ประชาธิปไตยอภิสิทธิ์? เข้าใจชนชั้นกลางจากกมลสันดานสองขั้วในเศรษฐศาสตร์สถาบันและพฤติกรรมของ Thorstein Veblen

กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์

ระบบอภิสิทธิ์ รัฐอภิสิทธิ์ คนอภิสิทธิ์ และการเมืองอภิสิทธิ์ที่ยึดตัวบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วมีรากฐานมาจากความคิดเชิงอภิสิทธิ์นิยม (elitism) ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์นั้นไม่เสมอภาคกันโดยธรรมชาติ แน่นอนว่ามนุษย์นั้นแตกต่างกันที่รูปร่าง สีผิว ความคิด วัฒนธรรม ประเพณี แต่อภิสิทธิ์นิยมเชื่อไปอีกว่าปัจเจกแต่ละคนมีคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ต่างกัน มีสูงมีต่ำ มีมนุษย์ที่ดียิ่งกว่ามนุษย์คนอื่น ชนชั้นสูงสมควรอยู่ในจุดสูงเพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าคนข้างล่าง

ในบริบทของเมืองไทย เรามักยึดโยงความคิดนี้กับศักดินา ระบบอุปถัมภ์ รัฐราชการ และการเมืองบ้านใหญ่ กระนั้น ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มีแค่ในไทย แต่มีอยู่ทั่วโลก[1] เราจึงควรทำให้เป็นสากล เข้าใจบริบทปัญหาเศรษฐกิจการเมืองบ้านเราในฐานะอุดมการณ์และปรากฏการณ์อภิสิทธิ์  

อาการนี้แสดงออกในกมลสันดานของมนุษย์เราทุกคนที่อยากอยู่สูง อยากเด่น อยากเก่งกว่าคนอื่น ในระบบที่ตัววัดคุณค่าอยู่ในรูปของเงิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเงินเก่า เงินใหม่ หรือคนไม่มีเงิน ก็ตกหลุมอภิสิทธิ์ได้ทั้งนั้น หากการแสดงออก การกระทำ และการให้คุณค่าของปัจเจกคนนั้นยกยออภิสิทธิ์และหาเงินเพื่ออวดอ้าง แสดงความเหนือกว่าเพื่อกอบโกยเอาตัวรอด ไม่ว่าจะในระบบไหนมนุษย์ก็มีธรรมชาติเช่นนี้

คำถามคือทำไมในการเมืองประชาธิปไตย ชนชั้นกลางสามัญชนจึงเลือกที่จะให้อำนาจและมอบความชอบธรรมแก่อภิสิทธิ์ผู้เป็นใหญ่หรือบ้านใหญ่ มันย้อนแย้งหรือไม่ที่สามัญชนจะให้อำนาจแก่ผู้ยิ่งใหญ่เอนหาอภิสิทธิ์เช่นนี้?

การทำความเข้าใจความย้อนแย้งดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ปรัชญวิธี (methodology) คิดแบบวิวัฒนาการ[2] (evolutionary) เราอาจเข้าใจได้ว่ามนุษย์เอาตัวรอดและปรับตัวไปตามระบบที่เป็นอยู่ สถาบันและพฤติกรรมของมนุษย์วิวัฒน์ตามสิ่งแวดล้อมและปัจจัยในกมลสันดานตามธรรมชาติ แม้กรอบคิดนี้จะมีจุดเริ่มต้นมาจาก ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่เสนอว่าผู้ที่ ‘เข้มแข็ง’ ที่สุดย่อมอยู่รอด (survival of the fittest) แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าวิวัฒนาการของมนุษย์กับสัตว์นั้นแยกออกจากกัน มนุษย์มีสติ จึงเลือกกระทำตามกมลสันดาน ไม่ได้ทำตามสัญชาตญาณโดยไม่ตรึกตรองเช่นสัตว์  

