคนอื่นๆ จากปากคำของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น เขาเป็นเด็ก ‘กลางๆ’ ไม่ใช่พวกหัวโจก ไม่ใช่พวกนั่งหน้าชั้นเรียนหรือถูกจดจำ และลักษณะนี้เองที่ทำให้ตัวละครเจมีมีความเป็นมนุษย์เหลือเกิน มนุษย์ในแบบที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่ต่างจากเด็กชายคนอื่นๆ ที่เราพบเจอได้ทั่วไปในสังคม

คำถามใหญ่คือแล้วเราจะแสดง ‘ความสามัญ’ นี้ออกมาอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อความสามัญที่ว่านั้นผูกโยงเป็นเนื้อเดียวกันกับคดีอาชญากรรมใหญ่ที่สุดของการเป็นมนุษย์

หนึ่งในเงื่อนไขของการถ่ายทอดความสามัญที่ว่านี้ออกมาได้ คือการใช้นักแสดงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนักเพื่อลดการสร้างภาพจำ ทว่า การจะหานักแสดงเด็กที่ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก และต้องแบกบทที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มิหนำซ้ำ ด้วยข้อกฎหมายของสหราชอาณาจักร (และอีกหลายๆ ที่ทั่วโลก) กำหนดให้นักแสดงเด็กทำงานโดยมีเวลาจำกัดแน่ชัด ทั้งบารานตินีและกราแฮมจึงพยายามคัดนักแสดงที่บรรลุนิติภาวะแล้วแต่ยังดูเหมือนเด็กอายุ 13 ปีมาแสดง

“มันก็มีมาแหละครับ แต่แม้จะหน้าเด็ก ร่างกายของนักแสดงที่อายุ 18 เหล่านี้ก็ไม่เหมือนเด็กแล้ว มองด้วยตาเปล่าก็รู้ได้เลยว่าพวกเขากำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่น่ะ” บารานตินีบอก “สุดท้าย เราเลยไม่มีทางอื่นนอกจากหานักแสดงที่อายุยังน้อยจริงๆ”

ต้นปี 2024 บารานตินีกับทีมงานแคสติ้งนั่งไล่ดูเทปออดิชันกว่า 500 เทป พร้อมกับติดต่อโรงเรียนสอนการแสดงและละครเวทีต่างๆ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าใหญ่ เผื่อจะเจอ ‘เพชร’ เม็ดงามที่จะมารับบทเป็นตัวละครหลัก และก็เป็นช่วงเวลานั้นเองที่พวกเขาสะดุดตากับเทปของเด็กผู้ชายจากวอร์ริงตัน ผู้ออกตัวว่าไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน หากแต่ความสดบางอย่างทำให้ทีมงานเลือกเขาติดรายชื่อหนึ่งในห้าคนสุดท้ายที่จะมารับบทเป็นเจมี 

“โอเวนน่ะเข้าเรียนคลาสการแสดงของโรงเรียนมาสองครั้งเองมั้ง” บารานตินีบอก “ลงเรียนแบบกะเอาเป็นงานอดิเรกด้วย ไม่เคยแสดงอะไรจริงจังมาก่อน เขาจึงไม่มีไอ้สิ่งที่เรียกว่าทักษะแบบการแสดงจ๋าๆ มาปนเลย”

“ในเทปออดิชัน เราต้องแสดงว่าเรากำลังเดินไปห้องครูใหญ่ และก็ทำเหมือนเราไม่ได้ทำอะไรผิดมาสักหน่อย ซึ่งคุณไม่ได้ทำจริงๆ คุณบริสุทธิ์” คูเปอร์เล่าถึงเทปออดิชันของเขา “และเวลาต่อมา เราต้องทำเป็นเหมือนว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่จริงๆ แล้วเราทำน่ะ”

คูเปอร์ไม่เคยคิดอยากเป็นนักแสดง เช่นเดียวกับเด็กชายชาวอังกฤษอีกหลายพันชีวิต เขาวาดฝันอยากเป็นนักฟุตบอล (“ไม่รู้เหมือนกันฮะว่าทำไมคิดงั้น แต่ผมอยากเป็นมากจริงๆ นะ” เขาบอก “ผมเชียร์ลิเวอร์พูลครับ และรัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เอามากๆ แม้เขาจะเจ็บอยู่บ่อยๆ ก็เหอะนะ”) หากแต่ก็เริ่มคิดว่าการแสดงน่าสนใจเมื่อได้เห็นรุ่นพี่นักแสดงร่วมประเทศอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ในหนังเรื่อง The Impossible (2012) ซึ่งว่าด้วยครอบครัวชาวอังกฤษที่มาพักผ่อนยังประเทศไทยแล้วเจอเหตุการณ์สึนามิ เขาจึงลงเรียนการแสดงเป็นครั้งเป็นคราวในแมนเชสเตอร์

“ผมไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน และเรียนการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ก็เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี่เอง” เขาบอก “พอไปเรียนการแสดงก็รู้สึกว่ามันสนุกดี ได้อัดเทปออดิชันด้วย”

เทปออดิชันที่ว่า ส่งตรงมาถึงทีมงาน Adolescence ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น บารานตินีตัดสินใจขอพบตัวคูเปอร์ที่แมนเชสเตอร์ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาชวนกราแฮมมานั่งอ่านบทกับเด็กชายเพื่อทดสอบ ‘ความเข้ากัน’ ต่อหน้ากล้อง 

“เราได้นักแสดงเด็กที่เข้าตามาห้าคน โอเวนน่ะโดดเด่นที่สุด แต่ผมกับกราแฮมตกลงกันว่า อีกสี่คนที่เหลือจะต้องมีบทบาทในซีรีส์ด้วย” บารานตินีบอก “ก็แหม การจะลากพวกเขามาเจอความกดดันของการออดิชันขนาดนี้แล้วให้กลับบ้านไปมือเปล่า ผมว่ามันก็ใจร้ายไป”

