สวัสดีค่ะ คุณลุงได้รับชมโฆษณา Apple หรือเปล่าคะ หลายคนมองว่าโฆษณาชิ้นนี้เป็น ‘การด้อยค่าประเทศไทย’ ผ่านเนื้อหา องค์ประกอบของภาพ ไปจนถึงการเกรดสีให้ดูเหลืองกว่าปกติ จนไม่สะท้อนความทันสมัยของประเทศ แต่ในความคิดของหนู หลายๆ อย่างในประเทศไทยก็ดูล้าหลังจริงๆ ค่ะ คุณลุงมองประเด็นนี้อย่างไรคะ – เอม
ตอบคุณเอม
หนังโฆษณาเรื่องนั้นเป็นเรื่องของทีมงานเทรดเดอร์เลือกจะมา sourcing ที่เมืองไทย แล้วเจอปัญหาเพราะความเซ่อซ่าของเขาเอง (ไปผิดโรงแรม ตกรถ กระเป๋าหายที่สนามบิน เลือกพาหนะผิดประเภท ฯลฯ) แต่ปัญหาต่างๆ ก็แก้ได้ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งก็ยังแอบงงว่าทำไมเขาไม่ไปสั่งทำของที่เมืองจีน
ลุงว่าดราม่าหนังโฆษณา Apple เรื่องนั้นไม่ได้อยู่ที่การด้อยค่าประเทศไทย แต่อาจจะอยู่ที่ว่าตอนนี้เราปลื้มปริ่มกับภาพพจน์ประเทศของเราเองจนเกินเหตุหรือเปล่า ตอนนี้เราเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว
เมื่อสิบกว่าปีก่อน หนังฮอลลีวูดเรื่องหนึ่งแสดงภาพของเมืองไทยและแบงค็อกที่น่าชวนกระอักมากกว่า OOO (Out Of Office) ของ Apple มาก บ้านเมืองเราในหนังเรื่องนั้น แน่ล่ะ มีโรงแรมสวยหรูแอร์เย็นฉ่ำพร้อมการบริการระดับเทพ ขณะเดียวกันเมืองหลวงของเราตอนนั้นไฟดับกัน ‘ปีนึงเป็นพันครั้ง’ มี ‘คนตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ปีละเป็นหมื่น’ ตรอกซอกซอยสกปรกรกรุงรัง มีตำรวจในโรงพักขี้เกียจทำหน้าที่ แค่อยากจะปัดภาระตรงหน้าไปให้พ้นๆ ตัว บาร์มีเลดี้บอยห้อยโตงเตง เด็กชายไม่ถึงสิบขวบนอนให้ช่างสัก ฝรั่งโดนยิงมาก็สามารถเข้าคลินิกเย็บแผลได้ในราคาไม่กี่ร้อยบาท กลางคืนคือเวลาของการค้าโคเคนโดยมีลิงแสนรู้ช่วยวิ่งของ หลวงตานั่งวีลแชร์เข้าบาร์อะโกโก้ชนแก้วยิ้มละไม นักท่องเที่ยวเมาระห่ำจนต้องเรียกตำรวจปราบจลาจล หนังเรื่องที่ว่าคือ Hangover Part II ออกฉายเมื่อปี 2011 ปีนั้นตรงกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ใครหลายคนเรียกกันว่า ‘น้ำท่วมปี 2554’
หนังถ่ายทำในกรุงเทพฯ และเมืองไทยในช่วงที่การประท้วงของคนเสื้อแดงกำลังพีค (ปี 2553) บางฉากบางตอนของ Hangover II ยังย้อมแสงสีเหลืองสร้างบรรยากาศของความร้อนและลมหายใจของดินแดนทรอปิค (สีหม่นกว่าแสงสีเหลืองในหนังโฆษณา OOO) ถ้ายังจำกันได้ เรื่องไฟดับนี่ (ฟ้องถึงความไร้ประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน) เป็นกุญแจที่สามารถไขปริศนาซึ่งบรรดาตัวเอกพยายามคิดกันหัวแทบแตกมาตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่าเท๊ดดี้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อนางเอกหายไปไหน นับว่าเป็นการเอาเงื่อนไข ‘ความด้อยพัฒนา’ ของไทยมาเป็นกลไกสำคัญต่อการเดินเรื่องเลยทีเดียว
