ระหว่าง ‘ปรัชญา’ และ ‘ศรัทธา’: ความ(คาด)หวังของชัยวัฒน์ สถาอานันท์

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้รับข่าวร้ายถึงการจากไปของ ‘ชัยวัฒน์ สถาอานันท์’ ศาสตราจารย์สาขาการเมืองการปกครอง แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียปูชนียบุคคลสำคัญคนหนึ่งด้านรัฐศาสตร์ ผู้บุกเบิกองค์ความรู้ด้านสันติภาพศึกษาในไทย อีกทั้งยังเป็นปัญญาชนที่คอยเตือนสติผู้คนในสังคม ชัยวัฒน์ไม่ได้เป็นเพียงที่รู้จักและเคารพนับถือของคนจำนวนมาก แต่ชัยวัฒน์ยังเป็น ‘ครู’ ผู้รักและเป็นที่รักของศิษย์อีกด้วย โดยศิษย์หลายคนต่อมาได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับสังคม และถึงกับยกย่องชัยวัฒน์ว่าเป็นบุคคลที่จุดประกายความคิดให้

ในบทความนี้ ผู้เขียนประสงค์ที่จะเขียนเกี่ยวกับ ‘ความหมาย’ และ ‘ความสำคัญ’ ของ ‘ปรัชญาการเมือง’ ในความคิดทางสังคมและการเมืองของชัยวัฒน์ ตลอดจน ‘ความหวัง’ ที่เขามีต่อประชาชนทั่วไปในสังคม กล่าวอย่างขยายความ คือ ความเข้าใจของชัยวัฒน์ว่าด้วยปรัชญาการเมือง มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการหล่อหลอมชัยวัฒน์ให้เป็นผู้ที่ ‘ศรัทธา’ ในปฏิบัติการทางการเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรง และนักปรัชญาสาธารณะที่ชักชวนให้ผู้คน ‘เห็น’ ทางเลือกใหม่ๆ ในการจัดการกับความขัดแย้งด้วยตนเอง ซึ่งแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกมนุษย์

ผู้เขียนจะอภิปรายผ่านมุมมองของบุคคลที่ ‘ไม่ใช่’ ศิษย์คนหนึ่งของชัยวัฒน์ แต่เป็นผู้ที่มีโอกาสสอนปรัชญาการเมืองคนหนึ่งที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีจุดหมายเฉกเช่นเดียวกันที่จะใช้ ‘แว่น’ ทางปรัชญาส่องหาทางออกให้กับประเด็นต่างๆ ที่เป็นปัญหาในสังคม ถึงแม้สิ่งที่ ‘เห็น’ และวิธีการบรรลุจุดหมายนั้นจะต่างกับของชัยวัฒน์อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งผู้เขียนคงไม่มีความสามารถมากพอ ที่จะเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชัยวัฒน์ในมิติของผู้ที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นและลึกซึ้งกับเขามากที่สุดคนหนึ่ง ต่างจากบรรดาลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมการเดินทางทางความคิดของชัยวัฒน์

แท้จริงแล้วมันไม่สำคัญหรอกว่า ผู้เขียนกับชัยวัฒน์มีความเห็นพ้องต้องกันมากแค่ไหน หรือต่างมีความรัก ‘ต่อ’ กันและกันในรูปแบบใด สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ทำไมเราทั้งคู่ต่างรักและศรัทธาในสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรัชญาการเมือง’ เหมือนกัน ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ผู้เขียนประสงค์ที่จะเขียนเกี่ยวกับชัยวัฒน์ด้วยประเด็นปรัชญาการเมืองจากมุมที่ไกลออกไป โดยตระหนักในความสำคัญของการ ‘สานต่อ’ การสอนปรัชญาการเมือง (บนเส้นทางของผู้เขียนเอง) ในคณะที่ชัยวัฒน์ผูกพันและสอนมานานับทศวรรษ

