ซีเรียหลังระบอบอัสซาดกับข้อท้าทายในอนาคต

จากตอนที่แล้วที่ผู้เขียนชวนมองเหตุการณ์การยึดเมืองอเลปโปได้เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ในซีเรียก็มีพัฒนาการที่น่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อกลุ่มต่อต้านสามารถยึดเมืองหลวงอย่างดามัสกัส และโค่นล้ม ‘ระบอบอัสซาด’ ซึ่งอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนับตั้งแต่ปี 1971 ลงได้ ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar Al-Assad) ต้องลี้ภัยไปยังรัสเซีย ประเด็นสืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้คือท่าทีของกลุ่มต่อต้านและผู้คนซีเรีย รวมถึงท่าทีของอิสราเอลต่อซีเรีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจเขียนต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว และหากสถานการณ์ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงก็คงจะทำให้ผู้เขียนต้องกลับมาอัพเดตเพิ่มเติมอีกครั้ง

บทความชิ้นนี้ขอเริ่มต้นด้วยบทสนทนาที่ผู้เขียนมีกับชาวตุรกีผู้ขับเคลื่อนอยู่ในองค์กรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมาอย่างยาวนาน ผู้เขียนได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ท่านได้ตอบกลับมาว่า “ช้าเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับชาวซีเรียที่อยู่ในสถานการณ์นี้มา 14 ปี” ด้วยบทสนทนาเช่นนี้จึงน่าสนใจว่าหากมองมุมนี้ เหตุการณ์ในซีเรียช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสถานการณ์ที่อาจกล่าวได้ว่ามีปัจจัยประกอบร่วมทั้งจากภายในและภายนอก

ด้านปัจจัยภายในมาจากความอ่อนแอของระบอบอัสซาด ประชาชนที่ถูกปกครองภายใต้ระบอบอัสซาดที่ไม่ยินยอมอยู่ภายใต้ระบอบนี้อีกต่อไป และกลุ่มกองกำลังต่อต้านที่มีการเตรียมพร้อมและวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนขึ้น ส่วนปัจจัยภายนอกมาจากมหาอำนาจที่อยู่ในสมการความขัดแย้ง ทั้งสองประเทศสำคัญที่สนับสนุนระบอบอัสซาด คือ รัสเซียซึ่งก็อยู่ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิหร่านที่กำลังเผชิญความท้าทายจากการทำสงครามกับอิสราเอล รวมถึงมหาอำนาจที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านอย่างตุรกี ที่ได้ใช้ทั้งกระบวนการทางการทูตและการกดดันเพื่อให้สถานการณ์ในซีเรียสิ้นสุดลง เพราะสถานการณ์นี้มีผลอย่างมากกับตุรกีตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีบทบาทในการสนับสนุนกลุ่มชาวเคิร์ดในซีเรีย ก็มีการดำเนินนโยบายที่ไม่ได้มีลักษณะต่อต้านการขึ้นมาของกลุ่มต่อต้านที่ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตามบทบาทของอิสราเอลต่อสถานการณ์นี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการยิงเข้าไปในหลายจุดสำคัญของดามัสกัสหลังจากกลุ่ม Hayat Tahrir al-Sham (HTS) และพันธมิตรยึดดามัสกัสเพียงไม่กี่วัน

ซีเรียในปัจจุบัน

สืบเนื่องจากบทความ อ่านวิกฤตซีเรีย 2024: การโจมตีอเลปโปและการปะทะผลประโยชน์ของมหาอำนาจ ที่ได้เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ได้เล่าไปแล้วว่าเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มต่อต้านที่นำโดย Hayat Tahrir al-Sham (HTS) ได้เริ่มปฏิบัติการรุกครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ก่อนจะมีปฏิบัติการนี้ HTS ได้ปกครองในพื้นที่เมืองอิดลิบอยู่เดิม ขณะที่กองกำลังของรัฐบาลอัสซาดครอบครองพื้นที่กว่าร้อยละ 60 ของซีเรีย แต่เมื่อปฏิบัติการเริ่มขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ กลุ่มต่อต้านสามารถยึดพื้นที่สำคัญในภาคเหนือได้สำเร็จ โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม กลุ่ม HTS ได้เข้าควบคุมเมืองอเลปโป ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และเริ่มขยายปฏิบัติการลงใต้สู่ฮามา ไม่กี่วันต่อมา กลุ่ม HTS ประกาศยึดครองเมืองฮามาได้สำเร็จ และยังคงรุกคืบลงใต้สู่ฮอมส์ ขณะที่กลุ่มต่อต้านอื่นๆ สามารถเข้ายึดเมืองดาราในตอนใต้ของประเทศได้เช่นกัน

