ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้ำหนักที่ถือกอดไว้ในเย็นย่ำวันพฤหัสบดีแสนธรรมดานั้นมันเท่าไหร่ แต่มันยังเป็นน้ำหนักที่ติดค้างอยู่ในความรู้สึกจนถึงนาทีนี้
น้ำหนักของก้อนชีวิตที่ทั้งเบาหวิวและหนักอึ้งในโมงยามเดียวกัน แนบชิดเป็นเนื้อเดียวกันกับความตายและความไร้เดียงสา
1.
เย็นย่ำแล้ว ชั่วระยะยี่สิบนาทีจากที่ทำงานไปถึงรถไฟฟ้าเหมือนถูกถ่างขยายด้วยความร้อนชื้นของฤดูฝน เหงื่อกลั่นตัวเป็นเม็ด หยดจากหน้าผากถึงคาง จากบ่าถึงแผ่นหลัง ก้มหน้าเดินอยู่บนพื้นที่เล็กแคบขนาดครึ่งเมตร จะเรียกว่าเป็นทางเท้าก็กระดากปาก ค่าที่ว่ามันไม่เอื้อให้ได้เดินด้วยเท้าเท่าไหร่ -จะด้วยเสาไฟหรือป้ายโฆษณาคั่นกลางก็ตามที- ว่าไปแล้วมันก็เป็นแค่ที่ว่างเล็กๆ ระหว่างรั้วบ้านคนกับถนนในตรอกเท่านั้น โอกาสที่ต้องหยุดเดินและแนบตัวชิดเป็นหนึ่งเดียวกับรั้วเพื่อหลบรถมีมากยิ่งกว่ามาก
ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างคนไม่มีทางเลือก ปลอบประโลมใจด้วยเพลงจากวงดนตรีสักวงในหูฟัง -ถึงได้เห็น ตัดกับสีเทาเย็นชาของคอนกรีตจากข้างทางคือแดงก่ำของเลือด และร่างสีดำก้อนเท่ากำปั้นผู้ชายตัวโตๆ นอนทิ้งตัวอยู่
เสาไฟฟ้าบังส่วนหัวนั้นมิด ที่เห็นก็มีแค่หน้าท้องกระเพื่อมขึ้นลง เป็นสัญญาณเดียวที่บอกว่ามันยังมีชีวิต
สมองบอดใบ้โง่เง่า รับมือกับสถานการณ์ไม่ถูก ให้เดินข้ามผ่านไปเลยคงไม่ใช่แน่ แต่ให้ทำอะไรต่อก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ได้แต่ยืนจ้องเขม็งใส่ก้อนสีดำขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์ กับสัญญาณชีพเดียวที่หน้าท้อง -หัวใจยังเต้น ปอดยังทำงาน และแปลว่ามันยังไม่ตาย
กระวนกระวายโทรศัพท์หามิตรสหายที่ออฟฟิศ ปลายสายเงียบไปแล้วบอกให้รอ กำลังขับรถออกไปหา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในความหมายว่า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าต้องทำอะไรต่อ
ห้านาที คงไม่เกินนั้น เป็นห้านาทีที่ยืนรอเพื่อนอยู่ริมถนน ข้างร่างของลูกแมวที่ขยับเนื้อตัวเองไม่ได้ ความเป็นไปได้มากมายพุ่งปะทะกันโกลาหลในหัว นับตั้งแต่เรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลรักษา ค่ากินอยู่หลังจากนั้น ควรเอามันไปดูแลที่ไหนต่อ หรือถ้ารับมาเลี้ยงเองแล้วจะดูแลมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน
คิดกระทั่งว่า ถ้ามันพิการ ต้องได้รับการประคบประหงมดูแลใกล้ชิด ยังมีหัวจิตหัวใจแบกรับมันไปอีกอย่างน้อยก็ทศวรรษหนึ่งไหม
พยักหน้าบอกตัวเองเงียบเชียบว่ามี ถ้ามันต้องทำก็ต้องทำ เรื่องมันแค่นั้น
ในอีกทาง ก็อาจจะพูดได้ว่า ทุกความเป็นไปได้ที่ปรากฏในหัว ไม่มีภาพที่มันจะตายเลย
2.
