Narratives Battlefield – พลังของสื่อในยุค AI เมื่อบาดแผลความเจ็บปวดร่วม ถูกแปรเป็น ‘การตลาดชาตินิยม’ สร้างรายได้

…..คนสองประเทศเกลียดชังกัน สามารถฆ่ากันได้ทั้งที่ไม่รู้จักกัน สามารถทำร้ายกันได้ทุกรูปแบบโดยไม่เคยขัดแย้งกันทั้งส่วนตัวและการงาน

จรรยาบรรณวิชาชีพเริ่มเบาบาง เมื่อสังคมขีดเส้นให้หมอ สื่อ นักการเมือง และครูต้องเล่นบท ‘ชาตินิยมไปจนถึงคลั่งชาติ’ ไม่มากก็น้อย

สื่อหากินกับยอดวิว ปั่นเฟกนิวส์ ดราม่าใส่อารมณ์ด่าทอในนามของความรักชาติ

อินฟลูเอนเซอร์ด่าทอฝ่ายตรงข้าม ร้องไห้ฟูมฟาย สร้างคอนเทนต์ ความรู้กลไกต่างประเทศอาจจะไม่แน่น แต่ยอด engagement แน่นจนสร้างรายได้สูง

ไอโอปั่นโจมตีประเด็นทางการเมืองของฝั่งตรงข้ามด้วยกลยุทธ์ตัดทอนคำพูดให้สั้น จำง่าย ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับสงครามใดๆ

สุดท้าย …..คนที่ตาย….คือคนจน ชาวบ้านชายขอบ และทหารระดับล่าง

สภาพสังคมไทยตอนนี้ตกอยู่ในภาวะคล้ายกับหลายประเทศที่ภาวะสงครามคุกรุ่น ก่อนหน้านี้เป็นภาวะที่ ‘การสร้างเรื่องเล่า’ ดำเนินมาแบบสะสมเงียบๆ มาระยะหนึ่งแล้วระเบิดออกด้วยสภาวะที่หลายฝ่ายก็งุนงงว่า “รบกันด้วยเรื่องอะไรวะเนี่ย” จากนั้นทุกคนก็ตกอยู่ในสภาพเสมือนเข้าร่วมรบด้วย เพราะสงครามจริงได้เกิดขึ้นบน ‘หน้าจอการสื่อสาร’ อย่างสมบูรณ์แบบ ต่างฝ่ายต่างใช้ War of narratives หรือ ‘สงครามเรื่องเล่า’ บนฐานความคิดความเชื่อที่แบ่งแยกระหว่าง ‘เรากับเขา’ และความแตกต่างของเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ค่านิยม และทัศนะทางการเมือง

แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องมือปลูกฝัง ‘ชาตินิยมเข้มข้น’ ในหลายระดับตั้งแต่ระดับชาวบ้านรากหญ้า ไปจนถึงนักรบของชาติ ปัญญาชน นักธุรกิจ สื่อมวลชน และชนชั้นนำ โดยช่องทางการสู้รบมีทั้งในสนามจริงและใน ‘สนามสื่อ’ และมีทั้งสนามปฏิบัติการ offline and online ที่ขยายไปถึงการสร้างข่าวปลอมด้วยเทคโนโลยีต่างๆ

ปรากฏการณ์ของสื่อกระแสหลัก สื่ออินฟลูเอนเซอร์ โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มทั้ง Facebook, Twitter-X, YouTube หรือ Instagram รายงานข่าวด้วยข้อมูลผสมอารมณ์ความรู้สึก เปลี่ยนสนามสื่อเป็นสนามรบที่ทั้งเชียร์และรายงานความเห็นส่วนตัวด้วยถ้อยคำเหยียดหยามเกลียดชังรุนแรง ในนามของ ‘ความรักชาติ’ และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นความสูญเสียของฝั่ง ‘พวกเรา’ ทั้งที่สื่ออาจจะเคยเรียนรู้กรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่ในนาทีนี้อะไรก็ยั้งไม่อยู่แล้ว

การสื่อสารของทั้งสองประเทศ ที่ต่างฝ่ายต่างเรียกอีกฝ่ายว่าอริราชศัตรูตกอยู่ในภาวะนั้น จึงเป็นการสื่อสารของสมรภูมิเรื่องเล่า หรือ Narratives Battlefield

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

บทความนี้ลองตั้งคำถามและชวนทุกท่านคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาตินิยม การสื่อสาร เทคโนโลยี AI บาดแผลความเจ็บปวดร่วม และการทำให้ชาตินิยมและความเจ็บปวดกลายเป็นสินค้า (Nationalism, Communication, Digital-AI Media, Collective Trauma and Commodification) ไปจนถึงบทบาทของสื่อบุคคลอย่างอินฟลูเอนเซอร์ และสถาบันสื่อมวลชน

การติดตั้งอุดมการณ์ ‘ชาตินิยม และบาดแผลความเจ็บปวดร่วมในชีวิตประจำวัน’ ผ่านการสื่อสาร

ชาตินิยมคืออะไร สำคัญแค่ไหนแล้วทำไมต้องถูกบ่มเพาะ อย่างง่ายที่สุด ชาตินิยมเป็นทัศนะที่มีอัตลักษณ์ของชาติ ผสมกับความรู้สึกหวงแหนเป็นเจ้าของดินแดนหรือวัฒนธรรมหรือวัตถุ เป็น ‘เรื่องเล่า’ ที่ปลูกฝังผ่านประวัติศาสตร์ด้วยเครื่องมือการสื่อสารทุกชนิดของสังคมตั้งแต่เด็กจนเราตายไป รวมทั้งเล่าผ่านระบบการศึกษาและสถาบันครอบครัว และมักจะถูกปลุกเร้าอย่างเข้มข้นในช่วงที่มีความขัดแย้งแตกแยกในสังคม หรือมีสงครามระหว่างชาติ

ในแง่ลบเมื่อมีชาตินิยมมากจนเกินไป ก็จะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดอีกฝ่ายและสามารถลงมือกระทำความรุนแรงได้โดยคิดว่าทำในนามของความถูกต้อง

ในแง่บวก การปลุกเร้าในเชิงอัตลักษณ์วัฒนธรรมผสมกับแรงผลักทางเศรษฐกิจอาจจะทำให้เกิดเรื่องเล่าที่เป็นพลังสร้างชาติและสร้างรายได้ด้วย เช่น การสร้างภาพยนตร์ไทยคุณภาพดีเนื้อหาสะท้อนสังคมไทยเพื่อส่งออก หรือสร้างรายได้จากกิจกรรมระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม

ชาตินิยมหรือการสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘ชาติ’ จะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ มันต้องทำงานร่วมกับกลไกสังคม ทั้งสถาบันการศึกษา สถาบันครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สถาบันการสื่อสาร’ ในแต่ละยุค