ในวันที่ 7 ธันวาคม กองกำลังของรัฐบาลอัสซาดถอยร่นออกจากพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มต่อต้าน และในวันที่ 8 ธันวาคม กลุ่มต่อต้านได้เข้าควบคุมกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศได้อย่างสมบูรณ์ ในวันเดียวกัน บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้ประกาศสละอำนาจและหลบหนีไปยังรัสเซีย โดยมีคำสั่งให้ดำเนินการถ่ายโอนอำนาจอย่างสงบ และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยพร้อมครอบครัวที่มอสโก ตามการแถลงของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย

ด้านกลุ่มต่อต้าน มีการแต่งตั้ง ‘โมฮัมหมัด อัล-บาชีร์’ (Mohammad Al-Bashir) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้า การบริหารโครงการ และการวางแผน เขาเคยเป็นผู้นำรัฐบาลกอบกู้ซีเรีย (Syrian Salvation Government: SSG) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก HTS ในจังหวัดอิดลิบ อีกทั้งมีประวัติการทำงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา

โมฮัมหมัด อัล-บาชีร์ ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการของซีเรียเป็นเวลา 3 เดือน โดยรัฐบาลรักษาการของเขาจะรับผิดชอบการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านการแถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567

พื้นที่การปกครองของกลุ่มต่างๆ ในซีเรีย ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2567[1]

หลังมีการโค่นล้มอำนาจรัฐบาลเดิม รัฐบาลซีเรียใหม่ได้ประกาศใช้ธงชาติใหม่ โดยนำธงที่เคยใช้ในช่วงการต่อสู้เพื่อเอกราชจากฝรั่งเศสกลับมาใช้ เปลี่ยนลายแถบสีแดงเดิมเป็นสีเขียว และจากดาวสีเขียวสองดวงเป็นดาวสีแดงสามดวง

ธงใหม่ของซีเรีย[2]

ขณะเดียวกัน อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al Jolani) หรือ อาเหม็ด อัล-ชารา (Ahmed al-Sharaa) ผู้นำของกลุ่ม HTS ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า “หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาตรการคว่ำบาตรควรถูกยกเลิก เพราะเป้าหมายของมันคือระบอบการปกครองเก่า เหยื่อและผู้กดขี่ไม่ควรได้รับการปฏิบัติในแบบเดียวกัน”[3]

การโค่นล้มระบอบอัสซาด กับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของอัสซาด

องค์กร Human Rights Watch ชี้ว่าซีเรียต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สะสมมายาวนานทั้งจากรัฐบาลเดิมและกลุ่มคู่ขัดแย้งตลอดช่วงสงคราม 13 ปีที่ผ่านมา การโค่นล้มรัฐบาลของอัสซาดในครั้งนี้จึงนับได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญให้ซีเรียหลุดพ้นจากการกดขี่ที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ และถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ในด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมกับสร้างกลไกความรับผิดชอบและคุ้มครองประชาชนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือความเชื่อทางการเมือง โดยมีข้อเรียกร้องสำคัญว่าจะต้องทำให้เกิดความยุติธรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลใหม่ควรเก็บรักษาหลักฐานเกี่ยวกับอาชญากรรม เช่น หลุมศพและเอกสารราชการ เปิดทางให้คณะกรรมการสืบสวนระหว่างประเทศเข้าถึงพื้นที่ และให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศ รวมไปถึงรับประกันความปลอดภัยของชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์ ทำลายกับระเบิด และปกป้องแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมจากการถูกทำลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงระบอบอัสซาด

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการจัดการเรื่องการกักขังและบุคคลที่หายสาบสูญ โดยควรปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ถูกกักขังอย่างผิดกฎหมาย ให้การดูแลสุขภาพกาย ใจ และการกลับคืนสู่สังคม รวมถึงร่วมมือกับองค์กรสหประชาชาติเพื่อค้นหาบุคคลที่สูญหาย ในแง่นี้พบว่ามีกรณีสำคัญที่ได้มีการเผยแพร่ภาพและสถานการณ์ของผู้ต้องขังที่ได้รับการปลดปล่อยหลังจากอัสซาดลงจากอำนาจ ซึ่งเผยให้เห็นถึงสภาพอันเลวร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงอัสซาด

ข้อเสนอของ Human Rights Watch ยังรวมไปถึงการสร้างโครงสร้างที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม เช่น ผู้หญิง คนพิการ และกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงป้องกันการปล้นสะดมทรัพย์สินของพลเรือนและฟื้นฟูบริการพื้นฐาน ตลอดจนการป้องกันการละเมิดเพิ่มเติมโดยกลุ่มติดอาวุธ แต่ละกลุ่มจึงควรประกาศยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐาน เปิดทางให้คณะกรรมการกาชาดสากลเข้าถึงผู้ต้องขัง และแก้ไขกฎหมายอาญาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน

ข้อเสนอยังขยายไปสู่องค์การสหประชาชาติและประชาคมระหว่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ รัสเซีย และจีน ที่ควรร่วมมือเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติในซีเรีย รวมถึงพิจารณาผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยธรรม นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านที่รองรับผู้ลี้ภัยซีเรียจำนวนมากก็ไม่ควรเร่งส่งตัวกลับ และควรให้ความสำคัญกับการสร้างเงื่อนไขในซีเรียที่เอื้อต่อการกลับมาอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีตามมาตรฐานสากล[4]

บทบาทของมหาอำนาจ

การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดยังส่งผลให้เกิดปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงจากอิสราเอล ซึ่งได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศทั่วซีเรีย และส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าสู่เขตกันชนที่กำหนดไว้ในปี 1974 นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลได้สั่งการให้กองทัพเข้ายึดพื้นที่กันชนระหว่างที่ราบสูงโกลานที่อิสราเอลยึดครองและพื้นที่ส่วนอื่นของซีเรีย โดยรัฐบาลอิสราเอลได้อนุมัติแผนเพิ่มจำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานในที่ราบสูงโกลานเป็นสองเท่า ปฏิบัติการนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ[5] และหลายประเทศในตะวันออกกลาง รวมถึงพันธมิตรของอิสราเอลอย่างเยอรมนี ที่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจเพิ่มประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งถูกมองว่าเป็นการยึดครองที่ผิดกฎหมาย

กองกำลังยึดครองของอิสราเอลได้ตั้งฐานในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั้งหมดบนเนินเขาและสถานที่ทางทหารในจังหวัดกุนัยตรา ทางตอนใต้ของซีเรีย เชื่อว่ากองทัพยึดครองของอิสราเอลควบคุมพื้นที่ถึงร้อยละ 95 ของจังหวัดดังกล่าว ซึ่งการยึดครองครั้งนี้ยังรวมไปถึงลำน้ำยาร์มุกและเขื่อนอัลวะห์ดา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ส่งน้ำให้จอร์แดนเพื่อใช้ในการบริโภคและเกษตรกรรม รวมถึงผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำให้ซีเรีย การควบคุมเขื่อนนี้จึงทำให้อิสราเอลสามารถควบคุมแหล่งน้ำสำคัญแห่งหนึ่งของซีเรียได้ ตามรายงานของ Syrian Observatory for Human Rights (SOHR) ระบุว่า กองกำลังอิสราเอลได้เข้าสู่หมู่บ้านโคยาและเขื่อนประวัติศาสตร์อัลวะห์ดา ใกล้พรมแดนซีเรีย-จอร์แดน และได้ตั้งฐานที่มั่นในจุดยุทธศาสตร์หลายแห่ง หลังจากมีการแจ้งเตือนให้ชาวบ้านมอบอาวุธในพื้นที่ดังกล่าว

จนกระทั่งถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 กองทัพอิสราเอลได้ยึดพื้นที่ซีเรียรวม 440 ตารางกิโลเมตร ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว กองทัพอิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศ 450 ครั้ง โดยพุ่งเป้าไปยังสถานที่ทางทหาร 50 แห่งในซีเรีย[6]

