ทำไมคนถึงสร้างและแชร์ข้อมูลผิดๆ?

หลังอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2025 ไม่กี่วันถัดมาก็มีการแชร์ภาพพร้อมคำบรรยายว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นั่งดื่มแชมเปญหลังปฏิบัติหน้าที่ในจุดเกิดเหตุ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้ว่าฯ ถืออยู่คือ ‘คอร์นด็อก’ ที่โดนกัดไปแล้วส่วนหนึ่งต่างหาก 

ทำไมถึงมีคนที่อยากสร้างข้อมูลผิดๆ ทำนองนี้ และยิ่งไปกว่านั้นคือทำไมถึงมีคนที่เชื่อเรื่องไม่น่าเชื่อเหล่านี้ และแชร์เรื่องราวในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางด้วย?

คนทั่วไปมักสรุปแบบง่ายๆ ว่าคนสร้างข่าวมั่วซั่ว หากไม่ใช่เพราะนิสัยเสียก็คงเพราะได้ประโยชน์บางอย่าง อาจหิวแสงอยากได้ไลก์และแชร์ หรือไม่ก็เกลียดชังผู้ว่าฯ เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ส่วนคนแชร์นั้นอาจไม่เฉลียวใจ หรือไม่ก็เป็นคนที่เชื่ออะไรง่ายโดยพื้นฐาน …แต่คำอธิบายแบบนี้จริงแท้แน่หรือ? 

มีงานวิจัยเกี่ยวกับ ‘การส่งต่อข่าวที่เชื่อถือได้น้อย’ มาเกือบร้อยปีแล้ว อย่างน้อยก็ย้อนกลับไปถึงยุคสงครามโลกครั้งที่สองแต่ในยุคนั้นจะอยู่ในรูปของข่าวลือ (rumor) มากว่าจะเป็นข่าวปลอม (fake news) ข้อมูลผิดเพี้ยน หรือข้อมูลบิดเบือน (disinformation และ misinformation) อย่างในปัจจุบัน [1]

ข่าวลือในสมัยนั้นคือเรื่องราวที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ มักกระจายผ่านช่องทางอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีจุดประสงค์ทางจิตวิทยาหรือทางสังคม บางครั้งข่าวลือก็กลายเป็นเรื่องจริง ส่วนอีกมากก็ไม่จริง แต่ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ใช้เป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงความสับสนและความหวาดกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนหรือสังคมขณะนั้นได้ บางครั้งก็ชี้ให้เห็นความคาดหวังบางอย่างที่ยากจะเป็นจริงของคนในสังคม

ข่าวลือจึงเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของการรับรู้ร่วมกันของชุมชนในเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่าง หากมองในแง่นี้ข่าวลือก็มี ‘หน้าที่’ จำเพาะของมันอยู่

เมื่อเวลาล่วงมาถึงยุคโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน การปล่อยข่าวลือหรือข่าวเท็จอาจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและกว้างไกลกว่าเดิม กรณีที่โดดเด่นไม่นานมานี้คือการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาปี 2020 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) พูดซ้ำๆ จนผู้สนับสนุนเชื่อว่ามีการตุกติกเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งแม้ไม่มีหลักฐานแต่อย่างใด การฝังหัวผู้สนับสนุนว่าต้องมีการโกงเลือกตั้งแน่ ทำให้สาวกที่อาสาจับตาคูหาเลือกตั้งอ้างว่าพบเห็นการโกง (ที่ไม่มีอยู่จริง) จนเกิดเป็นคลื่นข่าวลือและเกิดเหตุการณ์บานปลายรุนแรงในที่สุด

ปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อและการแชร์ข้อมูลหรือข่าวบนโซเชียลมีเดียมากมาย ในปี 2023 นักวิจัยมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียศึกษาผู้ใช้เฟซบุ๊ก 2,476 คน อายุตั้งแต่ 18-89 ปี โดยอาสาสมัครเหล่านี้จะโดนเก็บข้อมูลโพสต์และแชร์ของพวกเขา อีกทั้งต้องทำแบบสำรวจยาวเจ็ดนาที ซึ่งต้องมีการตัดสินใจว่าจะแชร์หรือไม่แชร์ข้อความใด[2]

ผลการทดลองทำให้ทราบว่าในบรรดาข่าวปลอมที่แชร์กันบนเฟซบุ๊กนั้น มีมากถึง 30-40% ทีเดียวที่แชร์โดยคนเพียงแค่ 15% ที่เป็นผู้ใช้งานซึ่งขยันแชร์เป็นปกติ และนิสัยแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กเสียด้วย  

คนกลุ่มนี้ชอบแชร์ข้อมูลและมักติดกับดักข้อมูลที่กระตุ้นความสนใจหรือความรู้สึกได้ง่าย เรียกว่า ‘อิน’ ง่ายก็คงได้ บางคนก็ ‘หิวแสง’ ต้องการให้คนสนใจ โดยหากเทียบกับผู้ใช้งานหน้าใหม่หรือผู้ใช้งานที่นานๆ จะเข้ามาใช้งานสักครั้ง พบว่าขาประจำเฟซบุ๊กพวกนี้แชร์ข้อมูลผิดๆ บ่อยกว่าถึง 6 เท่า!

