รำลึกศรัทธาของ ‘ชัยวัฒน์ สถาอานันท์’ ในวันที่ความรุนแรงเร้นกายใต้ฉันทมติ 112

“คุณลักษณะของอาจารย์ชัยวัฒน์ไม่ได้มีปรากฏอยู่ในบุคคลทั่วไป เขาเป็นนักวิชาการที่มองโลกไกล เป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจให้กับทุกคน เป็นคนที่เข้ากับทุกคนได้ง่าย เป็นคนที่ร่าเริง เท่าที่ผมรู้จัก เขาเป็นคนที่คุยสนุก เป็นคนที่มีกิริยามารยาทอ่อนนุ่ม คนที่แข็งแกร่งทางวิชาการ และความคิดอ่าน แต่ความแข็งแกร่งในเรื่องนี้ อาจารย์ชัยวัฒน์ไม่เคยต้องการที่จะให้ทุกคนคล้อยตาม”

ข้างต้นคือส่วนหนึ่งจากปาฐกถาของอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ของไทย เนื่องในโอกาสรำลึกและอาลัยถึงชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เปิดโลกทางความคิดเกี่ยวกับสันติวิธีหรือปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงแก่สังคมไทยและนานาชาติ จนได้ชื่อว่าเป็นนักวิจัยด้านสันติภาพที่สร้างคุณูปการระดับโลก

นอกเหนือจากในทางวิชาการ -ซึ่งอาจารย์ยังเป็นทั้งผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่นักศึกษามากมาย ทั้งนักปรัชญาการเมืองชาวมุสลิมที่แตกฉานในด้านปรัชญาและศาสนา- ชัยวัฒน์ยังมีบทบาทต่อการขับเคลื่อนนโยบายในสังคม เสนอแนวทางผลักดันให้คลี่คลายความไม่สงบในภาคใต้ของไทย ผ่านการดำรงตำแหน่งหนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ หรือ กอส. (The National Reconciliation Commission)

ดังนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าการจากไปของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 คือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม มรดกทางความรู้ ผลงานที่ผ่านมา ตลอดจน ‘ศรัทธา’ ในปฏิบัติการทางการเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรงของอาจารย์ ยังคงเป็นที่จดจำ ชวนให้คนกลับมาทบทวนและขบคิดต่อได้เรื่อยๆ

ในเมื่อความรุนแรงถูกจดจารึกกลายเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย และความรุนแรงนั้นอาจยังไม่หายไปไหน แค่เร้นกายหรือแปรเปลี่ยนไปภายใต้โฉมหน้าใหม่ๆ

วันโอวัน เก็บความจาก ปาฐกถาเรื่อง ‘ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ กับเส้นทางสันติวิธี’ โดยอานันท์ ปันยารชุน และงานเสวนา ‘ทางออกของสังคมการเมืองไทยจากเส้นทางความรุนแรง’ โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ และจาตุรนต์ ฉายแสง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 มาร่วมบอกเล่าแง่มุมส่วนหนึ่งเกี่ยวกับชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และย้อนมองภาพสังคมไทยปัจจุบันที่มีร่องรอยความรุนแรงแอบแฝงอยู่


รำลึกถึงศรัทธาของชัยวัฒน์


อานันท์เล่าว่าเขาและอาจารย์ชัยวัฒน์เคยร่วมงานกันเมื่อ 20 ปีก่อน ในฐานะคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลาเกือบปี สำหรับปาฐกถาคราวนี้ เขาได้นำข้อความจากหนังสือปาจารยสารปีที่ 52 ฉบับที่ 2 ที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์, พระไพศาล วิสาโล และดร.อุทัย ดุลยเกษม ผู้ซึ่งรู้จักอาจารย์ชัยวัฒน์เป็นอย่างดีมาร้อยเรียงเป็นคำพูดเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของอาจารย์ผู้ล่วงลับ