ด้านมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีท่าทีที่น่าสนใจต่อกรณีนี้เช่นกัน โดยแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ระบุในการแถลงข่าวที่ประเทศจอร์แดนว่ามีการหารือระหว่างสหรัฐฯ กับ HTS และฝ่ายอื่นๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมเป้าหมายของสหรัฐฯ เพื่ออนาคตที่สงบสุขของซีเรีย รวมถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านการปกครองอย่างสันติ โดยหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มสลาย รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศหลายสิบครั้งต่อค่ายและฐานปฏิบัติการของกลุ่มไอซิสหรือดาอิชในพื้นที่ตอนกลางของซีเรีย เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มดาอิชฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงนี้ นอกจากนั้นยังมีการขอความร่วมมือให้ตามหานักข่าวสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าถูกจับไปตั้งแต่ปี 2012

แม้รัฐบาลไบเดนจะต้องการมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของซีเรียหลังยุคอัสซาด แต่จุดยืนของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าสหรัฐฯ ควรหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในซีเรีย แม้ว่าหลังทรัมป์เข้าสู่วาระการบริหารแล้วอาจจะมีจุดยืนที่เปลี่ยนไปได้ แต่ในภาพรวมของสหรัฐฯ อาจกล่าวได้ว่ายังคงระมัดระวังต่อเจตนาของ HTS และยังไม่ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรหรือถอด HTS ออกจากรายชื่อองค์กรก่อการร้าย หากยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนถึงการปฏิรูปทางการเมืองและการแบ่งปันอำนาจที่จะเกิดขึ้น[7]

ในขณะที่รัสเซีย แม้ว่าจะให้สถานะการลี้ภัยในกรุงมอสโกแก่อัสซาด แต่ก็ยังไม่เห็นท่าทีอื่นที่ชัดเจนนัก ปูตินปฏิเสธว่ารัสเซียไม่ได้พ่ายแพ้จากการล่มสลายของรัฐบาลอัล-อัสซาด โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรียไม่ใช่ความพ่ายแพ้” และ “รัสเซียบรรลุเป้าหมายของเราแล้ว” โดยเขาระบุว่าการแทรกแซงในปี 2015 มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการก่อตั้งเขตปลอดภัยของกลุ่มต่างๆในซีเรีย รัสเซียรักษาความสัมพันธ์กับทุกกลุ่มในซีเรีย และหลายประเทศสนับสนุนให้ฐานทัพรัสเซียยังคงอยู่เพื่อวัตถุประสงค์ด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้ เขายอมรับว่ารัสเซียได้อพยพนักรบชาวอิหร่าน 4,000 คนออกจากซีเรียหลังรัฐบาลอัสซาดล่มสลาย[8]

ในขณะที่ตุรกีซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้มีส่วนสำคัญในสถานการณ์ซีเรีย ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของซีเรียไปแล้ว แม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทรัมป์ แต่ฮาคาน ฟีดาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของตุรกี ปฏิเสธคำกล่าวอ้างซึ่งระบุว่าการโค่นล้มระบอบอัสซาด เป็น “การยึดอำนาจอย่างไม่เป็นมิตร” (unfriendly takeover) ของตุรกี โดยเน้นย้ำว่าตุรกีไม่ต้องการให้ถูกมองว่าเป็นอำนาจภูมิภาคที่ควบคุมซีเรีย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความต้องการของประชาชนชาวซีเรียเอง และตุรกีได้รับรองรัฐบาลใหม่ในซีเรียในฐานะ ‘หุ้นส่วนที่ชอบธรรม’ (legitimate partner) และได้เปิดสถานทูตตุรกีในดามัสกัสอีกครั้ง พร้อมให้เอกอัครราชทูตสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและส่วนกลาง ตุรกียังเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหประชาชาติ ถอดชื่อกลุ่ม HTS ออกจากบัญชีรายชื่อองค์กรก่อการร้าย เนื่องจาก HTS พยายามแยกตัวออกจากอัลกออิดะห์ตั้งแต่ปี 2016 และวางตัวเป็นผู้บริหารที่น่าเชื่อถือในช่วงหลังยุคอัสซาด