คูเปอร์ต้องเข้าเรียนการแสดงเพิ่มเติมก่อนหน้าการถ่ายทำจริงจะเริ่ม โดยแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถ่ายลองเทคครั้งละหนึ่งชั่วโมงตลอดทั้งสี่ตอน (“ตอนฟิลบอกผมว่า จะถ่ายลองเทคนะ ผมยังนึกอยู่เลยฮะว่าน่าจะลองเทคแค่ซีนเดียว แต่กลายเป็นว่ามันเป็นการลองเทคทั้งสี่เอพิโซดเลย”) บารานตินีถ่ายทำเอพิโซดที่สามก่อนเป็นอย่างแรก “มันเพราะช่วงนั้นตารางงานสตีเวนแน่นเอี้ยดไปหมด ผมเองก็กังวลนะว่าจะไหวไหม เพราะต้องคิดล่วงหน้าไปว่าถ้าเด็กเขาจำบทไม่ได้ ผมต้องทำยังไง แล้วเรามีเวลาแค่สองสัปดาห์เท่านั้น”

ปัญหาคือ โอเวน คูเปอร์จำบทได้ก็จริง แต่เขาดันหลุดระหว่างการถ่ายทำเพราะเชื่อมโยงกับตัวละครไม่ได้ “ผมว่าในชีวิตจริง เขาไม่เคยระเบิดอารมณ์กับใครขนาดนั้นน่ะ” บารานตินีบอก “ผมเลยชวนเขามานั่งเงียบๆ ด้วยกัน เปิดใจ บอกเขาว่า ‘สิ่งที่นายรู้สึกมันจริง แต่ฉันอยากให้รู้ไว้ว่าความรู้สึกนี้มันไม่ได้เป็นของนาย มันเป็นแค่การแสดง และนายน่ะเป็นของจริงนะเพราะไม่ใช่นักแสดงทุกคนจะทำแบบนายได้หรอก’

“โอเวนเป็นเด็กนิสัยน่ารัก แต่ในเอพิโซดนี้ เขาต้องทำตัวแย่ๆ และไม่มีมารยาทซึ่งเป็นลักษณะของตัวละครน่ะ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเขาเลย” บารานตินีสาธยาย “ตอนเราซ้อมการแสดงกัน ผมเลยบอกเขาเรื่อยๆ ว่า ‘โกรธอีก โมโหเลย นายเกลียดยัยจิตแพทย์นี่ แหกปากใส่เธอไปเลย เอาออกมาให้หมด’ และก็แน่แหละว่าเขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน พอระเบิดออกมาแล้ว โอเวนเลยประหลาดใจมากๆ ว่าเขาทำได้ถึงขนาดนั้นเลย

“อีกเทคหนึ่งที่ผมประทับใจมาก และไม่เคยขอให้เขาทำด้วย คือตอนที่เขาคุยกับจิตแพทย์ กล้องจับไปที่เขา อยู่ดีๆ โอเวนก็หาวขึ้นมา คนที่อยู่หลังกล้องก็กระซิบกันว่า ‘อุ๊ย เขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยนะ’ ส่วน อีริน (อีริน โดเฮอร์ตี -Erin Doherty) ที่รับบทเป็นจิตแพทย์ก็รับมือเขาด้วยการถามกลับไปเองว่า ‘ขอโทษนะ ฉันทำเธอเบื่อหรือเปล่า’ แล้วโอเวนก็ยิ้มแสบๆ กลับมาน่ะ”

“แต่โอเวนน่ะเก่งเป็นบ้าเลย นักแสดงบางคนฝึกมาตั้งหลายต่อหลายปี ยังทำไม่ได้แบบเขาด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เขาทำคืออยู่กับปัจจุบัน รับฟังและซื่อตรงกับตัวละคร” บารานตินีชื่นชม “เรามีนักจิตวิทยาสำหรับโอเวนโดยเฉพาะด้วยนะครับ คอยดูว่าเขาโอเคไหมน่ะ แต่ส่วนใหญ่เธอหาเขาไม่ค่อยเจอหรอก เพราะพอพักกอง โอเวนชอบไปหวดลูกเทนนิสเล่นในสนามน่ะ พอถามว่าเขาโอเคไหมเขาก็ไม่ค่อยตอบ เอาแต่บอกว่า ‘รอแป๊บฮะ กำลังจะชนะแล้ว’ อะไรแบบนั้น”

คูเปอร์แจ้งเกิดเต็มตัว เขาทยอยไล่เรียงดูหนังตามที่มิตรสหายในกองถ่ายแนะนำ เพื่อจะพบว่าหนังหลายต่อหลายเรื่องยังเป็นของแสลงสำหรับเขาเพราะอายุไม่ถึง เขาจึงได้แต่ดูหนังคลาสสิกหลายแหล่อย่าง The Terminator (1984) หรือไม่ก็ Inception (2010) รวมทั้งบรรดาแฟรนไชส์หนังมาร์เวลทั้งปวง

“อันที่จริงก็มีหนังอีกหลายเรื่องเลยฮะที่ผมดูทั้งที่ไม่ควรดูหรอก” เขาบอก โดยหนึ่งในหนังที่เขาโปรดปรานที่สุดคือ Django Unchained (2012) หนังทาสคนดำลุกมาตะบันหน้าพ่อค้าทาสคนขาวจนเลือดท่วมของ เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) “หลายเรื่องก็กำหนดให้ต้องอายุ 18 ปีขึ้นไปนั่น แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมอยู่ในกองถ่ายกับสตีเวน กราแฮมนะครับ เขาสบถตลอดเวลาแหละ!”