กลับไปที่แนวคิดคลาสสิก Imagined Communities ของอาจารย์เบน Benedict Anderson ที่เป็นรากฐานการวิเคราะห์เรื่องชาติในสถานการณ์นี้ อาจารย์มองว่า ‘ชาติ’ เป็นชุมชนสมมติผ่านเรื่องเล่าต่างๆ จนพวกเราแต่ละคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชาติ แล้วกลไกสำคัญที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องคือ ‘สื่อมวลชน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ (ในยุคสมัยนั้น)

แต่การทำงานของอุดมการณ์ชาตินิยมมิได้ยุติเพียงแค่นั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘ชาติ’ แท้จริงแล้วผ่านการปรับแต่ง จนเป็นตำนานทางประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยต้องมีสูตรสำคัญคือ การกำหนดความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม การขุดลึกทางประวัติศาสตร์ว่าตนมีรากเหง้าเก่าแก่กว่าใคร และให้ค่าทางชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติ (เช่น เล่าว่าชาติของตนดีที่สุด ฉลาด รบเก่งที่สุด) ชาตินิยมจะทำงานไม่ได้เลยหากไม่ได้สร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมแห่งชาติ เช่น ธงชาติ เพลงชาติ เรื่องเล่าวีรบุรุษผู้กล้า รวมไปถึงเวทมนตร์คาถาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คล้ายกับที่ Anthony D. Smith เสนอแนวคิด Ethno-symbolism ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ตำนานวีรบุรุษ ชาติพันธุ์ สัญลักษณ์ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชาติ

‘ชาตินิยม’ ในความหมายนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในจิตใจผู้คนเมื่อมีกลไกสื่อคอยเผยแพร่ผลิตซ้ำหรือปรับเปลี่ยนเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อกระแสหลักเช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ และในปัจจุบันสื่อดิจิทัลที่รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ที่ต่างผลิตซ้ำเรื่องเล่าหรือตอกย้ำเชิงสัญลักษณ์ให้คนในชาติรู้สึกเป็นเจ้าของหวงแหนร่วมกัน

แต่เพราะเหตุใดในยามสงบไม่มีสงคราม ราวกับไม่มีความขัดแย้งใดๆ จู่ๆ ก็เกิดการระเบิดขึ้นของเสียงปืนและตามมาด้วยสงครามที่ใช้อาวุธหนัก หลายประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งระเบิดความรู้สึกเกลียดชังใส่กันราวกับโกรธกันมาเป็นร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้น ภายในประเทศเราเอง หลายคนก็พร้อมห้ำหั่นกับคนที่เห็นแตกต่างจากตน สนามสื่อจึงกลายเป็น Narrative battlefield สมรภูมิรบของเรื่องเล่าชาตินิยม

Michael Billig ระบุว่าชาตินิยมหรือ Nationalism ที่ได้รับการกล่อมเกลาในชีวิตประจำวัน ที่เรียกกันว่า Banal nationalism คือแรงสะสมที่ทำงานภายในจิตใจทุกวันโดยที่สื่อและประชาชนก็ไม่รู้ตัว อาจจะไม่ได้ผ่านเรื่องเล่าแต่เพียงอย่างเดียวแต่ผ่านกิจกรรมอีกมากมาย

หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมแรงระเบิดของสังคมจึงรุนแรงในทันที

ในความหมายของอาจารย์ไมเคิล อันที่จริงเรื่องเล่าต่างๆ ไม่จำเป็นต้องกำหนดผ่านสถาบันหลักใดๆ ไม่ต้องมีพิธีกรรมหรือสื่อมวลชนที่ผลิตละคร ภาพยนตร์ หรือซีรีส์ใหญ่โตเพื่อถ่ายทอดเรื่องราววีรบุรุษ แต่ชาตินิยมถูกฝังตัวอยู่ในเรื่องธรรมดาสามัญของชีวิตประจำวันมากมาย เช่น การเคารพเพลงชาติเช้าเย็น การติดธงชาติร่วมกัน การรายงานข่าวโดยใช้ภาษาแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา การนำเสนอข่าวการสูญเสียด้วยความเจ็บปวดร่วมย้ำๆ จนกลายเป็นบาดแผลทางใจ การพาดหัวข่าวด้วยข้อความสร้างความเกลียดชัง (hate speech) การเรียกขานอีกฝ่ายด้วยภาษาดูถูกเหยียดหยาม การตีตราบาป การล้อเลียนตลกขบขัน การใช้เพลงปลุกใจ การนำเสนอภาพนิ่งของผู้ตาย การระดมผู้นำศาสนามาสวดมนต์เพื่อให้ชนะสงคราม (ทั้งที่พุทธศาสนาให้ละเว้นการฆ่าสัตว์) การสร้างเกียรติประวัติของนักรบด้วยเรื่องเล่าประเภทต่างๆ การผลิตมิวสิกวีดีโอเน้นย้ำความเจ็บปวดร่วม และการแต่งกายด้วยสีที่เหมือนกัน เป็นต้น

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร เมื่อสื่อถ่ายทอดเนื้อหา รายงานข่าวและนำเสนอด้วยกรอบของชาตินิยมเข้มข้น และ บาดแผลความเจ็บปวดร่วมที่ผลิตซ้ำวันละหลายครั้ง ไปพร้อมกับผสมเรื่องเล่าหรือตำนานต่างๆ

กรณีตัวอย่างของสื่อที่รายงานข่าวในกรอบชาตินิยม และ ใช้ความเจ็บปวดร่วมจากประวัติศาสตร์เพื่อปลุกเร้าประชาชนจนนำไปสู่ความรุนแรง คือสงครามยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1990 เป็นความขัดแย้งของเชื้อชาติเซอร์เบีย โครเอเชีย และบอสเนีย ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ศาสนา และประวัติศาสตร์ โดยก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามปะทุขึ้น ผู้นำเซอร์เบียได้ดึงเอาเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เมื่อราว 600 ปีก่อนมายืนยันว่าเซิร์บเป็นเชื้อชาติที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เชื่อมโยงบาดแผลของการทำสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนมาเป็นชนวนสำคัญให้ชาวเซิร์บต่อต้านชนชาติอื่น* ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ระหว่างการสลายตัวของยูโกสลาเวีย ทั้งสื่อเซอร์เบียและโครเอเชียใช้การโฆษณาชวนเชื่อชาตินิยมรุนแรง สื่อหนังสือพิมพ์โครเอเชียเรียกกองทัพเซอร์เบียว่า “Serb Terrorists” “Brutal Serb Extremists” หรือ “Cannibals” ส่วนสื่อเซอร์เบียกล่าวหาฝ่ายโครแอตว่าเป็น “Ustashoid Hordes” หรือ “Blackshirts” หรือพวก “Drunk and Stoned Monsters”   

ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าตนเองเป็น “เหยื่อ” เรื่องเล่าที่ปลุกเร้า “ชาตินิยม” เต็มไปด้วยความเจ็บปวดร่วมของชาติพันธุ์และศาสนาฝั่งตนเอง สื่อมวลชนเช่น สถานีโทรทัศน์ (ขณะนั้นยังไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ที่ขยายกว้างขวาง) สร้างความเกลียดชังผ่านการรายงานข่าวผิดๆ เช่น การกล่าวหาว่าเด็กโครแอตถูกฆ่าและขว้างให้สัตว์กิน หรือกลบความจริงว่าเหยื่อเป็นคนของฝั่งตัวเอง ผลของการโฆษณาชวนเชื่อเช่นนี้ช่วยผลักดันให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลายเป็นสงครามที่โหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ มีทั้งการฆ่าหมู่พลเรือนนับแสนคน ซึ่งรวมถึงเด็ก และการข่มขืน ส่งผลยืดเยื้อสร้างผลกระทบทางใจต่อคนรุ่นต่อมาของทั้งสองเชื้อชาติศาสนา

New Nationalism: การตลาดชาตินิยม และ Commodification ของอินฟลูเอนเซอร์

เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล สงครามในหลายแห่งยังคงดำเนินไป แล้วสื่อโซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เปลี่ยนแปลงสมรภูมิรบอย่างไร

ที่เห็นเด่นชัดสุดคือเรื่องเล่าต่างๆ มีความซับซ้อนหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น การสร้างตัวตนเสมือนของผู้นำทั้งสองฝ่าย การสร้างคลิปเสียงเสมือนจริง การตัดต่อรีทัชภาพ การย่อขยายหรือเปลี่ยนแปลงภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การสร้างตัวตนอวตารสามารถพูดภาษาได้หลากหลาย ซึ่งเรื่องเล่าเรื่องแต่งถูกขยายไปอย่างรวดเร็ว มีเป็นจำนวนมาก และ ‘แปลกปลอม’ มากขึ้นจนแทบจะแยกไม่ออกว่า เรื่องใดคือข้อเท็จจริง เรื่องใดคือข่าวปลอม เรื่องใดคือ ‘ข้อมูลผสม’ กับความรู้สึกส่วนตัวและอคติ ไม่เว้นแม้แต่การรายงานข่าวของสำนักข่าว ‘มืออาชีพ’ ด้วย

งานศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสื่อดิจิทัล AI และชาตินิยม ได้ยืนยันว่าปฏิบัติการสร้างและผลิตซ้ำ ‘ชาตินิยมเข้มข้น’ จนเกินไปในยุค AI ได้สร้าง ‘บาดแผลความเจ็บปวดร่วม’ ต่อสังคมจนกลายเป็นภาวะที่ทุกข์ทรมานและหลีกหนีไม่ได้ กรณีศึกษาที่ชัดเจนมากคือสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างประเทศอินเดียและปากีสถานในปี 2025 ที่ใช้โซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม และ AI ในการสร้างภาพปลอม ข่าวปลอม และ hate speech ผ่านสื่อและอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก จนนำไปสู่การเกลียดชัง กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อและเจรจากันอย่างยากลำบาก 

สำนักข่าวระดับโลกเช่น The Guardian และ ABC News ระบุว่า ปฏิบัติการปลุกเร้าชาตินิยมกลายเป็นสงครามข้อมูลที่ทั้งสองประเทศใช้เทคโนโลยีสื่อต่างๆ ผลิตข่าวปลอมที่ใช้ AI และตัดต่อเนื้อหาหลอกลวง ปรากฏในสื่อหลักทั้งสองประเทศ เช่น ในเหตุการณ์ตึงเครียดของสงครามเดือนพฤษภาคม 2025 มีการเผยแพร่ วิดีโอ deepfake ที่ตัดต่อเพื่อให้ดูเหมือนนายกรัฐมนตรีของปากีสถานสารภาพความพ่ายแพ้ ซึ่งในความจริงคือคลิปดั้งเดิมที่เขาชมเชยกองทัพ

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์แอนิเมชันหรือฟุตเทจเกม ถูกนำไปฉายในสื่ออินเดียว่าเป็นเหตุการณ์จริงบนสนามรบ เช่น การยิงโดรนหรือเครื่องบิน

ปฏิบัติการหลายรูปแบบของสงครามที่พบในยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ “มิได้ประดิษฐ์ปัญญา” ให้สังคมเพื่อให้ฉุกคิดหรือหาทางออกให้มนุษย์มีสติไตร่ตรองรักษาชีวิตของทหารและชาวบ้านได้ ตรงข้าม ‘เรื่องเล่าชาตินิยมและบาดแผลความเจ็บปวดร่วม’ ได้ถูกแปรรูปและปรุงแต่งให้กลายเป็นสินค้าที่มีรสชาติเข้มข้นเร้าใจ ยิ่งเสพก็ยิ่งติด ยิ่งโมโหก็ยิ่งแสวงหา ‘แนวร่วม’ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น สร้าง hate speech ที่เหยียดหยามฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งคนในชาติเดียวกันที่คิดวิเคราะห์แตกต่างออกไปจากเรื่องเล่าชาตินิยมของตน ประกอบกับธรรมชาติของ ‘อุตสาหกรรมวารสารศาสตร์ภายใต้สื่อดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์’ ที่ต้องแข่งขันกันรายงานข้อมูลเพื่อแย่งชิงยอดวิวและ engagement ให้มากที่สุดเพื่อแข่งกับสื่อบุคคลที่ทรงพลังอย่างอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ content creators และเซเล็บ ที่เข้ามามีบทบาทในการผลิตเรื่องเล่าได้มีสีสันมากกว่าสำนักข่าวใหญ่ๆ

สภาวะที่นำเอาเรื่องเล่าที่ไม่แน่ชัดว่าจริงหรือไม่ผสมกับอารมณ์ ความเชื่อ ความโกรธแค้นเกลียดชังมาเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียในยุคนี้คือ Commercialization และ Commodification ของชาตินิยมเข้มข้นและความเจ็บปวดร่วม หรือการทำให้เรื่องเล่าหลากอารมณ์ของชาตินิยมกลายเป็นสินค้าเพื่อหารายได้ อันเป็นลักษณะหนึ่งของชาตินิยมใหม่ (New Nationalism)  

นักวิชาการด้านสื่อและชาตินิยมรุ่นใหม่ Sabina Mihelj และ César Jiménez-Martínez เสนอแนวคิดชาตินิยมใหม่ และ การทำให้เป็นสินค้า ในบทความชิ้นสำคัญของยุคชื่อ Digital nationalism: Understanding the role of digital media in the rise of ‘new’ nationalism เมื่อปี 2020 โดยระบุว่ากระบวนการเชิงพาณิชย์ที่หยิบเอา ‘ชาตินิยม’ มาทำให้กลายเป็นสินค้า (Commercialization and Commodification) ในโลกออนไลน์มองเห็นได้หลายระดับ ในบทความระบุว่า

“ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยอินเทอร์เน็ตกลายเป็นพื้นที่สำหรับการขายสินค้าที่มีเนื้อหาส่งเสริมทัศนะขวาจัด เช่น เสื้อผ้าหรือของที่ระลึกจากแบรนด์ต่างๆ มักใช้สัญลักษณ์สากลและคำขวัญภาษาอังกฤษที่ซ่อนรหัสข้อความชาตินิยมหรือขวาจัด เพื่อเข้าถึงคนทั่วโลกผ่านสื่อดิจิทัล

การเกิดชาตินิยมผู้บริโภค หรือ Consumer Nationalism จากผู้บริโภคเอง เช่น การรณรงค์บอยคอตสินค้าแบรนด์ที่ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศศัตรู’ หรือเจ้าของพฤติกรรมที่ถูกมองว่าดูหมิ่นชาติของตน ตัวอย่างเช่น แคมเปญ #BoycottGermany บน Twitter ที่เกิดเพื่อตอบโต้การมองว่ามาตรการรัดเข็มขัดของสหภาพยุโรปที่เยอรมนีมีบทบาทนำ ถูกยัดเยียดให้กรีซ หรือกรณี Consumer Nationalism ของจีน ที่เกิดจากการตอบโต้สื่อชาติตะวันตกที่นำเสนอข่าวจีนในแง่ลบ

หลักการของ ‘ชาตินิยมเชิงพาณิชย์’ และ ‘ชาตินิยมของผู้บริโภค’ ขยายไปไกลกว่าการขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชาตินิยมในโลกออนไลน์ แต่ในยุค AI เราทุกคนถูกกระตุ้นให้ ‘โปรโมตตัวเอง’ อยู่เสมอ เช่นเดียวกับการโปรโมตสินค้า จนแนวคิดนี้ปรากฏในแทบทุกมิติของสังคม ตั้งแต่วัฒนธรรม การศึกษา การเมือง ไปจนถึงการพูดคุยกันในชีวิตประจำวันบนโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างเช่น Facebook ที่แรกเริ่มตั้งใจให้เป็นพื้นที่แสดงออกตัวตน แต่ต่อมากลายเป็นเครื่องมือโปรโมตตัวเอง การเกิดขึ้นของเหล่าไมโครเซเลบและอินฟลูเอนเซอร์……”

เมื่อหันมามองตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในไทย รวมทั้งนักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมือง อดีตทหารตำรวจ ก็พบปรากฏการณ์นี้เช่นกัน หลายท่านหยิบยกเรื่องสงคราม การสูญเสีย มาถ่ายทอดด้วยท่วงทำนองชาตินิยมเข้มข้น พูดซ้ำๆ วนลูปทุกวัน เน้นย้ำว่าเราต้องชนะทางการรบด้วยการทำลายทุกอย่างในราบ บางท่านไปไกลถึงขนาดเสนอให้กำจัดศัตรูด้วยวิธีต่างๆ ไม่เว้นว่าเป็นพลเรือนหรือเด็ก

ผู้เขียนขอเรียกภาวะโดยรวมดังที่อาจารย์ Sabina Mihelj กล่าวมาว่า ‘การตลาดชาตินิยม’ ที่แฝงด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมเข้มข้นและมุ่งกำจัดคนคิดต่าง

อันที่จริง สังคมไทยเผชิญกับการตลาดชาตินิยมเข้มข้นมาโดยตลอด ด้วยการแปรเรื่องเล่าอันเจ็บปวดและภาคภูมิใจ ให้เป็นสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนมหาศาลสร้างภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องการรักชาติเชิดชูวีรบุรุษวีรสตรี กิจกรรมการซื้อขายสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ธงชาติ เสื้อ เข็มกลัด ที่แสดงถึงน้ำหนึ่งใจเดียวกันสีเดียวกัน หรือการเปิดรับบริจาคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าต่างๆ โดยใช้ธีมชาตินิยม เป็นต้น

ในกระบวนการ commodification ชาตินิยม สำหรับสังคมไทยแล้ว สื่อบุคคลเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังยิ่ง ลองดูยอดผู้ติดตามอินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok และยอดบริจาคให้กับ ‘พระสงฆ์’ ที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะพระนักเทศน์ จะรู้ว่ารายได้ของสื่อกระแสหลักน้อยกว่าสื่อบุคคลเหล่านี้มาก และเมื่อมีภาวะสงคราม สื่อบุคคลก็แปรรูปชาตินิยมและความเจ็บปวดร่วมเป็นสินค้าได้อย่างทรงพลัง

คำถามคือ ในภาวะความเจ็บปวด สูญเสียโกรธแค้น แม้การเผยแพร่ข่าวสารชาตินิยมไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ จะเป็นวิธีหนึ่งที่หลายคนรู้สึกต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อลดความหวาดกลัว ลดความเจ็บปวดส่วนตัว (แต่ไปเพิ่มบาดแผลความเจ็บปวดให้ส่วนรวม) ส่วนรัฐเอง ก็ต้องการปลุกใจให้ฮึกเหิมในภาวะสงคราม แต่ในระยะยาวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคม

สื่ออินฟลูเอนเซอร์มักหยิบเหตุการณ์ที่เจ็บปวดร่วมกันหรือ trauma มาสร้างเนื้อหา เช่น วิเคราะห์เหตุการณ์ ประกอบภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว ทำคอนเทนต์ช่วยเหลือ/ระดมทุน (ซึ่งบางครั้งผสมการสร้างภาพลักษณ์ส่วนตัว) เล่าเรื่องให้เร้าใจ และพบว่าใน TikTok มีหลายคนที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเจ็บปวด

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การเล่าเรื่องอาจกลายเป็น performative empathy หรือการแสดงความเห็นใจเพื่อสร้างภาพลักษณ์ โดยความทรงจำของ trauma ถูกตัดทอนให้สั้น กระชับ เพื่อให้ ‘ขายได้’ หรือ ‘เข้าใจง่าย’ ผู้ประสบเหตุจริงทั้งชาวบ้านแถบชายแดน เด็กไทยและเขมร ทหารชายแดน อาจถูกลดทอนเป็นเพียงตัวละครของการเสพสื่อแบบด่วนๆ การสร้างและแชร์เรื่องเล่าตำนานอภินิหารที่ไม่เคยมีจริง รวมทั้ง hate speech ถูกทำให้เป็นภาษาปกติ

ในแง่หนึ่ง เรื่องเล่าเหล่านี้อาจจะสร้างความเป็นเอกภาพได้ในคนบางกลุ่ม

แต่อีกนัยหนึ่ง คือการยุยงปลุกปั่นความเกลียดชังภายในชาติทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว

คำถามคือ ใครเป็นคนควบคุม ผลิตและกำกับ narratives ที่ขายพ่วงมากับ trauma ในแต่ละสังคม

จาก Computational Propaganda โฆษณาชวนเชื่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สู่ Digital Nationalism และ AI Framing

ก่อนหน้านี้แนวคิดเรื่อง Computational Propaganda ได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั่วโลกตื่นตัวกับแนวคิดนี้ ในประเทศไทยมีทั้งนักวิชาการและสื่อมวลชนกล่าวถึงในแง่ของปฏิบัติการข่าวสารของ IO หรือ Information Operation โดยทางด้าน Oxford Internet Institute มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ระบุว่า Computational Propaganda หมายถึง การใช้ “อัลกอริทึม” “ระบบอัตโนมัติ เช่น Bots” และ “การคัดเลือกและจัดการเนื้อหาข้อมูลโดยมนุษย์ หรือ human curation” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนบนเครือข่ายโซเชียลมีเดียอย่างมีเป้าหมาย

