[ความน่าจะอ่าน] Elena Knows: ไขปริศนาความตายในร่างกายไร้บงการ

นิยายขนาดสั้นเรื่องนี้ ไม่มีตัวละครเอกเป็นชายหนุ่มรูปงามน่าดึงดูด ไม่ใช่หญิงสาวงามสะพรั่งผู้มีกลิ่นหอมรัญจวนใจ ไม่ใช่คนเก่งกาจที่ผจญภยันตรายเพื่อก้าวข้ามไปสู่โลกที่ดีกว่า แต่เป็นหญิงชราผู้เป็นโรคพาร์กินสัน มีกลิ่นฉี่โชยออกมาจากตัว น้ำลายไหลแทบจะตลอดเวลา และไม่มีความสามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาใคร เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ห่างไกลจากคำว่าเร้าใจ ถ้าจะมีคำไหนที่ใกล้เคียง คำนั้นคงเป็นคำว่าร้าวใจ

Elena Knows เป็นเรื่องของเอเลน่า หญิงชาวอาร์เจนตินาวัย 65 ปี ผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสันระดับรุนแรง ที่ออกเดินทางไปบัวโนสไอเรสเพื่อ ‘เดิมพันครั้งสุดท้าย’ พยายามค้นหาว่าใครฆ่าลูกสาวของเธอ เป้าหมายคือไปพบกับคนเพียงคนเดียวในโลกที่เธอคิดว่าจะโน้มน้าวให้ช่วยเหลือได้ เพราะหนี้บุญคุณเก่าแก่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ริต้า ลูกสาววัย 44 ปีของเอเลน่าถูกพบเป็นศพในวันฝนตก เธอแขวนคออยู่กับคานบนหอระฆังของโบสถ์ประจำชุมชน ทุกคนล้วนบอกว่าริต้าเสียชีวิตเพราะการฆ่าตัวตาย ทั้งบาทหลวงและตำรวจไม่มีใครคิดจะสืบคดีนี้อย่างจริงจัง มีเพียงเอเลน่าที่เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่านี่เป็นการฆาตกรรม เพราะลูกของเธอกลัวฝนและฟ้าผ่า ริต้าจะไม่มีวันเฉียดใกล้หอระฆังที่เป็นสายล่อฟ้าในวันฝนตก – เอเลน่ายืนกราน

เอเลน่ากับริต้าอยู่ด้วยกันสองแม่ลูก ริต้าเป็นผู้ดูแลแม่เต็มเวลา แม่ผู้สอดแขนเข้าไปในเสื้อโค้ตเองไม่ได้และมีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากตัวตลอดเวลา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ราบรื่น เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการโต้เถียงกันในชีวิตประจำวัน แต่ริต้าก็ยังอยู่กับแม่ไม่ไปไหน จนกระทั่งวันที่เธอถูกพบเป็นศพบนหอระฆัง ลูกสาวของแม่ก็จากไปตลอดกาล

เรื่องเล่าตัดสลับระหว่างช่วงเวลาการเดินทางไปเมืองบัวโนสไอเรสอันแสนยากลำบากของเอเลน่า กับเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่ริต้าจะเสียชีวิต หนังสือแบ่งเป็นสามบท – เช้า เที่ยง บ่าย – ตามเวลาการกินยาของเอเลน่า เนื้อหาพาเราหลุดเข้าไปในห้วงความคิดของหญิงชรา ก่อนจะค่อยๆ คลี่ปมของตัวละครและปริศนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แล้วทำให้เราตะลึงพรึงเพริดไปกับบทสรุปในช่วงการกินยาเม็ดสุดท้าย

เอเลน่าเดินทางด้วยรถไฟ เดินเท้า และนั่งแท็กซี่ การเดินทางด้วยวิธีแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับคนที่มีร่างกายปกติ แต่สำหรับคนที่แค่ยกเท้าก้าวไปข้างหน้าก็ถือเป็นความยากลำบากเหมือนปีนเขา การเดินทางไกลเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องสาหัสของชีวิต เอเลน่าเคลื่อนที่เชื่องช้า ถูกคนบนรถไฟเบียดแทรก แม้พยายามขยับตัวแล้วแต่ในความเป็นจริงเธอไม่ได้ขยับไปไหนเลย และเธอยังต้องทำเวลาเพื่อให้อยู่ในที่ที่เธอสามารถกินยาเม็ดต่อไปได้ เพื่อให้ขาของเธอมีแรงเดินต่อจนถึงจุดหมาย (เธอเงยหน้าเพื่อกลืนยาไม่ได้ ต้องเอียงตัวเพื่อให้ยาไหลลงคอ)