การเปิดประเดิมซีรีส์ด้วยถ่ายทำเอพิโซดที่สาม -ซึ่งเกิดขึ้นในห้องเล็กแคบและเดินเรื่องด้วยนักแสดงไม่กี่คนนั้น- เป็นเพียงปฐมบทความยากที่บารานตินีและทีมงานต้องเจอ เพราะหลังจากนั้น พวกเขายังต้องถ่ายมหากาพย์ลองเทคที่มีทั้งฉากตำรวจบุกบ้าน, ฉากโรงเรียนที่ต้องกระโจนข้ามหน้าต่าง ไปจนถึงฉากที่ถ่ายคนขับรถไปครึ่งตอนด้วย!

4.

Adolescence เปิดเรื่องด้วยความอลังการสุดขีดคลั่งด้วยการลากลองเทคสุดคึกโครม นักสืบลุค (แอชลีย์ วอลเตอร์ส) คุยกับเพื่อนร่วมงานในรถตำรวจ พวกเขาพูดถึงเรื่องทั่วไป ชีวิต ครอบครัวและการพยายามเลิกบุหรี่ อีกไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาได้รับสัญญาณให้ ‘บุก’ กล้องเคลื่อนตัวตามรถ รับกับกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือ ทลายประตูบ้านหลังหนึ่งกระจุย หญิงวัยกลางคนหมอบตัวลงต่ำ ไกลออกไป ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนบันได หน้าตาสับสนและงุนงง ก่อนที่กล้องจะหันไปรับหน้าเด็กชายคนหนึ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด 

กล้องยังไล่ตามเหล่าเจ้าหน้าที่ขึ้นรถตำรวจเพื่อพาเด็กชายไปโรงพัก และมันก็หาได้กระชากคนดูไปสู่ข้อสรุป ตรงกันข้าม ซีรีส์อ้อยอิ่งอยู่กับกระบวนการของตำรวจต่อจำเลย การถ่ายด้วยระบบลองเทคทำให้เวลาที่เกิดขึ้นในเรื่องนั้นคู่ขนานไปกับเวลาของคนดู เราจึงได้เห็นขั้นตอนอันละเอียด -และว่าไปก็อาจไม่เป็นมิตรต่อเยาวชน- นับตั้งแต่การซักถามชื่อ การแจ้งสิทธิ การเรียกทนายและการรอคอยอย่างอดทน

กองถ่ายแบ่งช่วงการถ่ายทำออกเป็นสัปดาห์ โดยสัปดาห์แรก พวกเขาต้องร่วมอ่านบทด้วยกันตลอดทั้งเอพิโซด มีบารานตินีเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิด ส่วนโธรนจะตั้งใจฟังว่านักแสดงอ่านบทที่เขาเขียนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแบบใด ถ่ายทอดมันออกมาในลักษณะไหน ขณะที่ แมตต์ เลวิส (Matt Lewis) ผู้กำกับภาพ เดินสำรวจสถานที่ถ่ายทำว่ามีที่ให้เขาเคลื่อนกล้องตรงไหนได้บ้าง

สัปดาห์ที่สอง กองถ่ายทั้งกองจะอพยพมายังสถานที่ถ่ายทำเพื่อสำรวจทิศทางที่แสงควรจะเป็น, หาวิธีวางกล้องบนรถ หรือจัดวางทีมงานและนักแสดงที่ไม่อยู่ในฉากให้พ้นจากระยะการจับของกล้อง โดยทั้งหมดนี้ นักแสดงต้องซ้อมตลอดเวลาเพื่อให้เป็นไปอย่างที่กราแฮมบรรยายว่า “เข้าเลือดเข้ากระดูกกันเลยครับ” เขาบอก

“เหมือนเราซ้อมเทนนิสน่ะ ให้กล้ามเนื้อมันจำได้ว่าต้องหวดลูกยังไง ซึ่งดีมากๆ เลย เพราะเราต้องจำให้ได้ว่าคนถือไมค์บูมจะยืนตรงไหน ไม่อย่างนั้นคุณจะได้ยินช่างเสียงร้องมาว่า ‘ไมโครโฟนโอเคแล้วล่ะ แต่คุณช่วยขยับมาตรงนี้อีกนิดนึงสิ’ และเราก็ทำได้แค่บอกพวกเขาว่า ‘ได้เลยพวก’ แล้วขยับไปตามที่เขาเรียกร้อง จากนั้น เราจะมาดูเรื่องการแต่งกายวันศุกร์ ซึ่งก็เข้าสัปดาห์ที่สามแล้ว ทุกคนเข้าใจจังหวะของสิ่งต่างๆ ดี พอถึงวันจันทร์ เราก็ถ่ายทำไปสองเทคเต็มๆ ช่วงเช้าเทคหนึ่ง ช่วงบ่ายอีกเทค”

กราแฮมหยิบฉวยไอเดียจากซีรีส์สารคดีสืบสวนสอบสวนสัญชาติอังกฤษอย่าง 24 Hours in Police Custody (2014) ที่เขาติดงอมแงม มาใช้เป็นธีมหลักสำหรับฉากเปิดเรื่อง โดยภาพแรกที่เขาวางไว้ในหัวคือกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกตะลุยพังบ้านเข้าไปจับเด็กชายคนหนึ่งด้วยข้อหาฆาตกรรม ก่อนจะพาคนดูไปสำรวจสายตาอื่นๆ ที่คนนอกมองมายังคดีนี้ ไม่ว่าจะตัวผู้ต้องหา, ครอบครัวและเพื่อนร่วมชั้นเรียน รวมทั้งจิตแพทย์ที่ต้องคอยจับตาและสังเกตสภาพจิตใจของเด็กชายด้วย

บารานตินีกับกราแฮมยังเล่ามันผ่านฌ็องหลากหลาย ทั้งเป็นหนังธริลเลอร์ว่าด้วยกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นับตั้งแต่การจับกุม, แจ้งสิทธิ, ตรวจร่างกาย, การคัดง้างของทนายและการยืนยันพยานหลักฐาน รวมทั้งมีท่าทีเป็นหนังดราม่าว่าด้วยบาดแผลของวัยรุ่น และน้ำหนักที่ครอบครัวต้องแบกรับ 

“เราวางแผนกันเลือดตาแทบกระเด็นเลยแหละ เราทำแผนที่สถานที่ซึ่งเราจะใช้ถ่ายทำ ดูว่ากล้องต้องเคลื่อนไปทางไหน แล้วทีมนักแสดงกับผมก็ซักซ้อมกันเหมือนเป็นนักเต้นเลย” เลวิสบอก “ความท้าทายใหญ่ที่สุดของเราคือการต้องย้ายกล้องจากบ้านจริงๆ ไปสถานีตำรวจจำลองที่เราสร้างขึ้นมา เราเลยต้องหาสตูดิโอถ่ายหนังใกล้ๆ บ้านย่านชานเมืองน่ะ

“เราต้องหาที่อยู่ให้ทีมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย จะให้ไปโผล่ติดกล้องก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ไหนเราจะต้องคิดอีกว่าใครจะตามรถไป อะไรต่ออะไร” บารานตินีบอก “สัปดาห์แรกของการฝึกซ้อมจะมีแค่ผมกับนักแสดง ซ้อมกันในสถานที่ถ่ายทำจริงเลย เพราะนักแสดงต้องรู้สึกและเห็นด้วยตาตัวเองว่าพวกเขาต้องเคลื่อนไปตรงไหน เมื่อไหร่ที่ต้องมายืนเบียดๆ กันหรือตอนไหนที่ต้องขึ้นบันได จะให้มากอดกันตรงฝั่งขวาหรือฝั่งซ้าย”

สำหรับการลากกล้องเพื่อถ่ายลองเทค เลวิสตั้งใจจะไม่ใช้กล้องแฮนด์เฮลด์ (handheld -การเคลื่อนกล้องโดยใช้มือช่างภาพ) ที่แม้จะให้ความรู้สึกของ ‘การมีชีวิต’ แต่มันก็ยากเย็นเกินไปสำหรับการลากถ่ายตลอดหนึ่งชั่วโมง มิหนำซ้ำ ด้วยข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อมการถ่ายทำ เลวิสคิดว่าการใช้กล้องแฮนด์เฮลด์อาจไม่เหมาะสมนัก “อย่างในพื้นที่เล็กๆ อย่างพวกห้องครัว มันก็ใช้ได้แหละ แต่การต้องลากกล้องไปตลอดทั้งทาง คนดูจะรู้สึกถึงฝีเท้าตากล้องเลย และมันคงให้ความรู้สึกเหมือนสารคดีมากๆ”

แต่ก็อีกนั่นแหละ หากว่าเอพิโซดแรกที่ถ่ายลากจากบ้านของครอบครัวเอ็ดดีมายังสถานีตำรวจว่าเป็นงานหินแล้ว เอพิโซดที่สองซึ่งมีทุกอย่างที่เป็น ‘ฝันร้าย’ ของการถ่ายลองเทคอย่างจำนวนคนมหาศาล, การวิ่งตามตัวละคร รวมทั้งการกระโดดโลดโผนไปยังสถานที่ต่างๆ ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ชวนปวดประสาทอย่างที่สุด โดยนักเรียนส่วนใหญ่ที่ปรากฏในเรื่องเป็นนักเรียนจริงๆ ของโรงเรียน ขณะที่คุณครูมีทั้งนักแสดงอาชีพและผู้ช่วยผู้กำกับ ที่ช่วยต้อนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ให้ออกไปจากเฟรมภาพเมื่อกล้องกวาดไปรับทางอื่น

ความที่ต้องลากถ่ายยาวทั้งชั่วโมง ทำให้บารานตินีวางตารางถ่ายทำไว้วันละสองหน ครั้งแรกตอนสิบโมงเช้าและพักนานสี่ชั่วโมง ก่อนจะเริ่มใหม่อีกครั้ง โดยมีกำหนดการว่าจะใช้เวลาถ่ายทำมากที่สุดเอพิโซดละห้าวัน หรือคือสิบเทคเท่านั้น “เราถ่ายทำมากกว่าสองเทคต่อวันไม่ได้หรอก เพราะมันเหนื่อยเกินไป แถมยิ่งฝืน คุณก็ไม่มีทางได้สิ่งที่ดีที่สุดจากทีมงานหรอก” บารานตินีบอก ทั้งเขายังเตรียมแผนสำรองไว้ว่าหากการถ่ายทำไม่สำเร็จในห้าวันหรือสิบเทค เขาก็จะแค่เลื่อนตารางเวลาถ่ายทำออกไป แต่จะไม่มีวันเค้นถ่ายวันละสามเทคจากทีมงานเป็นแน่

“แต่เราไม่เคยต้องใช้แผนสำรองนั้นหรอก ตอนเราถ่ายทำ เราบอกกันว่า ‘เทคเมื่อกี้ดีแล้วล่ะ เก็บไว้ก่อน ดูซิว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง’ แล้วพอวันพรุ่งนี้มาถึง เราก็บอกว่า ‘เออว่ะ เทคนี้ดีกว่าแฮะ ใช้อันนี้เถอะ’ แบบนั้น หรือบางทีแค่สักสามเทคเราก็พอใจกับผลลัพธ์แล้วล่ะ”

