แนวคิดทางการเมือง

หลายเผ่าพรรคนักการเมือง

แนวคิดทางการเมือง

เห็นความขัดแย้งของความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงตามโซเชียลมีเดียแล้ว บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรพาเรามาถึงจุดนี้ได้หนอ

บางทีก็ดูเหมือนมนุษย์ดึกดำบรรพ์สอง ‘เผ่า’ ที่ตรงเข้าต่อสู้ห้ำหั่น ถลกผ้าถุงโจงกระเบนวิ่งเข้าไปฟันอีกฝ่าย หวังจะให้หัวแบะ (แต่บังเอิญเป็นการ ‘แบะออนไลน์’ ก็เลยไม่ถึงเลือดถึงเนื้อ) หรือพยายาม ‘หุบปาก’ ฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ส่งเสียงแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา

ภาพของการแบ่งเป็น ‘สองขั้ว’ อย่างที่ว่า บ่อยครั้งชวนให้เรานึกถึงความ ‘ขาวจัด-ดำจัด’ จนคิดว่าความคิดทางการเมืองในไทยมีแค่สองแบบเท่านั้น ใครที่ไม่ได้สมาทานความคิดแบบใดแบบหนึ่งอย่างสุดขั้ว จะกลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจขึ้นมาในทันที

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลองวิเคราะห์ประวัติศาสตร์แนวคิดของ ‘ศีลธรรมทางการเมือง’ (political morality) ดูคร่าวๆ เราจะพบว่า แนวคิดทางการเมืองน่าจะมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อยสามแบบ

แบบแรกที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี คือแนวคิด อุดมคตินิยม (idealism) ที่เชื่อมั่นใน ‘อุดมคติ’ บางอย่าง ว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือล้นพ้นเกล้าจากความเป็นมนุษย์ตดเหม็นทั้งปวง และมนุษย์ก็ควรตะเกียกตะกายไขว่คว้าเดินทางไปให้ถึงอุดมคติเหล่านั้นให้ได้ โดยเชื่อใน ‘ความจริงสูงสุด’ หรือ ‘ความดีสูงสุด’ อันเป็นสากล

นักคิดที่เชื่อในอุดมคติดังกล่าวนี้มีอาทิ เพลโต ที่เชื่อว่ามีโลกแห่งความคิดที่สมบูรณ์แบบอยู่เหนือโลกทางกายภาพ หรือกระทั่ง อิมมานูเอล คานท์ และ ฟรีดริช เฮเกล โดยเฮเกลนั้นเสนอเรื่อง ‘อุดมคตินิยมสัมบูรณ์’ (absolute idealism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มักนำเราไปสู่สภาวะ ‘เหนือมนุษย์’ ในรูปแบบต่างๆ

แบบที่สองอาจมีความ ‘เป็นมนุษย์’ มากขึ้นมาอีกหน่อย ก็คือแนวคิด สัมพัทธนิยม (relativism) ชื่อของแนวคิดนี้ก็บอกอยู่ในตัวนะครับ ว่าไม่ได้เชื่อเหมือนพวกอุดมคตินิยมว่ามีสิ่งสูงสุดดีงามเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์ แต่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่ความจริง (ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ ‘เชื่อ’ กันว่าจริง) หรือกระทั่งคุณค่าศีลธรรม ไม่มีอะไร ‘สัมบูรณ์’ แต่ขึ้นอยู่กับมุมมอง บริบท หรือ ‘กรอบอ้างอิง’ ที่เราใช้ในการประเมินสิ่งเหล่านั้น ถึงได้เรียกว่าเป็นเรื่องของการ ‘สัมพัทธ์’ กันไงครับ

นักคิดที่เข้าข่ายสัมพัทธนิยมมีหลายคน คนหนึ่งคือ โทมัส คูห์น ที่บอกว่า ‘กระบวนทัศน์’ (paradigm) ของเราเปลี่ยนแปลงหรือ shift ได้ และอีกคนคือ ฟรีดริช นีทเชอ ที่เสนอแนวคิด ‘พระเจ้าตายแล้ว’ คือไม่มีความจริงสูงสุดใดๆ มีแต่การ ‘ตีความ’ ของมนุษย์ตดเหม็นอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละครับ หรือแม้กระทั่ง มิเชล ฟูโกต์ ก็มีคนบอกว่าเข้าข่ายเป็นสัมพัทธนิยมได้ในบางกรณีเหมือนกัน และถ้าจะย้อนกลับไปยุคกรีกโบราณ ก็มีนักคิดที่ถือกันว่าเป็นสายสัมพัทธนิยม คือโปรตากอรัส นักปรัชญายุคก่อนโสคราติสที่เสนอความคิดว่า ‘มนุษย์เป็นเครื่องวัดทุกสิ่ง’ (Man is the measure of all things.)