ในช่วงของการเดินทางอันน่าอึดอัดนี้ หนังสือเล่าเสียงในหัวของเอเลน่าออกมากระจ่างชัด ด่า ‘อีโรคบ้า’ ด้วยความเกลียดชังและตั้งคำถามกับตัวตนของเธอ ในบางช่วงบางตอนผู้เขียนบรรยายจนทำให้เราอยากเดินเข้าไปช่วยพยุงเอเลน่าด้วยตัวเอง แต่เราทำอะไรไม่ได้นอกจากไล่สายตาอ่านให้เรื่องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเท่านั้น – ในฐานะคนอ่าน เราควบคุมเรื่องไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เอเลน่าหมดความสามารถในการควบคุมตัวเอง แต่เธอก็ยังพยายามต่อสู้กับโลกภายนอกที่เธอควบคุมไม่ได้

ประเด็นเรื่องการควบคุมร่างกายปรากฏเด่นชัดตลอดเรื่อง หนังสือชวนเราตั้งคำถามเรื่องการมีตัวตนและการเป็นเจ้าของร่างกายไว้อย่างละเอียดลออ เช่นในบางช่วงบางตอนที่ผู้เขียนเล่าผ่านความคิดของเอเลน่าเอาไว้ว่า

คุณจะทำอะไรได้ถ้าร่างกายคุณไม่ตอบสนอง เอเลน่าคิด มีอะไรเหลืออยู่บ้างเมื่อแขนของคุณไม่สามารถสอดเสื้อแจ็กเก็ต ขาของคุณไม่สามารถก้าว คอของคุณไม่สามารถยืดตรงพอที่จะให้คุณเงยหน้าขึ้นเพื่อแสดงใบหน้าให้โลกเห็น ยังมีอะไรเหลืออยู่ คุณคือสมองของคุณหรือเปล่า ที่ยังคงสั่งคำสั่งออกไปทั้งที่ไม่มีใครทำตาม

ความสามารถในการ ‘คิด’ และ ‘สั่ง’ ดูจะไม่มีความหมายเลยหากกล้ามเนื้อไม่ยอมทำตาม ซึ่งนั่นนับเป็นความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสของมนุษย์ที่ไม่สามารถควบคุมและเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง ความอึดอัดจาก ‘อีโรคบ้า’ นี้อัดแน่นอยู่ในหัวของเอเลน่า แต่ในอีกแง่หนึ่ง แม้เราจะไม่ได้เป็นพาร์กินสัน แต่เราเองก็อาจไม่สามารถเป็นเจ้าของร่างกายตัวเองได้เหมือนกันใน ‘โลกบ้า’ สักใบหนึ่ง โลกที่คอยควบคุมร่างกายของคนอื่น โดยเฉพาะร่างกายของผู้หญิง – ความคับข้องใจแบบเอเลน่าอาจเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว และยังดำเนินอยู่

แม้ภายนอกเอเลน่าจะดูเป็นหญิงชราที่อ่อนแอ แต่ภายในหัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยความทระนง ก่อนจะออกเดินทางเพื่อเดิมพันครั้งนี้ เธอใช้เวลาสู้เพื่อความจริงในการตายของลูกสาวอยู่กว่าสามเดือน ไปหาหลวงพ่อฮวน บาทหลวงประจำโบสถ์ และพูดคุยกับตำรวจทุกสัปดาห์เพื่อถามหาความคืบหน้าในการสืบคดี

ในการโต้เถียงครั้งหนึ่งระหว่างเอเลน่ากับบาทหลวงฮวน มีประโยคที่สะท้อนการวิพากษ์ศาสนาและการเป็นเจ้าของร่างกายไว้อย่างแหลมคม เมื่อบาทหลวงฮวนพยายามให้เอเลน่ายอมรับการตายครั้งนี้ การถกเถียงยืดยาวจนถึงตอนที่บาทหลวงฮวนพูดว่า “ร่างกายเป็นของพระเจ้า มนุษย์มีสิทธิแค่ใช้มันเท่านั้น”

