“ความหวาดกลัวเทคโนโลยี แท้จริงแล้วคือความหวาดกลัวต่อระบบทุนนิยม”
นี่คือวาทะของเท็ด เจียง (Ted Chiang) นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ขณะที่เขาให้สัมภาษณ์เรื่องปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) ชวนให้ผมตั้งคำถามต่อวิธีการตั้งรับเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่ในปัจจุบัน เพราะทุกคนต่างพุ่งตรงไปที่คำตอบเดียวกันคือการหาทางเพิ่มพูนทักษะเพื่อไม่ให้ตัวเอง ‘ล้าสมัย’ หรือถูกแทนที่ด้วยเจ้าเอไอที่เก่งฉกาจและฉลาดขึ้นทุกวัน
แต่นั่นคือคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวหรือเปล่า ผมคิดว่ายังไม่ใช่
หากพลิกหน้าประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าความกังวลเรื่องเอไออาจไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพราะนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา มนุษยชาติก็พบเจอกับรูปแบบเดิมๆ ของการนำเทคโนโลยีใหม่ตั้งแต่เครื่องจักรไอน้ำไปจนถึงคอมพิวเตอร์มาใช้ทดแทนแรงงานภายในระบบเศรษฐกิจที่มีแรงจูงใจหลักคือผลกำไร แนวโน้มหนึ่งที่น่าสนใจคือแม้การแทนที่ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มผลิตภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมขึ้นก็จริง แต่นานวันความมั่งคั่งก็ยิ่งกระจุกตัว ส่วนค่าตอบแทนของแรงงานกลับเติบโตในอัตราต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
แนวทางการพัฒนาเอไอล่าสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอไอก็น่ากังวลไม่น้อย เพราะพวกเขาขายฝันว่าจะสร้างเอไอเสมือนหนึ่งเป็นพนักงาน (agent) ที่เราสามารถสั่งงานทิ้งไว้แล้วปล่อยให้มันจัดการแบบ 24 ชั่วโมง 7 วัน แถมยังไม่ต้องมีสวัสดิการ วันลาหยุด ลาป่วย หรือการเรียกร้องใดๆ ให้ต้องปวดหัว สานฝันนายจ้างที่ต้องการเก็บรวบรวมความร่ำรวยไว้แล้วแบ่งให้คู่ค้าเพียงหนึ่งเดียวคือบริษัทเอไอ
เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของหน้าประวัติศาสตร์ หากเดินหน้าไปตามแนวทางในปัจจุบัน ปลายทางอาจเป็นโลกดิสโทเปียตามจินตนาการของคาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) และเหล่านักคิดฝ่ายสังคมนิยม หรือหากเราไหวตัวทันแล้วหาทางตีกรอบการพัฒนาเอไอให้เป็น ‘ส่วนเสริม’ เพิ่มศักยภาพโดยไม่ได้มาทดแทนมนุษย์ ฝันร้ายดังกล่าวก็อาจไม่มีทางเป็นจริง
ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ระบบทุนนิยม
คาร์ล มาร์กซ มองเทคโนโลยีอย่างเป็นกลางในฐานะเครื่องมือสร้างความก้าวหน้าซึ่งเขาเรียกว่า “ทุนคงที่” (fixed capital) แต่ภายใต้ระบบทุนนิยม การนำเทคโนโลยีมาใช้งานจะเป็นไปเพื่อตอบสนองชนชั้นนายทุนเท่านั้น โดยมีเป้าหมายหลักคือเพิ่มผลกำไร ด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน พร้อมทั้งดึงอำนาจออกจากมือของแรงงาน หรือใช้ในการกำกับพฤติกรรมของแรงงานอีกด้วย
การใช้เทคโนโลยีจึงไม่ต่างจากการถ่ายโอนอำนาจจากแรงงานสู่เทคโนโลยี และจากเทคโนโลยีสู่มือนายทุนนั่นเอง
มุมมองของมาร์กซอาจเข้าข่ายมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อย เขามองว่าเครื่องจักรนั้นไม่ได้เป็นเพียงวิธีการผลิต แต่เป็นอาวุธของการต่อรู้ระหว่างชนชั้น โดยนับเป็น “เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการกดทับการต่อสู้เรียกร้องของชนชั้นแรงงานต่อระบบทุนเผด็จการ” เทคโนโลยียังทำให้แรงงานเป็นเพียง ‘ส่วนเกิน’ คนตกงานจำนวนมากขึ้นจะทำให้ค่าแรงลดต่ำลง และแม้หลายคนจะฝันว่าระบบอัตโนมัติจะทำให้คนเรามีเวลาว่างมากยิ่งขึ้นสำหรับศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือการพัฒนาตนเอง แต่หากอยู่ในระบบทุนนิยม มาร์กซมองว่าเวลาว่างที่เพิ่มขึ้นของแรงงานจะถูกแปลงสภาพเป็นกำไรของนายทุนต่างหาก