ในขณะที่สัตว์ใหญ่ล่าสัตว์เล็ก มนุษย์แตกต่างออกไปเพราะเรามีธรรมชาติที่จะร่วมมือกันและสร้างสรรค์ทำงานทำการผลิต ในแง่หนึ่งเรานิยมความเสมอภาค มีความเห็นอกเห็นใจ อยากดูแลผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากจะอยู่สูงกว่า อยากมีชีวิตสุขสบายโดยเอาเปรียบการใช้แรงงานของผู้อื่น ไม่ว่าจะคนอวดอภิสิทธิ์ นักแบก นักพูด นักปฏิบัติ นักการเมือง หรือสามัญชน พวกเขาเลือกแสดงสันดานโดยไตร่ตรองผ่านสติสัมปชัญญะและอุดมการณ์จากระบบที่เขาใช้ชีวิตอยู่

กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์

ธอร์สไตน์ เวเบลน (Thorstein Veblen, 1857-1929) ผู้ประสิทธิ์วิชาเศรษฐศาสตร์สถาบันและพฤติกรรม เห็นว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มี ‘กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์’ (antagonistic dichotomy)[3] เพื่อที่จะปรับตัว เอาตัวรอด และสร้างสรรค์

สถาบัน ประเพณี และวัฒนธรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อสนองสันดานสองขั้วปฏิปักษ์นี้ มนุษย์ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมของระบบเพื่อการสร้างสรรค์และอยู่รอด หากระบบวิวัฒน์ไปทางขั้วใด ก็จะเปลี่ยนสังคมไปในแนวทางนั้น เดินหน้าและถอยหลังเป็นวัฏจักร 

เวเบลนเป็นคนอเมริกันรุ่นแรกในครอบครัวอพยพชาวนอร์เวย์ เขามีชีวิตอยู่ในช่วงของ Gilded Age ที่เศรษฐกิจขยายใหญ่อย่างมากพร้อมกับความเหลื่อมล้ำสุดโต่ง ยุคที่เราเห็นตระกูลอย่าง Vanderbilt, Morgan, Rockefeller ครองเมือง คล้ายกับอภิมหาเศรษฐีทั้งหลายในตอนนี้ เช่น Musk, Bezos, Zuckerberg

ในยุคนั้น แม้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ก็มีความบีบคั้น เพราะพฤติกรรมการอวดรวยอวดอำนาจของอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายทำให้เกิดความแปลกแยกในสังคม อำนาจทางการเมืองในเสรีนิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกันจึงมีความสำคัญและเป็นตัวแปรของการปรับตัวในระบบ

อยากให้ท่านผู้อ่านลองนึกถึงวรรณกรรมที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อย่าง The Great Gatsby เรื่องเศร้าของพระเอกที่มาจากชนชั้นล่าง ไต่เต้าจนเป็นเศรษฐี อวดความร่ำรวย พยายามสนองอัตตาเพื่อแก้ปมความรักฝังใจ แต่สุดท้ายทุกสิ่งก็พังลงอย่างไร้ความหมาย นี่สะท้อนว่าแม้มนุษย์จะมีความก้าวหน้า แต่ก็มีอัตตาที่ติดอยู่ในกรอบกมลสันดานบางอย่าง และจบลงด้วยความเศร้า เวเบลนเล็งเห็นประเด็นนี้และวิจารณ์ความเป็นไปของสังคมได้อย่างลึกซึ้งเจ็บแสบ จนเขากลายเป็นนักเขียนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก วิจารณ์สังคมได้สะใจหมู่ผู้มีแนวคิดเสรีนิยมฝั่งก้าวหน้า

เวเบลนพาเราย้อนไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ผ่านหลักฐานจากวิธีการทางมานุษยวิทยา โดยมนุษย์นั้นมีกมลสันดานผู้ล่า (predatory instinct) แสดงออกผ่านความรุนแรง มีวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่จากร่างกายและอำนาจ ในขณะเดียวกันก็มีกมลสันดานในการผลิต (instinct of workmanship) ที่มีความเสมอภาคมากกว่า เนื่องจากการผลิตต้องอาศัยการร่วมมือกัน แสดงออกในวัฒนธรรมหญิงเป็นใหญ่[4] พฤติกรรมของมนุษย์นั้นถูกกำหนดจากทั้งธรรมชาติและสถาบันวัฒนธรรมที่สติของเราเลือก

เมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ระบบการค้า กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์นี้ก็ยังอยู่ แต่แปลงรูปตามระบบ ความเป็นผู้ล่าแสดงออกผ่านการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ส่วนการทำงานและการผลิตแสดงออกผ่านแรงงานที่มีความสัมพันธ์เสมอภาคกันในหมู่คณะ ในระบบเช่นนี้ เจ้าของปัจจัยการผลิตไม่ลงแรงด้วยตนเอง (absentee ownership) และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ประกอบการ วิศวกร และแรงงาน

สามัญชนทนอยู่ในระบบเช่นนี้ เลือกใช้ชีวิตทำการผลิตใต้อภิสิทธิ์ และไต่เต้าลำดับขั้นเพื่อจะมีอภิสิทธิ์นั้นเสียเอง ก็เพราะมนุษย์ปรับตัวเข้าหาสันดานอภิสิทธิ์นั้นเพื่อความอยู่รอดตามสภาพแวดล้อม

มนุษย์มักมองบนยกย่องคนที่อยู่สูงกว่า เราชื่นชมอินฟลูเอนเซอร์ที่หล่อสวยรวยและเก่ง อภิสิทธิ์ชนทั้งหลายที่พยายามโอ้อวดระดับศักดิ์ฐานะ เวเบลนเรียกคนกลุ่มนี้ว่าชนชั้นสุนทรีย์ (leisure class) คนเหล่านี้ต้องแสดงออกถึงความเหนือกว่าของตนผ่านปัจจัยภายนอก รูปร่าง หน้าตา เครื่องแต่งกายแบรนด์เนม รถ อาหาร และไวน์ กระทั่งยศศักดิ์ ฐานะ และใบปริญญา เราเห็นระบบการศึกษาที่ไม่ได้มีไว้ปลูกปัญญา แต่เป็นใบประกาศให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นจบมาจากสถาบันใด ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา

ชนชั้นสุนทรีย์มีพฤติกรรมการบริโภคเพื่อโอ้อวด (conspicuous consumption) ต้องเน้นว่านี่ไม่ใช่แค่แนวคิดบริโภคนิยมที่ฝั่งหัวโบราณนำมาติเตียนระบบทุนนิยม แต่เป็นการบริโภคประกาศอย่างสะเหล่อ ที่มีความหมายต้องการแสดงอภิสิทธิ์ เพื่อดึงสามัญชนให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันด้วยธรรมชาติของความอิจฉาอยากได้ การโอ้อวดเป็นกลไกที่ทำให้ระบบคงอยู่ได้ ดึงให้เกิดสมดุลในระบบอภิสิทธิ์ เราเห็นบางคนเปิดแอร์เย็นๆ ให้กระเป๋าแบรนด์เนม ขับรถพอร์ช โชว์นาฬิกา จัดงานแต่งงานอวดฐานะ แม้จะนึกสงสัยว่าทรัพย์สินที่เขาหามาได้นั้นมีที่มาชอบธรรมแค่ไหน ทำงานที่สร้างประโยชน์อะไร แต่พฤติกรรมนี้ก็สามารถดึงปุถุชนจำนวนมากให้เข้าไปในหลุมทุจริต ยกยอความอภิสิทธิ์นั้นด้วยความลุ่มหลง

แทนที่จะโต้กลับ สามัญชนกลับไต่เต้าอยากจะอยู่สูงเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสียเอง

ยุคโซเชียลมีเดียยิ่งทำให้กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์ถูกเผยออกมาอย่างตรงไปตรงมา กมลสันดานด้านหนึ่งของเราดึงสามัญชนให้เห็นอภิสิทธิ์เป็นของดี แถมพยายามเลียนแบบการบริโภคอย่างโอ้อวด ในขณะที่กมลสันดานอีกฟากที่เห็นว่ามนุษย์ควรเสมอภาคกันก็ตอบโต้อย่างดุเดือด เราควรมองการตัดสินทางศีลธรรมว่าไม่ใช่การด้อยค่าหรือการประณาม แต่เป็นการโต้กันและโต้กลับของกมลสันดานสองขั้วที่พยายามไปเปลี่ยนแปลงผู้คนรอบข้าง เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่จะตัดสินและให้คุณค่าแนวทางการใช้ชีวิต ยิ่งหากเป็นการตัดสินจากผู้ที่อยู่ด้านล่าง เรายิ่งถือว่าเป็นการโต้กลับที่เข้มข้น (punch up) 

