บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ The The Florida Project (2017) และ Monster (2023)
1
วัยเด็กของคุณเป็นแบบไหนกันครับ?
บางคนอาจนึกถึงวันหยุดฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การวิ่งเล่นกับเพื่อนในสนามหญ้า หรืออ้อมกอดของพ่อแม่ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่กับเด็กอีกหลายล้านคนบนโลก วัยเด็กของพวกเขาอาจไม่ได้มีภาพจำแบบนั้น มันคือการเอาตัวรอด เผชิญกับปัญหารอบด้าน ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคง บางคนไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่มีอาหารครบสามมื้อ ไม่มีแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่พร้อมจะปกป้องพวกเขา
เราเติบโตมากับคำพูดที่ว่า ‘เด็กคืออนาคตของชาติ’ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เด็กจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะเป็น ‘ปัจจุบัน’ ที่มั่นคงให้ตัวเอง พวกเขาต้องใช้ชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่เลือกไม่ได้ โตมาในสังคมที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา ดังเช่น ‘มูนี’ เด็กหญิงวัยหกขวบในภาพยนตร์เรื่อง The Florida Project (2017) ผู้เติบโตมาในโรงแรมราคาถูกใกล้ดิสนีย์เวิลด์ที่เป็นเสมือนดินแดนแห่งความฝันและจินตนาการ แต่โลกความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม และมินาโตะกับโยริ สองเด็กชายวัยประถมชาวญี่ปุ่นในเรื่อง Monster (2023) ผู้ต้องเผชิญความกดดันในชีวิต ทั้งจากครอบครัว โรงเรียน และสังคม เมื่อพวกเขามีตัวตนแตกต่างจากสิ่งที่คนรอบข้างคาดหวัง
แม้ทั้งสองเรื่องจะเป็นภาพยนตร์คนละสัญชาติ เรื่องแรกอเมริกา เรื่องหลังญี่ปุ่น แต่กลับสะท้อนเรื่องราวชีวิตของเด็กที่เชื่อมโยงได้กับทุกเชื้อชาติ และทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างสังคมที่ดีให้กับพวกเขา
2
เริ่มต้นที่ชีวิตของมูนีในเรื่อง The Florida Project ภาพยนตร์ที่สะท้อนความจริงอันโหดร้ายของสังคมอเมริกัน ดินแดนที่ใครหลายคนมองว่าเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่สำหรับครอบครัวจำนวนมากแล้ว มันเป็นโลกที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในทุกๆ วัน

มูนี เด็กหญิงวัยหกขวบในเรื่อง อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ เฮลีย์ ใน Magic Castle หรือตึกปราสาทมนตรา โรงแรมราคาถูกที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากดิสนีย์เวิลด์ในเมืองฟลอริดา ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชื่อและสีสันสดใสเหมือนดินแดนเทพนิยาย แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงอาคารเก่าที่เต็มไปด้วยคนชายขอบในสังคม และคนที่ไม่มีรายได้มากพอจะเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพดีราคาสูง
เฮลีย์ แม่ของมูนี เป็นภาพแทนของผู้อยู่อาศัยใน Magic castle ได้อย่างชัดเจน เธอไม่มีอาชีพที่มั่นคงเป็นหลักแหล่ง และต้องหาเงินด้วยการขายน้ำหอมปลอมให้นักท่องเที่ยวตามโรงแรมและลานจอดรถ รวมทั้งหลอกลวงผู้อื่นด้วยวิธีอื่นๆ อีกสารพัดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกสาว เช่น หลอกขายตั๋วเข้าสวนสนุกปลอมให้นักท่องเที่ยว เป็นต้น
ความไม่มั่นคงในชีวิตทำให้เธอมีพฤติกรรมที่หลายคนมองว่าเป็น ‘แม่ที่ไม่ดี’ คืออารมณ์ร้อน มักมีปัญหากับเพื่อนบ้านและเจ้าของโรงแรม แต่ในมุมหนึ่งเธอก็รักลูกสุดหัวใจ และพยายามทำให้มูนีมีความสุขในแบบที่เธอทำได้ ขณะที่มูนีในวัยหกขวบแม้จะเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมมากปัญหา แต่ก็เต็มไปด้วยความซุกซนและความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ เธอใช้เวลาทั้งวันวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ สำรวจตึกร้าง แกล้งคน หรือขอขนมจากร้านไอศกรีม ด้วยจินตนาการที่ไม่มีขีดจำกัด Magic Castle จึงไม่ใช่โรงแรมเก่าเสื่อมโทรมสำหรับเธอ แต่เป็นอาณาจักรแห่งการผจญภัย