“ความจริงอาจารย์ชัยวัฒน์ไม่ชอบคําว่าสันติวิธี ท่านใช้คำว่า ‘การไม่ใช้ความรุนแรง’  เนื่องจาก ‘สันติ’ แปลว่าความสงบ ทำให้หลายคนเข้าใจว่าวิธีนี้ต้องเป็นไปอย่างสงบ”

ในความเข้าใจของคนทั่วไป ‘ความสงบ’ คือการไม่สร้างปัญหาและความขัดแย้ง ซึ่งการไม่ใช้ความรุนแรง (nonviolent action) มีหลายวิธีที่อาจนับเป็นการก่อความไม่สงบได้ เช่น การประท้วงหรืออารยะขัดขืน การทําให้เกิดข้อถกเถียงโต้แย้งในสังคม การปิดถนนที่ทําให้รถติด ฯลฯ โดยวิธีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มของเผด็จการหรือความพ่ายแพ้ของผู้ปกครองที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน อาจารย์ชัยวัฒน์จึงนิยมใช้คําว่า ‘ไร้ความรุนแรง’ มากกว่า ‘สันติวิธี’

สิ่งที่น่าคิดคือสันติวิธีที่ว่า ไม่จําเป็นต้องเชื่อมโยงกับความผิดถูก คุณธรรม หรือศาสนา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าสันติวิธีหรืออหิงสาต้องอาศัยแรงจูงใจทางศาสนา เช่น ความเชื่อว่าทุกชีวิตมีคุณค่า เราไม่ควรทําร้ายใครเพราะเป็นบาป อานันท์อธิบายว่าชีวิตของคนเรามี 3 องค์ประกอบใหญ่ ได้แก่ คุณธรรม ความคิด และศรัทธา ซึ่งแยกออกจากกันกับการแสดงออกในแง่สันติวิธี

“คุณอาจจะไม่มีคุณธรรม แต่เชื่อในสันติวิธี ความคิดความเชื่อเรื่องสันติวิธีกับการแสดงออกอย่างมีคุณธรรมจึงไม่จําเป็นต้องไปด้วยกัน” ขณะเดียวกัน ความศรัทธาในสันติวิธีของอาจารย์ชัยวัฒน์นั้น ได้รับการเผยแพร่และแทรกซึมเป็นวงกว้างในแวดวงของนักวิชาการรัฐศาสตร์ไทย ตลอดจนคนที่ทํางานเคลื่อนไหวทางสังคม

“อาจารย์ชัยวัฒน์เป็นคนที่มีความศรัทธา ไม่ใช่แค่ศรัทธาแต่พระเจ้าเพียงอย่างเดียว แต่ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ ศรัทธาในอนาคต วันหน้าโลกจะดีขึ้นกว่านี้ ผู้คนจะเห็นคุณค่าของสันติวิธีมากกว่านี้” อานันท์อ้างอิงจากข้อความของพระไพศาล

คุณูปการมากมายที่มาจากฐานแนวคิดปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงของอาจารย์ชัยวัฒน์ เป็นเครื่องยืนยันต่อศรัทธาอันแรงกล้าว่าในอนาคตข้างหน้าสังคมไทยจะปราศจากการใช้ความรุนแรงทางการเมือง – แม้ในปัจจุบัน เราอาจยังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแบ่งขั้วทางการเมือง ความขัดแย้ง และความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้อยู่ก็ตาม