ช่างภาพหนุ่มขับรถมอเตอร์ไซค์ดิ่งตรงมาตามทาง ที่ซ้อนหลังคือเลขาออฟฟิศ ในมือมีถุงกระดาษใส่อาหารที่ใครสักคนเพิ่งสั่งมากินเป็นมื้อเที่ยง เธอก้มมองลูกแมวตัวนั้น แล้วเงยหน้ามาสบตากัน ชั่วระยะของความเงียบ แววตานั้นมีร่องรอยของการยอมรับและปลอบประโลมในที
“หนักมากเลย” เธอบอก
“ก็ต้องลองดู” ได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไป หยิบผ้าขนหนูผืนบางจากถุงกระดาษห่อรอบตัวลูกแมวแล้วอุ้มขึ้น มันสำลัก -หรืออาจเป็นกิริยาอะไรสักอย่างที่ใกล้เคียงกับคำนั้น- ทิ้งตัวอ่อนปวกเปียกในมือ ตัวมันไม่หนักเลย เบายิ่งกว่าหลายต่อหลายอย่างที่เคยถือ เคยกอดไว้ในมือนี้เสียอีก
ประคองร่างนั้นใส่ถุงกระดาษ กระโดดขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ช่างภาพขณะที่อีกคนชี้ทิศทางไปยังคลินิกรักษาสัตว์ที่อยู่ห่างไปไม่กี่ซอย
ก้มหน้ามองมันในถุงกระดาษ มันมองกลับมา หรืออาจแค่มองค้างเป็นสิ่งสุดท้ายอยู่ก่อนแล้ว
คลินิกห่างไปไม่กี่ซอย ยื่นถุงกระดาษให้เจ้าหน้าที่โดยไม่ได้อธิบายเงื่อนไขมากมายนัก นอกจากเรื่องว่าเจอมันที่ไหนและอย่างไร
สัตวแพทย์หยิบเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นมา เงี่ยหูฟังบางอย่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกอย่างสุภาพและอ่อนโยนที่สุดว่า “เขาไปแล้วนะครับ”
คำนั้นพัดผ่านตัวเหมือนไร้ความหมาย ทำความเข้าใจไม่ได้ หันไปสบตาช่างภาพหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นสารถี เห็นแววตางุนงงปานกันสะท้อนกลับมา ทั้งอาจจะรับมือไม่ถูก และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ ได้แต่ยืนนิ่งมองก้อนสีดำนอนอยู่บนเตียง เก้งก้างเหมือนคนโง่เซ่อทำอะไรไม่เป็น
จะเร็วหรือช้าไม่แน่ใจ แต่ถึงที่สุดก็รบกวนให้ทางคลินิกจัดการหาที่ฝังลูกแมวตัวนั้น แล้วจากมา
“ไม่เคยคิดว่ามันจะตายเลยว่ะ” บอกช่างภาพไปเช่นนั้น
เขาไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้ารับฟังเงียบเชียบอย่างเคย
3.
