หาก กฤษฎาภินิหารอันบดบังไม่ได้[1] เป็นผลงานของคึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนขึ้นมาเพื่อ ‘ดีเฟนด์’ การเล่าเรื่องความโหดเหี้ยมของพระนเรศวร และการบันทึกถึงความป่าเถื่อนของสยามจากสายตาของฝรั่งแล้ว พม่าเสียเมือง อาจถือเป็นผลงานคู่ขนานที่(อ้างว่า)ใช้บันทึกของฝรั่งในการเขียนถึงความป่าเถื่อนของพม่าเพื่อเล่าถึงความสยองขวัญในพระราชวังพม่ายุคสิ้นแสงสถาบันกษัตริย์ได้เช่นกัน
แม้สยามจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยุธยานั้นต้องเสียกรุงให้กับพม่าถึงสองครั้งสองครา ดังนั้น สำนึกทางประวัติศาสตร์ที่มักจะกล่าวกันว่าเราไม่เคยเป็น ‘เมืองขึ้น’ ของใคร ก็อาจจะใช้ได้แค่กับชาติตะวันตกในยุคอาณานิคมเท่านั้น
การ ‘ปลดแอก’ ตนเองจากเจ้าอาณานิคม เป็นสำนึกในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านที่ผ่านการถูกกดขี่และผ่านศึกมาร่วมกัน นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ของชาติใหม่ได้หลังการต่อสู้-ต่อรองเพื่อขับไล่เจ้าอาณานิคมออกไป ประเทศไทยไม่เคยได้มีประสบการณ์นั้นโดยตรง หากจะมีการปลดแอกก็มีอยู่ 2 เรื่องเล่าเป็นอย่างน้อย นั่นคือ เรื่องเล่าของฝ่ายขวา ที่ปลดแอกอยุธยาจากการปกครองของจักรวรรดิพม่าทั้งจากสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าตากสิน และเรื่องของฝ่ายซ้าย อย่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่พยายามต่อสู้เพื่อปลดแอกจากอำนาจรัฐเผด็จการและจากการเป็นสมุนจักรวรรดินิยมอเมริกาเพื่อสร้างสังคมอุดมคติ ซึ่งฝ่ายหลังไม่ประสบความสำเร็จ
พื้นหลังของ พม่าเสียเมือง เกิดขึ้นในช่วงต้นหลังเหตุการณ์ ‘เสียงปืนแตก’ หรือ การปะทะกันของกองกำลังของรัฐบาลและพคท. ไม่นานนัก พม่าเสียเมืองเคยถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันละ 1 ตอนตั้งแต่ปี 2511[2] ก่อนจะรวมเล่มในปลายปี 2512 ในห้วงเวลาใกล้เคียงกันเรายังพบการเล่าเรื่องพุทธศาสนาเชิงปาฏิหาริย์ ผ่านการอธิบายเรื่องกรรมเก่าที่โลดโผน ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตรรกะแบบเหตุผลและความเป็นวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนเคยได้ให้คำนิยามพุทธศาสนาเช่นนี้ในช่วงสงครามเย็นว่า ‘จิตนิยม-ประวัติศาสตร์’ ซึ่งเป็นคู่ตรงข้ามกับ ‘วัตถุนิยมประวัติศาสตร์’ ของฝ่ายซ้ายที่ชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมที่จะพัฒนาไปสู่สังคมอุดมคติแบบคอมมิวนิสต์ที่มีพื้นฐานอิงอยู่กับคำอธิบายเชิงวัตถุสสาร (อันหมายถึงการผลิตซึ่งสัมพันธ์กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ) ผ่านความขัดแย้งทางชนชั้น ซึ่งสังคมจจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยการบังเกิดวิถีการผลิตและระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ขึ้น
จิตนิยม-ประวัติศาสตร์นั้นมิได้มีเป้าหมายเพื่อความเปลี่ยนแปลงเท่ากับการคงสถานภาพในสังคมที่เชื่อว่าดีงามอยู่ อย่างไรก็ตาม การกำกับชะตาชีวิตของมนุษย์อยู่ที่การกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของปัจเจกหรือการกระทำของผู้คนในสังคม จะเห็นคำอธิบายเช่นนี้ชัดเจนที่สุดในชุดหนังสือ ‘กฎแห่งกรรม’ ของ ท.เลียงพิบูลย์