เอเลน่าตอบกลับไปว่า “ฉันไม่มีสิทธิ์ในการใช้ร่างกายตัวเองมาพักใหญ่แล้ว และไม่ใช่พระเจ้าที่เอามันไปจากฉัน แต่เป็นโรคบ้านี่ต่างหาก” บาทหลวงฮวนขอร้องให้เอเลน่าเลิกสบถ และแนะนำให้เธอสวดภาวนาให้พระเจ้าเมตตาริต้าในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย เอเลน่าตอบกลับฉับไวว่า “ฉันไม่สนใจการพิพากษาครั้งสุดท้ายหรอกคุณพ่อ ฉันสนใจการพิพากษาบนโลกนี้ต่างหาก”

การสร้างข้อถกเถียงเรื่องการพิพากษาหรือการตัดสินนั้นปรากฏอยู่ตลอดเรื่อง ในระหว่างที่เอเลน่าตามหาความจริงในชุมชน ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอบอก ดังในประโยคที่สะท้อนแก่นของประเด็นนี้ไว้ชัดว่า ‘ร่างกายของเอเลน่าที่ไม่เชื่อฟังถูกล้อมรอบด้วยคนที่ไม่ยอมรับฟัง เธอคิด พวกเขาหูหนวกยิ่งกว่าเท้าของเธอที่ไม่ยอมเดินเสียอีก

ตัวละครเอเลน่ามีความเชื่อมั่นคงที่ว่า หากขนาดเอเลน่าที่ต้องเจอกับกล้ามเนื้อคอที่ไม่เชื่อฟัง น้ำลายที่ไหลไม่ยอมหยุด และแขนที่สอดเข้าแขนเสื้อยังไม่ได้ ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอก็ไม่เชื่อว่าลูกของเธออยากตาย เธอยอมรับมันไม่ได้

การตัดสินและเชื่อเรื่องใดอย่างสุดจิตสุดใจเกิดขึ้นกับทุกตัวละครในเรื่อง ทุกคนต่างมีแว่นในการมองโลกและมีความเชื่อที่มั่นคงไม่ผันแปร ไม่เว้นแม้แต่เอเลน่า จนน่าชวนตั้งคำถามว่าเราเองก็ปักใจเชื่อด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปหรือเปล่า

ผู้เขียนขับเน้นประเด็นเรื่องแว่นตาในการมองโลกด้วยกลวิธีเล่า กล่าวคือในครึ่งแรกของเรื่อง เราเดินทางผ่านหัวของเอเลน่าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งมุมมองที่เธอมีต่อโลกและมีต่อลูก ก่อนที่ในครึ่งหลัง หนังสือจะพาเราไปรู้จักริต้ามากขึ้น ผ่านปากคำของคนอื่นและการฉายภาพไปที่ริต้าโดยตรง และนั่นทำให้เราเห็นภาพแจ่มแจ้งขึ้น มองเรื่องนี้ด้วยสายตาที่ต่างไป จนทำให้เราตั้งคำถามว่า หรือแท้จริงแล้วเป็นเอเลน่าเองนั่นแหละที่ ‘ไม่รู้’

ริต้าในฐานะลูกสาวที่ใช้เวลาหลายปีในการดูแลแม่ที่เจ็บป่วย เธอมีคนรักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน เธอยังไม่มีโอกาสเป็นแม่ (ไม่ว่าเธอจะอยากเป็นหรือไม่) หนังสือฉายภาพของเอเลน่าที่ริต้ามองเห็นอยู่ทุกวัน ภาพที่เราไม่ได้เห็นในตอนต้นเรื่อง รวมถึงภาระรับผิดชอบที่เธอต้องต่อสู้ทั้งกับแม่และโครงสร้างระบบราชการที่ไร้หัวใจ

ในประเด็นสืบเนื่องกันนี้ หนังสือพาเราเข้าไปสู่ข้อถกเถียงเรื่องการเป็นเจ้าของร่างกายของผู้หญิง มีฉากการตรวจภายในของริต้าเพื่อดูว่าเธอมีมดลูกหรือไม่ กล่าวถึงคลินิกทำแท้งเถื่อนที่คนในชุมชนรังเกียจแต่เป็นที่พึ่งให้หญิงสาวหลายคน ตั้งคำถามกับนิยามความเป็นแม่และลูกสาว – ถ้าลูกสาวตายไป เอเลน่าจะยังเป็นแม่อยู่ไหม – ไปจนถึงบทบาทของเมีย และการต่อสู้กับระบบราชการที่ริต้าต้องไปขอใบอนุญาตโดยให้ใครสักคนเซ็นรับรองว่าแม่เธอเป็นคนพิการ ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทนโท่