‘ปรัชญา’ และ ‘ศรัทธา’

เราจะไม่เข้าใจชัยวัฒน์ หากเราไม่เริ่มด้วยการทำความเข้าใจ ‘ปรัชญาการเมือง’ เสียก่อน นับตั้งแต่สงครามปราบคอมมิวนิสต์ในยุค 6 ตุลาฯ จวบจนปัจจุบันที่กลายเป็นความรุนแรงในโลกออนไลน์ระหว่างกลุ่มก้อน หรือ ‘ด้อม’ ทางการเมืองต่างๆ เหตุใดชัยวัฒน์ถึงไม่เคยสิ้นหวังกับสังคมไทย? คงเป็นคำถามที่หลายคนอดคิดไม่ได้ ความรุนแรงที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทยทำให้ผู้อ่านน่าจะรู้สึกว่า ความหวังของชัยวัฒน์ดูทวนกระแสโลกเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น ชัยวัฒน์กลับต้องการสื่อสารกับสาธารณะมากกว่าเดิม ด้วยถ้อยคำและวาจาที่เข้าใจง่ายและสร้างความมั่นใจ (reassurance) ให้กับผู้ฟัง โดยกระทำผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว การออกรายการโทรทัศน์ การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ฯลฯ

เห็นได้ว่า ‘ความมุ่งหวัง’ ของชัยวัฒน์นั้นต้องอาศัย ‘ความศรัทธา’ ที่น่าเหลือเชื่อ ว่าแต่ สิ่งที่ศรัทธาคืออะไรกันแน่? องค์ความรู้ทางปรัชญาการเมือง หรือความสามารถของปัจเจกในการก้าวให้พ้นกรอบขีดจำกัดทางความคิดของตนเองและสังคมโดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าปรัชญา คำตอบเป็นได้ทั้งสองสิ่ง เพราะ ‘ปรัชญาการเมือง’ ในทัศนะของชัยวัฒน์ ชักชวนด้วยการตั้งคำถามให้ปัจเจกไม่เพิกเฉยหรือตายใจ (complacent) กับการเมืองที่เป็นอยู่ แต่กลับ ‘ตาสว่าง’ กับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งอาจหมายถึงความรู้ใหม่ๆ ว่าด้วยธรรมชาติของการเมือง ตลอดจนระเบียบทางการเมืองที่ ‘ดี’ กล่าวคือ การตั้งคำถามกับ ‘ความจริง’ เนื่องจากความจริงนั้นอาจขับเคลื่อนด้วยอคติ หรืออีกนัยก็คือความเชื่อที่ว่า ‘ความจริง’ ‘ความดี’ หรือ ‘ความยุติธรรม’ ของตนถูกต้องที่สุด (ซึ่งส่งผลกระทบต่อการยึดตรรกะทางการเมืองที่มีการจำแนกแยกแยะระหว่าง ‘เรา’ กับ ‘เขา’ ที่สร้างความเป็นอื่นเฉกเช่น ‘มิตร’ กับ ‘ศัตรู’) สามารถทำให้ผู้คนที่ขัดแย้งในสังคมหันมา ‘เอาใจเขาใส่ใจเรา’ มากขึ้น[1] กล่าวอย่างรวบรัดคือ การทวนกระแสโลกหรือสังคมการเมืองที่เป็นอยู่เริ่มด้วยการทบทวนความเชื่อของตนเอง

คำถามที่ตามมาคือ สำหรับชัยวัฒน์ ‘ปรัชญา’ และ ‘ศรัทธา’ ใช่ขั้วตรงข้ามอย่างที่หลายคนมักเข้าใจหรือไม่? คำว่า ‘ปรัชญา’ หรือ philosophy ซึ่งมาจากคำว่า philosophia ในภาษากรีกโบราณ แปลว่า ความรัก (philos) ในปัญญา (sophia) โดยชัยวัฒน์ได้ขยายความหมายของความรักดังกล่าวไว้ว่า หมายถึงการตั้งคำถามที่เป็นนิรันดร์เพื่อแสวงหาคำตอบที่ไม่มีวันตายตัว ซึ่งอันที่จริงมีข้อสังเกตที่น่าสนใจสองประการ