น่าสนใจว่า ‘พม่าเสียเมือง’ มักจะถูกจัดวางบนชั้นหนังสือในหมวด ‘ประวัติศาสตร์’ ในห้องสมุด อย่างไรก็ดี มีผู้วิจารณ์พม่าเสียเมืองไว้ว่า “เรื่องนี้มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่ง เนื่องจากผู้แต่งได้แทรกการวิเคราะห์สถานการณ์ การคาดการณ์และนำเนื้อความที่แต่งจากจินตนาการเข้ามาสะท้อนให้เห็นถึง ‘ความลวง’ ที่ผู้แต่งนำมาประสานกับความจริงได้อย่างเหมาะสม จนเรื่องนี้มีอำนาจจูงใจให้เกิดความเชื่อถือได้มาก”[3]
‘รัฐชาติกรรม’ กรรมกำเนิดบนฐานชาตินิยม
ไม่ว่าคนในยุคก่อนหน้าจะเชื่อเรื่องกรรมอย่างไร จะอธิบายกรรมแบบรวมหมู่หรือไม่ ยังไม่นับว่าสำนึกความเป็นรัฐสมัยใหม่ยังไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ก่อนร้อยกว่าปีที่แล้ว แต่พม่าเสียเมืองทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการผูกเข้ากับอุดมการณ์ราชาชาตินิยมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กษัตริย์และราชธานี ในที่นี้จึงขออธิบายกรรมที่ผูกสัมพันธ์กับรัฐชาติด้วยคำว่า ‘รัฐชาติกรรม’ อันเป็นการอธิบายกรรมในฐานะตัวตนของรัฐชาติ
เดิมที ‘โชคชาตา’ ของบุคคลมักถูกนำมาคำนวณทางโหราศาสตร์ เพื่อพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิต ขณะที่ ‘ดวงของเมือง’ ก็ยังเป็นมิติที่มีศูนย์กลางผูกอยู่กับอำนาจศูนย์กลางอย่างเมืองหลวง เช่น การผูกดวงเมืองเพื่อหาฤกษ์สร้างเมือง วางศาลหลักเมือง ข่าวลือเรื่องการปฏิวัติในงานฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี เมื่อปี 2475 ก็มาพร้อมกับคำพยากรณ์ที่เคยเชื่อกันมาว่า กรุงเทพฯ และราชวงศ์จะมีอายุเพียง 150 ปี[4] แต่ก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบเวรกรรมที่มาตามทันกรุงเทพฯ ขณะที่พม่าเสียเมืองนั้นเน้นย้ำว่ามาพร้อมกับเวรกรรม ดูตัวอย่างข้อความต่อไปนี้
“โชคชาตาของพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาต้องตกอับถึงที่สุดเนื่องมาจากต้องเสียกรุงให้แก่พม่า คนไทยจำนวนไม่น้อยคงจะอยากรู้ว่าโชคชาตาแห่งพระราชวงศ์กรุงอังวะที่ตีกรุงเก่าได้นั้นเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าท่านอดใจอ่านเรื่องนี้ต่อไป บางทีจะแลเห็นเวรกรรมบ้าง” [5]
‘เวรกรรม’ ของราชวงศ์พม่าจะตามทันในรูปแบบไหน อย่างไร ล้วนผูกอยู่กับสิ่งที่พม่าทำกับไทยไว้ในสมัยอยุธยา ผู้แต่งรวมทั้งทราบแน่นอนอยู่แล้วว่า ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์พม่านั้นจบลงโดยการที่พม่าตกเป็นเมืองขึ้น และราชวงศ์ในฐานะประมุขของประเทศถูกทำให้หายไปซึ่งร้ายแรงเสียยิ่งกว่าการที่ตกเป็นเมืองขึ้น
คำถามคือ ในทางกลับกัน ประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับเป็นทางการ ที่เน้นการทำสงคราม การสร้างวีรบุรุษแห่งชาติและการขยายอำนาจ กลับมองความพยายามปลดแอกของประเทศเพื่อนบ้านว่าเป็น ‘ความกระด้างกระเดื่อง’ เช่น กรณีเจ้าอนุวงศ์แห่งลาว ทั้งที่ลาวเพิ่งกลายเป็นเมืองขึ้นของสยามมาเพียงยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินเท่านั้น การทำให้ลาวหรือล้านช้างเสียกรุง กระทั่งสูญเสียพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอย่างพระแก้วมรกต ส่งผลอย่างไรในวิธีคิดแบบ ‘รัฐชาติกรรม’ หรือจะอธิบายว่า กรรมทั้งหลายนั้นสัมพันธ์กับจุดจบของราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินและการเมืองแบบชุมนุมไปด้วย ก็ยังไม่เห็นผู้ใดอภิปรายในสิ่งนี้ได้ชัดเจนนัก ดังนั้น รัฐชาติกรรมแบบพม่าเสียเมือง จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ความเป็นไทยที่ผู้แต่งเลือกแล้ว
