หลายคนคงจะเห็นว่าคนยุคปัจจุบันไม่ค่อยอยากแต่งงานหรือมีลูกด้วยสาเหตุต่างๆ ผมจึงสงสัยว่ามีคนอภิปรายและถกเถียงเรื่องการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้างหรือเปล่า และหากมี การอภิปรายถกเถียงนี้มีความกว้างขวางครอบคลุมมากน้อยเพียงใด
ลัทธิและศาสนาต่างๆ มักกล่าวถึงวันสิ้นโลกที่มาในรูปของการล้างผลาญด้วยไฟประลัยกัลป์หรือน้ำท่วมโลก นักปราชญ์กรีกอย่างเพลโต (Plato) อริสโตเติล (Aristotle) และลูเครเชียส (Lucretius) มองว่าเป็นการสิ้นสูญเพื่อถือกำเนิดขึ้นใหม่เป็นวัฏจักร
โลกตะวันตกมักเชื่อตามศาสนาคริสต์ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตและไม่มีการสูญพันธุ์ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมโลกก็ตาม แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว แนวคิดเรื่องการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตน่าจะกล่าวถึงแรกสุดโดย ฌอร์ฌ กูวีเยร์ (Georges Cuvier) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสที่กล้าท้าทายความเชื่อทางศาสนาโดยเสนอว่ามีสิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วจำนวน 23 สปีชีส์ สอดคล้องกับข้อมูลทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดสรรตามธรรมชาติ ในหนังสือกำเนิดสปีชีส์ (On the Origin of Species) (1859) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่ระบุว่าสิ่งมีชีวิตวิวัฒน์ตลอดเวลาและบ้างอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่กว่าที่นักวิทยาศาสตร์จะยอมรับอย่างจริงจังว่ามนุษย์อาจสูญพันธุ์ ก็อาจจะตอนที่วิลเลียม คิง (William King) เสนอเมื่อปี 1863 ว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธัลสูญพันธุ์ไปแล้ว และกว่าที่คนทั่วโลกจะตระหนัก (และตระหนกเป็นอย่างมาก) ว่ามนุษย์อาจสูญพันธุ์ ก็เป็นตอนที่เห็นอานุภาพของระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ รวมถึงการเร่งระดมสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแข่งกันในช่วงสงครามเย็นที่เริ่มต้นในปลายทศวรรษ 1940 และจบลงที่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991
แต่เรารอดวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ล้างโลกมาได้อย่างเฉียดฉิว
ขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมที่ใกล้วัยเกษียณขึ้นทุกที คงยังจำได้ถึงความกลัวสุดขั้วต่อการสูญพันธุ์ชองมนุษย์ นั่นคือการกลัวว่าจะมีประชากรล้นเกินจนเกิดภัยพิบัติอย่างความอดอยากยากแค้น จนนำมาสู่โครงการคุมกำเนิดของไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยคุณมีชัย วีระไวทยะ ที่มีการแจกถุงยางกันขนานใหญ่
โครงการนี้ดังขนาดที่ชื่อคุณมีชัยกลายมาเป็นชื่อเรียกถุงยางเลยทีเดียว!
ไม่แน่ชัดนักว่ากระแสความกลัวประชากรล้นโลกเริ่มจากจุดใด แต่เกิดการสันนิษฐานว่าอาจเริ่มมาจากหนังสือชื่อ The Population Bomb โดยพอล เออร์ลิช (Paul Ehrlich) นักกีฏวิทยามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ศึกษาวิวัฒนาการร่วมระหว่างพืชดอกกับผีเสื้อ หนังสือของเขาถือว่าเป็นหนังสือโด่งดังเล่มหนึ่งในศตวรรษที่ 20 โดยหนังสือขึ้นต้นประโยคแรกว่า “การต่อสู้เพื่อเลี้ยงปากท้องของมนุษยชาติทั้งมวลจบสิ้นลงแล้ว…คนนับร้อยล้านคนกำลังจะอดตาย…ไม่มีวิธีป้องกันการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายของประชากรโลกจำนวนมหาศาลได้”
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้เรารู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง อันที่จริง ตัวเลขจากองค์การอาหารและการเกษตรสหประชาชาติ (UNFAO) ระบุว่าคนอดอยากมีจำนวนลดลง จากที่เคยมีจำนวนคนอดอยากมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรโลก เหลือแค่เพียง 1 ใน 10 เท่านั้น
แต่นี่เป็นการมองย้อนกลับไปในอดีตซึ่งตลบไปด้วยฝุ่นของเหตุการณ์ที่ไม่รู้แน่ คนในยุคนั้นอาจรอดมาได้เพราะการรณรงค์คุมกำเนิดอย่างจริงจัง การปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ การผลิตปุ๋ยคุณภาพดี การทำชลประทานน้ำหยด และอีกหลากหลายความรู้และเทคนิค