อย่างไรก็ตาม โลกในจินตนาการของเด็กหญิงต้องพังทลายลงเมื่อปัญหาของเฮลีย์เริ่มหนักขึ้น เธอไม่มีเงินพอจะจ่ายค่าเช่าห้อง จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองและลูกยังมีที่นอน โดยเริ่มขายบริการทางเพศอย่างลับๆ หลบเลี่ยงการถูกจับได้ ในท้ายที่สุด เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เธอถูกไล่ออกจาก Magic Castle และเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ของรัฐจำเป็นต้องแยกเธอกับลูกสาวไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
นับตั้งแต่ตอนนั้น โลกที่มูนีเคยคิดว่าเป็นสนามเด็กเล่นซึ่งไม่มีวันพังทลายได้สูญหายไปในพริบตา เช่นเดียวกับความสดใสของวัยเด็กที่ถูกพรากหายไป
สิ่งที่เกิดขึ้นใน The Florida Project เป็นเรื่องแต่งที่สะท้อนโลกความจริงอันโหดร้าย จากรายงานของมูลนิธิเพื่อการคุ้มครองเด็ก (Children’s Defense Fund) ระบุว่าในปี 2023 มีเด็กจำนวนมากถึง 11 ล้านคนจากทั้งหมด 74 ล้านคนที่อาศัยในสหรัฐอเมริกา ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากจน และพบว่าในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ ทุกๆ 6 คน จะมี 1 คนที่อยู่ในภาวะยากจน นับเป็นอัตราสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นๆ
ปัญหาความยากจนย่อมส่งผลต่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลจากกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองของสหรัฐอเมริกา (HUD) ระบุว่าในปี 2023-2024 จำนวนเด็กไร้บ้านในสหรัฐฯ ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพิ่มขึ้นถึง 33% หรือมีเด็กราว 150,000 คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข้อมูลทางสถิติ แต่คือชีวิตเด็กที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในสังคม ซึ่งแน่นอนว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมของสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค 1980s ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่ให้เสรีเฉพาะคนที่มีเงินและอำนาจ
เรื่องของมูนีใน The Florida Project เป็นเพียงหนึ่งในเสียงสะท้อนจากเด็ก หรืออาจหมายรวมกระทั่งบรรดาผู้ใหญ่ที่ถูกทิ้งให้อยู่ในวงจรความยากจนโดยไม่มีตาข่ายทางสังคมใดๆ รองรับ จนทำให้บางคนเลือกต้องเดินเส้นทางที่ผิด ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมเพื่อเลี้ยงดูปากท้องของตนและเด็กคนหนึ่งอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
3
ถ้า The Florida Project ถ่ายทอดความรุนแรงทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อชีวิตเด็ก Monster (2023) ก็นำเสนอความรุนแรงที่มองไม่เห็นอีกมิติหนึ่งของสังคม คือความคาดหวังและอคติของผู้ใหญ่ที่บังคับให้เด็กต้องกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้อยากเป็น

เรื่องราวเริ่มต้นจากแม่คนหนึ่งพบว่าลูกชายของเธอ มินาโตะ เริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป หนีเรียน ผมเปียกกลับมาบ้านบ่อยครั้ง และมีอาการหวาดระแวง เธอจึงเริ่มสืบหาความจริง จนเรื่องราวพาคนดูไปพบกับความรักของมินาโตะ กับเด็กชายอีกคนชื่อโยริ รวมถึงพื้นเพของเด็กทั้งคู่
มินาโตะ เติบโตในครอบครัวที่มีปัญหาการเงิน พ่อของเขาเสียชีวิต เหลือแต่แม่เลี้ยงดูเขาเพียงคนเดียว เขาจึงรู้สึกว่าต้องหลบซ่อนความรักที่มีให้กับโยริไว้ เพราะมันไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สังคมคาดหวังจากเด็กชายในวัยเดียวกัน รวมถึงต้องเผชิญกับความรู้สึกผิดและกลัวการถูกปฏิเสธจากสังคม