การจับเอากรรมไม่ดีทั้งหลายที่กระทำผ่านตัวละครทางประวัติศาสตร์จึงเป็นการจัดฉากเรื่องเล่า ‘กฎแห่งกรรม’ อีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา การผสมผสานรสชาติทางวรรณศิลป์ที่ไม่เป็นรองใครอย่างคึกฤทธิ์ยิ่งทำให้พม่าเสียเมืองกลายเป็นสารคดีทางประวัติศาสตร์ที่มีความแนบเนียนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อต้องการจะปูเรื่องให้มีความน่าเชื่อถือ การเริ่มด้วยประวัติศาสตร์และเกร็ดต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ผู้แต่งเห็นว่า ไทยนั้นได้รับบทเรียนจากการเสียกรุงมาก่อน ดังนั้นในยุคหลังก็ถือว่าชนชั้นนำไทยได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับตะวันตกอย่างชาญฉลาด ผิดกับพม่าที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ระเบียบการบริหารบ้านเมืองจึงยังสืบทอดจารีตเดิมที่เคยรุ่งเรืองมา แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเข้ามาของพวกฝรั่ง เมืองหลวงใหม่ที่มัณฑเลย์เป็นที่มั่นสำคัญในสมัยพระเจ้ามินดง อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเมื่อเผชิญกับสงครามกับอังกฤษจริงๆ แล้ว พม่าก็สู้ไม่ได้ การสูญเสียหัวเมืองทางตอนใต้บริเวณปากแม่น้ำอิรวดี ทำให้พม่าเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ
จุดเน้นของผู้แต่งคือการเล่ารายละเอียดในราชสำนักที่ชี้ว่า นอกจากกรรมเก่าที่ตามมาจากการตีกรุงศรีแล้ว ยังเกิดจากปัญหาการกระทำหรือไม่กระทำของบุคคลทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะกล่าวถึงกษัตริย์พม่าที่ ‘เสียจริต’ ถึง 3 รัชกาล[6] โดยทำการประณามว่า ‘เสียจริตทางเลอะ’ และ ‘เสียจริตทางโลภ’ แต่นั่นก็คือสายโซ่ที่เกี่ยวพันกันมาจากกรรมของประเทศ
กษัตริย์องค์สุดท้ายอย่างพระเจ้าสีป่อ และมเหสีอย่างพระนางศุภยลัตที่ประพฤติผิดศีลธรรม ละเมิดศีลข้อสำคัญอย่างปาณานิติปาต เนื่องจากมีการฆ่าและทำทัณฑ์ทรมานผู้คนจำนวนมาก จนเป็นเหตุนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรและราชวงศ์ กรรมไม่ดีของกษัตริย์ได้ส่งผลต่อราชอาณาจักรอย่างเลี่ยงไม่พ้น
“ประหารนางมะขิ่นคยีและพรรคพวกแล้ว อีกปีหนึ่งต่อมาเจ้าฟ้าพระราชธิดาของพระนางศุภยลัตทั้งสองพระองค์ประชวรด้วยไข้ทรพิษสิ้นพระชนม์ การปลูกฝีไข้ทรพิษนั้นเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายแล้วในเมืองไทยสมัยนั้น แต่กรรมเวรเป็นของมีจริง พระนางศุภยลัตได้ฆ่าฟันผู้คนเสียมากตามแต่โทสะจะชักนำไป แต่กรรมนั้นก็ตอบสนองเอาก่อนที่พระราชโอรสธิดา พระนางศุภยาลัตมีพระราชโอรสหนึ่งพระองค์ พระราชธิดาอีกสอง แต่ก็ต้องสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์พระชันษาทั้งสิ้น หาได้อยู่ให้เชยชมไม่” [7]