เมื่อพ้นจากความเป็นปัจเจกก็ไปสู่ระบบภาพใหญ่ อย่างโครงสร้างการจัดการในท้องถิ่นที่ขัดแย้งกับโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์ ประเพณีชุมชนซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับประเพณีอภิสิทธิ์ วัฒนธรรมแม่เป็นใหญ่ที่เสมอภาคเป็นปฏิปักษ์กับวัฒนธรรมพ่อเป็นใหญ่ที่เป็นลำดับชั้น[5] อุดมการณ์เสรีนิยมซึ่งขัดกับอุดมการณ์อภิสิทธิ์นิยม ขั้วขัดแย้งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้และทรัพยากรในเชิงเศรษฐศาสตร์ หากการวิวัฒน์เอนให้ขั้วไหนมีอำนาจ ก็จะกำหนดให้ระบบสังคมมีความเสมอภาคหรือเป็นลำดับชั้นตามอำนาจของขั้วนั้น

ประชาธิปไตยในฐานะ เครื่องมือวิวัฒนาการทางสังคม

‘ประชาธิปไตย’ เป็นตัวเร่งการวิวัฒน์ของสังคมในการโต้กลับระหว่างสองขั้วปฏิปักษ์นี้ โดยเปิดโอกาสให้เสียงและอุดมการณ์ต่างๆ แข่งขัน โต้เถียง และต่อรองอย่างเป็นระบบ ดังนั้น แทนที่จะมองประชาธิปไตยเป็นแค่ ‘ระบบที่เลวน้อยที่สุด’ อย่างที่มักพูดกัน เราควรมองว่าประชาธิปไตยคือ ‘เครื่องมือวิวัฒนาการทางสังคม’[6] เป็นกระบวนการที่เอื้อต่อการวิวัฒน์ของสถาบันในสังคมมนุษย์ เป็นตัวเร่งในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระเบียบที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

แม้สามัญชนจะลงคะแนนเลือกผู้ยิ่งใหญ่ ตามกมลสันดานธรรมชาติที่ดึงเอาพฤติกรรมการเอาตัวรอดของมนุษย์ออกมาตามสิ่งแวดล้อมและระบบ เราต้องเข้าใจว่าความบีบคั้นในระบบ สร้างความเข้าใจโลกและทางเลือกจากสันดานขั้วปฏิปักษ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ เวเบลนเห็นว่าระบบที่มีความเหลื่อมล้ำ ยกย่องเงินและสถานะ สามารถหันขวาไปสู่เผด็จการและฟาสซิสต์ได้ มนุษย์ถูกสันดานอภิสิทธิ์ข่มทับอยู่เสมอ เขาคงผิดหวังขมขื่นที่สามัญชนเอนหาอำนาจอภิสิทธิ์เช่นนี้

เวปเบลนอยู่ไม่ถึงตอนที่อุดมการณ์อภิสิทธิ์ที่เขาเห็นเป็นประจักษ์นั้นล้มและเปลี่ยนแปลง[7] มันพังลงมาโดยไม่มีการวางแผน เขาตายในวัยชราเจ็ดสิบกว่าอย่างโดดเดียวในกระท่อมที่ห่างไกลจากระบบของผู้คนและสังคมที่เขาเดียดฉันท์ เขาหดหู่ขนาดเขียนพินัยกรรมว่าอย่าให้มีป้ายหลุมศพหรือข้อความที่ระลึกถึงเขาทั้งๆที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่กี่เดือนหลังเวเบลนจากไป ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกพังทลาย (Great Depression, 1929-1939) หลังจากนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง (WWII, 1939-1945) และไม่นานก็เกิดระเบียบใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากนโยบาย New Deal และภาคประชาสังคม ซึ่งมาจากกระบวนการทางประชาธิปไตย ระเบียบใหม่ในยุคหลังสงครามโลกนี้ เราเห็นสังคมที่มีความเสมอภาค การเติบโตอย่างก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม จนถูกเรียกว่าเป็นยุคทองของทุนนิยม (Golden Age of Capitalism)

เหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วระบบเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เปลี่ยนกลับไปมาตามการวิวัฒน์เอาตัวรอด ซึ่งชีวิตของมนุษย์เรายืนยาวไม่พอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น

ในบริบทไทยเราน่าสนใจมาก เราเห็นขั้วปฏิปักษ์นี้อย่างชัดเจนจากเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่กว่าครึ่ง วัฒนธรรมแม่เป็นใหญ่เสมอภาค ที่ผู้หญิงมีการศึกษาและรายได้สูงผู้ชายในหมู่สามัญชน[8] กระบวนการประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลาน และยังมีข้อถกเถียงที่ว่าสังคมไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อาจมีความเป็นเสรีนิยมทับซ้อนกับศักดินา

ท้ายที่สุดแล้ว เราควรทำความเข้าใจประชาธิปไตยในฐานะกลไกการวิวัฒน์ที่ช่วยในการเปลี่ยนผ่าน ปรับระบบการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยมองผ่านกรอบพฤติกรรมและวิวัฒนาการของสถาบันมนุษย์ ปรัชญวิธีกรอบการวิวัฒน์ของเวเบลนในเศรษฐศาสตร์สถาบันและพฤติกรรม ช่วยให้เราทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ และสามารถนำมาใช้เป็นหลักการพื้นฐานเพื่อโต้ความเข้าใจโลกและอุดมการณ์การเมือง เตรียมตัวและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น


[1] ตอนไปเรียนต่างประเทศใหม่ๆ เพื่อนชาวอเมริกันเคยตั้งคำถามกับผู้เขียนว่าเมืองไทยมีการเหยียดผิวไหม ผู้เขียนไม่เข้าใจ นึกอยู่นานเป็นปีๆ จนในที่สุดตกผลึกว่าเมืองไทยเราไม่มีการเหยียดผิวที่ฝังรากลึกเป็นระบบอย่างเขา เนื่องจากสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างเมืองไทยนั้นแบ่งแยกหน้าตาและสีผิวได้ยาก เราเป็นจีนปนลาวปนมอญปนแขกปนเปไปหมด ดังนั้นการเหยียดของบ้านเราอาจเหยียดกันในเรื่องความเป็นมนุษย์สูงต่ำเลยทีเดียว

[2] Why Economics is not an Evolutionary Science? (1898) เวเบลนติเตียนนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่คิดในกรอบปรัชญวิธีแบบเส้นตรง นักคิดเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ทฤษฎีมูลค่าแรงงานและทฤษฎีส่วนเพิ่ม ติดอยู่ในกรอบของตัวเลขที่พยายามหาวิธีวัดมูลค่าของสิ่งของ เพื่อจะบอกว่าใครจนใครรวยเพราะอะไร ทฤษฎีมูลค่าส่วนเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานและทุนเพื่อหาผลตอบแทน เวเบลนตำหนิมาร์กซ์อย่างสาดเสียเทเสียเช่นกันกับพวกทฤษฎีส่วนเพิ่ม ทั้งสองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นี้มีระเบียบวิธีคิดที่แคบอยู่ในแบบอนุกรมวิธาน (taxonomy)

[3] ดูบท Thorstein Veblen  ใน  Hunt, E.K. and Mark Lautzenheiser. History of Economic Thought: A Critical Perspective, 3rd ed. การอธิบายเวเบลนด้วยความคิดขั้วปฏิปักษ์ (antagonistic dichotomy) มาจากงานของอาจารย์ฮันต์ สำหรับการสอนในห้องเรียนผู้เขียนชอบยกตัวอย่าง Star War ด้านมืดและสว่าง คล้ายๆ กับความคิดหยินหยาง 

[4] เวเบลนมีช่วงชีวิตในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดังนั้น วิธีคิดของเขาจึงยังอยู่ในระบบสองเพศหลัก