ส่วนแบบที่สามนั้นอาจเรียกได้ว่า ‘เกิดช้า’ ที่สุด นั่นคือแนวคิด ปฏิบัตินิยม (pragmatism) หลายคนอาจเห็นว่าแนวคิดนี้ไม่ใหม่เท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วกว่าจะเกิดเป็น ‘ขบวนการ’ ทางปรัชญา (philosophical movement) แบบนี้ได้ ก็เมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 19 นี่เอง โดยนักคิดอย่าง ชาร์ลส์ แซนเดอร์ส เพียร์ซ (Charles Sanders Pierce) ตามมาด้วย วิลเลียม เจมส์ (William James) และ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)

แนวคิดนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เป็นไปตามชื่อของมันเลย คือเน้นที่ ‘ประสบการณ์’ และ ‘ผลลัพธ์’ ที่เกิดขึ้นจริง พูดง่ายๆ คือไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอก ถ้าสิ่งนั้นๆ ปฏิบัติจริงได้ เกิดผลดีงอกงามตามที่ต้องการ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ดังนั้นนักคิดสายนี้จึงมองว่า ‘ความจริง’ คือสิ่งที่ ‘ใช้งานได้’ ในทางปฏิบัตินั่นเอง

ทีนี้พอมามอง ‘เผ่าพรรคนักการเมือง’ ในไทย เราจะเห็นได้เลยนะครับว่า แค่เอาสามแนวคิดนี้มาจับ นักการเมืองแต่ละคนที่สังกัดอยู่ในพรรคต่างๆ แต่ละพรรค ‘อาจ’ มีความคิดเรื่องศีลธรรมทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างมากก็ได้ และคนที่มีแนวคิดสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งจนเกิดความ ‘แหลม’ บางอย่างขึ้นมา สุดท้ายก็มักจะถูก ‘ตบตี’ จากสังคมในหลายมิติ เพื่อให้เกิดความ ‘กลม’ ขึ้นมาได้เอง

ผมเข้าใจว่ามีนักวิชาการบางท่านในไทยวิจารณ์ว่าบางพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย มีลักษณะ ‘ปฏิบัตินิยม’ หรือ pragmatism สูง ในขณะที่บางพรรค เช่น อดีตพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน มีลักษณะ ‘อุดมคตินิยม’ หรือ idealism สูง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึง ‘ผู้คน’ ที่ประกอบร่างกันขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองหนึ่งๆ แล้ว เราจะพบว่ามีความซับซ้อนหลากเฉดกว่านั้นมาก เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่มักผสมผสานแนวคิดจากหลายกลุ่ม ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือถ้าจะพูดแบบฟูโกต์ ก็อาจบอกได้ว่าสถานการณ์ต่างๆ ทำให้แต่ละพรรคการเมืองมีความ ‘เลื่อนไหล’ ในอัตลักษณ์ของตัวเองได้นั่นแหละครับ แต่ปัญหาคือ ความเลื่อนไหลที่ว่านี้ ถ้ามากเกินไปก็อาจทำให้ผู้ติดตามของพรรคเกิดไม่ชอบใจขึ้นมาได้ ดังนั้นแต่ละพรรคจึงต้องพยายามหาสมดุลระหว่างอัตลักษณ์ที่สร้างขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

ทีนี้ถ้าพิจารณาจากชุดศีลธรรมทางการเมืองสามแบบที่เราว่ากันมาข้างต้น คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แต่ละพรรคควรจะเลือกจัดวางตัวเองไว้กับชุดศีลธรรมแบบไหน

คำตอบที่กำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ – ไม่รู้หรอกครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก ดังนั้นจึงอยากชวนแต่ละพรรคมาพิจารณากันว่า ศีลธรรมทางการเมืองแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง เมื่อ ‘เห็น’ แล้ว จะได้เลือก ‘ตั้งหลัก’ กับตัวเองว่าจะอยู่ตรงไหน และเอาอะไรมาเสริมเพิ่มเติมแต่งหลักคิดของตัวเองได้บ้าง

เริ่มจากแนวคิดอุดมคตินิยมกันก่อนนะครับ เพราะเป็นแนวคิดที่ดูจะเก่าแก่ที่สุด แนวคิดนี้มีข้อดีตรงที่มัน ‘ง่าย’ ดี ที่จะบอกว่าฉันเชื่อแบบนั้น ยึดมั่นในอุดมการณ์แบบนี้ จึงก่อให้เกิด ‘อัตลักษณ์’ ได้ง่าย ทำให้ได้ ‘ฐานเสียง’ ที่เหนียวแน่น เพราะอุดมการณ์ย่อมสร้างแรงบันดาลใจและเรียกศรัทธาได้สูง อุดมคติหรืออุดมการณ์ช่วยสร้าง ‘จุดยืน’ ที่ชัดเจน คนทั่วไปจึงเข้าใจง่าย

แต่ปัญหาของแนวคิดอุดมคตินิยมก็คือ มันมีแนวโน้มที่จะ ‘ยกหาง’ ตัวเองให้สูงขึ้นกว่าคนอื่น กลายเป็นว่าอุดมคติหรืออุดมการณ์ของฉันสูงส่งกว่าใคร เพราะธรรมชาติของแนวคิดแบบนี้จะอิงอยู่กับชุดศีลธรรมต้นแบบที่มีลักษณะเอนเอียงไปทาง ‘เหนือมนุษย์’ หรือแม้แต่ ‘พ้นมนุษย์’ (transcendentalism) ดังนั้นเมื่อต้องไปปะทะสังสันทน์กับแนวคิดอื่น (อันเป็นธรรมชาติของการเมือง) จึงอาจมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่ำ และขัดแย้งกับกลุ่มที่มีความเห็นต่างได้ง่าย

ที่ว่ามานี้ไม่ได้หมายถึงพรรคที่ประกาศตัวว่ายึดมั่นอุดมการณ์อย่างโจ่งแจ้งเท่านั้นนะครับ แต่ต่อให้เป็นพรรคที่ดูเหมือนอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็อาจเป็นพรรคที่ยึดมั่นถือมั่นใน ‘อุดมคติ’ บางอย่างที่ต่างออกไปได้เหมือนกัน (เหมือนคนที่นับถือพระเจ้าคนละองค์ แต่ก็ยังยึดมั่นในพระเจ้าของตัวเองอยู่ดี!) ซึ่งก็ต้องบอกว่า หากพรรคที่มีลักษณะอุดมคตินิยมสองพรรคหรือมากกว่าขัดแย้งกัน มักจะกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง เนื่องจากต่างฝ่ายต่าง ‘บูชา’ อะไรบางอย่างและพยายามสร้างความเป็นปีศาจให้กับสิ่งที่ต่างออกไป

ต่อมาคือแนวคิดแบบสัมพัทธนิยม ซึ่งมีข้อดีคือสามารถดึงดูดคนหลากหลายกลุ่มได้ เพราะเป็นแนวคิดที่พยายามมองและทำความเข้าใจคนกลุ่มต่างๆ จึงสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความแตกต่างหลากหลายได้ดี การมองเห็นความหลากหลายโดยไม่ยึดมั่นว่าอุดมคติของฉันถูกต้องดีงามที่สุด จะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่มีความเชื่อต่างกัน และส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การเจรจาหาจุดร่วมมากกว่าหัวชนกำแพงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ

แต่ปัญหาของแนวคิดแบบนี้ก็คือ อาจก่อให้เกิดภาพการทำงานทางการเมืองที่แลดูโลเล ไร้จุดยืน แม้กระทั่งถูกมองว่ากลับกลอกไปมา วันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง หรือถูกมองว่าไม่มีหลักการที่แน่นอน นั่นเพราะการประนีประนอมอาจทำให้การตัดสินใจในประเด็นสำคัญกลายเป็นเรื่องยาก เพราะมัวแต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ด้วยความที่ไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์หรืออุดมคติชุดใดชุดหนึ่งมากนัก จึงอาจนำไปสู่การ ‘ละเลย’ หลักการสำคัญที่เป็นเหมือนเสาหลักของประชาธิปไตย เช่น หลักนิติธรรมหรือสิทธิมนุษยชน จนอาจเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่มมากกว่าบางกลุ่มได้

ส่วนแนวคิดปฏิบัตินิยมนั้นจะว่าไปแล้วน่าสนใจมาก เพราะเมื่อมุ่งเน้นไปที่การ ‘ปฏิบัติจริง’ (อย่างที่นักการเมืองบางพรรคหาเสียงว่าตัวเอง ‘ทำได้จริง’ ซึ่งหมายถึงไม่ได้ ‘ดีแต่พูด’) ก็ย่อมอยากได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้หรือการแก้ปัญหาที่เห็นเป็นรูปธรรม เมื่อเน้นไปที่ผลลัพธ์ โดยมากจึงไม่ได้เริ่มจาก ‘ฐาน’ ทางอุดมคติเท่าไหร่ และต่อให้มีความเชื่อในอุดมคติบางอย่างเป็นฐานอยู่บ้าง แต่ถ้าอุดมคตินั้นๆ ขวางทางไปสู่ผลลัพธ์ นักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มุ่งเน้นปฏิบัตินิยมก็พร้อมจะ ‘เปลี่ยน’ ได้ง่ายๆ คล้ายกับกลุ่มสัมพัทธนิยมเหมือนกัน แต่กลุ่มนี้จะมุ่งทำผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นได้จริงมากกว่า