เมื่อไหร่ก็ตามที่บารานตินีรู้สึกพอใจกับเทคที่ได้ เขาจะเอาเทคเก่าๆ มาไล่เรียงดูแล้วเทียบเคียงกันฉากต่อฉาก เพื่อพินิจว่าเทคใดควรจะใช้จริง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว กระบวนการเหล่านี้จะอยู่ในขั้นตอนการตัดต่อที่ร้อยเอาแต่ละภาคแต่ละส่วนที่ดีที่สุดมาไว้เข้าเป็นฉากเดียวกัน “ก็มันเป็นเทคเดียวนี่นะ จะมาพูดว่า ‘ตัดตรงนั้นออกนิด ตรงนี้ออกหน่อยดีกว่า’ ไม่ได้หรอก”

หากฉากวิ่งไล่ตามนักเรียนในเอพิโซดที่สองถือว่ายากเย็นแล้ว การถ่ายทำในห้องแคบๆ ที่เดินเรื่องด้วยตัวละครเพียงสองคนในเอพิโซดที่สามก็ถือเป็นโจทย์ท้าทายอีกประการ หลายเดือนล่วงผ่าน เจมีสนทนากับจิตแพทย์ที่พยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมเขา คนดูพบว่าเจมียังมีลักษณะแบบเด็กๆ ติดตัว เขากินช็อกโกแลตร้อนใส่มาร์ชเมลโลว์ พูดจาวกวน กวนอารมณ์แต่ก็แสดงความเสียใจเหมือนเด็ก ดีใจที่มีคนมาคุยด้วยแต่ก็ไม่พร้อมเป็นมิตรมากขนาดนั้น

บทสนทนาเคลื่อนตัวไปตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในลักษณะที่บารานตินีเรียกว่าเป็น ‘การแข่งเทนนิส’ ที่นักแสดงทั้งสองหวดไดอะล็อกใส่กัน โดยมีผู้กำกับภาพเคลื่อนกล้องเงียบเชียบรับหน้าพวกเขา

“คนดูรู้สึกได้เลยว่าตัวละครทั้งสองสานสัมพันธ์ต่อกันขึ้นมา ตัวละครจิตแพทย์น่ะไม่ใช่แค่เลวร้ายนะคะ” โดเฮอร์ธีบอก “เธอไม่ได้พยายามเรียกร้องอะไรจากเจมี เป็นห่วงเขาด้วยซ้ำ เธอแค่พยายามถามคำถามเขาไปพร้อมกับที่ภาวนาว่าชะตาจะพลิกผันให้เธอพูดได้เต็มปากว่าเด็กคนนี้ไม่มีความผิด ทั้งที่หลักฐานทุกอย่างชี้ชัดไปที่จุดเดียว”

“เจมีน่ะไม่มีใครเลยฮะ” คูเปอร์บอก “เขาโกรธและเสียใจมากที่การสนทนานั้นจบลง เขาไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเพื่อนหรือคุณครูเลย มีแค่คนเพียงคนเดียวที่เขาคุยด้วยได้ และคนคนนั้นก็จากไปแล้ว เห็นชัดๆ ว่าเขารับมือกับเรื่องนี้ไม่ได้”

พ้นไปจากนักแสดง อีกหนึ่งคนที่ต้องรับบทหนักคือเลวิสในฐานะผู้กำกับภาพ อันที่จริง เอพิโซดอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนกล้องบ้าระห่ำนั้น เลวิสกับทีมช่างภาพจะใช้วิธีส่งต่อกล้องมือต่อมืออย่างแนบเนียนที่สุด (เช่น ฉากที่กล้องเลื้อยขึ้นบันไดตามตัวละครในเอพิโซดแรก) แต่เมื่อเป็นห้องเล็กแคบที่ไม่อนุญาตให้กล้องเคลื่อนไหวกระชากมากนัก เลวิสจึงต้องเป็นคนถือกล้องนานตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็ม

“เราอ่านบทด้วยกันแล้วคิดว่าต้องเคลื่อนกล้องไปทางไหนบ้าง เมื่อไหร่ที่การแสดงเริ่มเดือดดาลเราก็ขยับไปตรงนั้น หรือเมื่อไหร่ที่ตัวละครเริ่มสงบ กล้องก็ต้องสงบนิ่งตาม” เขาบอก “แต่เราก็ต้องหาจังหวะเคลื่อนกล้องตลอดเวลาด้วย อาจจะเป็นตอนที่เขาหยิบน้ำมาดื่ม หรือตอนที่เขาหยิบแซนด์วิชมากัดก็ได้ทั้งนั้น การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนบรรยากาศของการถ่ายทำ และเป็นเหตุผลให้พวกเขาเคลื่อนกล้องช้าๆ จากจุดที่เรายืนอยู่ไปยังรอบตัวพวกเขาน่ะ”

เลวิสไม่กังวลกับโดเฮอร์ธีซึ่งมีพื้นฐานจากการแสดงละครเวทีแน่นปึ้กเท่าไหร่นัก เขาใส่ใจกับคูเปอร์ที่ไม่เคยมีประวัติการแสดงมาก่อน มิหนำซ้ำยังเริ่มถ่ายเอพิโซดนี้เป็นครั้งแรก เลวิสเล่าว่าตอนเริ่มถ่ายทำเทคแรกๆ นั้น เขาขยับกล้องเข้าใกล้คูเปอร์มากไป “โดยไม่รู้ตัว เขาเอนตัวหนีกล้อง ขยับหัวไปอีกทางหนึ่งให้พ้นทาง” เลวิสบอก

“ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเข้าใจสิ่งที่เราทำมากน้อยแค่ไหน” เขาบอก “แต่ความไร้เดียงสานี่แหละคือพลังวิเศษล่ะ ผมไม่ต้องอธิบายอะไรกับเขามากนัก นอกเสียจากบอกว่า ‘นายขยับอย่างที่นายอยากได้เลยนะพวก ฉันจะสวมชุดดำทั้งตัว ถือกล้องนี่ไว้ และทำเหมือนไร้ตัวตนอยู่แบบนี้’ เขาก็เข้าใจแล้ว” 

ช่วงท้ายของเอพิโซด เจมีตกอยู่ในภาวะเครียดเขม็ง กล้องเคลื่อนจับไปยังสีหน้าของจิตแพทย์ เธอสงบนิ่ง หากแต่ก็ฉายภาพความผิดหวัง เจ็บปวดผ่านแววตา ใกล้กันนั้น แซนด์วิชที่เธอเหลือเก็บไว้ให้เจมีทอดตัวเงียบเชียบอยู่บนโต๊ะ เขากัดไปแค่หนึ่งคำ “ฉันคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ดีมากๆ นะ เด็กชายที่เธอเก็บแซนด์วิชไว้ให้เขาในตอนแรก ออกจากห้องไปกลายเป็นอีกคนแล้ว” โดเฮอร์ธีบอก “เธอไม่อยากแตะต้องแซนด์วิชที่เหลือแล้วด้วยซ้ำ

“ฉันคิดว่าห้องนั้นเป็นภาพแทนของความหวังของตัวละครทั้งสองนะ ช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาแบ่งปันความฝันที่ว่า หากทุกอย่างไปได้สวย มันจะเป็นอย่างไร แต่นาทีต่อมาเมื่อพวกเขาแยกย้าย ฝันที่ว่านั้นก็พังทลาย ความเป็นจริงบดขยี้มันไม่เหลือซาก”

กองถ่ายยังต้องรับมือกับอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของอังกฤษ บารานตินีพบว่าความทะเยอทะยานในการจะใช้โดรนกลายเป็นหมันเพราะพายุโหมเข้าเมืองทั้งวัน (“เราเลยถ่ายทำฉากที่เราต้องใช้โดรนไปถ่ายตัวละครของสตีเวนไม่ได้ เขาเลยต้องยืนแกร่ว ถือดอกไม้รออยู่ในเซ็ตอย่างนั้น”) หรือเมื่อกล้องโดรนบินออกไปไกลจากกองถ่ายมากๆ บารานตินีก็พบว่าสัญญาณหลุดหายไปจากจอมอนิเตอร์ และเขาก็ทำได้แค่หวังอย่างหน้ามืดตามัวว่าภาพจะออกมาตรงกับที่ต้องการ

“สักสิบนาทีต่อมาแหละ ใครไม่รู้บอกว่าจับสัญญาณโดรนได้แล้ว เรางี้เงียบกริบทั้งกอง แล้วก็ใครอีกไม่รู้บอกว่า ‘มันใช้ได้! ใช้ได้แล้วเว้ย!’ ตอนนั้นแหละครับที่หัวใจเราเหมือนจะระเบิดออกมาเลย”

อย่างไรก็ดี ความทะเยอทะยานและบ้าพลังขนาดนี้ก็เลี่ยงความตึงเครียดระหว่างการถ่ายทำไม่ได้ ไม่เพียงแต่ข้อผิดพลาดเชิงเทคนิค -ตั้งแต่กล้องชนประตู, ไฟดับ, แบตเตอรี่หมด ฯลฯ- ที่เกิดขึ้นแทบจะรายวันเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องรับมือกับสภาพแวดล้อม -โดยเฉพาะในอังกฤษ- ที่บางทีก็ไม่เอื้อให้ได้ลากกล้องออกไปถ่ายยาวตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มเอาเสียเลย

“ปกติแล้วผมเป็นคนใจเย็นน่ะ” บารานตินีบอก “และผมว่าในฐานะผู้กำกับ การเป็นคนใจเย็นก็เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ เพราะถ้าผมลนลานหรือเกิดประสาทเสียขึ้นมา ก็จะทำให้คนอื่นๆ ประสาทเสียไปด้วย และคุณจะไม่มีทางได้สิ่งที่ดีที่สุดจากทีมงานหรือได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีได้เลย

“ผมว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเชื่อใจทีมงานของเรา ให้พวกเขาได้แสดงความเห็น ได้ออกเสียง มันคือการสร้างครอบครัวที่จะคอยสนับสนุนกันและกันไปจนตลอดรอดฝั่งขึ้นมาน่ะ นักแสดงเขาตื่นเต้นกันอยู่แล้วเพราะต้องอยู่ต่อหน้ากล้อง พวกเขากดดันกันจะตายแน่ๆ เพราะกลัวทำพัง และแรงกดดันนี้มันก็เกิดขึ้นกับทุกคนด้วย เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนที่ทำให้เราต้องถ่ายใหม่ทั้งเทคหรอก” บารานตินีบอก 

“สิ่งที่ผมย้ำเสมอคือ ‘ถ้าเราต้องหยุดถ่ายใหม่ ก็ไม่เป็นอะไรเลยนะ อย่าไปกังวลเรื่องนั้นเลย เพราะถึงยังไง เราก็จะทำมันจนได้แหละน่า!’”

5.