แต่เราคงพอทราบกันดีว่าเทคโนโลยีไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะบิดาแห่งทุนนิยมอย่าง อดัม สมิธ (Adam Smith) และเหล่านักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกต่างก็เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีนั้นดีกว่าในระยะยาว หากเครื่องจักรใหม่ช่วยประหยัดแรงงาน แรงงานเหล่านั้นก็จะถูกถ่ายโอนไปทำงานผลิตเครื่องจักรเหล่านั้นแทน อีกทั้งผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ลดลงยังมีส่วนช่วยเพิ่มความต้องการซื้อสินค้าและบริการเนื่องจากราคาที่ถูกลงอีกด้วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นการเพิ่มความต้องการแรงงานนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ผู้เสนอแนวคิดข้างต้นกลับเปลี่ยนใจในภายหลัง เขาคนนั้นคือ เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) ซึ่งโต้แย้งความเชื่อของตัวเองในอดีตที่ว่าเครื่องจักรจะเป็นประโยชน์ต่อทุกชนชั้นในสังคม ริคาร์โดอธิบายว่าถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่ปัญหาที่เหล่าชนชั้นแรงงานต้องเผชิญในระยะสั้นอาจเข้าขั้นหายนะ แรงงานซึ่งถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรคือกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำที่ไม่มีทุนรอนมากเพียงพอสำหรับรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยการว่างงานเพียงไม่กี่สัปดาห์อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
เอาล่ะครับ ผมขอแตะมุมมองในหน้าประวัติศาสตร์พอหอมปากหอมคอ เชื่อว่าผู้อ่านคงจะเห็นประเด็นสำคัญที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับช่วงเปลี่ยนผ่านสู่คลื่นเทคโนโลยียุคใหม่อย่างเอไอซึ่งประกอบด้วยสองโจทย์สำคัญคือ (1) การเพิ่มอำนาจต่อรองของเหล่าแรงงานและการแบ่งกำไรส่วนเกินของนายทุน และ (2) การรับมือและเยียวยาผลกระทบต่อเหล่าแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
ชัยชนะของแรงงาน และกฎหมายกุมบังเหียนเอไอ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2566 ช่วงเวลาที่เอไอยังไม่ได้ก้าวหน้าเทียบเท่ากับปัจจุบัน เหล่านักแสดงและคนเบื้องหลังวงการฮอลลีวูดในสหรัฐฯ นัดหยุดงานครั้งแรกในรอบหลายสิบปีเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขสัญญาให้มีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น รวมถึงสร้างความมั่นใจว่าเหล่าสตูดิโอจะไม่นำเอไอมาใช้เอาเปรียบพวกเขา
กลุ่มหลักที่หยุดงานประท้วงประกอบด้วย สมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ (Screen Actors Guild) สมาพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุอเมริกัน (SAG-AFTRA) และสมาคมนักเขียนบทแห่งอเมริกา (Writers Guild of America) แม้รายละเอียดที่เรียกร้องของเหล่าดารานักแสดงและเหล่านักเขียนบทนั้นจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ทั้งสองฝ่ายจับมือประท้วงหยุดงานเพราะเห็นภัยคุกคามเดียวกันนั่นคือเอไอ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้าน แต่ต้องการเป็นคน ‘กุมบังเหียน’ การใช้เอไอของสตูดิโอไม่ให้ล้ำเส้นจนเกินไป
ในฝั่งของดารานักแสดง เอไออาจเข้ามาช่วงชิงสิ่งสำคัญที่สุดไปนั่นคือเสียง การแสดง และรูปร่างหน้าตาของพวกเขา หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรก็มีความเป็นไปได้ที่สตูดิโอจะสร้าง ‘ตัวตนเลียนแบบดิจิทัล’ (digital replicas) ของพวกเขาขึ้นมาแล้วนำมาใช้งานได้อย่างไร้ขอบเขตโดยที่พวกเขาไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ
หลังจากการหยุดงานประท้วง 118 วันพวกเขาก็ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยสมาพันธ์ผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์ (Alliance of Motion Picture and Television Producers) ยอมรับเงื่อนไขว่าหากต้องการใช้ตัวตนเลียนแบบดิจิทัลของนักแสดง ผู้กำกับต้องได้รับคำยินยอมจากนักแสดงเสียก่อนโดยจะต้องจ่ายค่าตอบแทนตามที่ตกลงกัน ส่วนกรณีที่สตูดิโอจะใช้ ‘นักแสดงสังเคราะห์’ (synthetic performers) ซึ่งเป็นตัวตนที่สร้างขึ้นด้วยระบบดิจิทัลทั้งหมดเพื่อทดแทนนักแสดงที่เป็นคนจริงๆ ก็ต้องแจ้งและต่อรองเงื่อนไขกับสหภาพก่อนจะดำเนินการ