ในช่วงปี 2015–2017 โครงการวิจัย “Computational Propaganda” ของสถาบัน Oxford Internet Institute ได้ศึกษาการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อชักจูงและควบคุมความคิดเห็นของสาธารณชน โดยมีนักวิจัย 12 คนจาก 9 ประเทศ ร่วมกันสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 65 คน และวิเคราะห์โพสต์หลายสิบล้านโพสต์จาก 7 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ระหว่างการเลือกตั้ง วิกฤตการเมือง และเหตุการณ์ด้านความมั่นคงระดับประเทศ เป็นกรณีศึกษาครอบคลุมประเทศบราซิล แคนาดา จีน เยอรมนี โปแลนด์ ไต้หวัน รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐอเมริกา งานวิจัยพบแนวโน้มสำคัญทั่วโลกหลายข้อ เช่น

  • “โซเชียลมีเดียถูกใช้เป็นเครื่องมือชักจูงและควบคุมความคิดเห็นสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แต่รูปแบบและหัวข้อที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
  • ในประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการ โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการควบคุมสังคม โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการเมืองหรือความมั่นคง
  • ในประเทศประชาธิปไตย โซเชียลมีเดียถูกใช้เพื่อทำ ‘โฆษณาชวนเชื่อด้วยเทคโนโลยี’ ทั้งแบบกว้าง หว่านข้อมูลให้คนทั่วไป และแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
  • ในทุกประเทศที่ศึกษา พบว่ากลุ่มภาคประชาสังคมพยายามปกป้องตัวเองและตอบโต้การแพร่ข่าวเท็จแต่ก็ทำด้วยความยากลำบากมาก
  •  ‘โฆษณาชวนเชื่อแบบอัตโนมัติ’ ถูกสร้าง จัดการ และแพร่กระจาย  เช่น การสนทนาบน Twitter ในรัสเซียถูกควบคุมโดยบัญชีอัตโนมัติ (Bots) ในสัดส่วนสูง และในสหรัฐฯ บัญชีอัตโนมัติที่เคยอยู่แค่ในเครือข่ายเล็กๆ ได้ขยับเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงมากขึ้น
  • ในบางประเทศและบางสถานการณ์ทางการเมือง แพลตฟอร์มโซเชียลถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือถูกครอบงำโดยแคมเปญข้อมูลเท็จ เช่น ในรัสเซีย ราว 45% ของกิจกรรมบน Twitter มาจากบัญชีอัตโนมัติ ส่วนในโปแลนด์ การสนทนาทางการเมืองบน Twitter จำนวนมากถูกสร้างโดยบัญชีไม่กี่บัญชีที่มีแนวคิดขวาจัดและชาตินิยม
  • ในบราซิล โฆษณาชวนเชื่อแบบอัตโนมัติถูกใช้ในเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญ 3 ครั้ง ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2014 การถอดถอนอดีตประธานาธิบดี ดิลมา รุสเซฟ และการเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2016 ที่รีโอเดจาเนโร
  • กลยุทธ์โซเชียลมีเดียที่รัสเซียใช้กับยูเครนถือเป็นกรณีที่ซับซ้อนมาก โดยมีการโจมตียูเครนด้วยข่าวปลอมจำนวนมากบน Facebook  Twitter X และ VKontakte (VK เป็นโซเชียลมีเดียและเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ของรัสเซียลักษณะคล้าย Facebook ผสมกับ YouTube และ Spotify โพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ แชร์เพลงและสตรีมได้)
  • รัฐบาลเผด็จการใช้โฆษณาชวนเชื่อทั้งกับประชาชนในประเทศตัวเองและกับต่างประเทศ เช่น จีนโจมตีนักการเมืองในไต้หวัน และรัสเซียโจมตีนักการเมืองในโปแลนด์และยูเครน
  • ในประเทศประชาธิปไตย มีผู้ใช้สื่ออินเทอร์เน็ตบางคนสร้างและควบคุมบัญชีปลอมและบัญชีอัตโนมัติ ขณะที่ทางการเมือง แคมเปญด้านการเมือง และกลุ่มล็อบบี้ต่างเช่าบัญชีเหล่านี้เป็นเครือข่ายใหญ่เพื่อใช้ในแคมเปญเฉพาะกิจ บางครั้งรัฐบาลก็ใช้งบประมาณหรือทรัพยากรสาธารณะ เพื่อสร้าง ทดสอบ และใช้งานบัญชีลักษณะนี้
  • รูปแบบของโฆษณาชวนเชื่อทางเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุด คือการใช้ทั้ง ‘การกระจายข้อมูลด้วยอัลกอริทึม’ และ ‘การคัดเลือกเนื้อหาโดยมนุษย์’ หรือพูดง่าย ๆ คือ ให้ Bots กับ Trolls (บัญชีที่สร้างเรื่องปั่น) ทำงานร่วมกัน ผลการศึกษาที่ไต้หวันพบว่า การโฆษณาชวนเชื่อจากจีนแผ่นดินใหญ่บนโซเชียลมีเดีย ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติทั้งหมด แต่ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด”

ทั้งหมดข้างต้นเป็นผลจากการศึกษาของ Oxford Internet Institute แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งมีเทคโนโลยีสื่อที่ก้าวหน้ามากขึ้น เช่น AI อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบสำคัญยิ่งของโฆษณาชวนเชื่อในยุคดิจิทัล AI คือมนุษย์ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมข้อความและภาพต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของมนุษย์ผู้ควบคุมปฏิบัติการหรือสมรภูมิรบนั้นๆ เรื่องเล่าชาตินิยมจึงเข้าสู่ยุค Digital Nationalism (ชาตินิยมดิจิทัล) และ AI framing (ชาตินิยมในกรอบปัญญาประดิษฐ์)

AI framing เป็นแนวคิดที่เชื่อว่า AI สามารถกำหนดมุมมองและกรอบความคิด (frame) ในการนำเสนอข้อมูลหรือข่าวสาร ทำให้ผู้รับสารตีความเหตุการณ์หรือประเด็นต่างๆ ในแบบใดแบบหนึ่ง เมื่อเชื่อมโยงกับ ชาตินิยม (nationalism) มีหลายมิติที่ชวนคิดพิจารณา ได้แก่

1. สร้างกรอบคิดแบบชาตินิยมในเนื้อหา AI สามารถเลือกข่าว ข้อความ หรือโพสต์โซเชียลมีเดียที่ สนับสนุนความภาคภูมิใจในชาติ หรือวิพากษ์ต่างชาติตามแนวคิดชาตินิยม เช่น ระบบแนะนำข่าวอัตโนมัติในแพลตฟอร์มออนไลน์ อาจเลือกเนื้อหาที่วิจารณ์ต่างชาติหรือยกย่องชาติของผู้ใช้เพื่อเพิ่ม engagement