ข้อสังเกตแรก ‘ปัญญา’ ไม่เท่ากับ ‘ความรู้’ แต่เป็นเรื่องกระบวนการแสวงหาความรู้ต่างหาก โดยที่ความรู้ที่แท้จริง ซึ่งชาวกรีกเรียกว่า episteme อาจไม่(มีวัน)ถูกพบพานด้วยซ้ำ หรือก็คือความรับรู้ที่ทำให้ผู้รับรู้นั้นทำได้มากสุดแค่ ‘พยายาม’ แทนอคติหรือความเห็น (opinions) ด้วยความรู้[2]

ข้อสังเกตลำดับถัดมา ‘ความรัก’ ดังกล่าวย่อมทำให้ผู้รัก ‘ศรัทธา’ ในความสำคัญของการตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวกับ ‘ความจริง’ หรือความรู้ที่แท้จริงว่าด้วยธรรมชาติของสรรพสิ่ง แม้เราอาจไม่ได้คำตอบที่แน่ใจว่า ‘ความจริง’ นั้นคืออะไร หรือต่างฝ่ายที่ขัดแย้งกันสามารถเอาความเป็นมนุษย์อยู่ก่อนสิ่งอื่นใดได้จริงหรือไม่ แต่เราก็ไม่ควรละทิ้งความคาดฝันที่จะเห็นสติปัญญาและความเห็นแก่เพื่อนมนุษย์งอกงามในสังคม ในทางตรงกันข้าม ความไม่ตายตัวของคำตอบนั่นเองที่เป็นเงื่อนไขสำคัญทำให้การใฝ่รู้ไม่มีจุดสิ้นสุด

กล่าวอย่างถึงที่สุด สำหรับชัยวัฒน์ ‘ความรักในปัญญา’ และ ‘ความศรัทธาในความดีของมนุษย์’ ย่อมเป็นเรื่องเดียวกัน การมุ่งหวังที่ชั่วร้ายในตัวปัจเจกเป็นผลของการไม่สำรวจตนเองและสังคมที่หล่อหลอมให้เกิดสิ่งนั้น สรุปอย่างเข้าใจง่ายดังนี้ว่า

ถ้าเรารักในปัญญา เราจะเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น

ถ้าเราเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น เราจะเอาใจเขามาใส่ใจเราได้มากยิ่งขึ้น

ถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเราได้มากยิ่งขึ้น เราจะให้ค่าความเป็นอื่นน้อยลง

และถ้าเราให้ค่าความเป็นอื่นน้อยลง การเมืองจะเป็นพิษน้อยลง และความรุนแรงทางการเมืองจะเป็นที่ยอมรับน้อยลงตามมา

ฉะนั้น ในวันที่การเมืองเป็นพิษและทุกอย่างดูสิ้นหวังไปเสียทั้งหมด ชัยวัฒน์ก็ยังศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ตราบใดที่ไม่หมดรักในปัญญา ความคาดหวังที่จะเห็นมนุษย์ธรรมดาใช้ปรัชญาเป็นเชื้อเพลิงจุดประกายไฟแห่งความหวังจะยังคงอยู่ น่าสนใจว่า ชัยวัฒน์ปรารถนาให้ปรัชญาการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่ของ ‘ผู้รู้’ ‘ผู้มากรู้’ หรือ ‘ผู้ปกครองที่มากรู้’ ปรัชญาการเมืองเป็นมากกว่าเรื่องเฉพาะบุคคล และแท้จริงแล้วการไม่ใช้ความรุนแรงทางการเมืองเป็นความรับผิดชอบของทั้งภาครัฐและภาคประชาชน

