อ่านภาพกระบวนการยุติธรรมโลก-ไทยผ่าน Rule of Law Index 2024 ในโลกที่หลักนิติธรรมยังคงถดถอย

หากให้สรุปแบบรวบรัด ปี 2024 ไม่ใช่ปีทองของกระบวนการยุติธรรมทั้งโลกและไทย เพราะปัญหาที่มีอยู่แต่เดิมอย่างผู้ต้องขังล้นเรือนจำยังคงมีอยู่ ซ้ำยังทวีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลต่อปัจเจกบุคคลอย่างผู้ต้องขังไปจนถึงภาพใหญ่อย่างระบบเรือนและระบบบำบัดฟื้นฟูในภาพรวม

เมื่อขยับมาดูรากฐานของระบบยุติธรรมอย่าง ‘หลักนิติธรรม’ (Rule of Law) สถานการณ์ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะดัชนีในปีนี้ชี้ให้เห็นว่า หลักนิติธรรมของโลกถดถอยลงเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน

วันโอวันชวนอ่านภาพกระบวนการยุติธรรมโลกและไทยผ่าน World Justice Project: Rule of Law Index 2024 – ความถดถอยอย่างต่อเนื่องของหลักนิติธรรมสะท้อนให้เห็นอะไร และที่สำคัญคือภาพกระบวนการยุติธรรมไทยเป็นอย่างไร เราอยู่ตรงไหนในโลกที่หลักนิติธรรมถดถอย

-1-
ดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) 2024

เราจะวัดความยุติธรรมได้อย่างไร แบบไหนจึงจะเรียกว่ายุติธรรม?

ถ้าหลักนิติธรรมเป็นหัวเรือใหญ่ของระบบยุติธรรมทั้งปวง แล้วเราจะวัดได้อย่างไรว่าสังคมไหนมีหลักนิติธรรม?

เชื่อว่าคำถามด้านบนเป็นคำถามคลาสสิกที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ยากที่จะหาข้อสรุปได้ เพราะแม้ในทุกสังคมจะมีระบบยุติธรรม มีตัวบทกฎหมาย มีความเชื่อในหลักนิติธรรม และมีเจ้าหน้าที่ในหลายภาคส่วนที่ทำงานเพื่อรักษากฎหมายและ ‘ผดุงความยุติธรรม’ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่ไปไกลกว่าการทำงานหรือการว่าไปตามตัวบทกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับมิติความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และซับซ้อนเกินกว่าจะแค่ตีความตามตัวอักษรได้

คำถามสำคัญคือ แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้เราวัดความยุติธรรมหรือหลักนิติธรรมได้?

หนึ่งในความพยายามดังกล่าว คือ การจัดทำดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย World Justice Project (WJP) หน่วยงานอิสระที่ทำงานข้ามศาสตร์เพื่อสร้างองค์ความรู้และความตระหนักรู้เพื่อพัฒนาหลักนิติธรรมทั่วโลก โดย WIJ ได้พัฒนาดัชนีหลักนิติธรรมขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือแนวปฏิบัติด้านหลักนิติธรรมในเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 8 ปัจจัย (factor) และ 44 ปัจจัยย่อย (sub-factor) ที่นำมาใช้จัดลำดับหลักนิติธรรมในประเทศต่างๆ ดังนี้:

1. การจำกัดอำนาจของรัฐบาล (Constraints on Government Powers)

  • อำนาจของรัฐถูกจำกัดโดยฝ่ายนิติบัญญัติ
  • อำนาจของรัฐถูกจำกัดโดยฝ่ายตุลาการ
  • อำนาจของรัฐถูกจำกัดโดยฝ่ายองค์กรตรวจสอบอิสระ
  • เจ้าหน้าที่รัฐถูกลงโทษ (sanction) จากการประพฤติมิชอบ (misconduct)
  • อำนาจของรัฐอยู่ภายใต้การตรวจสอบจากฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐ
  • การเปลี่ยนผ่านทางอำนาจที่อยู่ภายใต้กฎหมาย

2. การปราศจากการคอร์รัปชัน (Absence of Corruption)

  • เจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช้สาธารณสมบัติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
  • เจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายบริหาร ไม่ใช้สาธารณสมบัติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
  • เจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายตุลาการ ไม่ใช้สาธารณสมบัติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ไม่ใช้สาธารณสมบัติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

3. รัฐบาลที่โปร่งใส (Open Government)

  • เผยแพร่กฎหมายและข้อมูลของรัฐ
  • ให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
  • ประชาชนสามารถมีส่วนร่วม
  • มีกลไกการรับข้อร้องเรียน

4. สิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Rights)

  • มีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ
  • มีการรับประกันสิทธิในชีวิตและความมั่นคงปลอดภัยของบุคคล
  • มีกระบวนการออกกฎหมายที่เป็นธรรม
  • มีการรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก
  • มีการรับประกันเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาและความเชื่อ
  • มีการรับประกันเสรีภาพในการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
  • มีการรับประกันเสรีภาพในการรวมตัวเป็นหมู่คณะหรือสมาคม
  • มีการรับประกันเสรีภาพในสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน

5. ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security)

  • มีการควบคุมอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ
  • มีการจำกัดความขัดแย้งทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ
  • ประชาชนไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ (ศาลเตี้ย) เพื่อการแก้แค้นส่วนบุคคล

6. การบังคับใช้กฎหมาย (Regulatory Enforcement)

  • มีการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กฎระเบียบถูกประยุกต์ใช้และบังคับใช้โดยปราศจากอิทธิพลใดๆ ครอบงำ
  • การบริหารงานเป็นไปด้วยความไม่ล่าช้า
  • ขั้นตอนการทำงานเป็นไปตามกฎเกณฑ์อย่างตรงไปตรงมา
  • รัฐบาลไม่เวนคืนทรัพย์สินโดยปราศจากกระบวนการทางกฎหมายและการชดเชยที่เพียงพอ

7. กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง (Civil Justice)

  • ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการทางแพ่งได้
  • กระบวนการทางแพ่งปราศจากการแบ่งแยก
  • กระบวนการทางแพ่งปราศจากการคอร์รัปชัน
  • กระบวนการทางแพ่งปราศจากอิทธิพลครอบงำจากรัฐบาล
  • กระบวนการทางแพ่งไม่เป็นไปด้วยความล่าช้าที่เกิดจากเหตุผลอันไม่สมควร
  • กระบวนการทางแพ่งถูกบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีกระบวนการแก้ปัญหาข้อพิพาทแบบทางเลือกที่สามารถเข้าถึงได้ มีประสิทธิภาพ และเป็นกลาง

8. กระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice)

  • ระบบการสืบสวนสอบสวนทางอาญามีประสิทธิภาพ
  • ระบบการพิพากษาคดีอาชญากรรมมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับเวลา
  • ระบบราชทัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดการกระทำที่เป็นอาชญากรรม
  • ระบบยุติธรรมทางอาญาปราศจากการแบ่งแยก
  • ระบบยุติธรรมทางอาญาปราศจากการคอร์รัปชัน
  • ระบบยุติธรรมทางอาญาปราศจากอิทธิพลครอบงำของรัฐบาล
  • มีกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมายและประกันสิทธิของผู้ต้องหา

-2-
‘หลักนิติธรรม’ หัวเรือใหญ่ของระบบยุติธรรม

ก่อนจะไปถึงเรื่องว่าประเทศไหนมีลำดับดีที่สุดในดัชนีหลักนิติธรรม และประเทศไทยอยู่ตรงไหนในดัชนีนี้ หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงต้องวัดหลักนิติธรรม หลักนิติธรรมสำคัญอย่างไรในกระบวนการยุติธรรม

WJP ชี้ว่า หลักนิติธรรมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดอัตราการคอร์รัปชัน ต่อสู้กับความยากจนและโรคภัย รวมไปถึงปกป้องประชาชนจากความอยุติธรรมในทุกระดับ หรือถ้าพูดให้ถึงที่สุด หลักนิติธรรมคือรากฐานของความยุติธรรม โอกาส และความสงบสุข ซึ่งจะช่วยหนุนเสริมการพัฒนารัฐบาลที่มีความรับผิดรับชอบและความเคารพต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้ หลักนิติธรรมจะถูกมองว่าเป็นหัวเรือใหญ่สำหรับนักกฎหมายและผู้พิพากษาเท่านั้น ทว่าในปัจจุบัน ด้วยความที่ประชาชนทุกคนล้วนได้รับผลกระทบทางปัจจัยด้านความปลอดภัย สิทธิ ความยุติธรรม และรัฐบาล ทุกคนจึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ของหลักนิติธรรมเช่นเดียวกัน