ส่วนในฝั่งของเหล่านักเขียนบท เขาเรียกร้องให้แยกผลงานที่เขียนขึ้นโดยเอไอและเขียนขึ้นโดยมนุษย์อย่างชัดเจน โดยผลงานของเอไอจะไม่ถูกนับเป็นต้นฉบับซึ่งอาจกระทบต่อค่าตอบแทนของนักเขียนบท อีกทั้งสตูดิโอยังห้ามนำบทภาพยนตร์ที่มีอยู่เดิมไปใช้เพื่อฝึกฝนเอไอโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมอีกด้วย พวกเขาคว้าชัยชนะหลังจากการหยุดงานประท้วง 148 วัน โดยสมาพันธ์ผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันว่าเครดิตของผลงานทั้งหมดจะเป็นของผู้เขียนบทผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าในกระบวนการจะใช้เอไอด้วยหรือไม่ก็ตาม
นอกจากเหล่าแรงงานในฮอลลีวูดแล้ว สหภาพหลายแห่งก็ตื่นตัวกับการมาถึงของเอไอ ไม่ว่าจะเป็น สมาคมพนักงานประกอบอาหารแห่งลาสเวกัส (Las Vegas Culinary Workers) กลุ่มพนักงานโทรคมนาคมแห่งสหรัฐอเมริกา (Communications Workers of America) หรือสมาคมคนงานขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ (The International Longshoremen’s Association) โดยข้อเรียกร้องหลักๆ คือการที่บริษัทต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าหากจะนำเอไอมาใช้งาน การชดเชยกรณีที่เอไอกระทบต่อรายได้หรือตำแหน่งงานของพนักงานเดิม การนำข้อมูลของเหล่าพนักงานไปฝึกฝนเอไอ และสุดท้ายคือการไม่ปล่อยให้เอไอกุมบังเหียนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์โดยต้องมีมนุษย์อยู่ในกระบวนการเสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญอย่างการจ้างงานหรือการไล่พนักงานออก
ในสหภาพยุโรป ประเด็นผลกระทบต่อเหล่าพนักงานจากเอไอก็นับเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเช่นกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้กฎหมายปัญญาประดิษฐ์ของสภาพยุโรป (EU AI Act) ที่แม้ไม่ได้ป้องกันการนำเอไอมาทำงานแทนมนุษย์แบบตรงๆ แต่ก็กำหนดกรอบที่ช่วยคุ้มครองพนักงานไว้อย่างเข้มข้น โดยเหล่านายจ้างต้องทำงานร่วมกับฝ่ายพนักงานก่อนที่จะนำเอไอมาใช้งานจริง หรือในบางประเทศอาจต้องมีการบรรลุข้อตกลงร่วมกันเสียก่อน กฎหมายฉบับดังกล่าวยังมอบสิทธิแก่พนักงานในการได้รับข้อมูลหากมีการใช้เอไอในการตัดสินใจเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อพวกเขา พร้อมทั้งมีสิทธิร้องขอคำอธิบายว่าเอไอมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนั้นอย่างไร และสามารถขอให้ทบทวนการตัดสินใจดังกล่าวอีกด้วย
ดังนั้นเอไออาจไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหากเหล่าแรงงานตื่นตัวและรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิที่พึงมี ในขณะที่ภาครัฐก็ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อคุ้มครองสิทธิของเหล่าแรงงานไม่ให้ถูกลิดรอนโดยกลไกตลาดซึ่งเอื้อต่อการใช้สินค้าทุนอย่างเอไอมากกว่าการจ้างงาน
โจทย์สำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านคือเราจะสร้างความสบายใจและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่าพวกเขาจะไม่ถูกเอไอมาทดแทน หรือหากถูกทดแทนก็ได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสมและยังมีทางไปต่อได้ แน่นอนครับว่าการพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะก็มีส่วนสำคัญ แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือภาระความรับผิดชอบของนายจ้างในเรื่องความโปร่งใสและการชดเชยให้อย่างเหมาะสม รวมถึงบทบาทของภาครัฐในการเข้ามากำกับเพื่อไม่ให้ฝ่ายลูกจ้างถูกเอารัดเอาเปรียบเพราะไม่มีอำนาจต่อรอง
เอกสารประกอบการเขียน
Technological Unemployment. A Brief History of An Idea
Navigating Labor’s Response to AI
WHAT DOES THE EU AI ACT MEAN FOR EMPLOYERS?
Artificial Intelligence for Workers, Not Just for Profit: Ensuring Quality Jobs in the Digital Age