ว่าไปแล้ว เย็นวันนั้นก็เหมือนเย็นวันอื่นๆ เวลาไหลเคลื่อนไปตามปกติของมัน แค่มีบางอย่างติดค้างอยู่ในความรู้สึก ถอดรหัสยากว่าเป็นน้ำเสียงแบบไหน เสียใจน่ะใช่แน่ แต่มันมีบางอย่างที่แหลมคมยิ่งกว่า -อาจจะเป็นความเจ็บใจ เจ็บใจความไร้เดียงสาของตัวเอง ของความตาใสที่เห็นทุกความเป็นไปได้ของการมีลูกแมวตัวนั้นไว้ในชีวิต -แต่ไม่มีสักภาพที่มันจะตาย ไม่มีเลย
ความตายของมันทำงานช้าเชือน มันไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นชัด ทิ้งแค่มวลบางอย่างไว้ในใจ
ส่งข้อความไปบอกมิตรสหาย เขาเลี้ยงหมาหลายตัว และเมื่อไม่กี่ปีก่อน หมาเฒ่าที่อยู่กับเขามาเกือบสองทศวรรษเพิ่งจากไป เขายืดอกน้อมรับมันเมื่ออีกฝ่ายออกเดินทางไกล ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายเพราะดูแลกันและกันมาอย่างดีที่สุดแล้ว
เช่นกัน กับเรื่องลูกแมว เขาส่งข้อความกลับมาบอกสั้นๆ ว่า “ทำดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องให้รู้สึกติดค้างนะ”
ใช่ ไม่มีอะไรให้ติดค้าง ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว อย่างเร็วและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ บ่อยครั้งก็นึกถึงความเป็นไปได้มากมาย ที่หากว่าถ้ามันรอด ก็คงจะดีกว่านี้
What if…?
อันที่จริง คำถามแบบ ‘What if’ หรือ ‘ถ้าหากว่า’ มันก็แหลมคมโดยตัวของมันเอง ในเหลี่ยมมุมหนึ่ง มันอาจชวนเราจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ถ้าเปลี่ยนงาน, ถ้าเปลี่ยนที่อยู่, ถ้า… ฯลฯ มันพาเราไปเผชิญฉากทัศน์ใหม่ๆ มากมายที่หากไม่ตั้งคำถาม ก็อาจไม่ทันคิด
และนั่นแหละ ในอีกเหลี่ยมมุมหนึ่ง มันก็พาเราหวนกลับไปสู่ฉากทัศน์ที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว อย่างเช่นความคิดที่ว่า ถ้าออกจากออฟฟิศให้เร็วกว่านี้ เพื่อจะได้เจอลูกแมวตัวนั้นให้เร็วขึ้น ถ้ามันไปถึงมือหมอทันเวลา ถ้ามันไม่ข้ามถนนในจังหวะที่รถกำลังแล่น ถ้า… ฯลฯ
ความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่มีคำตอบเลย เพราะก็อย่างที่เห็นว่ามันตายไปแล้ว และก็อีกเหมือนกัน -หากจะยึดคำเพื่อนเพื่อปลอบประโลมหัวใจ- ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ไม่มีอะไรให้ติดค้างแล้ว
แต่ถ้าไปเจอมันเร็วกว่านั้นล่ะ
ถ้าไปถึงคลีนิกเร็วกว่านั้น
ถ้ามันไม่ข้ามถนน
ถ้า…
4.
ก็ไม่ใช่ความตายแรกที่เคยพบเจอหรอก อยู่มาร่วมสามทศวรรษ ความตายทั้งของสัตว์และทั้งของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ผ่านตามาหมดแล้ว
อาจเพราะเหตุนี้ ก็เลยเจ็บใจที่ยังอุตส่าห์ไร้เดียงสา มองความเป็นไปได้มากมายว่าตัวเองจะกอบกู้ชีวิตนั้นขึ้นมาได้ เพื่อจะพบว่าความตายสาวหมัดตรงใส่หน้า ตรงไปตรงมา แม่นยำ ประกาศชัดว่าชีวิตช่างเป็นเรื่องเล็กจ้อยและเปราะบาง และอาจโดยไม่ได้เจตนา ความตายทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้ในหัวใจ