2. ขับเคลื่อนการโฆษณาชวนเชื่อเชิงดิจิทัล AI ร่วมกับ Bots และอัลกอริทึมสามารถ เผยแพร่เนื้อหาชาตินิยมอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้คนเห็นกรอบเรื่องราวชาตินิยมบ่อยขึ้น และเกิดความรับรู้ว่าเป็น “ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่”

3. ปรับเนื้อหาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้และปรับข่าวหรือโพสต์ให้สอดคล้องกับความเชื่อหรืออารมณ์ชาตินิยมของแต่ละกลุ่ม เช่น การสร้างแคมเปญรักชาติ หรือประชาสัมพันธ์ของรัฐ ที่ AI ช่วยเลือกข้อความหรือรูปภาพเพื่อกระตุ้นความรักชาติ

4. ผลลัพธ์ต่อสังคม AI framing ทำให้การเสพข้อมูลออนไลน์มุ่งเป้าส่งเสริมชาตินิยมเข้มข้นแบบไม่รู้ตัว กระทบต่อความคิดเห็นทางการเมือง การรับรู้ปัญหาระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างชาติต่าง ๆ

Human Curation การจัดการเนื้อหาโดยมนุษย์ในยุค AI และการแตกแยกแบ่งขั้วในสังคม

ในบริบทของ Computational Propaganda คำว่า Human Curation หมายถึง การที่ ‘คน’ เข้ามามีบทบาทคัดเลือก ปรับแต่ง หรือออกแบบเนื้อหาที่จะเผยแพร่ เพื่อให้ข้อมูลบิดเบือนหรือข้อความโฆษณาชวนเชื่อดูน่าเชื่อถือ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ระบบอัตโนมัติหรือ Bots ทำงานเพียงอย่างเดียว

เมื่อเข้าสู่ยุค AI มนุษย์กับ AI ทำงานร่วมกันจนแยกไม่ออกว่าใครควบคุมใคร พูดง่ายๆ คือให้คนทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการหรือผู้ควบคุมเนื้อหา ก่อนส่งต่อเข้าสู่ระบบกระจายข้อมูลอัตโนมัติ แต่ขณะเดียวกันระบบของ AI หลายตัวก็จัดสร้าง ‘ภาวะเหนือจริง’ ได้มากยิ่งกว่าเดิม โดยตัว AI เองยิ่งเป็นกลไกสำคัญในการขยายข่าวปลอมให้วิกฤตมากขึ้น เนื่องจากมีผู้รับสารเชื่อว่าสิ่งที่ AI บอกเป็นเรื่องจริง ตัวอย่างเช่น

1. ทีมปฏิบัติการข่าวปลอม มีคนคัดเลือกข่าวหรือภาพที่มีแนวโน้มจะกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความโกรธหรือความกลัว แล้วปรับถ้อยคำให้เข้ากับบริบทของประเทศเป้าหมาย แล้วส่งให้ Bots โพสต์ซ้ำ ๆ หลายรอบในช่วงเวลาที่คนน่าจะเห็นมากที่สุด แต่ระบบ AI สามารถผลิตข่าวปลอมและสร้างคนที่เสมือนจริง เช่นกรณีสงครามอินเดียและปากีสถานในปี 2025 ซึ่งมีการบิดเบือนข้อมูลผ่าน AI (Disinformation, Deepfakes, Voice Clones) ทำให้โซเชียลมีเดียของทั้งสองประเทศเต็มไปด้วยข่าวปลอม ภาพวิดีโอปั่นแต่ง (deepfakes) และการโคลนเสียงของผู้นำทางการเมือง กระจายอย่างรวดเร็วและส่งผลต่อความเชื่อสาธารณะอย่างรุนแรง

ที่วิกฤตไปกว่านั้น ประชาชนจำนวนมากหันไปพึ่ง AI Chatbot เช่น Grok, ChatGPT, Gemini เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลระหว่างสงคราม แต่กลับพบว่าได้รับข้อมูลเท็จมากยิ่งขึ้นเพราะใน AI เต็มไปข้อมูลข่าวสารที่ถูกเผยแพร่ในแพลตฟอร์มต่างๆ นั่นเอง สะท้อนว่า AI เป็นหนึ่งในช่องทางของ misinformation หรือการปล่อยข่าวปลอมโดยการประมวลผลของอัลกอริทึม AI เอง

ที่มา: The News Minute

2. โทรลฟาร์ม (Troll Farms) คือกลุ่มคนที่นั่งคอยตอบคอมเมนต์ โต้เถียง หรือปั่นกระแสในโซเชียล เพื่อให้เนื้อหาที่บิดเบือนดูมีการสนับสนุนจาก ‘คนจริง’ เช่น การปล่อยข้อความโจมตีคู่แข่งทางการเมือง แล้วมีทีม troll คอยกดไลก์ แชร์ และคอมเมนต์เสริม หรืออาจเป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้บัญชีโซเชียลมีเดียจำนวนมาก (ทั้งบัญชีจริง บัญชีปลอม และบัญชีอัตโนมัติ) ในการโพสต์ แสดงความคิดเห็น ปั่นกระแส หรือโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยมีเป้าหมายเพื่อชักจูงความคิดของสาธารณชน สร้างความสับสน หรือทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางสังคมและการเมือง เราจะเห็นการ ‘ปั่น’ ด้วยข้อความเดิมซ้ำๆ เช่น นักการเมืองไม่มีประโยชน์ ทหารมีไว้ทำไม รบไปก็ไม่ชนะ อยู่ในคอมเมนต์จำนวนหลายร้อยบัญชี

3. การปรับเนื้อหาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ โดยคนในทีมเลือกข้อมูลและรูปภาพที่เข้ากับวัฒนธรรมหรือความเชื่อของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ใช้สัญลักษณ์ชาติ ศาสนา หรือบุคคลที่เป็นที่เคารพ แล้วให้ Bots นำไปกระจายต่อในกลุ่มหรือเพจที่มีคนสนใจเรื่องนั้น ระบบ AI สามารถปรับแต่งเนื้อหารวมทั้งสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยแสงสี และตัวละครที่มีหน้าตาตามที่มนุษย์จะกำหนด AI สามารถแนะนำสัญลักษณ์ชาตินิยมพร้อมสร้างให้เข้มข้นกว่าเดิม ดังกรณีในช่วงการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป (European parliamentary elections) และต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2024 พรรคฝ่ายขวาจัดในยุโรป (เช่น AfD ในเยอรมนี, กลุ่มในฝรั่งเศส เช่น National Rally, Reconquête, Lega ในอิตาลี และกลุ่มในสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์) ใช้ภาพสร้างโดย AI เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างกระแส ‘anti-immigration’ (ต่อต้านผู้อพยพ) และ ‘xenophobic’ (เกลียดชังชาวต่างชาติ)