ลองนึกภาพของนักลงทุนที่จะกำลังตัดสินใจจะลงทุนในต่างประเทศสักประเทศหนึ่ง แน่นอนด้วยมูลค่ามหาศาลที่อาจตัดสินชะตาของธุรกิจได้ นักลงทุนคนนั้นย่อมต้องคิดอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบที่สุดก่อนจะตัดสินใจลงทุน และหากประเทศหนึ่งมีแต่ปัญหาคอร์รัปชัน โรคระบาด หรือมีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมและครอบคลุม ประเทศนั้นย่อมไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ในการลงทุนอย่างแน่นอน

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น WJP ได้นิยามว่า หลักนิติธรรมคือข้อผูกมัดของระบบ สถาบัน แนวปฏิบัติ และชุมชน ในการที่จะทำให้เกิดความรับผิดรับชอบ (accountability) ของรัฐบาลและตัวแสดงภาคเอกชน กฎหมายที่เที่ยงธรรม (just law) ซึ่งต้องเป็นกฎหมายที่ชัดเจน เผยแพร่ต่อสาธารณะ มีเสถียรภาพ และบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน รัฐบาลที่โปร่งใส (open government) ซึ่งจะช่วยให้กฎหมายสามารถเข้าถึงได้ เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ และกระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงได้และเสมอภาค (accessible and impartial justice) ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการยุติธรรมถูกดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีโดยตัวแทนที่มีประสิทธิภาพ มีจริยธรรม และเป็นอิสระ

หากกล่าวโดยสรุป ปัจจัยทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาไปเป็นปัจจัย 8 ข้อข้างต้นที่ WJP ใช้ประเมินหลักนิติธรรมนั่นเอง

-3-
เช็กสุขภาพระบบยุติธรรมโลก ผ่านดัชนีหลักนิติธรรม 2024

หากกล่าวโดยรวบรัด ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีของคนที่ใฝ่ฝันถึงระบบยุติธรรมที่ก้าวหน้าและกว้างไกลกว่าเดิม เมื่อดัชนีหลักนิติธรรมชี้ให้เห็นถึงความถดถอยอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก และเป็นการถดถอยปีที่เจ็ดติดต่อกัน ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้หลักนิติธรรมถดถอยลงส่วนใหญ่มาจากการจำกัดอำนาจของรัฐบาลที่อ่อนแอลง ทำให้การปกป้องสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งแย่ลงตามลำดับ

อย่างไรก็ดีอาจมีข่าวดีให้พอใจชื้นได้บ้าง เมื่อจำนวนประเทศที่มีดัชนีหลักนิติธรรมถดถอยมีจำนวน ‘น้อยลง’ กว่าเดิมเมื่อเทียบกับสามปีที่ผ่านมา ทว่าหากมองในภาพรวม เรามิอาจบอกได้เลยว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีในกระบวนการยุติธรรม

ถ้าให้เห็นภาพชัดขึ้น ประเทศทั่วโลกถึงร้อยละ 57 ต้องเจอกับการถดถอยของหลักนิติธรรม และมีอย่างน้อยร้อยละ 78 ที่เจอความถดถอยในสามปัจจัย ได้แก่

ปัจจัยแรก การจำกัดอำนาจของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการถดถอยของการตรวจสอบจากองค์กรที่ไม่ใช่รัฐบาล การจำกัดอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติ และการจำกัดอำนาจของฟากฝั่งยุติธรรม

ปัจจัยที่สอง สิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งเกิดจากการถดถอยของสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การรวมกลุ่ม และการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพจากกลุ่มอำนาจเผด็จการ โดยดัชนีดังกล่าวชี้ว่า มีประเทศมากถึงสองในสามที่เจอกับการถดถอยในปัจจัยนี้