ยังมีการอธิบายกรรมที่ตกทอดถึงลูกถึงหลานไว้ด้วยว่า “ถ้าใครสงสัยว่ากรรมนั้นไปตกที่ไหนก็ขอดูที่ลูกของคนนั้นเถิดดังเช่นพระนางศุภยลัตนี้เป็นตัวอย่าง กรรมเวรของพระราชวงศ์อลองพระยานี้ยังไม่สิ้น ดังจะเขียนเล่าสู่กันฟังต่อไป” [8]
ไทยยุคก่อนประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยกว่ายุคหลัง กับ ไทยยุคหลังที่ไม่มีอำนาจของกษัตริย์และประชาชน
ผู้แต่งเห็นว่า “ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยเต็มไปด้วยหลักฐานแห่งอธิปไตยของปวงชน แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชก็ทรงดำรงตำแหน่งได้ด้วย ‘อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ’ มาประชุมเลือกขึ้น” [9] โดยยกตัวอย่างของการเลือกกษัตริย์หลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 2 ที่ไม่ได้เลือกจากพระราชโอรสองค์ใหญ่จากพระอัครเมสี แต่เลือกกรมหลวงเจษฎาบดินทร์ด้วยความสามารถและความเหมาะสม ทั้งที่มีมิติทางการเมืองและอำนาจของกรมหลวงเจษฎาบดินทร์ที่ถูกละเลยในการอภิปรายถึง นั่นก็เพราะต้องการจะชี้ให้เห็นว่าปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติที่จบลงตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาไปแล้วยังคงดำเนินอยู่ในการปกครองของพม่า
ในอีกด้าน ผู้แต่งต้องการเขียนกระทบกับผู้นำทางการเมืองไทยในต้นทศวรรษ 2510 ที่ว่า “น่าอัศจรรย์ใจที่อธิปไตยของปวงชนนั้นมาถูกลิดรอน ถูกระงับในยุคระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญบ้าง ไม่มีรัฐธรรมนูญบ้างนั่นเอง จะสรุปได้หรือไม่ว่า ยุคประชาธิปไตยของเมืองไทยนั้น เป็นยุคที่พระเจ้าแผ่นดินและราษฎรไม่มีอำนาจ”[10] ซึ่งก็หมายถึง ผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจในขณะนั้นอย่าง ‘ถนอม กิตติขจร’ นั่นเอง สิ่งนี้พอจะสอดคล้องกับคำอธิบายของประจักษ์ ก้องกีรติ ใน และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏฯ[11] ก็ปรากฏที่ชี้ให้เห็นว่าพลังความเปลี่ยนแปลงของ 14 ตุลาคม 2516 นั้นสัมพันธ์กับอำนาจที่สูงเด่นของกษัตริย์ ที่ร่วมมือกับประชาชนต่อต้านอำนาจกองทัพและเผด็จการ เพียงแต่ว่า หลักฐานของประจักษ์มักอิงกับความเคลื่อนไหวจากนักศึกษาและประชาชน ไม่ใช่กลุ่มปัญญาชนอนุรักษนิยมอย่างคึกฤทธิ์
หรือการอธิบายว่า “ในหลักการปกครองของไทยมาแต่เดิมมานั้น มีหลักการแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยแทรกซึมมาแต่ดั้งเดิมมาอยู่มาก” โดยเทียบกับพระราชพิธีแรกนาขวัญว่า พระยาแรกนาจะให้ขุนนางเป็นผู้ทำการแรกนา หากผลไม่ดี ผู้ที่ทำการแรกนาจะรับผิด ตรงกับหลักปกครอง “The King can do no wrong…จึงต้องมีเสนาบดีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการหรือกระทำแทน เมื่อเกิดผลในทางที่ผิด เสนาบดีก็เป็นผู้รับผิด” [12]
มหาอำนาจยุคอาณานิคม กับ มหาอำนาจสงครามเย็น