จากฉันทมติภูมิพล สู่ฉันทมติ 112


ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานและลูกศิษย์ของชัยวัฒน์ ได้ย้อนประวัติศาสตร์ความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย โดยเริ่มต้นจากการอธิบายการเปลี่ยนผ่านอํานาจในช่วง 14 ตุลาคม ปี 2516 สู่ 17 พฤษภาคม ปี 2535 ว่าจากสถานการณ์ความขัดแย้งของชนชั้นนำ (elite conflict) กับการเมืองมวลชน (mass politics) ที่สร้างความรุนแรงทางการเมืองโดยตรงต่อประชาชนจำนวนมาก ส่งผลให้ราวปี 2535 เป็นต้นมา เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ฉันทมติภูมิพล’ (The Bhumibol Consensus) ซึ่งเป็นฉันทมติที่ชนชั้นนำแบ่งสันปันส่วนอำนาจกันภายใต้พระราชอำนาจนำของพระมหากษัตริย์ ทำให้ต่อมาจึงไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขนานใหญ่ทางการเมืองต่อมวลชนอีก

จนกระทั่งเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในรูปแบบรัฐประหารถึง 2 ครั้ง โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ปี 2549 และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2557 รวมถึงมีสงครามเสื้อสีที่ก่อม็อบใหญ่ต้านรัฐบาล 9 ระลอก ทำให้การกระทำความรุนแรงต่อประชาชนเริ่มกลับมาอีกครั้ง เห็นได้จากเหตุการณ์ปราบปรามสลายการชุมนุม 5 ยก ที่ส่งผลให้โดยรวมมียอดผู้เสียชีวิตเรือนร้อย บาดเจ็บเรือนพัน และเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท

นอกจากนี้ เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในภาคใต้ตั้งแต่ปี 2547 ที่ลากยาวจนมาถึงปัจจุบันยังใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดกว่า 5.1 แสนล้านบาท มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 5,936 ราย บาดเจ็บ 13,129 ราย พิการและทุพพลภาพ 903 ราย

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เกษียรมองว่าในระยะเวลาอันใกล้ ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงโดยตรงขนานใหญ่ในสังคมการเมืองไทย เพราะมี ‘การบรรลุฉันทมติในหมู่ชนชั้นนำไทย’

“เมื่อใดที่ชนชั้นนำกลุ่มฝ่ายต่างๆ บรรลุฉันทมติในการจัดสรรแบ่งปันอำนาจร่วมกัน เมื่อนั้นก็จะไม่มีความรุนแรงโดยตรงขนานใหญ่ต่อมวลชน” เกษียรอธิบาย

สอดคล้องกับความเห็นของ ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เคยให้สัมภาษณ์แก่วันโอวัน ว่า “การเมืองไทยจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับล้มรัฐบาลหรือยุบสภาในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากการสร้างหุ้นส่วนทางอำนาจมีราคาที่ต้องจ่ายแพงมาก นั่นคือแลกกับการสกัดไม่ให้ ‘สิ่งแปลกปลอมทางการเมือง’ อย่างพรรคประชาชนเข้าสู่อำนาจ ด้านดีของการเมืองแบบ ‘นิ่งๆ’ คือการเมืองมีความต่อเนื่องระดับหนึ่งและยังไม่มีสัญญาณของการทำรัฐประหารเพื่อล้มกระดาน”

โดยเกษียรมองว่าขณะนี้สังคมไทยได้ก้าวสู่ฉันทมติรูปแบบใหม่ของชนชั้นนำบนฐานกฎหมายมาตรา 112 (112 consensus) กล่าวคือทั้งฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่แก้ไข ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ยกเลิกมาตราดังกล่าว

ถึงแม้ฉันทมติ 112 จะทำให้บ้านเมืองปราศจากความรุนแรงโดยตรงขนานใหญ่ต่อการเมืองมวลชน แต่ “กฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งอยู่บนความหวาดระแวงว่าประชาชนจะไม่จงรักภักดี มันไม่ได้ให้ความหวัง มันไม่ได้ให้ความมั่นใจถึงอนาคตที่คนไทยจะมีร่วมกัน มันเปราะบางและทอนกำลัง”