[5] ต้องเสริมว่าแม่เป็นใหญ่หมายถึงความเสมอภาค กระนั้นก็ยังต้องถกเถียงอยู่ดี ผู้เขียนเคยเสนอแนวคิดนี้ให้เพื่อนต่างชาติฟัง เธอถามว่าถ้าอย่างนั้นเพศไหนควรปกครอง เลยต้องอธิบายเพิ่มเติมเรื่องความเสมอภาค พัฒนาการของสตรีนิยมในตะวันตกนั้นมีลำดับขั้นตอนที่แตกต่าง ซึ่งยังต้องลงลึกทำความเข้าใจในแนวคิดนี้ต่อไป

[6] ความคิดตลาดสุดโต่งมักอ้างว่าตลาดเป็นพื้นที่ให้เกิดการวิวัฒน์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนประชาธิปไตยเป็นเรื่องของกลุ่มอำนาจอภิสิทธิ์ ซึ่งผู้เขียนอยากแย้งว่าประชาธิปไตยก็เป็นตัวเร่งการวิวัฒน์ด้วย ทั้งยังครอบคลุมภาพใหญ่กว่าตลาดมาก ดู Schumpeter, J. A. (1942). Capitalism, socialism, and democracy. Harper & Row. https://jacobin.com/2020/04/joseph-schumpeter-john-medearis-democracy-elites สำหรับเวเบลนเข้าใจว่าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับประชาธิปไตยนัก ที่จริงเวเบลนยกย่อง ‘กองทัพของวิศวกร’ ซึ่งก็อาจตกไปในกลุ่มความคิดเทคโนแครต ก็ต้องมาถกกันว่ากองทัพของเวเบลนหมายถึงคนหมู่น้อยที่มีความสามารถหรือประชาชนที่มีความสามารถทั้งมวล

[7] ดูบท Veblen ใน Heilbroner, R. L. (2011). The worldly philosophers: The lives, times and ideas of the great economic thinkers. Simon and Schuster. เวเบลนมีชีวิตส่วนตัวที่ประหลาดสุดโต่ง มีทัศนคติหลายอย่างต่างจากคนอื่น ขณะที่หลายคนยกให้เขาเป็นนักสตรีนิยมเขียนเรื่องการกดขี่ผู้หญิงในวัฒนธรรมอภิสิทธิ์ชายเป็นใหญ่ ตัวเขาเองกลับโดนไล่ออกจาก Chicago และ Stanford จากเรื่องชู้สาว

[8] ข้อมูล Labor Force Survey ของไทยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ระบุว่าผู้หญิงไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้สูงกว่าหรือเท่าๆ กับผู้ชาย รวมทั้งดัชนีพัฒนามนุษย์ Human Development Index ที่ผู้หญิงมีค่าสูงกว่า แต่ก็เป็นที่ทราบกันว่าข้อมูลของสำนักงานสถิติอาจไม่ได้ครอบคลุมรายได้ของผู้มีรายได้สูง โดยการคำนวณรายได้ต้องนำข้อมูลภาษีมาใช้ด้วย (Jenmana & Gethin 2019) ดังนั้นเราไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วระดับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างชายหญิงในไทยเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเราทราบว่าไม่มีความแตกต่างทางรายได้นักระหว่างหญิงชายสามัญชน กระนั้นหากเราคิดตามทฤษฎีขั้วขัดแย้ง ก็จะทำนายว่าในระดับรายได้สูงนั้นจะมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากโดยที่ชายเป็นใหญ่ ส่วนในระดับสามัญมีความเสมอภาคระหว่างชายหญิงมากกว่า

ดูข้อมูลความแตกต่างของรายได้ระหว่างหญิงชาย (gender wage gap) ในไทย ได้จากรายงานของ World Bank ซึ่งก็ยังมีงานวิจัยหลากหลายที่มีข้อสรุปแตกต่างกัน https://documents1.worldbank.org/curated/en/099406409092241751/pdf/IDU034d82bab09d520457f08a48041bae60a437a.pdf

กมลสันดานสองขั้วปฏิปักษ์

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save