เมื่อถามต่อว่า ความรักและความศรัทธาดังกล่าวมาจากไหน? ผู้เขียนคิดว่า เราไม่ควรมองข้ามบทบาทสำคัญที่ศาสนาอิสลามมีต่อปรัชญาการเมืองของชัยวัฒน์ ซึ่งอาจดูย้อนแย้ง เนื่องจากปรัชญาเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เราตั้งคำถามกับทุกสรรพสิ่งไม่ใช่หรือ สิ่งที่ลบออกจากสมการปรัชญาและศรัทธาไม่ได้คือหลักคิดเรื่องพระเจ้าองค์เดียว โดยหากเริ่มต้นด้วยสมมติฐานที่ว่าแท้จริงทุกสรรพสิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์[3] ‘ปรัชญา’ เองก็มาจากพระองค์ การตั้งคำถามเพื่อสั่นคลอนความเชื่อในพระองค์จึงเท่ากับการหักล้างเงื่อนไขความเป็นไปได้ (condition/premise) ของปรัชญาตั้งแต่แรก

ดังนั้น เราไม่ควรสับสนว่าเหตุใดชัยวัฒน์ถึงสามารถเคร่งครัดกับหลักคำสอนทางศาสนาพร้อมๆ กับการเป็นนักปรัชญา ซึ่งอันที่จริง ความรักของพระองค์นับว่าเป็นต้นแบบของความรักที่ไร้เงื่อนไขและขีดจำกัด ฉะนั้น หากศรัทธาในพระองค์ โดยที่ปัจเจกมิอาจ(มีทาง)รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ การศรัทธาในปัญญาและเพื่อนมนุษย์โดยปริยาย ไม่น่าใช่เรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว จากที่กล่าวไปทั้งหมด สรุปได้หรือไม่ว่า คำถามที่ชัยวัฒน์ต้องการฝากไว้กับทุกคนคือเราจะเป็นคนดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญาได้อย่างไรหากไร้ความศรัทธา? เป็นประสงค์ของพระองค์หรือไม่ ที่ปริศนาต่างๆ บนโลกใบนี้สอนให้มนุษย์รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยการถ่อมตน?

ปรัชญาการเมืองหลังชัยวัฒน์ สถาอานันท์

ในฐานะอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้เขียนมีโอกาสได้รับหน้าที่ในการถ่ายทอดวิชาความรู้ทางด้านปรัชญาการเมือง ซึ่งนั่นเคยเป็นบทบาทที่ชัยวัฒน์ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบก่อนที่ตัวผู้เขียนจะเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้รับช่วงต่อ และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้เขียนได้กลายเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของชัยวัฒน์ โดยที่ชัยวัฒน์มีส่วนสำคัญในการรับผู้เขียนเข้ามาเป็นอาจารย์ สิ่งที่อดคิดไม่ได้ คือ ประเด็นการสอนปรัชญาการเมืองในวันที่ครูผู้คอยกำชับให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของมันทั้งในและนอกห้องเรียนได้กลับไปยังพระผู้เป็นเจ้าแล้ว

น่าสังเกตว่าตอนชัยวัฒน์รับช่วงต่อจาก ‘สมบัติ จันทรวงศ์’ อดีตอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้บุกเบิกการสอนปรัชญาการเมืองในไทย และผู้ที่เปิดโลกปรัชญาการเมืองให้กับชัยวัฒน์ สมัยที่เขายังศึกษาเล่าเรียนในระดับปริญญาตรี ชัยวัตน์ก็ได้พยายาม ‘สานต่อ’ สำนักวิชาปรัชญาการเมืองที่ริเริ่มโดยสมบัติในแบบฉบับของตัวเอง กล่าวคือ ถึงแม้ชัยวัฒน์และครูของเขาจะสมาทานแนวการสอนปรัชญาการเมืองที่ได้รับอิทธิพลจาก ‘Leo Strauss’ อาจารย์ปรัชญาการเมืองอเมริกันเชื้อสายเยอรมันคนสำคัญของศตวรรษที่ 20 ผู้เป็นทั้งครูของสมบัติ และครูที่ชัยวัฒน์ยกย่องให้เป็นต้นทาง (progenitor) ของปรัชญาการเมืองสำนักธรรมศาสตร์ แต่ข้อค้นพบทางปรัชญาการเมืองของชัยวัฒน์ ก็ไม่ได้เหมือนกับของสมบัติไปเสียหมด เห็นได้จากการที่สมบัติมักให้ความสำคัญกับการ ‘ตีแผ่’ ความจริง (ของสังคมไทย) มากกว่าการ ‘วิพากษ์’ มันเพื่อให้เห็น ‘ปัญหาที่ไม่ลงตัว’ (problematic) ว่าด้วยธรรมชาติของมัน[1] และมองว่าปรัชญาการเมืองเบื้องต้น ‘ไม่ควร’ ถูกบรรจุเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรรัฐศาสตร์เนื่องจากไม่เหมาะกับบริบทประเทศไทย โดยสมบัติสารภาพว่าผู้เข้าเรียนไม่ได้อยากเรียนรู้ในแบบที่เขาคาดหวังขนาดนั้น[4]

ในที่ประชุมคณาจารย์ ชัยวัฒน์มักย้ำว่า ไม่รู้ที่อื่นเป็นเยี่ยงไร แต่เสน่ห์ของคณะ ‘พวกเรา’ คือการเปิดพื้นที่ให้แนวทางอันหลากหลายในการศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ‘การเมือง’ ได้งอกงาม พหุนิยมทางความคิดจึงเป็นอีกลักษณะสำคัญของความเป็นรัฐศาสตร์ สำนักธรรมศาสตร์ก็ว่าได้ 

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นควรที่จะเน้นย้ำว่า เรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกัน (uniformity) เป็นมากกว่าแค่การรับรองความหลากหลาย ชัยวัฒน์เคยแนะนำผู้เขียนว่า ตอนสอนวิชาปรัชญาการเมืองเบื้องต้น คงจะดีถ้าเลือกตัวบท (text) ปรัชญาการเมืองของนักปรัชญาเมธี (great/canonical philosopher)[5] มาอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเพื่อให้นักศึกษาได้พินิจไตร่ตรองทุกๆ ถ้อยคำอย่างละเอียดรอบคอบ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การรับรู้ความหมายที่เที่ยงแท้ ซึ่งความซื่อสัตย์ต่อตัวบทนั้นสามารถทำให้ผู้อ่านถอดแนวคิดอันเป็นสากลและเหนือกาลเวลาที่นักปรัชญาผู้แต่งนั้นต้องการจะถ่ายทอด เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการไขปมปัญหาปริศนาทางการเมืองต่างๆ ที่รายล้อมเราในปัจจุบัน

การเน้นความเคร่งครัดในการอ่านตัวบท และความเชื่อที่ว่าข้อความทุกตัวอักษรของนักปรัชญาเมธีแต่ละคนซ่อนเร้นคำตอบที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘อภิพรรณนา’ (grand narrative) อะไรบางอย่าง ราวกับสิ่งล้ำค่าที่รอการค้นพบสำหรับคำถามที่เป็นนิรันดร์ไว้อยู่เสมอ นับว่าเป็นแนวทางการศึกษาปรัชญาการเมืองตามขนบแบบ ‘Straussian’ และนี่คือมรดกทางปัญญาที่มีส่วนในการหล่อหลอมความเป็น ‘สำนักธรรมศาสตร์’ ไม่มากก็น้อย

ความจริงก็คือ ผู้เขียนยังเต็มไปด้วยข้อกังขาว่าควร ‘ยึด’ ตัวบทของนักปรัชญาเมธี(คนไหน)เวลาสอนมากน้อยเพียงใด และควร ‘อ่าน’ ตัวบทแบบ Strauss เหมือนที่ชัยวัฒน์ทำหรือไม่ กล่าวได้ว่าผู้เขียนอาจไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดกับขนบแบบ Straussian (ด้วยเหตุผลที่ผู้เขียนขอสงวนไว้อธิบายในโอกาสหน้า) แต่ถึงกระนั้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ชัยวัฒน์อาจรู้ทั้งรู้ว่าผู้เขียนมีแนวโน้มที่จะไม่สมาทานขนบดังกล่าว แต่ก็ยังตัดสินใจรับผู้เขียนเข้ามาเป็นอาจารย์สอนวิชาที่ตนรักและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จึงเกิดคำถามว่า ทำไม?

โดยส่วนตัว ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้เรียนกับชัยวัฒน์ หรืออาจารย์ปรัชญาการเมืองสาย Straussian ด้วยซ้ำ[6] สิ่งที่ผู้เขียนทำได้มากสุดก็คงเป็นแค่การ ‘คาดเดา’ คำตอบจากบทสนทนาที่เคยมีกับชัยวัฒน์ ผู้เขียนจำได้ว่าช่วงแรกๆ ของการเป็นอาจารย์ ชัยวัฒน์ได้เปิดเผยกับผู้เขียนไว้ว่า เขาสัมผัสถึงความรักและความศรัทธาที่ผู้เขียนมีต่อปรัชญาการเมือง ตอนที่ผู้เขียนทดลองบรรยายในหัวข้อดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการสมัครเป็นอาจารย์ เท่าที่ผู้เขียนจำความได้ สิ่งที่ชัยวัฒน์ต้องการสื่อสารกับผู้เขียนที่สุดคือ “ผมเห็น passion ตอนอาจารย์ดุลยภาพสอนนะ และความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองสอนนั้นสำคัญยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดสุดในแววตาของอาจารย์” อนุมานได้ว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าชัยวัฒน์รู้จักผู้เขียนเป็นอย่างดีเหมือนกับที่รู้จักลูกศิษย์ที่ตัวเขาเองปั้นมากับมือหรือไม่ อีกทั้ง ชัยวัฒน์ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่า ผู้เขียนรู้สึกดีกับชัยวัฒน์เหมือนกับที่รู้สึกกับวิชานี้มากเพียงใด ที่แน่ๆ คือ ผู้เขียน ‘รัก’ วิชานี้ไม่น้อยไปกว่าเขา

แน่นอนว่า เหตุผลที่รักวิชาปรัชญาการเมือง ไม่ใช่เพราะ ‘รัก’ ชัยวัฒน์ หรือเพราะอยู่ในขนบเดียวกับชัยวัฒน์ แต่เพียงเพราะผู้เขียน ‘ศรัทธา’ ในความสำคัญของปรัชญาการเมือง และคงไม่อยากเห็นวิชาปรัชญาการเมืองเบื้องต้นถูกถอดจากการเป็นวิชาบังคับของคณะในอนาคตข้างหน้า มิหนำซ้ำ ผู้เขียนอาจไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่เหมือนชัยวัฒน์ที่เชื่อเสมอมา แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าคือ เราทั้งคู่ต่างรู้ว่าเรา ‘ศรัทธา’ ในความสำคัญของปรัชญาการเมืองอย่างบริสุทธิ์ใจ