นักวิจัยชี้ว่า นี่อาจแสดงให้เห็นอิทธิพลและรูปแบบที่อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใช้คัดเลือกว่าจะแสดงโพสต์ใดมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง การรับมือกับข่าวปลอมที่มีประสิทธิภาพที่สุดแบบหนึ่งคือการบังคับให้แพลตฟอร์มออกแบบวิธีทำงานของอัลกอริทึมใหม่ โดยให้ความสำคัญกับโพสต์ที่มีข้อความที่ ‘ถูกต้อง’ มากกว่าโพสต์ที่มีข้อมูลผิดเพี้ยนแต่ได้รับ ‘ความนิยม’

แต่อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าการบังคับให้แพลตฟอร์มทำอะไรสักอย่างนั้นไม่ง่ายเลย พวกโพสต์ที่แหกตาหลอกลวง หากยอมจ่ายเงินให้แพลตฟอร์มเพื่อบูสต์โพสต์ (boost post) แม้จะถูกรายงานถี่ๆ ก็ยังไม่โดนถอดออกอยู่ดี 

นักวิจัยทำแบบจำลองเพิ่มเติมก่อนพบว่า การปกป้องไม่ให้เผยแพร่ข่าวหลอกลวงแทบเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ถึงอย่างไรก็จะยังมีคนเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข่าวหลอกไม่ว่าจะป้องกันกันอย่างไร การไม่ให้ความสำคัญมากเกินไปกับการไลก์และแชร์ แต่สร้างแรงจูงใจแบบอื่นอาจช่วยลดปัญหานี้ได้บ้าง 

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตันในปี 2020 อันเจาะไปที่การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา สรุปว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แค่ความผิดถูกของข้อมูลหรือการรับรู้เรื่องความผิดถูก แต่ ‘กรอบความคิด’ ที่อยู่ในหัวของคนอ่านขณะตีความข้อมูลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การรับรู้และตีความข้อมูลของคนในสังคมซึ่งถูกกำหนดจากพลวัตทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และระบบข้อมูลล้วนมีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกแชร์หรือไม่แชร์ข้อมูลผิดๆ

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจากการทำงานร่วมกันของเอ็มไอที มหาวิทยาลัยเรจินาในแคนาดา และมหาวิทยาลัยเอกซีเทอร์บิสิเนสสกูลในสหราชอาณาจักร ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารระดับโลกอย่าง Nature[3] สรุปว่าสาเหตุสำคัญที่คนแชร์ข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะคนเหล่านั้นให้ความสนใจกับปัจจัยอื่นมากกว่าปัจจัยเรื่องความถูกต้องของข้อมูล 

พูดอีกอย่างคือไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่แชร์อาจไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาไม่แคร์เพราะสนใจประเด็นอื่นมากกว่า จนคิดว่าแชร์ต่อก็ได้แม้ข้อมูลจะผิดๆ ถูกๆ ก็ตาม

มีปัจจัยมากมายที่ทำให้คนแชร์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งหากต้องการสู้กับข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือข่าวลือต่างๆ ก็ต้องทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น จึงจะทำได้ดีหรือทำได้สำเร็จ

ปัจจัยแรกคือปัจจัยเชิงมุมมองที่อยากช่วยสังคม (prosocial activism) กล่าวคือแชร์ด้วยความตั้งใจให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และจูงใจผู้คนเพื่อให้สังคมดีขึ้น ข้อสังเกตคือคนกลุ่มนี้มักเป็นพวกคนดี (ที่ไม่มี ‘ย์’) ไม่เน้นการโจมตีผู้อื่นหรือก่อดราม่า ปัจจัยที่สองและสามคือความต้องการสร้างความตระหนัก (awareness) และความต้องการต่อสู้กับข้อมูลผิดๆ (fighting false information) กล่าวคือแชร์เพราะอยากให้เกิดความโปร่งใสของข้อมูลและไม่สนับสนุนการสร้างทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ 

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นปัจจัยเชิงบวก ต่อไปเราจะไปดูปัจจัยเชิงลบกัน  

ปัจจัยเชิงลบแรกคือความต้องการโจมตีหรือหลอกใช้คนอื่น (attack or manipulation of others) คนที่ตั้งเป้าแบบนี้จะไม่สนใจความถูกต้องของข้อมูลหรือผลกระทบในด้านร้ายกับผู้รับข่าวสารเลย อีกปัจจัยคือการต้องแสดงตัวตนทางการเมือง (political self-expression) ข้อนี้ตรงไปตรงมา ฉันอยากบอกว่าฉันเป็นใคร ฉันเห็นอย่างไร ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือการเน้นที่ความบันเทิง (entertainment) กล่าวคือโพสต์แล้วได้เห็นคนสับสนหรือถกเถียงกันก็รู้สึกสนุกขบขันหรือแก้เบื่อได้  

แต่สุดท้ายยังต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างอุปนิสัยรายบุคคลที่อาจผิดแผกแตกต่างกันได้มาก แม้จะมีปัจจัยอื่นๆ ที่คล้ายผู้อื่น ก็อาจตัดสินใจทำสิ่งที่แตกต่างออกไปได้ 

สรุปว่าการที่มีคนทำข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนขึ้น นั่นเป็นเพราะเขาหรือเธอมีวัตถุประสงค์แน่ชัดบางอย่างซ่อนอยู่ และการแชร์ข้อมูลเหล่านั้นก็อาจไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ แต่อาจเพราะมีวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์บางอย่างด้วยเช่นกัน 

References
1 Faye, C. (2007). Governing the grapevine: The study of rumor during World War II. History of Psychology, 10(1), 1–21. https://doi.org/10.1037/1093-4510.10.1.1
2 G. Ceylan,I.A. Anderson,& W. Wood,  Sharing of misinformation is habitual, not just lazy or biased, Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. 120 (4) e2216614120, https://doi.org/10.1073/pnas.2216614120 (2023
3 Pennycook, G., Epstein, Z., Mosleh, M. et al. Shifting attention to accuracy can reduce misinformation online. Nature 592, 590–595 (2021). https://doi.org/10.1038/s41586-021-03344-2

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save