อย่างไรก็ตาม ตุรกียังมีความกังวลที่ชัดเจนต่อกรณีของกลุ่มกองกำลังปกป้องประชาชน (People’s Protection Units: YPG) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (Syrian Democratic Forces: SDF) และถือเป็นภัยคุกคามสำคัญของตุรกี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ตุรกีเชื่อว่าเป็นส่วนขยายของพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Workers Party: PKK) ที่ถูกจัดเป็นองค์กรก่อการร้ายในตุรกี ซึ่งจุดยืนของตุรกีต่อกรณีนี้ มองว่ารัฐบาลใหม่ในดามัสกัสจำเป็นต้องจัดการกับประเด็นกองกำลังชาวเคิร์ดในดินแดนของพวกเขา ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นที่ตุรกีจะต้องเข้าแทรกแซง [9]

ด้านสหภาพยุโรปเริ่มเจรจากับผู้นำคนใหม่ของซีเรียแล้ว และเตรียมจัดการประชุมเพื่อระดมทุนช่วยเหลือกระบวนการเปลี่ยนผ่านของซีเรีย พร้อมย้ำว่ารัสเซียและอิหร่านไม่ควรมีบทบาทในอนาคตของซีเรีย

สถานการณ์การเคลื่อนย้ายของผู้คน

วันที่ 13 ธันวาคม 2567 สำนักงานประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs: OCHA) รายงานว่า ความขัดแย้งในซีเรียที่ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นประมาณ 1.1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคืออเลปโป โดยมีผู้พลัดถิ่นถึง 640,000 คน รองลงมาคืออิดลิบ 334,000 คน และฮามา 136,000 คน

ในทางกลับกันก็มีผู้พลัดถิ่นใหม่จำนวนมากที่กลับเข้ามาในพื้นที่ เช่น อิดลิบ 438,000 คน ฮามา 170,000 คน และชนบทดามัสกัส 123,000 คน โดยผู้พลัดถิ่นกว่า 400,000 คน พักอาศัยในที่พักรวม 240 แห่งในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น อาหาร ชุดสุขอนามัย และการสนับสนุนทางจิตใจ

นอกจากนี้ ประชาชนเกือบ 700,000 คนในพื้นที่อเลปโป อิดลิบ ฮอมส์ และฮามา ได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารตั้งแต่เกิดความรุนแรงครั้งนี้[10] อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าจำนวนผู้ที่จะกลับเข้าไปในซีเรียมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น

ความท้าทายต่อกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และฉากทัศน์ที่เป็นไปได้

การล่มสลายอย่างรวดเร็วของรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรียสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเมืองที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน แม้ดูเหมือนมีความหวังที่จะเห็นสถานการณ์ของซีเรียดีขึ้นกว่าช่วงรัฐบาลอัสซาด แต่กระบวนการเปลี่ยนผ่านที่กำลังเกิดขึ้นก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดา เนื่องจากสงครามที่ยืดเยื้อมากกว่าสิบปีได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างวิกฤตผู้ลี้ภัย และแบ่งแยกผู้คนในสังคม นอกจากนี้ เศรษฐกิจของซีเรียยังขาดโครงสร้างระดับชาติเพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน โดยในอดีต HTS เคยหารายได้จากการจัดเก็บภาษีในอิดลิบ แต่ยังมีคำถามเกี่ยวกับความสามารถทางการบริหารจัดการด้านการเงินในการฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนแนวทางในการทำให้เกิดการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

ขณะที่ในด้านความมั่นคง ซีเรียต้องเผชิญกับความท้าทายจากกลุ่มติดอาวุธหลากหลาย เช่น กองทัพแห่งชาติซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี และกองกำลังประชาธิปไตยซีเรียของชาวเคิร์ด ความพยายามของอาห์เหม็ด อัล-ชารา ผู้นำคนใหม่ ในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีตัวแทนของกลุ่มติดอาวุธและนำกลุ่มเหล่านี้เข้าสู่การทำงานร่วมกันอาจเป็นก้าวสำคัญ แต่ยังต้องเผชิญอุปสรรคจากผลประโยชน์และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

ซีเรียหลังระบอบอัสซาดมีความท้าทายจากความหลากหลายทางศาสนาและชาติพันธุ์ รวมถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ยังคงมีอยู่ ดังนั้น การสร้างสถาบันที่มีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกกลุ่มจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยในกระบวนการนี้อาจจำเป็นที่จะต้องสร้างกระบวนการยุติธรรม รวมถึงขั้นตอนในการฟื้นฟูเยียวยาผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากความอยุติธรรมมาอย่างยาวนาน