แนวคิดแบบปฏิบัตินิยมยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง เช่น เมื่อเน้นที่ผลลัพธ์ ก็อาจมีการเปลี่ยนนโยบายบ่อยๆ เวลาเห็นว่าไอ้นั่นทำไม่ได้ ไอ้นี่ทำไม่ได้ ก็จะพยายามลดเลี้ยวเคี้ยวคดหาวิธีเดินหน้าไปให้ถึง ‘ปลายทาง’ ให้ได้ บ่อยครั้งจึงใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่ได้คิดถึงการแก้ปัญหาระยะยาวที่จะผลักดันประเทศไปในอนาคตไกลๆ อย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และที่สำคัญ การยอมเปลี่ยนอุดมคติเพื่อผลลัพธ์ ก็อาจถูกมองว่าไม่มีจุดยืนทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน ก่อให้เกิดความไม่น่าไว้วางใจในสายตาประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สนับสนุนพรรคหรือนักการเมืองนั้นๆ มาตั้งแต่ต้น

ที่จริง การ ‘ทดลอง’ แบ่งแนวคิดทางการเมืองออกมาเป็นสามแบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง (valid) เสียทีเดียว เพราะนักการเมืองแต่ละคนหรือพรรคการเมืองแต่ละพรรคคงไม่ได้เป็นแบบใดแบบหนึ่งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่จะมีลักษณะที่ผสมผสานกันมากบ้างน้อยบ้าง อย่างไรก็ตาม การ ‘ทดลอง’ แบ่งแบบนี้ จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบอย่างคร่าวๆ ได้ว่านักการเมืองและพรรคการเมือง ณ ขณะเวลาหนึ่งๆ กับนโยบายหนึ่งๆ นั้น พวกเขาใช้ ‘กรอบคิด’ แบบไหนเป็นหลักตั้งต้นในการตัดสินใจ

หนังสือชื่อ Moral Tribes: Emotion, Reason, and the Gap Between Us and Them ของ โจชัว กรีน (Joshua Greene) พูดถึงการแบ่งเป็น ‘เผ่า’ ของมนุษย์ และเอ่ยถึงแนวคิดปฏิบัตินิยมกับสัมพัทธนิยมเอาไว้ไม่น้อย หนังสือเล่มนี้บอกว่าวิธีแก้ปัญหาการแบ่งแยกขัดแย้งเป็นเผ่า หรือเป็น ‘พวกกู’ กับ ‘พวกมึง’ แล้วห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ก็คือการย้อนกลับไปพิจารณาว่าตัวเรายึดมั่นในแนวคิดหรือ ‘ระบบศีลธรรม’ แบบไหน เป็นปฏิบัตินิยมหรือสัมพัทธนิยม (หรือที่ผมเพิ่มเข้ามาก็คืออุดมคตินิยม)

กรีนเสนอด้วยว่า มนุษย์เรามีการตัดสินใจเชิงศีลธรรมสองระบบ คือระบบอัตโนมัติที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลัน กับระบบควบคุมที่ใช้เหตุผลเข้ามาใคร่ครวญ จึงเกิดขึ้นช้ากว่า เขาบอกว่า วิธีการแก้ปัญหาความเป็นเผ่าแบบแบ่งแยกกันนั้น นอกจากย้อนกลับไปดู ‘ฐาน’ ว่าเราเป็นคนแบบไหนแล้ว ยังควรใช้วิธีคิดแบบ ‘ระบบควบคุม’ ที่ช้าและมีเหตุผลมากกว่าระบบอัตโนมัติ เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย ซึ่งจะช่วยให้เราแก้ปัญหาความขัดแย้งทาง ‘ศีลธรรมการเมือง’ ได้ดีขึ้น

ดังนั้น ถ้าเราย้อนกลับมา ‘ตั้งหลัก’ ที่ฐานคิดของเราให้ได้ โดยมองว่าเรา ‘ตั้งต้น’ ที่ฐานคิดแบบไหน แล้วประยุกต์ใช้วิธีที่กรีนว่าเข้ามาในการนำเสนอความคิดของเรา ก็น่าจะทำให้การขับเคลื่อนทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์มากกว่าที่เป็นอยู่

และการแบ่งเป็น ‘เผ่าพรรค’ ของนักการเมืองทั้งหลาย ก็จะไม่มุ่งหน้าเข้าห้ำหั่นทำลายกันเพียงอย่างเดียว จนสุดท้ายอาจไม่ก่อให้เกิดผลดีกับใครเลย

แนวคิดทางการเมือง

แนวคิดทางการเมือง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save