หนังสือตัดสลับเนื้อหาไม่เรียงลำดับเวลา แต่ก็ทำให้เราเห็นริต้าในวัยเด็ก วัยสาวสะพรั่ง และวัยกลางคน ซึ่งในห้วงเวลาที่เธอยังเป็นหญิงสาววัยราว 20 ปี เธอกระทำสิ่งหนึ่งร่วมกับแม่ซึ่งจะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญของเรื่อง เป็นแก่นแกนของเรื่องเล่าทั้งหมด อันจะปรากฏผลชัดใน 20 ปีต่อมาที่เอเลน่าเดินทางมาถึงบัวโนสไอเรสเพื่อพบคนคนหนึ่ง

Elena Knows ตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษาสเปนเมื่อปี 2007 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี 2021 เข้ารอบชอร์ตลิสต์ The International Booker Prize 2022 หนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการชวนสังคมตั้งคำถามถึงการเป็นเจ้าของร่างกายของผู้หญิง การวิพากษ์ศาสนา รวมถึงบทบาทที่ผู้หญิงในสังคมต้องเผชิญ ตัวผู้เขียนคือคลอเดีย ปิเญโร เป็นนักเขียนคนสำคัญในวงการวรรณกรรมร่วมสมัยของอาร์เจนตินา เธอเกิดที่บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินาในปี 1960 เธอมีชื่อเสียงจากนิยายอาชญากรรม แต่เธอเขียนงานหลากรูปแบบ งานวรรณกรรมของเธอทุกเรื่องมุ่งพูดถึงแก่นของปัญหาสังคม นอกจากการเป็นนักเขียน ปิเญโรยังมีบทบาทสำคัญในการทำแคมเปญสาธารณะต่างๆ รวมถึงการรณรงค์เพื่อให้การทำแท้งถูกกฎหมายในอาร์เจนตินาประสบความสำเร็จ และการเคลื่อนไหว #NiUnaMenos ต่อต้านการฆาตกรรมสตรี

ดร.ฟิโอนา แม็กอินทอช (Dr.Fiona Mackintosh) อาจารย์ด้านวรรณกรรมลาตินอเมริกา จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ เขียนในบทส่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ (ฉบับแปลไทย) ไว้อย่างแหลมคมว่า “แม้ชื่อนิยายจะเป็น Elena Knows (เอเลน่ารู้) แต่แท้จริงแล้ว ประเด็นสำคัญของนวนิยายที่ลึกซึ้งนี้คือสิ่งที่เอเลน่าไม่รู้ ปิเญโรได้วิพากษ์ความสัมพันธ์ที่ยากลำบากระหว่างแม่และลูกสาวคู่นี้ โดยใช้ความสัมพันธ์เพื่อตั้งคำถามว่าสตรีมีอำนาจควบคุมร่างกายของตนเองและร่างกายของคนอื่นได้มากน้อยเพียงใด เรื่องราวนี้ได้ติดตามการเดินทางของเอเลน่า จากความทะนงตนไปสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน และจากความเชื่อมั่นไปสู่ความสิ้นหวังของริต้า”

หนังสือเรื่อง Elena Knows จึงเปรียบเสมือนการพาเราเดินทางไปในคำถามเรื่องการเป็นเจ้าของร่างกาย ความพยายามในการตามหาความจริง และความหลงผิดของมนุษย์ที่ล้วนมีอคติเป็นของตน บั้นปลายและบทสรุปของเรื่องเป็นอย่างไร คงไม่อาจเขียนถึงได้ในบทความนี้ เมื่อการอ่านเป็นประสบการณ์ การสัมผัสประสบการณ์ของเอเลน่าผ่านหนังสือ Elena Knows เล่มบางนี้ด้วยตัวเอง น่าจะเป็นเรื่องเหมาะควรกว่า

ที่สุดแล้ว สิทธิในการคิด รู้สึก และกระทำ ย่อมเป็นของทุกคน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save