“แม่งเพิ่งเจอกันแค่ห้านาที กอดไว้แค่ไม่กี่นาที ทิ้งอะไรให้รู้สึกเยอะแยะไปหมด” เปรยกับมิตรสหายไว้เช่นนั้น
“จบแล้วจบเลย” เขาว่า “ความตายแม่งก็ยังงี้”
“เสือกตั้งชื่อให้ไปแล้วด้วย” เปิดเปลือยความไร้เดียงสาของตัวเอง “อยากเรียกมันว่า โคบี”
“ตั้งตาม โคบี ไบรอันต์ น่ะเหรอ”
“เออ”
เราแลกเปลี่ยนเรื่องความตายต่อกัน ตั้งแต่ความตายของสัตว์เลี้ยงไปจนถึงความตายของคนในบ้าน ไปจนถึงว่า อะไรทำให้เราอ่อนไหวกับความตายนักหนา ใช่ไหมว่าเพราะมัน ‘จบแล้วจบเลย’ อย่างที่เขาว่าไว้ ปราศจากโอกาสให้แก้ตัว ปรับความเข้าใจ หรือแม้กระทั่งแลกเปลี่ยนความรู้สึกใดต่อกันได้อีก ความตายจึงเป็นเรื่องใหญ่มาโดยตลอด
ความตายถูกนิยามโดยความเชื่อ โดยศาสนา หรือว่าไปแล้วในทางกลับกัน เป็นไปได้ไหมว่าการรับมือต่อความตายของมนุษย์นี่เองที่สร้างศาสนาขึ้นมาเพื่อรับมือกับความไม่เข้าใจบางอย่าง และยิ่งกับโลกสมัยใหม่ มันยังถูกมอบความหมายเพิ่มเติมในแง่ของโอกาส ของการได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ของการเกิดมาครั้งเดียว ฯลฯ
หรือจะว่าไป พวกเราก็ผ่านยุคสมัยของการเชื่อว่า ชีวิตก็คือชีวิต ตั้งใจทำงาน กลับบ้านพักผ่อน มายังยุคสมัยแห่งแรงบันดาลใจและสายลมแสงแดด พร่ำบอกกันว่าเกิดมาครั้งเดียว YOLO! ออกไปผจญภัย ไปใช้ชีวิตให้สุดทาง เสี่ยงความมั่นคงกับการสร้างความทรงจำระหว่างการเดินทาง มาจนถึงยุคที่คนเห็นความตายเป็นปลายทางอันเบาสบายของชีวิต อยากให้มาถึงเร็วไหมไม่รู้ แต่การมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องหนาหนักในสมการเศรษฐกิจและสังคมหลายๆ แห่งทุกวันนี้
“แต่เกิดเป็นแมวแม่งก็ดีนะ” เขาว่า “อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาอยู่ใต้นิยามความคุ้มค่าพวกนี้ ใช้ชีวิตไปวันต่อวัน ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ”
“จริง” เห็นด้วยกับเขา “เกิดเป็นคนแม่งยากชิบหาย จะอยู่จะตายยังเสือกมีนิยามให้ใช้ชีวิตเยอะแยะ -แต่ที่พูดนี่ก็ยังอยากให้มันรอดนะ”
เขามองหน้ากลับมา พยักหน้ารับรู้ “เข้าใจ”
5.
เจ็ดวันหลังจากนั้น คลินิกส่งข้อความมาหา ยืนยันว่าฝังเจ้าแมวเด็กแล้ว
รูปที่แนบมากับข้อความนั้น คือร่างก้อนสีดำขนาดเท่ากำปั้นผู้ชายตัวโตๆ นอนนิ่งอยู่บนผ้าขนหนู ผืนที่ใช้อุ้มมันไปหาหมอ ที่วางบนตัวคือพวงมาลัย
“ดีว่ะ มีดอกไม้ให้ด้วย”
“เขาเรียกพวงมาลัย”
พยักหน้ารับรู้ “นะ อย่างน้อยก็นอนอุ่น”
วันนั้นเคลื่อนผ่านปกติ ที่ไม่ปกติคือความรู้สึกหวั่นไหวบางอย่าง และการต่อต้านจะหยิบรูปนั้นกลับขึ้นมาดูอีกหน -ทั้งหมดนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งตอนที่อยู่เงียบๆ คนเดียว แหลมคมบางอย่างก็ทิ่มแทงขึ้นมาในหัวใจ คายออกมาในรูปแบบน้ำตาเงียบเชียบ กับความเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ และความหนักอึ้งของความตายในอ้อมกอดนั้น