ข้อมูลที่ผมจะเล่าต่อไปนี้อาจเป็น ‘ฝุ่นผงเหตุการณ์’ ที่บังตาเราอยู่ก็ได้ แต่ก็ยังน่าสนใจและเราควรจะช่วยกันพินิจพิจารณาถึง ‘ความไม่ปกติ’ บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้
ข้อมูลแรกคืออัตราการเกิดของประชากรโลกต่อประชากร 1,000 คน ข้อมูลจากเว็บไซต์ macrotrend.net ระบุว่านับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 37.8 จนลงมาเหลือแค่ 17.3 ในปัจจุบัน และหากยังมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไป ก็อาจลดลงจนเหลือแค่ 11.5 ในปี 2100
อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรุนแรงมักเกิดในประเทศพัฒนาแล้ว มียกเว้นบ้างในบางประเทศ เช่น ประเทศไทยที่ลดมากและลดเร็วจนน่าเป็นห่วงว่าจะมีไม่หลงเหลือแรงงาน โดยประเทศไทยติดอันดับ 3 ของประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำจากข้อมูล 80 ประเทศทั่วโลก ลดลงจาก 74 ปีที่แล้วถึง 81%
ขณะที่ประเทศโลกที่ 3 และบางประเทศที่ประชากรถือธรรมเนียมตามศาสนาที่ห้ามไม่ให้คุมกำเนิด ก็ยังคงมีการเพิ่มของประชากรอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่เพียงเท่านั้น มีงานวิจัยที่ชี้ว่าในช่วงปี 1973–2018 อสุจิของคุณผู้ชายทั่วโลกมีจำนวนลดลงมากกว่า 50% และมีแนวโน้มจะลดมากขึ้นอีก [1] จำนวนอสุจิที่น้อยลงย่อมหมายถึงโอกาสที่ลดลงของการปฏิสนธิและเกิดเด็กใหม่ เรื่องนี้จึงอาจซ้ำเติมปัญหาใหญ่ตอนนี้ที่นอกจากผู้คนจะไม่ค่อยยอมแต่งงานหรือแต่งงานช้า เพราะแต่งงานไปก็มีโอกาสตั้งท้องน้อยลงอีกด้วย
ดังจะเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องไปทำกิฟต์ (GIFT) หรือที่บางคนเรียกว่าทำเด็กหลอดแก้ว
ยังมีอีกสถานการณ์ที่อาจทำให้ปัญหาหนักเข้าไปอีก เพราะท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ งานวิจัยพบว่าอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอาจทำให้คนอายุไม่ถึง 35 ปีมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึงราว 32% หรือราว 1 ใน 3 ทีเดียว! [2] ซึ่งช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่คนร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และอยู่ในวัยเจริญพันธุ์เป็นส่วนใหญ่
อ่านแวบแรกต้องบอกว่าประหลาดใจนะครับ วัยที่ควรจะมีร่างกายแข็งแรงมากแต่ทำไมถึงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นได้มากมายขนาดนั้นในยามที่ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทำไมไม่ใช่วัยชราที่ร่างกายทรุดโทรมไปมากแล้ว?
คณะนักวิจัยศึกษาข้อมูลความร้อนและการเสียชีวิตในประเทศเม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับความร้อนและชื้นที่สูงแบบสุดขั้ว (ประเทศไทยก็มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นมากเช่นกัน) และมีข้อมูลการเสียชีวิตของกลุ่มอายุย่อยๆ ที่จำเพาะตัวมาก
ผลลัพธ์ที่นักวิจัยสรุปคือกลุ่มคนอายุน้อย (อายุไม่ถึง 35 ปี) ที่ร่างกายอ่อนไหวต่อความร้อนมากเป็นพิเศษเป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากถึง 75% ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนทั้งหมด ขณะที่คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปกลับเสียชีวิตจากอากาศเย็นจัดถึง 96%
เมื่อนักวิจัยทำแบบจำลองเพื่อทำนายค่าความร้อนชื้นที่เปลี่ยนแปลงไปกับอัตราการเสียชีวิต ก็พบว่าอัตราการเสียชีวิตของกลุ่มคนอายุน้อยเพิ่มขึ้น 32% ขณะที่กลุ่มอายุมากกว่ากลับลดลงราว 33%
นอกจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะทำให้สภาพอากาศแปรปรวน เกิดอากาศร้อนจัด เย็นจัด หิมะตกหนัก หรือพายุที่รุนแรงขึ้นแล้ว เมื่อเจาะลึกไปยังบริเวณที่ภูมิอากาศมีลักษณะจำเพาะจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอาจส่งผลให้กลุ่มคนที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเสียชีวิตมากขึ้น
คนหนุ่มสาวที่ควรแข็งแรงและใช้ชีวิตยืนยาวอาจมีอายุสั้นลง หากรวมกับปัจจัยอื่นที่กล่าวไปก่อนหน้า กล่าวคือการแต่งงานช้า การมีลูกน้อยลงเพราะแต่งงานช้า และการลดลงของอสุจิที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นว่าแนวโน้มโลกหันเหไปในทางที่จำนวนประชากรลดลงอย่างเห็นได้ชัด
หรือนี่จะเป็นสัญญาณว่ามนุษย์กำลังเดินหน้าสู่การสูญพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ?