ปฏิเสธไม่ได้ว่าภัยมิจฉาชีพออนไลน์คืออาชญากรรมแห่งยุคสมัย สถิติการหลอกลวงทั่วโลกเพิ่มขึ้นในแต่ละปีอย่างเห็นได้ชัด จากการรายงานของ Global Anti Scam Alliance (GASA) จำนวนครั้งของการหลอกลวงทั่วโลกตามที่มีการรายงานนั้น เพิ่มขึ้นจาก 139 ล้านครั้งในปี 2019 เป็น 266 ล้านครั้งในปี 2020 หรือเพิ่มขึ้นราวเกือบเท่าตัว คาดว่าเป็นเพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่หลายอย่างอยู่ในรูปแบบออนไลน์ซึ่งเพิ่มโอกาสให้มิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงผู้คน ต่อมาเมื่อปี 2021 การเกิดขึ้นของมิจฉาชีพออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 293 ล้านครั้ง
ในปี 2024 มีรายงานการสูญเสียทรัพย์สินจากการหลอกลวงออนไลน์ถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากในรายงานปี 2023 ที่ระบุว่ามูลค่าเงินที่สูญเสียไปรวมทั้งสิ้นถึง 1.026 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากเทียบสัดส่วน GDP แล้ว มีหลายประเทศที่การสูญเสียทรัพย์สินจากการหลอกลวงออนไลน์ ประเทศที่สูญเสียเป็นอันดับที่ 1 ของโลก คือประเทศเคนยา คิดเป็น 4.5% ของ GDP อันดับที่ 2 คือเวียดนาม (3.6%) อันดับที่ 3 และ 4 ของโลก คือบราซิลและไทย โดยอัตราการสูญเสียคิดเป็น 3.2% ของ GDP รายงานดังกล่าวเปรียบเทียบให้เห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาสูญเสียทรัพย์สินมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อเทียบสัดส่วน GDP
มิจฉาชีพทั่วโลกใช้กลโกงหลากหลาย ได้แก่ การหลอกซื้อสินค้าโดยผู้บริโภคจ่ายเงินแต่ไม่ได้รับสินค้า การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปแอบอ้าง การลงทุนหลอกลวงที่ให้สัญญาผลตอบแทนสูง การเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าแต่ไม่ได้รับบริการ การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อขอข้อมูลหรือเงิน การหลอกลวงให้บริจาคเงินแก่องค์กรการกุศลที่ไม่มีอยู่จริง พิศวาสอาชญากรรม ใบเรียกเก็บเงินปลอม การข่มขู่เพื่อเรียกเงิน งานปลอมที่เสนอรายได้สูง การฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล ฯลฯ ซึ่งความถี่ของการหลอกลวงแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
101 พาไปสำรวจกลวิธีของของมิจฉาชีพออนไลน์ในแต่ละประเทศที่มีบริบททางวัฒนธรรมแตกต่างกัน พร้อมกับวิเคราะห์ปัจจัยทางสังคมที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมเหล่านี้ โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดหลักนิติธรรม (rule of law) หรือหลักความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโครงสร้างเชิงกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับปัญหาอาชญากรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์
มองอาชญากรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์ผ่านบทเรียนจากต่างประเทศ
เคนยา: ระบบธุรกรรมออนไลน์
เคนยาเป็นประเทศที่เผชิญกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ในอัตราที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกเมื่อเทียบสัดส่วนกับ GDP ซึ่งเมื่อสืบค้นเพิ่มเติมถึงรูปแบบของอาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ที่แพร่หลายในเคนยา พบว่าคือการหลอกลวงผู้คนผ่านบริการ ‘M-Pesa’ ระบบโอนเงินและบริการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่ครองตลาดแทบทั้งประเทศ บริการธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือในแอฟริกาที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2006 โดยบริษัท Vodafone จากอังกฤษ และ Safaricom ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเคนยา
จากบทความ M-Pesa has become a tool for SIM swap fraud ระบุว่าประชากรเคนยากว่า 30 ล้านคนทำธุรกรรมผ่านช่องทาง M-Pesa คิดเป็นเงิน 107.69 พันล้านชิลลิงเคนยา (ประมาณ 818 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ข้อมูลจากธนาคารกลางเคนยา (CBK) ระบุว่า M-Pesa ถือครองส่วนแบ่งตลาดในด้านบริการธุรกรรมทางการเงินออนไลน์มากถึง 99% จะเห็นได้ว่าตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า M-Pesa กลายเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรมทางการเงินในชีวิตประจำวันของชาวเคนยา
ผู้ใช้จำนวนมากมักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่เรียกว่า ‘การสวมซิม’ (SIM Swap) ซึ่งทำได้ด้วยกลวิธีต่างๆ เช่น มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นพนักงานของ Safaricom โทรศัพท์ไปแจ้งเหยื่อว่าบัญชีผู้ใช้งานของเหยื่อมีปัญหาและหลอกถามข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเพิ่มเติม จากนั้นก็จะนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้แอบอ้างเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์และติดต่อกับผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อขอออกซิมการ์ดใหม่ที่ลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์เดิม และเมื่อซิมการ์ดใหม่ถูกเปิดใช้งาน รหัส OTP สำหรับยืนยันตัวตนก็จะถูกส่งไปยังมิจฉาชีพโดยตรง ทำให้มิจฉาชีพสามารถเข้าสู่ระบบการทำธุรกรรมออนไลน์ M-Pesa ของเหยื่อและถอนเงินออกจากบัญชีได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าพนักงานของ Safaricom หลายคนมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมดังกล่าว โดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าในการเข้าถึงบัญชี M-Pesa ซึ่งภายหลังพนักงานกลุ่มดังกล่าวก็ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนและถูกเลิกจ้าง
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น บริษัท Safaricom ได้ร่วมมือกับหน่วยงานสืบสวน Directorate of Criminal Investigations (DCI) เพื่อสร้างระบบจัดการข้อมูลและสืบสวนคดี รวมถึงมีการส่งเสริมการให้ความรู้ด้านอาชญากรรมไซเบอร์ในสังคมออนไลน์
อย่างไรก็ตาม บริษัทเองกลับไม่มีมาตรการที่ชัดเจนและเข้มงวดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น คดีหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2023 ชี้ให้เห็นว่าบริษัทดำเนินการมิจฉาชีพอย่างล่าช้า ไม่ปิดการให้บริการซิมการ์ดทันหลังจากเหยื่อถูกสวมซิม จนมีผู้ใช้บริการสูญเสียเงิน 751,680 ชิลลิงเคนยา ศาลจึงตัดสินให้บริษัทรับผิดชอบคดี
นอกจากการดำเนินการในบริษัทแล้ว เมื่อมองในภาพใหญ่ของประเทศก็ดูเหมือนว่าธนาคารกลางและรัฐบาลเคนยาจะยังไม่ได้มีมาตรการที่ชัดเจนนักในการกำกับดูแลหรือมีการพัฒนากฎหมายขึ้นเพื่อป้องกันความสูญเสียจากอาชญากรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์ดังกล่าว
กรณี ‘M-Pesa’ ในเคนยา อาจกำลังสะท้อนให้เราเห็นว่าสาเหตุที่อาชญากรรมไซเบอร์ระบาดหนักในประเทศดังกล่าว เป็นผลมาจากบริบทสังคมที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนไม่ได้แสดงความกระตือรือร้น หรือมีประสิทธิภาพมากเพียงพอในการจัดการกับปัญหานี้ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมุ่งป้องกันอาชญากรรมออนไลน์และคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สหรัฐอเมริกา: พิศวาสอาชญากรรม
นอกเหนือจากการหลอกลวงให้ลงทุนแล้ว สหรัฐอเมริกาเป็นที่รู้จักดีในเรื่อง ‘พิศวาสอาชญากรรม (romance scam)’ สำนักงานคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission: FTC) รายงานว่าในปี 2022 มีผู้แจ้งความเรื่องพิศวาสอาชญากรรมเกือบ 70,000 คน รวมจำนวนเงินที่สูญเสียทั้งหมดสูงถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้ช่องทางเช่น WhatsApp, Google Chat, หรือ Telegram ในการพูดคุยกับผู้เสียหาย
FTC ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของพิศวาสอาชญากรรมที่พบบ่อยว่า มิจฉาชีพมักโกหกเพื่อหลอกลวงเอาเงินจากเหยื่อโดยอ้างว่าตนหรือคนรอบข้างป่วยหนัก และต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินอย่างเร่งด่วน หรืออีกรูปแบบหนึ่งคือมิจฉาชีพสร้างความเชื่อใจกับผู้เสียหายก่อนที่จะชักชวนให้ลงทุน โดยอ้างว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ซึ่งที่พบบ่อยที่สุดคือการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) นอกจากนั้นยังมีการหลอกว่าจะส่งของขวัญไปให้ และขอให้เหยื่อชำระค่าธรรมเนียม แต่เมื่อเหยื่อชำระแล้ว ก็ไม่ได้รับของชิ้นนั้น
คำถามสำคัญคือพิศวาสอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกากำลังบอกอะไรเรา และทำไมแม้มีการเผยแพร่ข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้เท่าทันต่อภัยมิจฉาชีพ แต่สุดท้ายผู้คนก็ยังตกเป็นเหยื่อ
บทความ Romance Scams – A Very American Problem? วิเคราะห์ว่า ปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุของการตกเป็นเหยื่อพิศวาสอาชญากรรม คือสังคมปัจเจกนิยมที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนขาดความเชื่อมโยงกันในชีวิตจริง และเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์ทางออนไลน์จึงกลายเป็นช่องทางที่ผู้คนจะเติมเต็มสิ่งที่ขาดไป โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนยิ่งถูกตัดขาดจากการพบปะในชีวิตจริง อัตราการใช้แอปพลิเคชันหาคู่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่ออัตราการใช้แอปพลิเคชันแอปหาคู่เพิ่มขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าอัตราการเกิดขึ้นของพิศวาสอาชญากรรมทางออนไลน์จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดแอปพลิเคชันหาคู่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เห็นได้จากแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Tinder, Bumble, และ Hinge
ความโดดเดี่ยวของปัจเจกตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับความรักความสัมพันธ์ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อตะวันตก โดยเฉพาะในอเมริกา มักเป็นความรักโรแมนติกที่สมบูรณ์แบบ หรือแนวคิดเรื่อง ‘คนที่ใช่’ (The One) ค่านิยมเช่นนี้นำไปสู่ความคาดหวังที่ไม่สมจริงต่อความรักความสัมพันธ์ ผู้คนที่ยึดถือค่านิยมนี้จึงมักถูกหลอกลวงได้ง่าย โดยเฉพาะในโลกสังคมทุนนิยมอย่างสหรัฐฯ ความรักความสัมพันธ์ในอุดมคติอาจถูกนำเสนอให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตที่ผู้คนกดดันให้ต้องไขว่คว้าเพื่อจะบรรลุความต้องการหรือความสำเร็จตามบรรทัดฐานสังคม
เมื่อพิจารณาจากบริบทสังคมอเมริกัน มิจฉาชีพจึงมักก่อพิศวาสอาชญากรรมด้วยการสร้างความประทับใจให้เหยื่อ โดยมอบความรักอย่างล้นเหลือ และแสดงให้เหยื่อเห็นว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการพบคนรักที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และเมื่อเหยื่อที่แสนจะโดดเดี่ยวในชีวิตจริง ได้พบกับคนในอุดมคติที่ตรงตามความปรารถนาทุกประการ พวกเขาจึงยอมรับเอาความสัมพันธ์นั้นเข้ามาในชีวิตอย่างง่ายดาย
เกาหลีใต้: กลโกงอสังหาริมทรัพย์
ประเทศในเอเชียประสบภัยมิจฉาชีพอสังหาริมทรัพย์อย่างหนัก โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ รายงาน 2023 Asia Scam Report ระบุว่าการหลอกลวงรูปแบบนี้มักมุ่งเป้าไปที่คนที่ต้องการซื้อ ขาย หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- มิจฉาชีพโพสต์โฆษณาอสังหาริมทรัพย์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เหยื่อถูกหลอกให้จ่ายเงินมัดจำล่วงหน้า แต่กลับพบว่าอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
- มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าของบ้านเพื่อโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยมักจะขอเงินมัดจำหรือค่าเช่าล่วงหน้าก่อนที่จะให้เข้าชมอสังหาริมทรัพย์
- มิจฉาชีพปลอมเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์โดยใช้ข้อมูลประจำตัวจากหน่วยงานที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อสร้างความไว้วางใจ
- มิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีอยู่จริง
นอกเหนือไปจากการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ที่กล่าวมาข้างต้น อีกหนึ่งอาชญากรรมทางการเงินด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พบได้บ่อยมากในเกาหลีใต้ คือ ‘jeonse fraud’ กล่าวคือ เกาหลีมีระบบการเช่าที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมในหมู่คนวัยทำงาน เรียกว่าระบบ ‘ชอนเซ’ (jeonse) ที่ผู้เช่าต้องจ่ายเงินมัดจำครั้งละจำนวนมาก เพื่ออาศัยอยู่เป็นระยะยาวเวลาราว 1-2 ปี และจะได้รับเงินคืนทั้งหมดเมื่อย้ายออก
นี่เป็นโอกาสอันดีของมิจฉาชีพที่จะหลอกโกงเงินก้อนใหญ่ โดยการไม่คืนค่ามัดจำให้เหยื่อ ซึ่งเหยื่อส่วนมากกู้เงินมาเพื่อจ่ายค่ามัดจำ สถิติการสูญเสียนั้นรวมแล้วถึงราวหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเหยื่อกว่า 17,000 ราย ในปี 2023 เหยื่อทั้งหลายมักอยู่ในวัย 20-30 ปี อันเป็นช่วงวัยกำลังสร้างตัว แต่ต้องเผชิญกับการเป็นหนี้ เหยื่อบางรายถึงกับจบชีวิตของตัวเอง
เพื่อจะทำความเข้าใจอาชญากรรมที่เกิดขึ้นนี้ จำเป็นต้องย้อนมองสังคมเกาหลีใต้ ที่ผู้คนล้วนไขว่คว้าหาความมั่นคงในชีวิต และการมีบ้านเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความมั่นคงและสถานะทางสังคมที่มั่นคง ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเกาหลีจึงสูงลิ่วจนยากที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง หนุ่มสาวเกาหลีจึงทำงานหนักติดอันดับโลกเพราะมีเป้าหมายในการมีบ้านเป็นของตัวเอง การเป็นเจ้าของบ้านจึงกลายเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้ผู้คน หนี้สินภาคครัวเรือนในเกาหลีนั้นสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบสัดส่วนกับ GDP โดยหนึ่งในหนี้เหล่านั้นคือหนี้จากการเช่าบ้านในระบบชอนเซ
มิจฉาชีพมองเห็นโอกาสในสภาพสังคมเช่นนี้จึงเจาะกลุ่มคนวัยกำลังสร้างตัวที่ต้องการซื้อบ้าน โดยการหลอกลวงเอาเงินจากผู้ที่สะสมเงินออมเพื่อซื้อบ้าน ทำให้เหยื่อต้องสูญเสียเงินออมที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต ก่อความเสียหายรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเผชิญกับหนี้สินเรื้อรัง มีภาวะซึมเศร้า และหมดหวังที่จะบรรลุเป้าหมายในการยกระดับสถานะทางสังคมของตนเอง
เราอาจมองได้ว่าการฉ้อโกงอสังหาริมทรัพย์ในเกาหลีใต้นั้นเป็นภาพสะท้อนของ ‘นรกโชซ็อน’ (Hell Joseon:헬조선) ซึ่งเป็นคำที่ชาวเกาหลีใต้ใช้เรียกประเทศตัวเอง เพื่อจะส่งเสียงถึงสังคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน ขาดโอกาส ไม่เท่าเทียม เปรียบเสมือนกับการมีชีวิตในราชวงศ์โชซ็อน ราชวงศ์สุดท้ายของเกาหลีที่ผู้คนต้องประสบกับการแบ่งแยกและกีดกันทางชนชั้นอย่างรุนแรง
ไทย: หลอกว่าพัวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย
ประเทศไทยสูญเสียมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกจากภัยการหลอกลวงออนไลน์ และจากข้อมูลการสำรวจสถานการณ์การโกงออนไลน์ในไทย ปี 2024 มีการประมาณการว่าคนไทยสูญเสียจากการถูกหลอกลวงออนไลน์เกือบ 600,000 ล้านบาท และอาจมีคนไทยตกเป็นเหยื่อราว 18-20 ล้านคน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเกิดจากการหลอกลงทุนมากที่สุด อันดับที่ 2 คือการหลอกลวงด้วยการข่มขู่ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) คิดเป็น 12.8% ของมูลค่าความเสียหาย อันดับที่ 3 คือการหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงาน และอันดับที่ 4 คือการหลอกขายของ
ความน่าสนใจคือกลวิธีการหลอกลวงว่าด้วยการข่มขู่ ที่เรามักได้เห็นว่าเป็นข่าวใหญ่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่นกรณีชายวัย 81 ปี อดีตหัวหน้าสายงานเชื้อเพลิงที่ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินและจำนองบ้าน จนสูญเงินจำนวนถึง 22 ล้าน มิจฉาชีพซึ่งแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าบัญชีของชายคนดังกล่าวพัวพันกับการทุจริตของหน่วยงานราชการ การหลอกลวงนี้ขึ้นเป็นขบวนการ มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นทั้งเจ้าหน้าที่ธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีขั้นตอนการหลอกให้โอนเงินซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง
กลวิธีที่กล่าวมาข้างต้นก่อให้เกิดคำถามว่าทั้งที่คนไทยอาจมีความรับรู้ว่าระบบราชการมีความล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เหตุใดการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้กระตือรือร้นกับการสอบสวนผู้กระทำผิดจึงได้ผลในกลโกงของมิจฉาชีพในประเทศไทย
นอกเหนือจากการใช้จิตวิทยาบีบบังคับให้ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วจนทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อแล้ว ข้อสังเกตประการแรกคือ การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลของไทยอาจไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกนำข้อมูลไปใช้สวมรอย ดังที่เคยเป็นข่าวใหญ่ว่ามีแฮกเกอร์มีข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทย 55 ล้านคน จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เป็นเหตุให้มิจฉาชีพอ้างข้อมูลของเหยื่อได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้เหยื่อเชื่อว่ามิจฉาชีพคือเจ้าหน้าที่รัฐจริง หรือส่งผลให้เหยื่อเชื่อว่าข้อมูลของตนถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย เช่น แอบอ้างเปิดบัญชีเพื่อยักยอกเงิน หรือกระทำการทุจริตในองค์กร
ข้อสังเกตประการที่สองคือ เหตุที่ผู้เสียหายเชื่ออย่างง่ายดายว่าตนเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย อาจมองได้ว่าเป็นเพราะประเทศไทยมีโอกาสเกิดการกระทำผิดสูง สังเกตได้จากขั้นตอนการหลอกลวงในสังคมไทยที่มักเริ่มจากการสร้างความเชื่อว่าเหยื่อได้กระทำความผิดหรือมีพัวพันกับพฤติกรรมที่อาจผิดกฎหมาย จากนั้นมิจฉาชีพจะโน้มน้าวให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ กระบวนการนี้อาจเกิดขึ้นได้เพราะคนไทยจำนวนมากมีความเชื่อว่าตนอาจทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวหรือเคยทำผิดแต่ไม่ถูกจับกุม หรือกระบวนการยุติธรรมไทยอาจไร้ประสิทธิภาพและไม่เที่ยงตรง จนอาจดำเนินคดีได้แม้ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิดจริง
นอกจากนี้ การที่เหยื่อโอนเงินในทันทีให้กับมิจฉาชีพที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยข้ามขั้นตอนการดำเนินการที่เป็นทางการตามกระบวนการทางกฎหมาย สะท้อนให้เห็นถึงบริบทสังคมไทยที่ปีเตอร์ เอ. แจ็กสันได้กล่าวไว้ในงานวิจัย The Thai Regimes of Images ว่าในประเทศไทยมีการใช้อำนาจทั้งในปริมณฑลสาธารณะและส่วนตัว (เป็นทางการและไม่เป็นทางการ) เราอาจเทียบเคียงกับกรณีอาชญากรรมออนไลน์ได้ว่า การกระทำบางอย่าง เช่น การติดสินบน หรือการทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดูจะเป็นเรื่องที่กระทำได้ผ่านปริมณฑลส่วนตัว แต่อาจถูกจับตามองหากกระทำผ่านปริมณฑลสาธารณะ ดังนั้น เราจึงอาจมองได้ว่าคนไทยเคยชินกับการแก้ปัญหาผ่านปริมณฑลส่วนตัวหรือช่องทางที่ไม่เป็นทางการมากกว่านั่นเอง
สแกมเมอร์กับหลักนิติธรรม
หากกลโกงของมิจฉาชีพหากมิจฉาชีพที่หลอกลวงว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก M-Pesa ในเคนยาอาจกำลังสะท้อนการผูกขาดการให้บริการธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ในสังคมที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปไกลกว่าประสิทธิภาพของรัฐในการกำกับดูแล หากพิศวาสอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาสะท้อนว่าผู้คนกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวและต้องการความรักที่สมบูรณ์แบบในโลกทุนนิยม หากการฉ้อโกงอสังหาริมทรัพย์ในเกาหลีใต้กำลังสะท้อนภาพนรกโชซ็อนที่ผู้คนต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาความสำเร็จในสภาพสังคมที่ไม่เอื้อให้คนทั่วไปมีโอกาสตั้งตัว และหากมิจฉาชีพไทยที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกำลังสะท้อนความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทย
คำถามต่อไปคือ ท่ามกลางความแตกต่างของปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม มีหลักคิดอะไรที่อาจอธิบายการเกิดขึ้นของอาชญากรรมทางการเงินในแต่ละประเทศได้บ้าง และหนึ่งในกรอบคิดสำคัญคือ ‘หลักนิติธรรม’ หรือกล่าวในภาพรวมคือ ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนทั่วไป หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
The World Justice Project (WJP) องค์กรเสริมสร้างหลักนิติธรรมในระดับสากลระบุว่า หลักนิติธรรมที่มีประสิทธิผลในการลดอัตราการคอร์รัปชันและปกป้องผู้คนจากความอยุติธรรม ลดการใช้อำนาจโดยมิชอบ และป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องในชีวิตประจำวัน อย่างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีหรือสถานะทางสังคมเศรษฐกิจของประชาชน
โดย The World Justice Project (WJP) จัดทำดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) เพื่อจัดลำดับและให้คะแนนหลักนิติธรรมใน 142 ประเทศ ทั้งตามภูมิภาคและรายได้ เกณฑ์การให้คะแนนหลักนิติธรรม ประกอบด้วย 8 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การจำกัดอำนาจของรัฐบาล (Constraints on Government Powers) การปราศจากการคอร์รัปชัน (Absence of Corruption) ในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการทุจริตในองค์กรยุติธรรมและหน่วยงานรัฐที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานที่โปร่งใส รัฐบาลที่โปร่งใส (Open Government) สิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Rights) ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security) การบังคับใช้กฎหมาย (Regulatory Enforcement) กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง (Civil Justice) และ กระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice) ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งแน่นอนว่าภัยมิจฉาชีพย่อมเป็นหนึ่งในปัญหาที่กระบวนการยุติธรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญ
เมื่อเปรียบเทียบประเทศที่ได้ยกตัวอย่างในตอนต้นของบทความ ตามดัชนีหลักนิติธรรมปี 2023 พบว่าเกาหลีใต้รับการจัดอันดับตามดัชนีหลักนิติธรรมเป็นอันดับที่ 19 ตามด้วยสหรัฐอเมริกาในอันดับที่ 26 ไทยอันดับที่ 82 และเคนยาอันดับที่ 101 จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีอัตราการก่ออาชญากรรมออนไลน์สูง จะมีคะแนนนิติธรรมในลำดับที่รั้งท้าย ซึ่งไม่เป็นที่น่าแปลกใจนัก หรืออย่างเกาหลีใต้หรือสหรัฐอเมริกา แม้จะยังเกิดอาชญากรรมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีอัตราการได้รับการเยียวยาหรือได้รับเงินคืนสูงกว่าอีกสองประเทศที่กล่าวถึงอย่างมาก เช่น ผู้เสียหายในเกาหลีมีโอกาส 12.6% ในการได้รับเงินบางส่วนคืน ในขณะผู้เสียหายในไทยมีโอกาส 1.2% เท่านั้น
ข้อมูลข้างต้นจึงอาจอธิบายได้ว่าในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามรอบด้าน โดยเฉพาะภัยมิจฉาชีพหรือสแกมเมอร์ หากเป็นประเทศที่มีหลักนิติธรรมลงหลักปักฐาน มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการต่อการกระทำผิดทางกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง อาจส่งผลให้อัตราการกระทำผิดหรือการฉ้อโกงต่ำ แต่ในทางกลับกัน ในประเทศที่หลักนิติธรรมอ่อนแอ มีการคอร์รัปชัน และมีระบบกฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพ มิจฉาชีพย่อมรู้ว่าโอกาสที่ตนจะถูกจับได้นั้นมีน้อย และแนวโน้มของการก่ออาชญากรรมก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้น
ประเด็นที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เราจะเห็นได้ว่าในประเทศที่มีคะแนนนิติธรรมต่ำ เช่น ไทยและเคนยา สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการหลอกลวงมักเกี่ยวข้องกับปัญหาในด้านกฎหมายและการดำเนินการของผู้มีอำนาจรัฐ ตัวอย่างเช่น ปัญหากระบวนการยุติธรรมไทย และความไร้ประสิทธิภาพและการขาดแรงจูงใจในการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในเคนยา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศเหล่านี้มีอัตราการถูกหลอกสูง และเหยื่อมีโอกาสได้รับเงินคืนต่ำมาก
ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่มีระดับนิติธรรมสูง เช่น เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา ปัจจัยของการถูกหลอกลวงไม่ใช่ปัญหาด้านกฎหมายหรือการบริหารงานภาครัฐโดยตรง แต่เป็นปัจจัยเชิงวัฒนธรรม เช่น ความกดดันทางสังคมในเกาหลีใต้ที่ให้ความสำคัญกับหมุดหมายความมั่นคงในชีวิต หรือในสหรัฐฯ ที่มีค่านิยมเรื่องความรักและความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์ท่ามกลางสังคมปัจเจกนิยม จะเห็นได้ว่าแม้ประเทศเหล่านี้จะมีอัตราการถูกหลอกลวงก็จริง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เหยื่อก็มีโอกาสได้รับเงินคืนสูงกว่ามาก
กล่าวได้ว่า การหลอกลวงไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของปัจเจกเพียงอย่างเดียว แต่มิจฉาชีพใช้กลวิธีที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบททางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่หลักนิติธรรมไม่เข้มแข็งเพียงพอ ผู้คนก็มักจะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่ายกว่า ทั้งหมดนี้ชวนให้เราตั้งคำถามถึงหัวใจสำคัญของการป้องกันมิจฉาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจสะท้อนไปถึงการวางรากฐานหลักนิติธรรมเพื่อให้ทั้งองคาพยพของสังคมอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและความโปร่งใส เพื่อที่ประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม นำไปสู่สังคมที่ปลอดภัยจากภัยอาชญากรรมในระยะยาว
ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world