วันนั้นเป็นวันเกิดของเอ็ดดี เขากับเมียและลูกสาวตั้งใจจะทำให้วันนี้เป็น ‘วันที่ดี’ เริ่มจากการที่เมียทำอาหารเช้าอร่อยๆ ให้ เขาทิ้งตัวลงนั่งรอ อ่านจดหมายไปพลาง หนึ่งในนั้นมีการ์ดอวยพรวันเกิดจากเจมี -ลูกชายที่ต้องข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมชั้น- บนการ์ดมีรูปวาดที่ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ว่า ลูกชายมีพรสวรรค์แค่ไหน และอนาคตสว่างไสวรอเขาอยู่มากมายเพียงไร

วันดีๆ ของเขาสั่นคลอนเมื่อมีมือดีเอาสีมาพ่นคำหยาบบนรถตู้ที่ใช้หากินของเอ็ดดี เขากับครอบครัวออกไปซื้อสีมาพ่นทับ พยายามทำให้มันกลับมารื่นเริงอีกครั้งด้วยการเล่าเรื่องราวเก่าๆ ชื่นมื่น เพราะอดีตอาจเป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาพวกเขาได้ในโมงยามที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ที่โลกข้างนอก เขาก็พบว่าฝันร้ายของการเป็น ‘พ่อเจมี’ หวนกลับมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มขายถังสีสนับสนุนเจมีเพราะเกลียดชังในสิ่งที่เจมีก็เกลียดชัง แต่เขาไม่เข้าใจ เขาพยายามขับรถกลับบ้าน ลูกชายโทรศัพท์มาบอกว่าจะยอมกลับคำให้การ -โลกของเขาและครอบครัวนิ่งสนิท

เอ็ดดีพยายามทำวันให้ดีขึ้นอีกครั้ง เบือนหน้าหนีจากความจริงอันเจ็บปวดและพร้อมออกไปดูหนังกับครอบครัว เขาสวมเสื้อสีฟ้าตัวเก่งที่เมียซื้อให้ แต่เรื่องราวของเจมียังหลอนหลอกเขา เขาตั้งคำถามกับเมีย กับตัวเอง ว่าอะไรทำให้เจมี ‘กระทำ’ แบบนั้น เขานึกถึงพ่อผู้เย็นชาและโหดร้ายของตัวเองซึ่งทำให้เขาหวังว่าเมื่อได้เป็นพ่อคน เขาจะเป็นพ่อที่ดีกว่าพ่อของเขา เขาเป็นชนชั้นแรงงานที่ไม่เข้าใจโลกอีกฝั่ง เป็นพ่อที่เงอะงะเมื่อลูกชายร้องขอให้เขาเป็นผู้พิทักษ์เมื่อคุยกับตำรวจ เขาโบยตีตัวเองที่ไม่ฉลาดมากพอ ไม่เก่งกาจมากพอจะปกป้องลูก และถึงที่สุด เขาพยายามหาเหตุผลว่าตัวเองในฐานะพ่อคนนั้นผิดพลาดตรงไหน โดยไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีคำตอบของคำถามนี้หรือไม่

ห้องนอนของเจมียังเหมือนเดิม -ไม่แน่ว่าอาจไม่มีใครเข้าไปแตะต้องมันนับแต่เขาไม่อยู่- ผ้าห่มและผนังห้องทาสีน้ำเงิน สีของเด็กผู้ชาย เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้อง พิศวงว่าเคยรู้จักลูกของตัวเองจริงๆ หรือไม่ เขาร้องไห้ -และก็อาจเป็นการร้องไห้ครั้งแรกหลังจากเกิดโศกนาฏกรรม- สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือตุ๊กตาหมีนอนทอดตัวทิ้งอยู่บนเตียง ไร้เจ้าของ เขาจับมันวางบนหมอน ห่มผ้าให้มัน จูบหน้าผาก อาจเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำให้เจมีไม่ได้ หรืออาจไม่ได้ทำให้เจมีเมื่อนานมาแล้ว 

“ขอโทษนะ เจมี พ่อน่าจะทำให้ดีกว่านี้” คือประโยคสุดท้ายที่เขากระซิบ คำขอโทษของเอ็ดดีอาจเป็นมากกว่าความเสียใจ มันเต็มไปด้วยน้ำหนักของความรู้สึกผิด ของความเสียดาย ของความเจ็บปวดที่แก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“ที่ผ่านมา เรามักเห็นเรื่องเล่าจากครอบครัวของเหยื่อเสมอ -ซึ่งก็สมควรเป็นเช่นนั้นแหละ- แต่ในเอพิโซดที่สี่ ผมอยากจับจ้องไปยังผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวของเด็กผู้ชายที่ลงมือฆาตกรรม ว่าพวกเขาจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร หรือจะคงค้างบาดแผลไว้อยู่เช่นนั้นหรือไม่” กราแฮมบอก “ผมไม่อยากให้เราต้องเล่าพื้นหลังของเจมี ว่าเขามาจากครอบครัวที่มีแม่ขี้เหล้า มีพ่อชอบใช้ความรุนแรงหรืออะไรทำนองนั้น แค่อยากให้คนดูตั้งคำถามว่า ‘ทำไม’ มากกว่า ซึ่งเราก็ทำทั้งหมดนี้ด้วยความเคารพเหลือเกิน เพราะพ่อคนนั้นอาจจะเป็นผมก็ได้ และเด็กคนนั้นก็อาจจะเป็นลูกผมได้เหมือนกัน”

กราแฮมกับ คริสทีน เทรมาร์โก (Christine Tremarco) เพื่อนนักแสดงที่รับบทเป็นภรรยาของเขาในซีรีส์ ซักซ้อมบทกันอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ โดยมีโธรนคอยรับฟังพวกเขาอ่านบทอย่างใกล้ชิด ทั้งสามสำรวจถ้อยคำที่ตัวละครเลือกใช้อย่างละเอียดเพื่อให้ตรงกับความรู้สึกของตัวละครมากที่สุด

“ผมคิดว่าเอ็ดดีแบกน้ำหนักความรู้สึกผิดอยู่บนบ่าของเขาหนักหนาเหลือเกิน” กราแฮมบอก “ตอนเริ่มต้น ตัวละครของผมที่เป็นชายวัย 50 กำลังตัดหญ้าในสวน หลังจากนั้น เขาเอาเครื่องตัดหญ้าไปเก็บในโรงเก็บของและเห็นจักรยานที่เขาซื้อให้เจมี ผมตั้งใจว่าต้องเป็นจักรยาน BMX ล้อแม็กโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นจักรยานที่เอ็ดดีไม่เคยมีตอนเขายังเด็ก