ขณะที่โยริก็เติบโตมาในครอบครัวที่ยึดมั่นความชายเป็นใหญ่ พ่อของโยริมีคาดหวังให้เขาต้องเป็นเด็กที่ ‘เหมือนผู้ชายจริง ๆ’ เมื่อโยริเริ่มแสดงพฤติกรรมผิดแผกไปจากความคาดหวัง พ่อของเขาจึงลงมือทำร้ายและพยายามกีดกันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับมินาโตะ
แม้ญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว แต่ข้อมูลสำรวจล่าสุดจาก IIpsos (อิปซอสส์) เป็นบริษัทสำรวจและวิจัยระดับโลกในปี 2024 พบว่าผู้ที่สนับสนุนให้บุคคล LGBTQ+ เปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะ มีเพียง 29% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในรายงานเดียวกัน (ประเทศไทยและสเปนได้รับคะแนนสูงสุด คือ 68%) โดยเฉพาะการยอมรับเรื่องชายรักชายในสังคมครอบครัวและที่ทำงานยังเป็นไปอย่างจำกัด ทำให้เด็กกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดการยอมรับ การที่มินาโตะและโยริต้องเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ อคติ และกรอบของสังคมที่ไม่อนุญาตให้เขาเป็นตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นเป้าของความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
4
แม้ทั้ง The Florida Project และ Monster จะมีฉากหลังที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อเมริกากับญี่ปุ่น โรงแรมราคาถูกกับเมืองชนบท แต่ทั้งสองเรื่องกลับมีจุดร่วมเหมือนกัน นั่นคือการสะท้อนความเปราะบางและความรุนแรงต่อชีวิตวัยเยาว์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาร่วมกันของเด็กทั่วโลก และตอนจบอันน่าขมขื่น คือตัวละครเด็กต้องหลีกหนีออกจากโลกความจริงอันโหดร้ายสู่โลกแห่งจินตนาการ มูนีและเพื่อนวิ่งหนีเข้าไปในดิสนีย์เวิลด์ สถานที่ที่เธอเคยเฝ้ามองแต่ไม่เคยได้สัมผัส และเป็นสัญลักษณ์ของความหวังสุดท้ายที่เธอมี ส่วนมินาโตะและโยริได้วิ่งเล่นด้วยกันในโลกแห่งความฝันอันแสนสดใส โลกที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนมาตีกรอบและตัดสินพวกเขาอีกต่อไป
ตอนจบของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องทิ้งท้ายสิ่งที่ชวนคิดต่อ คือเราจะสร้างโลกความจริงที่เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัยได้อย่างไร?
คำตอบนั้นคงเริ่มต้นที่การแก้ไขโครงสร้างสังคม ในโลกที่ความเหลื่อมล้ำกลายเป็นบาดแผลเรื้อรัง นโยบายที่เอื้อให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคง ระบบสวัสดิการที่คิดใส่ใจไปถึงโอกาสและหลักประกันทางเศรษฐกิจของคนเป็นพ่อแม่ ผู้เป็นรากฐานความมั่นคงในครอบครัว ย่อมทำให้คนทุกคนสามารถประคับประคองไปข้างหน้าได้ และนอกเหนือไปจากตาข่ายทางสังคมที่ดี ในมิติของวัฒนธรรม รวมถึงระดับปัจเจกบุคคล ผู้ใหญ่ควรต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้เติบโตเป็นตัวของตัวเอง ปราศจากอคติหรือการตีตรา กระทั่งการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก
ท้ายที่สุด หากเรายังปล่อยให้เด็กเติบโตท่ามกลางความเหลื่อมล้ำและอคติกดทับ คำว่า ‘เด็กคืออนาคต’ คงเป็นเพียงวาทกรรมกลวงเปล่า เพราะอนาคตไม่ได้ก่อร่างจากโชคชะตา หากเกิดจากสังคมปัจจุบันที่ร่วมกันหล่อหลอมขึ้นมา ดังนั้น ผู้ใหญ่อย่างเราจึงมีเพียงสองทางให้เลือกเท่านั้น คือปล่อยให้พวกเขาหลุดลอยไปตามยถากรรม หรือรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ก่อนที่อนาคตจะสูญสิ้นไปจากมือเราเอง
อ้างอิง
- https://www.reuters.com/world/us/us-homelessness-rose-by-record-18-latest-annual-data-2024-12-27/?utm_source=chatgpt.com
- https://www.childrensdefense.org/tools-and-resources/the-state-of-americas-children/soac-child-poverty/?utm_source=chatgpt.com
- https://www.infoquest.co.th/2024/457390
- https://www.reuters.com/investigates/special-report/japan-lgbt-weddings/