ในสายตาของเกษียร ฉันทมติดังกล่าวมีจุดอ่อนอยู่ 3 ลักษณะ ลักษณะแรกคือ ฉันทมติเชิงนิเสธ (negative consensus) ที่ตกลงกันว่าจะไม่สร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองในการผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ  เช่น ร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่างพ.ร.บ.กลาโหม และร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ไม่ผ่านตั้งแต่เริ่ม

ลักษณะต่อมาคือ ฉันทมติที่เปราะบาง (fragile consensus) เพราะกฎหมายนี้อยู่ได้ด้วยการกดทับประชาชน ใช้กฎหมายบังคับคน ซึ่งแตกต่างจากฉันทมติภูมิพลที่ตั้งอยู่บนความสมยอมหรือยินยอมพร้อมใจของประชาชน

และลักษณะสุดท้ายคือฉันทมติที่ทอนกำลัง (dissipative consensus) เพราะตั้งอยู่บนความหวาดระแวงที่มีต่อประชาชนและชนชั้นนำด้วยกันเอง

จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่าสังคมการเมืองภายใต้ฉันทมติใหม่นี้ ท้ายที่สุดจะนำพาไปสู่อะไร


ความรุนแรงใต้เงาฉันทมติ 112


แม้บ้านเมืองในตอนนี้จะปราศจากความรุนแรงโดยตรงต่อการเมืองมวลชน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรุนแรงรูปแบบอื่นแฝงตัวอยู่เลย

เกษียรอ้างอิงถึงแนวคิดของอาจารย์ชัยวัฒน์ และนักสันติภาพที่มีชื่อเสียงอย่างโยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) เกี่ยวกับนิยามของความรุนแรง 3 ลักษณะ ได้แก่ ความรุนแรงทางตรง (direct violence) หรือความรุนแรงที่มองเห็นและสามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความรุนแรง มักเป็นความรุนแรงทางกายภาพ ถัดมาเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (structural violence) หรือความรุนแรงที่มองไม่เห็น เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรมที่อยู่ในโครงสร้างต่างๆ ทางการเมืองสังคมเศรษฐกิจ และสุดท้าย ความรุนแรงทางวัฒนธรรม (cultural violence) กล่าวคือ เป็นความรุนแรงที่มองไม่เห็น ซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ลดค่าของมนุษย์ให้เหลือเพียงเอกลักษณ์มิติเดียว หรือดูดกลืนความเป็นมนุษย์ไปหมดสิ้น (identity exhausts humanity) ทำให้ผู้คนเกลียดชังกัน ดูหมิ่น กีดกัน เป็นศัตรูกัน

สิ่งที่สังคมไทยยังประสบอยู่ภายใต้ฉันทมติ 112 นั้น คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างและความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน เกษียรชี้ให้เห็นว่าด้านตรงข้ามเบื้องหลังความรุนแรงเหล่านี้ คืออุดมคติจริยธรรมมนุษย์นิยมเชิงปลดปล่อย (emancipatory humanism) เป็นการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ

“The species being as a category of possibilities (มนุษย์มีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด) มนุษย์มีศักยภาพแฝงฝังอยู่เยอะ ขอเพียงแค่พวกเขามีโอกาส มีโครงสร้างที่เอื้ออำนวย มีเสรีภาพ มีความเท่าเทียม เขาจะเบิกบาน และนำพาสังคมมนุษย์ด้วยกันไปสู่ความเจริญงอกงาม ถ้าคุณไปขวางมันไว้ กดมันไว้ คุณก็ไม่ได้สิ่งนั้น” กล่าวคือ ความรุนแรงทั้งทางตรง ทางโครงสร้าง และทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงหนุนเสริมกัน และสกัดกั้นไม่ให้มนุษย์บรรลุศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ 