“เอ็ดดีหวนรำลึกถึงวัยเด็กของเขา หรือไม่ก็พยายามสร้างวัยเด็กที่เขาไม่มีขึ้นมาให้ลูกชายตัวเอง และการได้เห็นจักรยานคันนี้ ได้นึกถึงมัน -น้ำหนักแห่งความรู้สึกผิดก็ท่วมท้นเขา น้ำหนักที่คุณพยายามวิ่งหนีด้วยการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เป็นบ้าเป็นหลังอย่างการตัดสวน และคิดว่า ‘จะทำวันนี้ให้เป็นวันที่ดีให้ได้’ และเขาก็ดันไปเห็นจักรยานเข้า ก่อนจะนึกได้ว่า ‘ลูกไม่อยู่แล้วนี่นา บ้าชะมัดเลย’”

ทั้งหมดนี้นำไปสู่ฉากอันเลื่องลือ เมื่อเอ็ดดีเข้าไปในห้องของเจมีเพียงลำพัง กวาดตามองรอบห้องและคลื่นลมแห่งความอ้างว้างเดียวดายก็ถาโถมเข้าใส่เขา “จำได้ว่าผมเดินเข้าไปในห้องนั้นเป็นครั้งแรกแล้วก็ถามฟิลว่า ‘เราต้องทำอะไรเหรอ ฟิล ฉันอยากเข้ามาในห้องนี้แค่เพื่อเข้ามาดูน่ะ เพราะเรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นในห้องนี้แหละ’ และฟิลก็เอาตุ๊กตาหมีขึ้นมาวางบนเตียง ผมถามเขาว่า ‘เอามาทำอะไรน่ะ’ และเขาก็บอกว่า ‘เพิ่งคิดอะไรได้นิดหน่อยน่ะ’

“ใช้เวลาอีกพักทีเดียวกว่าที่ผมจะเข้าใจ ผมสนิทกับลูกๆ มาก ซึ่งผมขอบคุณอย่างที่สุด ผมมักกอดลูกเสมอ ตอนส่งพวกเขาเข้านอน ผมจะกอดลูก จูบพวกเขาที่หน้าผากและบอกฝันดี และผมก็ทำอย่างนั้นในซีรีส์ ทำตั้งแต่ตอนซ้อมเลยด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกน่ะ”

อาจไม่มีคำตอบที่แน่ชัดให้เอ็ดดี และน้ำหนักแห่งความรู้สึกผิดบาปนั้นจะยังดำเนินต่อไปในหัวใจของเขา ของพ่อที่พยายามอย่างที่สุดแล้วแต่เขาทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป 

“มันมีเพลง Hometown ของพ่อหนุ่มที่ชื่อ ลอยล์ คาร์เนอร์ (Loyle Carner) เขาบันทึกเสียงพ่อตัวเองที่พูดว่า ‘บางครั้ง พ่อแม่ก็ต้องการลูก มากเท่ากับที่ลูกต้องการพวกเขานั่นแหละ’ และประโยคนี้ทำผมน้ำตาไหลเลย” กราแฮมบอก “ตัวละครลูกสาวในเรื่อง พยายามรักษาครอบครัวไว้ให้อยู่ด้วยกัน เธอเป็นนักเรียนแถวหน้า กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย มีอนาคตที่สดใสรออยู่ และเธอก็เป็นคนที่บอกทุกคนว่า ‘เราจะไม่ไปไหน เพราะเรื่องนี้จะตามเราไปทุกแห่ง และตามไปตลอดกาลด้วย’ เธอจะเป็นพี่สาวของเด็กชายที่ฆ่าเด็กหญิงคนหนึ่ง และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต แต่อนาคตของเธอก็ยังจะสดใส 

“เอ็ดดีถึงได้ถามเมียเขาว่า ‘เราเลี้ยงเธอขึ้นมายังไงนะ’ และความงดงามที่สุดคือเมื่อเมียเขาตอบกลับมาว่า ‘ก็แบบเดียวกับที่เราเลี้ยงเขาขึ้นมานั่นแหละ -ด้วยรัก ด้วยกำลังทั้งหมดที่เรามี’ เราทำอย่างที่เราทำ เราไม่ได้ทำอะไรต่างออกไปเลย”

แน่นอนว่ากราแฮม -รวมทั้งทีมงานทั้งมวล- อัศจรรย์ใจกับกระแสของ Adolescence ที่ไม่เพียงประสบความสำเร็จล้นหลามในสหราชอาณาจักร แต่ยังไปไกลถึงต่างประเทศ และจุดประเด็นคำถามแหลมคมอย่างความเปราะบางของความเป็นชายในโลกยุคใหม่ อันดูจะเป็นสิ่งที่หลายสังคมมีร่วมกัน

“เราสร้างซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความรัก” กราแฮมบอก “มันเหมือนเรามีก้อนหินก้อนน้อยๆ ในมือ -อาจจะเป็นก้อนกรวดด้วยซ้ำ- แล้วเราก็ขว้างมันออกไปสู่จักรวาล หินก้อนนั้นหล่นลงน้ำ สร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลกว่าที่คุณคิดไว้แต่แรก 

“ที่ผมจะบอกคือ คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผลกระทบของสิ่งที่คุณทำด้วยรักนั้นมันจะมากน้อยแค่ไหน เราแค่ทำมันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความสัตย์จริงและความซื่อตรงเสมอมา”

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save