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรียก็ยังมีความเปราะบางอย่างมาก ราคาสินค้าอาหารที่ยังคงพุ่งสูงขึ้น และประชาชนที่ยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก นอกจากการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินผ่านความร่วมมือกับโครงการอาหารโลก (World Food Programme: WFP) และ UNHCR รวมถึงช่องทางอื่นๆ แล้ว รัฐบาลใหม่ยังจำเป็นต้องวางแนวทางในด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้ถึงมือประชาชนโดยตรงและอย่างต่อเนื่อง

มิติเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อท้าทายที่รัฐบาลใหม่ของซีเรียจะต้องเผชิญ และยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่าจะมีปัจจัยอื่นๆ มาหนุนเสริมให้ไปสู่ทิศทางใด อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน จุดยืนของอำนาจภายนอก โดยเฉพาะอิสราเอล มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการไม่ทำให้เกิดสภาวะที่รัฐบาลชุดเปลี่ยนผ่านจะไม่สามารถดำเนินกระบวนการสร้างประเทศได้อย่างเต็มที่ รวมถึงตุรกีที่จะเป็นผู้เล่นสำคัญในการให้ความช่วยเหลือในช่วงกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ก็นับว่าสำคัญต่อการมองอนาคตของรัฐบาลไม่น้อย แต่ถึงที่สุดแล้ว การตกลงระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในซีเรีย เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวข้ามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่อาจเป็นหัวใจสำคัญของการขยับเคลื่อนไปสู่อนาคตของชาวซีเรียเอง


[1] ที่มา: Robinson, L. (2024, December 10). Syria’s civil war: Map of conflict. CNN. Retrieved December 13, 2024, from https://edition.cnn.com/world/middleeast/map-syria-civil-war-assad-dg/index.html

[2] ที่มา: Wikipedia contributors. (n.d.). Flag of Syria. In Wikipedia. Retrieved December 19, 2024, from https://en.wikipedia.org/wiki/Flag_of_Syria

[3] Bowen, J. (2024, December 19). Syria’s new de facto leader Ahmed al-Sharaa calls for sanctions to be lifted. BBC News. Retrieved from https://www.bbc.com/news/articles/c05p9g2nqmeo

[4] Human Rights Watch. (2024, December 12). Syria: Post-Assad transition should center on human rights. Retrieved from https://www.hrw.org/news/2024/12/12/syria-post-assad-transition-should-center-human-rights

[5] Al Jazeera. (2024, December 15). Israel approves plan to surge settler population in occupied Golan Heights. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2024/12/15/israel-approves-plan-to-surge-settler-population-in-occupied-golan-heights

[6] Middle East Monitor. (2024, December 19). Israel takes control of vital water source in Syria. Retrieved from https://www.middleeastmonitor.com/20241219-israel-takes-control-of-vital-water-source-in-syria/

[7] Al Jazeera. (2024, December 14). US Secretary of State Blinken acknowledges contact with Syria’s HTS rebels. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2024/12/14/us-secretary-of-state-blinken-acknowledges-contact-with-syrias-hts-rebels

[8] Al Jazeera. (2024, December 19). Putin plans to meet Bashar al-Assad, says Russia not defeated in Syria. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2024/12/19/putin-plans-to-meet-bashar-al-assad-says-russia-not-defeated-in-syria

[9] Al Jazeera. (2024, December 19). Turkish FM denies Trump claim of ‘unfriendly takeover’ by Turkiye in Syria. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2024/12/19/turkish-fm-denies-trump-claim-of-unfriendly-takeover-by-turkiye-in-syri

[10] Al Jazeera. (2024, December 13). Syria live news: UN chief calls on Israel to halt attacks on Syrian targets. Al Jazeera. Retrieved from https://aje.io/tga2c2?update=3383178

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Spotlights

4 Nov 2020

101 Policy Forum : ประเทศไทยในฝันของคนรุ่นใหม่

101 เปิดวงสนทนาพูดคุยกับตัวแทนวัยรุ่น 4 คน ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน , สิรินทร์ มุ่งเจริญ, ภาณุพงศ์ สุวรรณหงษ์, อัครสร โอปิลันธน์ ว่าด้วยสังคม การเมือง เศรษฐกิจไทยในฝัน ต้นตอที่รั้งประเทศไทยจากการพัฒนา ข้อเสนอเพื่อพาประเทศสู่อนาคต และแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่

กองบรรณาธิการ

4 Nov 2020

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save