ปัจจัยภายนอก ที่ผู้แต่งเล่าถึงการเสียเมืองให้อังกฤษก็ชี้ให้เห็นการเมืองระหว่างประเทศที่พม่าไม่ประสีประสา เนื่องจากพยายามเอาฝรั่งเศสมาคานอำนาจกับอังกฤษ อันที่จริงก็เป็นยุทธศาสตร์แบบเดียวกับสยามใช้ แต่ผู้แต่งก็ชี้การเดินนโยบายที่ผิดพลาด และที่สำคัญพยายามเอามาเชื่อมกับโลกในช่วงที่ผู้แต่งพูดถึงอย่างเป็นนัยว่า “แต่แล้วฝรั่งเศสก็เห็นว่าพม่าเป็นเหตุเล็กเกินไปที่จะทำให้ฝรั่งเศสต้องทำสงครามกับประเทศมหาอำนาจด้วยกัน ฝรั่งเศสก็ทิ้งพม่าเอาง่ายๆ เรื่องนี้มีคติ ใครจะมองเห็นหรือไม่ก็ช่าง” [13] ซึ่งอาจหมายถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เอาใจสหรัฐอเมริกา ที่มาตั้งฐานทัพไว้ในประเทศ และไม่ ‘บาลานซ์’ กับอำนาจกับฝ่ายสังคมนิยม ไม่ว่าจะจีนหรือสหภาพโซเวียต
พม่าเสียเมืองจึงเป็นการส่งข้อความถึงชาวไทยว่าให้ดูพม่าเป็นตัวอย่างว่าการเดินเกมที่ผิดพลาดในสมรภูมิการเมืองระหว่างประเทศช่วงสงครามเย็นนั้น อาจจะทำให้เกิดเหตุร้ายอย่างเดียวกับพม่าก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้แต่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาในประเทศอันเนื่องมาจากความเป็นใหญ่ของข้าราชการ
“ธรรมดาคนเราก็จะต้องรักบ้านเมืองของตนและมีความปรารถนาที่จะเป็นไทแก่ตนเป็นหลักประจำใจอยู่ในเบื้องต้น แต่ถ้าหากการปกครองมีแต่การกดขี่บังคับ ขาดความยุติธรรมเห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง และราษฎรถูกข่มเหงรังแกจากข้าราชการไม่ว่าจะเป็นทหาร พลเรือน หรือตำรวจ ราษฎรก็มิรู้ที่จะไปร้องเอาจากใคร ความกดดันก็เกิดขึ้นในใจซึ่งนานเข้าก็จะกลายเป็นความเกลียดชังระบอบการปกครองอย่างขมขื่นฝังเข้ากระดูกดำ ขนาดใครมาเป็นข้าศึกศัตรูกับระบอบนั้นก็ย่อมเข้าข้างด้วย ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ชาติใด ภาษาใด หรือมีลัทธิอุดมการณ์อย่างไร จะไปตำหนิติเตียนหรือดูถูกหมิ่นว่าราษฎรที่มีจิตใจเช่นนี้ไม่รักชาติหรือเป็นผู้ขายชาตินั้นไม่ได้” [14]
บ้านเมืองพม่าวุ่นวายเพราะอำนาจของผู้หญิงเป็นใหญ่ กับผลกรรมจากการกระทำของนักการเมือง
สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งก็คือการที่ผู้หญิงชนชั้นนำเข้ามายุ่งย่ามในอำนาจ ตั้งแต่สมัยพระเจ้ามินดงที่ถือว่าเป็นยุคทองอันรุ่งเรืองยุคหนึ่ง พระนางอเนลันดอผู้พยายามแสวงหาอำนาจในราชสำนักให้เหนือกว่าอัครมเหสี ซึ่งพระนางให้กำเนิดพระราชธิดาผู้จะเป็นคนสำคัญในเวลาต่อมา นั่นคือพระนางศุภยลัต พระนางอเนลันดอมองเห็นว่า การกุมอำนาจจำเป็นต้องดันคนของตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ จึงมองว่าเจ้าฟ้าสีป่อนั้นเป็นคน ‘หัวอ่อน’ วิธีการอธิบายเช่นนี้คลับคล้ายคลับคลากับพระนางซูสีไทเฮาที่เป็นใหญ่อยู่หลังม่านจักรพรรดิ
ผู้แต่งทิ้งท้ายบทไว้เพื่อยิงหมัดไปถึงผู้มีอำนาจเช่นเคยว่า “คนที่อ่อนแอนั้น ถ้าหากไปตกอยู่ในกลุ่มคนโลภแล้ว ก็มักจะได้เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์หรือนายกรัฐมนตรีเอาง่ายๆ” [15] หลังการสวรรคตของพระเจ้ามินดงในปี 2421 ผู้แต่งเทียบว่าเท่ากับการเสวยราชย์ของรัชกาลที่ 5 มาได้ 10 ปี ทำให้เห็นว่าราชสำนักพม่ายังอยู่ในจารีตการเปลี่ยนผ่านแบบเดิม ขณะที่สยามเริ่มเปลี่ยนแปลงสู่โลกสมัยใหม่แล้ว จังหวะผลัดแผ่นดินก็พยายามเล่าว่า เต็มไปด้วยการใช้อำนาจบังคับของฝ่ายพระนางอเนลันดอ ขุนนางถูกบีบให้เลือกเจ้าฟ้าสีป่อจึงขึ้นเป็นกษัตริย์ในนามพระเจ้าสีป่อ ผู้แต่งได้วิจารณ์ไว้ว่า “เมื่อยังมิได้เสวยราชย์ก็มิได้ทรงมุ่งหวังในราชสมบัติ…แต่โชคชาตาก็บันดาลให้ราชรถมาเกย…เมื่อเป็นเช่นนี้ปมด้อยก็กลายเป็นปมเด่น ทรงเห็นว่าพระองค์เองมีพระราชกฤษฎาภินิหารเหนือคนทั้งปวง ความจริงปมด้อยนั้นก็แอบแฝงอยู่ข้างใน” [16]