ในทำนองเดียวกัน หากพินิจไตร่ตรองประเด็นที่ว่า ปรัชญาการเมืองทำให้ ‘เห็น’ อะไร? แม้แต่ชัยวัฒน์กับผู้เขียน ก็มีคำตอบที่คลาดเคลื่อนกันอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวอย่างละเอียด ถึงแม้ชัยวัฒน์จะเชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติไม่ได้ชั่วร้าย เพราะความชั่วร้ายนั้นเกิดจากการขาดสติ โดยมนุษย์ทุกคนสามารถเกิดความตระหนักรู้ (แต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้) แต่สำหรับผู้เขียน ปรัชญาการเมืองไม่ได้ทำให้เราศรัทธาในความดีของมนุษย์เสมอไป กลับกัน ความรักในปัญญาอาจทำให้เราหันมาตระหนักมากขึ้นใน ‘ความยาก’ ที่จะเกิดการรับรู้ร่วมกันในธรรมชาติของระเบียบการเมืองที่ดี และความสำคัญของการส่องหา ‘วิธีรับมือ’ กับความเป็นจริง (reality) นี้ด้วยการประมาณตน[7]

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่าความเข้าใจพื้นฐานที่เราสองคนมีต่อปรัชญาการเมืองไม่เหมือนกัน ผู้เขียนยังคงเข้าใจเหมือนกับชัยวัฒน์ว่า ‘ปรัชญาเป็นเรื่องของทุกคน’ และขับเคลื่อนด้วยความใฝ่รู้มากกว่าการยืนหยัดว่าความรู้ของตนจริงแท้ที่สุด อีกทั้งในโลกที่นับวันปัญหาการครอบงำและความแตกแยกทวีคูณหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ เราทั้งคู่ยังคงมีจุดร่วมตรงกันที่ไม่เคยละทิ้งความเชื่อว่า ปรัชญาสามารถสร้างทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาเหล่านี้ในสังคมได้ โดยที่ทางออกหรือการได้มาซึ่งทางออกนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ กล่าวได้ว่า การชี้ให้เห็นความสำคัญของ ‘การตั้งคำถามเชิงปรัชญา’ ไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการสมาทาน ‘วิธีการคัดลอกคำตอบ’ ที่เหมือนกัน ซึ่งการสงวนจุดต่างนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องขัดหูขัดตาอะไรในคณะที่มองว่า ‘พหุนิยม’ เป็นหนึ่งในเสาหลัก แม้แต่ตัวชัยวัฒน์กับอาจารย์ที่เขาเคารพรักอย่างสมบัติก็เห็นต่างกันในหลายประเด็นดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้

โดยสรุป บทความนี้ไม่ต่างอะไรจากการ ‘สานต่อความศรัทธา’ ที่ชัยวัฒน์กับผู้เขียนต่างมีต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรัชญาการเมือง’ ในวันที่ชัยวัฒน์ไม่อยู่เพื่อคอยส่งเสริมมันอีกต่อไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าปรัชญาการเมืองไม่ได้สูญสิ้นตามตัวตนของเขาไปด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ชัยวัฒน์พยายามบอกเสมอมา คือ ถ้าเราไม่ไร้ซึ่งความรัก ปรัชญาการเมืองจะไม่มีวันตาย ผู้เขียนเชื่อว่าบรรดาศิษย์ที่รักชัยวัฒน์คงไม่อยากเห็นปรัชญาการเมืองตาย ในขณะเดียวกัน เพื่อนร่วมอาชีพอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ร่ำเรียนกับชัยวัฒน์อย่างผู้เขียน ก็จะพยายามสานต่อความรักดังกล่าวในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งอันที่จริง หากตกหลุมรักปรัชญาการเมือง ไม่ควรตกหลุมรักเพียงเพราะชัยวัฒน์เลย ผู้อ่านคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า คนเราตายสองครั้ง ครั้งแรกตอนคุณหยุดหายใจ ครั้งที่สองตอนไม่มีใครกล่าวชื่อคุณอีกแล้ว แต่สำหรับคนอย่างชัยวัฒน์ การตายที่น่ากลัวกว่านั้น หมายถึงวันที่ผู้คนเลิกให้ค่าปรัชญาการเมืองเสียแล้ว ซึ่งอาจเริ่มด้วยการลดความสำคัญของการสอนปรัชญาการเมือง ในคณะรัฐศาสตร์ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้ว่าวันหนึ่งโลกอาจลืมชื่อ ‘ชัยวัฒน์ สถาอานันท์’ ไปแล้ว แต่ปรัชญาการเมืองจะถูกลืมไม่ได้