ที่มา: The Guardian

ดังนั้นสมรภูมิรบในขณะนี้ มีผู้ควบคุมสำคัญคือ Human Curation การใช้ ‘สมองมนุษย์’ เพื่อทำให้เนื้อหาบิดเบือนมีพลังมากขึ้น ก่อนปล่อยให้เครื่องมืออัตโนมัติ เช่น Bots ช่วยขยายวงให้กว้างที่สุด แต่ก็มี AI ที่เข้ามาสร้างความแนบเนียนและสร้างวิกฤตข่าวสารด้วยอีกชั้นหนึ่ง

วิเคราะห์จากสภาพการไหลเวียนข่าวสารของสังคมไทยในช่วงหลายปีมานี้ Human Curation น่าจะเป็นปฏิบัติการที่ใหญ่โตที่สุด ควบคุมสังคมมากที่สุด และมีคนศึกษาวิจัยน้อยที่สุด ส่วน AI framing และ Digital Nationalism กำลังก่อตัวเป็นพายุลูกใหม่

ในสงครามไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ข่าวปลอมถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชนหลายครั้ง และถูกอ้างว่าเป็นข่าวจริงใน ‘เรื่องเล่าของอินฟลูเอนเซอร์ ใน TikTok และ Facebook แม้จะมีแหล่งทางการยืนยันว่าข้อมูลที่นำเสนอ (ด่าทอ) ไปแล้วเป็นข่าวปลอม แต่คนในสังคมและอินฟลูเอนเซอร์ก็ยัง ‘เยียวยาจิตใจจากความเจ็บปวด’ ด้วยการยืนยันความเชื่อในข่าวปลอมนั้นต่อไป และปั่นกระแสจากข่าวปลอมนั้นต่อไป รวมไปถึงการด่าทอผู้ที่คิดเห็นต่าง เช่น กรณีพรรคฝ่ายค้านที่ยืนยันในหลักการสากลและสันติภาพ กระแส ‘ชาตินิยมเข้มข้น’ จึงสร้างภาวะการแบ่งขั้วการเมืองภายในประเทศทับซ้อนเข้ามา

ในแง่นี้ สมรภูมิเรื่องเล่าหรือ Narratives Battlefield ได้แปรเปลี่ยนจากความเจ็บปวดจากบาดแผลร่วมในภาวะสงคราม เป็นภาวะการแบ่งขั้วในสังคมหรือ Polarization ซึ่งเป็นภาวะชาตินิยมที่เกิดอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัลปัญญาประดิษฐ์ เป็นภาวะของการแบ่งแยก แบ่งขั้วแบ่งสี แบ่งเชื้อชาติ แบ่งวัฒนธรรม แบ่งภาษา แบ่งชนชั้น ทุกอย่างมีเส้นแบ่งที่ถูกขีดขึ้นในจิตใจ (แต่ในโลกแห่งความจริงเราสามารถแบ่งทุกอย่างได้จริงหรือไม่ เป็นอีกประเด็นในบทความในอนาคตที่ชวนถกเถียง)

อุตสาหกรรมสื่อไทย ระหว่างกรอบชาตินิยม VS จรรยาบรรณวิชาชีพ

เพื่อความเป็นธรรมกับอินฟลูเอนเซอร์ และทีม Troll Farms เราต้องกลับไปเทียบกับการทำงานของ ‘สื่อมวลชน’ ในอุตสาหกรรมวารสารศาสตร์ไทยทุกแพลตฟอร์ม ก่อนหน้าการเกิดภาวะสงคราม หลายคนสามารถแยกได้ว่าสื่อสำนักใดหรือเพจใด ที่ยืนอยู่บนฐานคิดของสื่ออาชีพที่รายงานข่าวทั่วไปตามกระแส และสำนักข่าวหรือเพจข่าวใดที่ยืนอยู่บนฐานคิดอนุรักษนิยมปีกขวาที่สนับสนุนทหารและชนชั้นนำ แต่เมื่อเกิดการปะทะขึ้นระหว่างชาติ กลายเป็นว่า ‘เรื่องเล่าชาตินิยม’ กลับทำงานได้ดีในทุกสำนักข่าว และยิ่งทรงพลังมากขึ้นเมื่อผู้ประกาศข่าวหลายรายใช้ภาษาที่บ่งบอกถึงชาตินิยมเข้มข้น ไปถึงแสดงความเยาะเย้ยถากถาง ล้อเลียน และเกลียดชัง

ในรายการวิเคราะห์ข่าวหลายช่อง พาดหัวข่าว ‘เรียกแขก’ ด้วยภาษาของอินฟลูเอนเซอร์เช่น “แหกตาดูใครโกหก” ตัวหนังสือขนาดใหญ่บนกราฟิกสีสันเร้าใจถูกผลิตซ้ำไปอีกหลายแพลตฟอร์มด้วยการตัดต่อเป็นคลิปสั้น

คำถามสำคัญ คือเมื่อการรายงานข่าวของสื่อมวลชนตกอยู่ภายใต้กรอบชาตินิยมเข้มข้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม แล้วจรรยาบรรณวิชาชีพวารสารศาสตร์จะทำงานร่วมกับกรอบคิดแบบชาตินิยมอย่างไร

พิจารณาเฉพาะจรรยาบรรณพื้นฐานที่สุดของวารสารศาสตร์ 5 ข้อแรกที่ระบุโดยสถาบัน The Fourth Estate ของสหรัฐอเมริกา ได้แก่

“Accuracy การนำเสนอข่าวด้วยความถูกต้อง แม่นยำ ความถูกต้องสำคัญกว่าการได้ข่าวพิเศษหรือรายงานได้รวดเร็ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อเท็จจริงทุกอย่างในงานข่าวถูกต้อง อย่าตัดทอนข้อเท็จจริงที่มีความสำคัญต่อความเข้าใจของเรื่องที่รายงาน ให้ข้อมูลที่มาหรือบริบทที่เพียงพอ เพราะบริบทเป็นสิ่งจำเป็นต่อวิจารณญาณของผู้รับสาร ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าวต้องแยกให้ชัดเจนระหว่าง ‘ข้อเท็จจริง’ กับ ‘การคาดเดาหรือความเห็น’

Independence ความมีอิสระจากแรงกดดันทั้งด้านการเมือง เจ้าของทุน โฆษณา การตลาดของผู้รับสาร และอคติส่วนตัว การไม่ขึ้นกับการควบคุมของรัฐ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ แรงกดดันจากตลาด หรือผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ เป็นสิ่งสำคัญของงานข่าวที่เที่ยงตรง มีวิจารณญาณ และน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยเสริมความชอบธรรมและความน่าไว้วางใจในสายตาของประชาชน ตัดสินใจเรื่องเนื้อหาข่าวโดยอิงจากการพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างรอบคอบ อย่าให้ตัวเองถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ทางการค้า เปิดเผยและจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เช่น ของขวัญ เงินสนับสนุน ความสัมพันธ์ด้านโฆษณา หรือการเดินทาง/บริการฟรีหรือราคาพิเศษ