การผลัดแผ่นดินทำให้ราชสำนักพม่าต้องสูญเสียเจ้าชายและเจ้าหญิงจำนวนมากเนื่องจากขวางทางการขึ้นมามีอำนาจ ฝ่ายเจ้าชายถูกจับขังตั้งแต่ก่อนพระเจ้ามินดงจะสวรรคต ฝ่ายหญิงถูกกวาดล้างเพราะขวางทางพระนางศุภยลัตที่เป็นผู้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพระมารดาอเนลันดอ ในมุมมองผู้แต่ง พระนางศุภยลัตนั้นแทบไม่ต่างจากนางเอกละครหลังข่าว คือมี “โทสะและความอิจฉาริษยา” [17] แล้วก็เอาแว่นของผู้แต่งขณะนั้นกลับไปมองพระนางศุภยลัตที่ตัดสินใจจะสำเร็จโทษเจ้าชายที่ถูกคุมขังว่า “แต่เราก็ไม่ควรลืมว่า ในเมืองไทยเราหลัง พ.ศ.2475 มานี้มีคนที่คิดอย่างพระนางศุภยลัตอยู่หลายคนและมีผู้ต้องรับกรรมไปไม่น้อย” [18] น่าสังเกตว่าการกล่าวถึง 2475 และการรับกรรมนั้น คึกฤทธิ์จะหมายถึงผู้ใด นับตั้งแต่ 2475-2512 ก็มีทั้งกลุ่มคณะราษฎรทั้งสองปีก และผู้นำเผด็จการทหารทศวรรษ 2490-2510 อีกทั้งขณะนั้น ปรีดี พนมยงค์ ลี้ภัยอยู่ที่จีน ก่อนที่จะลี้ภัยไปที่ฝรั่งเศสเมื่อปี 2513 ขณะที่แปลก พิบูลสงคราม เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2507 ส่วนสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็เสียชีวิตก่อนแปลกไปเพียง 1 ปี
ผู้แต่งยังเขียนต่อไปว่า “ในโลกนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา ผู้ปกครองประเทศทั้งที่เป็นเผด็จการและเป็นคอมมิวนิสต์ได้ใช้ความคิดและเหตุผลของพระนางศุภยลัตประหัตประหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมิรู้จักกี่แสนกี่ล้านคน บางทีพระนางศุภยลัตก็จะมิได้ทรงเป็นคนหัวโบราณอย่างที่คนทั้งหลายเคยนึกกันมา” [19]
ฉากปลอบประโลมพระเจ้าสีป่อที่เศร้าหมองจากการอนุญาตให้สำเร็จโทษเจ้านายน้อยใหญ่ ด้วยการนำละครมาแสดงและกลบเสียงการกรีดร้องจากการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ถือว่าเป็นฉากโศกนาฏกรรมชั้นครูที่เกิดขึ้นในพม่าเสียเมือง ว่ากันว่าการประหารใช้เวลา 3 วัน เจ้านายตายไปกว่า 80 คนเศษ ศพทั้งหลายถูกกลบฝังไว้ในหลุมใหญ่ท้ายวัง หลังจากนั้นสี่ห้าวันหลุมก็นูนขึ้นมาน่าจะเพราะศพขึ้นอืด จนต้องใช้ช้างหลวงย่ำให้ยุบลงไป ว่ากันว่ามีเสียงผีร้องโหยหวน จนกระทั่งตอนดึกคืนหนึ่งมีเกวียนหลายสิบเล่มออกไปยังประตูผีทิ้งสิ่งของบางอย่างในแม่น้ำ
ความเสื่อมโทรมยังมาจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น การเปิดสัมปทานให้กับชาวตะวันตกและกองทัพอังกฤษ และมีปัจจัยภายในอย่างสภาพเศรษฐกิจ และการออกหวยเพื่อสร้างรายได้ให้กับราชสำนัก แต่ก็ไม่ถูกเน้นเด่นเท่าเรื่องของพระนางศุภยลัต ความหึงหวงต่อนางมะขิ่นคยีผู้เป็นหญิงที่พระเจ้าสีป่อต้องการยกย่องให้เป็นมเหสี นำไปสู่การวางแผนจัดการใส่ความญาติของนางมะขิ่นคยีซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ว่าเป็นกบฏ นางมะขิ่นคยีจึงถูกลดความสำคัญในสายตาของกษัตริย์ไปนับแต่นั้น และนำไปสู่จุดจบของชีวิตนาง
การปิดฉากพม่าเสียเมืองที่จะขาดไม่ได้ คือฉากสงครามที่ผู้แต่งเปรียบเทียบกับคราวสงครามพม่า-อยุธยา เมื่อเสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อครั้งกรุงมัณฑเลย์ถูกล้อมด้วยกองทัพอังกฤษซึ่งไม่ต่างไปจากสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ การยิงปืนใหญ่จะต้องขออนุญาตก่อนเพราะคณะละครที่สังสรรค์อยู่ในวังจะตกใจ[20] อย่างไรก็ตาม ศึกครั้งนี้อังกฤษมิได้ทำลายพระราชวัง แต่เป็นระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรถล่มกองทัพญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในพระราชวังมัณฑเลย์ “ซากพระราชวังที่กรุงมัณฑเลทุกวันนี้มีเหลือน้อยกว่าซากพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา” [21] อันที่จริงพระราชวังถูกบูรณะขึ้นใหม่ในปี 2532 หลังหนังสือพม่าเสียเมืองตีพิมพ์กว่า 20 ปี
ตอนอวสานของเรื่องก็สิ้นสุดลงที่ความตายของกษัตริย์และสถาบันกษัตริย์พม่า
“พระเจ้าสีป่อสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2459 สามสิบปีหลังจากที่ได้เสด็จประทับ ณ เมืองรัตนคีรี พระประยูรญาติแสดงความจำนงจะเชิญพระบรมศพกลับไปยังพม่า แต่รัฐบาลอังกฤษก็ไม่อนุญาต สวรรคตแล้วถึงสามปี คือใน พ.ศ.2463 จึงได้สร้างสถูปบรรจุพระบรมศพไว้ที่เมืองรัตนคีรี เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ ณ ที่นั้น ขุนหลวงหาวัดสวรรคตในพม่า พระพม่ากุมพระองค์ไป พระบรมอัฐิก็ยังบรรจุไว้ในพระสถูปที่สร้างไว้ในพม่า ส่วนพระนางศุภยลัตนั้นเสด็จกลับพม่าพร้อมด้วยพระราชธิดา และมาประทับอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง สวรรคตใน พ.ศ.2468 ประวัติของพม่าเสียเมืองแก่อังกฤษก็จบลงแต่เพียงเท่านี้”[22]
กระทั่งช้างเผือกประจำพระเจ้าสีป่อก็ล้มโดยไม่ทราบสาเหตุ คึกฤทธิ์ก็ชี้ว่า “พระยาช้างเผือกนั้นเกิดมาคู่บุญบารมีพระเจ้าสีป่อและกรุงรัตนะบุระอังวะ พอสิ้นบุญบารมีนั้นแล้วพระยาช้างเผือกก็สิ้นเหตุที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…ฝรั่งจัดการกับขยะกรุงมัณฑเลย์อย่างไรก็จัดการกับศพพระยาช้างเผือกคู่บุญกรุงอังวะอย่างนั้น” [23] การเล่าอย่างใส่อารมณ์เช่นนี้ จึงสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีของการขมวดปมว่า นี่คือกรรมที่ตามทันราชวงศ์อลองพระยาของพม่าที่ได้ตีกรุงศรีอยุธยาแตกจนยับเยินไม่อาจฟื้นกลับมาใหม่ได้
กระนั้น พระนางศุภยลัตกลายเป็นตัวละครทางประวัติศาสตร์สุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ หลังการจากไปของพระนางอเลนันดอที่ขอแยกตัวกลับไปพม่าและพระเจ้าสีป่อที่สวรรคตในอินเดีย โดยตอนท้ายยังแสดงให้เห็นถึงขัตติยะมานะของพระนางที่ยื่นบุหรี่ออกไปนอกระแทะที่จะพาเดินทางออกจากพม่า พร้อมกับบุหรี่ในมือเพื่อขอให้ทหารอังกฤษจุดไฟให้อย่างองอาจจนเป็นที่ชื่นชมของทหารอังกฤษว่าเป็นนักกีฬาที่ดี (Good Sport) [24]
พล็อตของพม่าเสียเมืองจะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ส่งผลต่อพลังทางวัฒนธรรมในไทยอย่างเช่นละครช่อง 7 เรื่อง เพลิงพระนาง ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2539 ด้วยจริตนางร้ายแบบละครไทย เนื้อเรื่องที่เชือดเฉือน เสื้อผ้าหน้าผม และฉากที่ดูแปลกตา เมื่อปี 2560 ถูกนำมาสร้างใหม่นำโดยดาราระดับแม่เหล็กอย่าง อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ทำให้ละครเรื่องนี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง[25] กระนั้น มันก็มีกระแสดรามามาพร้อมกับทายาทของพระเจ้าสีป่อด้วย[26]