และปัจจัยที่สาม กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ซึ่งเกิดจากความล่าช้าและไร้ประสิทธิภาพของกลไกทางเลือกในการยุติข้อพิพาท และอิทธิพลของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น

สำหรับประเทศที่มีคะแนนหลักนิติธรรมสูงที่สุดสามลำดับแรกล้วนแต่เป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ตามลำดับ) และในทางกลับกัน เวเนซุเอลา กัมพูชา และอัฟกานิสถาน เป็นสามประเทศที่มีคะแนนในภาพรวมต่ำสุด

นอกจากนี้ WJP ยังได้มีการประเมินประเทศที่มีการพัฒนาด้านหลักนิติธรรมอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา โดยโปแลนด์ (ร้อยละ 3.2) เป็นประเทศที่มีการพัฒนาในทางบวกด้านหลักนิติธรรมมากที่สุด ตามมาด้วยประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงไทยอย่างเวียดนาม (ร้อยละ 2.1) และประเทศในเอเชียอย่างศรีลังกา (ร้อยละ 1.6) ขณะที่ประเทศที่มีการถดถอยมากที่สุด คือเมียนมา (ร้อยละ 3.8) เอลซัลวาดอร์ (ร้อยละ 3.3) และนิการากัว (ร้อยละ 2.8) ตามลำดับ

-4-
จากโลกสู่ไทย เราอยู่ตรงไหนในฟากฝั่งความยุติธรรม

สำหรับประเทศไทย ลำดับของเราปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยในปี 2024 นี้ ไทยได้ลำดับที่ 78 จาก 142 ประเทศ และได้คะแนนดีขึ้นเป็น 0.50 (ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่อยู่ในลำดับ 82 และได้คะแนน 0.49) แต่ถ้าเทียบกับในภูมิภาค ไทยยังคงอยู่ลำดับที่ 10 ซึ่งคงที่มาตลอดตั้งแต่ปี 2016 ทว่าในปี 2024 นี้ ถือว่าเป็นปีแรกที่ลำดับของไทยปรับตัวดีขึ้น (นับตั้งแต่ปี 2016)

ขณะที่ในกลุ่มเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ประเทศที่ได้คะแนนดีที่สุดคือนิวซีแลนด์ (0.83 คะแนน) ตามมาด้วยออสเตรเลีย (0.80) และญี่ปุ่น (0.79) และถ้าขยับมามองเฉพาะในกลุ่มอาเซียน ประเทศที่ได้คะแนนดีที่สุดและอยู่ลำดับก่อนหน้าไทย คือสิงคโปร์ (0.78) มาเลเซีย (0.57) และอินโดนีเซีย (0.53)

ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ไทยกับเวียดนามได้คะแนนในปีนี้เท่ากันที่ 0.50 ทว่าลำดับมีความแตกต่างกัน (ไทยลำดับที่ 78 และเวียดนามลำดับที่ 81) รวมถึงไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลาง-สูง (upper-middle) ขณะที่เวียดนามถูกจัดอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำ-ปานกลาง (lower-middle)

เมื่อเจาะลึกลงมาที่ข้อมูลของประเทศไทย พบว่าด้านที่ประเทศไทยได้คะแนนมากที่สุดคือด้านระเบียบและความมั่นคง (0.74 คะแนน) ซึ่งเป็นปัจจัยด้านบวกของไทยมาโดยตลอด (ยกเว้นในปี 2016 ที่ด้านบวกของไทยคือกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง) ขณะที่ด้านที่เป็นความท้าทายคือด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (0.41 คะแนน) ซึ่งเป็นความท้าทายของไทยเสมอมา

ทั้งนี้ แม้คะแนนด้านระเบียบและความมั่นคงที่ไทยจะอยู่ในระดับที่ค่อนไปทางสูง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ด้านที่สองที่ได้คะแนนรองลงมาคือ กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง กลับได้คะแนน 0.50 คะแนน หรือครึ่งหนึ่งพอดี ตามมาด้วยปัจจัยอื่นๆ ที่ได้คะแนนอยู่ในระดับราว 0.48-0.45 ก่อนจะปิดท้ายด้วยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ได้คะแนนน้อยที่สุดดังที่กล่าวไปแล้ว

เมื่อขยับมาดูด้านบวกของไทยตลอดมาอย่างระเบียบและความมั่นคง เราพบว่าปัจจัยย่อยที่ทำให้ไทยได้คะแนนเยอะที่สุดคือ มีการจำกัดความขัดแย้งทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ (0.94 คะแนน) ขณะที่ด้านที่เป็นความท้าทายอย่างกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เราพบว่าปัจจัยย่อยที่ไทยได้คะแนนน้อยที่สุดคือ ระบบราชทัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดการกระทำที่เป็นอาชญากรรม (0.25 คะแนน)

คำถามที่น่าขบคิดและมองให้ลึกกว่าลำดับหรือคะแนนคือ ตัวเลขชุดนี้บอกอะไรเราบ้าง อะไรที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้ากระบวนการยุติธรรมของไทย?

-5-
มองปัญหาในระบบยุติธรรมไทย สู่ข้อเสนอเพื่อทำให้ระบบยุติธรรมเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง

หากรายงานของ WJP ชี้ว่า หลักนิติธรรมของโลกถดถอยเป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน สถานการณ์เรือนจำโลกจากรายงาน Global Prison Trends 2024 ก็ยิ่งฉายภาพวิกฤตในกระบวนการยุติธรรมซ้ำด้วยการชี้ว่า มีผู้ต้องขังทั่วโลก 11.5 ล้านคน และมีถึงหนึ่งในสามที่ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดี ทั้งที่พวกเขาได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

เมื่อเจาะลงมาที่สถิติของประเทศไทย (ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2567) เราพบว่าประเทศไทยมีผู้ต้องขังทั้งสิ้น 282,770 ราย โดยเป็นเพศชาย 247,824 ราย และเพศหญิง 34,946 ราย โดยลำพังกรุงเทพฯ มีจำนวนผู้ต้องขังสูงถึง 28,725 คน ซึ่งถือว่ามีความหนาแน่นที่สุดในบรรดาจังหวัดทั้งหมด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าเรือนจำทั้ง 143 แห่งของไทยตามมาตรฐานแล้วสามารถรองรับผู้ต้องขังได้ประมาณ 150,000–160,000 คนเท่านั้น เท่ากับว่าจำนวนผู้ต้องขังล้นทะลุศักยภาพของเรือนจำไทยเป็นเท่าตัว

สาเหตุหลักอย่างหนึ่งของปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกในไทย (และอาจจะในระดับโลก) คือการที่คนที่ไม่สมควรติดคุกต้องติดคุก โดยปริญญายกตัวอย่างกลุ่มผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา หรือไต่สวน-พิจารณา หรือระหว่างสอบสวน ซึ่งทั้งหมดนี้คือกลุ่มที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจนถึงที่สุด และแม้จะมีหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (presumption of innocence) ตามรัฐธรรมนูญ แต่ในความเป็นจริง กระบวนการยุติธรรมไทยกลับใช้หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด (presumption of guilt) คือเมื่อจับผู้ต้องหาได้ก็จับเข้าเรือนจำตามแนวปฏิบัติ ‘ขังไว้ก่อน’ โดยข้อมูลจาก 101 PUB ระบุว่า ในปี 2566 มีจำนวนผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังระหว่างการดำเนินคดีอยู่ที่ราว 4.9 หมื่นคน

นอกจากนี้ หากพวกเขาได้ประกันตัว ก็จะใช้คำเรียกว่า ‘ปล่อยตัวชั่วคราว’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมองว่าการคุมขังเป็นเรื่องหลักและการปล่อยตัวเป็นเรื่องรอง ซึ่งขัดกับหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ และยิ่งเพิ่มจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำให้มากขึ้นกว่าเดิม

ถ้ามองดูผิวเผิน ปัญหาหลักนิติธรรมถดถอยและปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำอาจดูเหมือนเป็นเพียงปัญหาเรื้อรังที่ยากจะแก้ แต่ถ้ามองให้ทะลุยอดภูเขาน้ำแข็งลงไปแล้ว เราจะเห็นว่าตัวเลขดัชนีหลักนิติธรรมและสถานการณ์ผู้ต้องขังล้นเรือนจำเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก เพราะปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ความรุนแรง และสภาวะสุขอนามัยที่ไม่ดี ยังไม่รวมถึงการที่เรือนจำกลับไม่ใช่สถานที่แก้ไขฟื้นฟูดังชื่อ แต่กลับกลายเป็นสถานที่เพื่อกักขังลงโทษ

และถ้าพูดให้ถึงที่สุด ผู้ต้องขังเหล่านี้เสมือนจะต้องถูกลงโทษถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดจากความผิดที่ตนเองกระทำ และครั้งที่สองคือถูกซ้ำเติมด้วยความไร้ประสิทธิภาพของเรือนจำที่แออัดยัดเยียดเกินไป จนทำให้เราอดตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบราชทัณฑ์เพื่อลดการกระทำที่เป็นอาชญากรรมไม่ได้

ความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชทัณฑ์ยังส่งผลให้เห็นจากอัตราการกระทำผิดซ้ำ (recidivism rates) ที่สูง โดยข้อมูลจากรายงาน Thailand Annual Prison Report 2024 โดย FIDH/UCL ชี้ให้เห็นว่า ผู้ต้องขังราวร้อยละ 44 (หรือ 94,323 คน จาก 216,138 คน) กระทำผิดซ้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2566) และหากพิจารณาให้ลึกกว่านั้นพบว่า คนที่กระทำผิดซ้ำเป็นครั้งที่สองมีจำนวนมากที่สุด คือราว 1.1 แสนคน อีกทั้งคนที่ถูกจำคุกมากกว่าสองครั้งขึ้นไปยังมีจำนวนราว 9.4 หมื่นคน และในจำนวนนี้ ผู้ต้องขังคดียาเสพติดมีแนวโน้มจะกระทำผิดซ้ำมากถึงร้อยละ 24

ดังนั้น หากเราคิดที่จะสะสางรากของปัญหาและพัฒนาหลักนิติธรรมไทยไปข้างหน้าอย่างจริงจังแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน และต้องเป็นการมุ่งไปให้ถึงสังคมที่ยึดหลักนิติธรรมเป็นฐาน ดังที่ 101 PUB เสนอว่า “ต้องปรับสมดุลอำนาจใหม่ ให้กฎหมายดูแลประชาชน” ประกอบด้วย

  • สร้างกระบวนการยุติธรรมแบบ ‘เปิด’ ทั้งแนวปฏิบัติและคำพิพากษาเพื่อให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ความยุติธรรมเชิงลึกอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
  • ทำระบบอภิบาลให้เน้นผลงานเชิงประจักษ์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้โทษอื่นให้น่าเชื่อถือเท่ากับโทษคุมขัง รวมถึงมีระบบความก้าวหน้าที่ยึดโยงกับผลงาน
  • การรื้อสร้างจารีตเดิม ให้ประชาชนเป็นนายใหญ่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปรับการเรียนการสอนนิติศาสตร์ที่เน้นการตั้งคำถามมากกว่าทำตามระบบ สร้างมาตรฐานด้วยการรื้อคดีหรือลงโทษผู้มีอำนาจที่เคยลอยนวล เพื่อทำให้ทั้งหมดนี้กลายเป็นวิธีคิดและวิถีปฏิบัติใหม่ของสังคม

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อให้สถิติหรือลำดับของประเทศดีขึ้น และไม่ใช่แค่เพื่อปรับหรือรื้อสร้างระบบยุติธรรม แต่เป็นเหมือนรากฐานของการก่อร่างสร้างสังคมที่เที่ยงธรรมมากขึ้น เพราะหากเรายึดว่าหลักนิติธรรมคือหัวใจหลักของสังคม นั่นจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่มั่นใจในความเที่ยงตรงของกระบวนการยุติธรรม สร้างความมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมจะมอบความยุติธรรมให้กับผู้ที่ร้องขอได้เสมอ

และเมื่อระบบยุติธรรมเที่ยงธรรมแล้ว นั่นย่อมเป็นหมุดหมายสำคัญในการนำไปสู่สังคมที่สงบสุขและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save