Impartiality การไม่ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าต่ออุดมการณ์ ความคิด หรือความเชื่อใดๆ ต้องมีความยุติธรรมและให้ความสมดุลตามน้ำหนักของหลักฐาน เพื่อให้ผู้สื่อข่าวสามารถอธิบายเหตุการณ์ได้อย่างเที่ยงตรง ด้วยการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและมุมมองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ปฏิบัติต่อข้อเท็จจริงทุกข้ออย่างเท่าเทียม ตัดสินใจและวิเคราะห์จากน้ำหนักของหลักฐาน อย่าให้ความคิดเห็นส่วนตัว ความชอบ ความเกลียด หรืออคติของตนเองมามีผลต่อการทำงาน อย่ารายงานแค่การลิสต์ข้อเท็จจริงหรือสร้างสมดุลเทียมๆ แต่ควรชั่งน้ำหนักของหลักฐาน พยายามนำเสนอความเห็นที่หลากหลายอย่างเหมาะสม และให้พื้นที่ตามความสำคัญและความโดดเด่นของแต่ละความเห็น

Integrity ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงในการทำงาน เคารพต่อวิชาชีพตนเอง ระบุแหล่งที่มาของข้อมูล เว้นแต่ต้องปกปิดเพื่อให้สามารถเปิดเผยความจริงในเรื่องสำคัญต่อสาธารณะได้ หากแหล่งข่าวต้องการความลับต้องให้ความคุ้มครอง ห้ามลอกผลงานคนอื่น

Harm Minimization คิดให้รอบคอบว่ามีเนื้อหาที่ทำให้เกิดความเสียหายได้หรือไม่ และทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเกินจำเป็น หลีกเลี่ยงการใช้ภาพ เสียง หรือคำพูดที่หยาบคาย รุนแรง หรือทำร้ายจิตใจโดยไม่จำเป็น เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของคน เว้นแต่ความจำเป็นในการรายงานเรื่องสำคัญต่อสาธารณะจะมีน้ำหนักมากกว่า แสดงความอ่อนไหวเมื่อต้องทำงานกับเด็ก เหยื่ออาชญากรรม หรือคนที่อยู่ในภาวะเปราะบาง เช่น ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ ผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วย”

ทุกท่านลองสำรวจดูเนื้อหาข่าวที่ท่านกำลังดูและฟัง สังเกตการพาดหัวข่าว วิเคราะห์ภาษาที่ใช้สื่อสาร ตั้งคำถามกับกราฟิกอันเร้าใจ และถามตนเองว่าคลิปที่กำลังดูใครเป็นผู้ผลิตขึ้นมา ผลิตด้วยวัตถุประสงค์ใด ภาพที่ปรากฏ ถูกถ่ายทำจริงๆ หรือไม่อย่างไร ในหลายกรณีก็จะพบว่าทั้งภาพและเนื้อหาสวนทางกับ 5 ข้อจรรยาบรรณพื้นฐานไม่มากก็น้อย

อย่างไรก็ตามเพื่อความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ภายใต้อุตสาหกรรมวารสารศาสตร์ยุคปัญญาประดิษฐ์ การรายงานข่าวและการประดิษฐ์คอนเทนต์ด้วยสติและปัญญาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต่างถูกบีบให้แข่งขันกันมากในด้านการตลาด ด้วยความเชื่อที่ว่าใครเร็วคนนั้นได้ และยังเชื่ออีกว่าผู้รับสารไม่รับข่าวที่มีคุณค่าแล้ว เชื่อว่าจะรับเฉพาะข่าวเร้าใจขนาดสั้น หนำซ้ำนักข่าวในสนามหลายรายก็ถูกแรงกดดันจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงอีกด้วย ไม่นับตัวหัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าวที่ถูกกดดันจากเจ้าของสื่อ รัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การอบรมบ่มเพาะด้าน Code of Practice หรือจรรยาบรรณวิชาชีพด้านวารสารศาสตร์ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับการรายงานข่าวในภาวะความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว มีทั้งจัดโดยสถาบันการศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันด้านวิชาชีพ และการอบรมหลักการสื่อข่าวอย่างสันติ Peace Journalism จากอาจารย์ Johan Gultung เจ้าสำนัก Peace and Conflict Studies

แต่เมื่อภาวะสงครามเกิดขึ้นจริง การถ่วงดุลระหว่าง ‘การตลาดชาตินิยม’ แรงกดดันด้านรายได้ แรงกดดันด้านการเมือง และทัศนะด้านชาตินิยมในตัวหัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าว กับกรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ จะถูกบริหารจัดการอย่างไร?         

สังคมแห่ง Disinformation และ Misinformation ในสงครามจิตวิทยา

สงครามยังดำเนินต่อไป แต่ไม่ใช่การปะทะกันด้วยนักรบผู้กล้าที่มีสวัสดิการเพียงน้อยนิด แต่เป็นสงครามเชิงจิตวิทยายุค AI ที่โจมตีการรับรู้และการตัดสินใจของประชาชนหรือหน่วยงาน ผ่านเทคนิคข้อมูลดิจิทัลและ AI เป็น Cognitive Warfare หรือสงครามของการรับรู้ที่ดำเนินไปด้วยเรื่องเล่าของความเจ็บปวด ความภาคภูมิใจที่ได้ฆ่าอริราชศัตรู ความกล้าหาญของชนชาติตนเอง และความด้อยกว่าของชนชาติอื่น

สงครามจิตวิทยาครั้งนี้ทำให้สังคมตกอยู่ในภาวะ Disinformation คือการผลิตข้อมูลเท็จโดยจงใจ เช่น สร้างข่าวปลอม ภาพปลอม หยิบยกคำพูดมาเพียงบางคำบางประโยค บิดเบือนคำพูดหรือปรับแต่งภาพ กำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อโจมตี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้กำหนดทิศทางและควบคุมคือหน่วยงานรัฐ หน่วยงานด้านความมั่นคง และกลุ่มสุดโต่งทางการเมือง

นอกจากนี้ พวกเราทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นใครก็อยู่ในสังคม Misinformation คือภาวะที่ร่วมกันนำเสนอ ผลิตซ้ำ และแชร์ข้อมูลเท็จ ตัดต่อ หยิบยกเพียงบางคำพูด ข่าวปลอมภาพปลอม โดยไม่รู้ว่าทั้งหมดที่ทำไปถูกบิดเบือนมาแล้วจากต้นทาง

ภารกิจของคนรุ่นนี้กำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดจากบาดแผลร่วมกัน โดยไม่รู้ตัวว่าการผลิตซ้ำชาตินิยมเข้มข้นที่แนบเอา Collective Trauma เป็นแพ็กเกจผ่านกระบวนการทำให้เป็นสินค้าและการตลาดชาตินิยม ได้สร้างมรดกชิ้นสำคัญแก่คนรุ่นต่อไป

มันเป็น ‘มรดกบาป’ ที่ลูกหลานเราเองต้องทนทุกข์กับอัตลักษณ์ชาตินิยมเข้มข้นรุนแรง ทั้งการถูกตีตรา การถูกแบ่งขั้ว การอยู่กับความเกลียดชัง การตั้งปราการที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา และความคิดทางการเมือง

จนต้องกำจัด “คนอื่น” ทั้งคนในชาติและต่างชาติไม่รู้จบ….

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save