ว่าแต่เมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อนเรานำพาหรือดราม่ากับ ‘การด้อยค่า’ ของประเทศเพราะหนังเรื่องนี้แค่ไหน
ลุงพบว่าเสียงส่วนใหญ่ตอนนั้นรู้สึกว่าหนังสนุก สิ่งต่างๆ ในหนัง Hangover Part II ก็พอจะหาได้ในกรุงเทพฯ และเมืองไทยจริงๆ (ยกเว้นสำนักสงฆ์ห่มจีวรสีเดียวกับพระทิเบต การขับสปีดโบ๊ทจากปากคลองบางกอกใหญ่ในกรุงเทพฯ ไปถึงภูเก็ตในทะเลอันดามันได้ภายในครึ่งวัน มันเป็นฉากที่คนไทยดูแล้วคงว่า เฮ้ยไม่ใช่ๆ หรือไม่ก็แค่หัวเราะหึหึ)
คนไทยในช่วงสิบกว่าปีก่อน ‘ธาตุแข็ง’ กว่ากับมีทัศนะต่อประเทศตัวเองและสายตาที่คนอื่นมองประเทศเราได้อย่างมีสติมากกว่าคนไทยใน พ.ศ. นี้มากมาย
สิบกว่าปีที่ผ่านมาคนไทยเปลี่ยนไปเยอะ จากคนที่คิดเป็น เข้าใจเงื่อนไขของหนัง ของสื่อได้อย่างมนุษย์ปกติ เราได้รับการ ‘ฝึกฝน’ ให้คุ้นเคยและเมามันกับดราม่ามากกว่าการใช้เหตุผล สิบกว่าปีของการเสพโซเชียลมีเดีย รวมทั้งเกือบสิบปีของการอยู่กับยุคสมัยซึ่งทุ่มเทกับการวาดเน้นให้เห็นความศิวิไลซ์ของบ้านเมือง ความรุดหน้าไม่ล้าหลัง ความสำเร็จของโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดยักษ์ (แต่สมัยนี้ไฟยังดับอยู่บ้างนะ) การเน้นภาพความยิ่งใหญ่อันงามวิจิตรของอดีต และความเหนือกว่าทางด้านจริยธรรม ไม่น่าเชื่อว่ากระบวนการทั้งหมดนี้มันเข้มข้นเนิ่นนานจนในที่สุดคนไทยเรากลายเป็นมนุษย์อ่อนไหว แตะไม่ได้ ไม่งั้นจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา (แล้วสามวันเจ็ดวันก็ลืม)
เข้าใจว่าอีกเงื่อนไขของความเป็นฟืนเป็นไฟของคนในโลกโซเชียลต่อหนังโฆษณา OOO คือการ ‘ชี้นำ’ หรือคอมเมนต์จากอินฟลูเอนเซอร์ สื่ออิสระซึ่งส่วนใหญ่คือฝรั่งที่ทำมาหากินในเมืองไทย พูดความเห็นในคลิปเป็นภาษาไทย ใช้ตรรกะอ่อนๆ (เช่น ผมอยู่กรุงเทพฯ มายังไม่เคยเห็นสภาพที่เสื่อมโทรมแบบนี้ นี่ Apple คงเสียสติไปแล้ว บลาๆ) ออดอ้อนพร้อมใส่ไฟให้คนไทยฟัง ถึงแง่มุมต่างๆ ที่ OOO ทำมาด้อยค่าประเทศไทยในเรื่องความไม่เจริญต่างๆ นานา ว่ากันไป ความเห็นและการชี้นำของคนพวกนี้ช่วยกระพือจนเกิดเป็นกระแสต่อต้าน จน Apple คิดแล้วว่า เออ ถอนหนังเรื่องนี้ออกก็ได้
คิดในแง่ดี คือสมัยนี้คนไทยรักชาติมากกว่าสมัยก่อน
นี่ไง ลุงมองโลกแง่ดีก็เป็นนะ ใช่ว่าดีแต่ด่า
หลังจากข่าวยุบพรรคก้าวไกล ก็มีฝ่ายการเมืองหลายคนเริ่มพูดถึง ‘มารยาททางการทูต’ หรือ ‘ไทยเป็นเอกราช’ จึงสงสัยว่าประเทศไทยจะไม่สนใจโลกจริงๆ เหรอคะ – มิว
ตอบคุณมิว
เสียงนกเสียงกาครับ
มีคนให้ความเห็นไปแล้วไม่น้อยเกี่ยวกับคำแถลงแบบกลางๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ สำหรับประเด็นอื่นๆ กรุณาดูจากคำตอบข้อข้างบนครับ
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]