อย่างไรก็ตาม เกษียรมองว่าสิ่งที่ทำได้ในขณะที่ความรุนแรงยังคงดำเนินไปอย่างเงียบงันเช่นนี้ คือการช่วงชิงโอกาส วันและเวลา ลดความรุนแรงเชิงโครงสร้างและความรุนแรงทางวัฒนธรรมให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการจํากัดอำนาจอธิปไตยเร้นลึก (deep sovereignty or the men behind, beside and above the scene) หรือก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังและมีอำนาจที่แท้จริง ถัดมาคือการกำกับควบคุมกลไกความรุนแรงของรัฐให้รัดกุมเป็นเอกภาพ ต่อมาคือการผ่อนเบาภาระ (overload) ด้านทรัพยากรและลดทอนอำนาจของสถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ อันเป็นปัจจัยส่งเสริมต่อความขัดแย้งรุนแรง เช่น  การนำงบประมาณไปใช้กับกองทัพจำนวนมากในช่วงรัฐบาล คสช. และเผยแพร่ขบวนการสันติวิธีด้านความคิด (emancipatory humanism) อย่างแนวทางการเมืองแห่งความไม่รุนแรง และการจัดตั้งยุทธศาสตร์อารยะขัดขืนของไทยและนานาประเทศ


รัฐประหารและไฟใต้ – บ่อเกิดความรุนแรงโดยรัฐต่อประชาชน


ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์รัฐประหารคือหมุดหมายสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่ง จาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่ารัฐประหารคือความรุนแรงที่ร้ายแรงที่สุดทางการเมือง เมื่ออํานาจสูงสุดไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ใครทํารัฐประหารได้สําเร็จ โดยถ้าสำเร็จก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้รับการคุ้มครองในระบบยุติธรรม และสิ่งที่เขาเห็นจากการทำรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง คือผู้กระทําผิดในการปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมไม่ต้องได้รับโทษ เพราะได้รับการปกป้องจากผู้มีอำนาจตัวจริง

นอกจากนี้ ยังมีการกดปราบประชาชนผู้เห็นต่าง เพื่อรักษาสถานะและอำนาจ ผ่านการใช้กฎหมายพิเศษ เช่น กฎอัยการศึก การเพิ่มอํานาจตํารวจและทหาร  รวมถึงการใช้กฎหมายชุมนุมที่พัฒนาขึ้นมาในช่วงยึดอำนาจ ที่สำคัญที่สุด คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการสู้คดีอย่างไม่เป็นธรรม เช่น การไม่ให้ประกันตัว ไม่ให้สังเกตการณ์พิจารณาคดี ไม่ให้แสดงพยานหลักฐานอย่างครบถ้วน ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่จนถึงขณะนี้ คนที่วินิจฉัยว่าสอดคล้องหรือไม่ ก็คือศาลซึ่งเป็นผู้ใช้กฎหมายเสียเอง

ขณะเดียวกัน ในประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ จาตุรนต์มองว่าประชาชนไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และพวกเขาแค่ต้องการเสนอข้อเรียกร้องให้รัฐไทยมอบความคุ้มครองด้านการรักษาอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลายคนกลับถูกตัดสินจำคุกหรือบังคับสูญหาย ดังเช่น หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ บุคคลที่มีบทบาทเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้

ในด้านหนึ่ง สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเป็นที่เดียวที่มีระบบการปกครองรวมศูนย์องค์กรระดับชาติอย่างน้อย 3 องค์กร คือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) กลายเป็นคำถามว่าแล้วหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง นายก อบจ. นายกเทศมนตรี หรือแม้กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีอำนาจบริหารตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน

จาตุรนต์จึงเสนอว่าหากจะลดความรุนแรงในชายแดนใต้ สิ่งที่รัฐต้องทำคือการกระจายอํานาจให้ประชาชนในพื้นที่ได้กําหนดวิถีชีวิต กําหนดการใช้ทรัพยากร กฎเกณฑ์กติกาต่างๆ ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม และศาสนาของเขาเอง

“สุดท้ายแล้วรัฐต้องให้ประชาชนเป็นเจ้าของสังคม” จาตุรนต์ทิ้งท้าย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save