ไม่รู้ว่า นยุคนี้เราจะอ่าน พม่าเสียเมือง ด้วยแว่นและน้ำเสียงเช่นไร ขณะที่แรงงานเมียนมาในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ บนกระแสความเกลียดชังที่ถูกกระพือโดยนักชาตินิยม ครั้งแล้วครั้งเล่า
[1] คึกฤทธิ์ ปราโมช, กฤษฎาภินิหารอันบดบังไม่ได้ (กรุงเทพฯ : สยามรัฐ, 2519)
[2] คำยวง วราสิทธิชัย, “พม่าเสียเมือง : อำนาจที่มองไม่เห็น”, ศิลปศาสตร์, 2 : 1 (มกราคม-มิถุนายน 2545) : 53
[3] คำยวง วราสิทธิชัย, “พม่าเสียเมือง : อำนาจที่มองไม่เห็น”, ศิลปศาสตร์, 2 : 1 (มกราคม-มิถุนายน 2545) : 53-54
[4] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. “ข่าวลือปฏิวัติ-ลอบทำร้ายรัชกาลที่ 7 คราวสมโภชพระนคร 150 ปี พ.ศ. 2475 ลือไปไกลถึงลอนดอน”. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2568 จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_67396 (15 มิถุนายน 2566)
[5] คึกฤทธิ์ ปราโมช, พม่าเสียเมือง (พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ : สยามรัฐ, 2534), หน้า 2
[6] คึกฤทธิ์ ปราโมช, เรื่องเดียวกัน, หน้า 3
[7] คึกฤทธิ์ ปราโมช, เรื่องเดียวกัน, หน้า 115
[8] คึกฤทธิ์ ปราโมช, เรื่องเดียวกัน, หน้า 115
[9] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 35
[10] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 35-36
[11] ประจักษ์ ก้องกีรติ, และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ : การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน 14 ตุลาฯ (พิมพ์ครั้งที่ 2, นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน, 2556)
[12] คึกฤทธิ์ ปราโมช, เรื่องเดียวกัน, หน้า 119-120
[13] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 144
[14] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 168-169
[15] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 46
[16] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 60
[17] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 62
[18] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 67
[19] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 67
[20] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 163
[21] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 207
[22] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 208
[23] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 203-204
[24] คึกฤทธิ์ ปราโมช, หน้า 196-197
[25] ปิ่น บุตรี. ““เพลิงพระนาง”…บนรอยทางประวัติศาสตร์สุดดราม่าที่ “มัณฑะเลย์””. ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2568 จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_67396 (15 มิถุนายน 2566)
[26] รู้ลึกกับจุฬา. “เพลิงพระนาง กับชาตินิยมไทยพม่า”. ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2568 จาก https://www.chula.ac.th/cuinside/5277/ (31 มีนาคม 2560)