นี่คือ ‘ความคาดหวัง’ ของชัยวัฒน์ เพราะหากไม่คาดหวัง ‘ความหวัง’ ที่จะเห็นการเมืองในปัจจุบัน ‘ดีขึ้น’ ด้วยการตั้งคำถามเชิงปรัชญาก็จะไม่เกิดขึ้น


[1] โปรดพิจารณาหัวข้อ ‘คำถามที่ 6’ ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ‘เส้นทางวิชารัฐศาสตร์กับ 7 คำถามทางการเมือง’, ใน การเมือง อำนาจ ความรู้ : หลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นสำนักธรรมศาสตร์, บรรณาธิการโดย ประจักษ์ ก้องกีรติ (กรุงเทพฯ : ศยาม, 2564); หัวข้อ ‘”ความจริง” ในทางทฤษฎี’ ในบที่ 1 จาก ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ความรุนแรงกับการจัดการ ความจริง” : ปัตตานีในรอบกึ่งศตวรรษ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551)

[2] ดูเพิ่มเติมได้ที่ ‘ความนำ’ ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ‘บทสนทนาของ Plato และ The Prince ในฐานะจุดเริ่มต้นของการศึกษาปรัชญาการเมือง’, ใน ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น (.201), โดย ถาวร สุขากันยาชัยวัฒน์ สถาอานันท์สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ สมบัติ จันทรวงศ์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ศูนย์วิจัย, 2525)

[3] ในอัลกุรอานมีประโยคที่เขียนว่า อินนาลิลลาฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน ซึ่งหมายถึง ‘แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์’

[4] โปรดพิจารณา บทสัมภาษณ์ของสมบัติ ใน ว่าด้วยรัฐ : 75 ปี ศาสตร์การเมือง สำนักธรรมศาสตร์, บรรณาธิการโดย พีระ เจริญวัฒนนุกูล และ พชร ล้วนวิจิตร (กรุงเทพฯ : คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2567); อีกข้อถกเถียงสำคัญระหว่างชัยวัฒน์กับสมบัติ ได้แก่ ข้อถกเถียงว่าด้วยความเป็น ‘ปมปริศนาทางศีลธรรม’ (moral enigma) ของรัฐประหารปี 2549 โปรดพิจารณา ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ‘อริสโตเติลกับรัฐประหาร “19 กันยา”’, ใน รัฐประหาร 19 กันยา (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2550); สมบัติ จันทรวงศ์, ‘บทวิจารณ์ “The moral enigma of a popular coup”‘, ใน รัฐประหาร 19 กันยา (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2550)

[5] นักปรัชญาการเมืองที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักปรัชญาเมธีมักได้แก่ จำพวกที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประเพณีอันยิ่งใหม่’ (Great Tradition) ของความคิดทางการเมืองตะวันตก ซึ่งเริ่มต้นด้วยนักปรัชญาอย่าง Socrates, Plato และ Aristotle

[6] ผู้เขียนร่ำเรียนในประเทศอังกฤษ ซึ่งแท้จริงแล้วหลายสำนักมีความสัมพันทธ์ที่ไม่ราบรื่นกับแนวทางของ Strauss

[7] ตรงนี้ชวนให้อ่าน Bonnie Honig and Marc Stears, ‘The new realism: from modus vivendi to justice’, ใน Political Philosophy versus History? Contextualism and Real Politics in Contemporary Political Thought, บรรณาธิการโดย Jonathan Floyd and Marc Stears  (Cambridge: Cambridge University Press, 2011)

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save