‘มองโลกให้กว้างกว่าไทย มองไกลให้พร้อมรับมือ’ หาที่ทางไทยในยุคโลกปั่นป่วน กับ เสกสรร อานันทศิริเกียรติ

ศักราช 2024 เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงครึ่งทาง แต่สนามการเมืองโลกกลับมีความปั่นป่วนเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สงครามและการสู้รบในหลายพื้นที่ยังดำเนินต่อไป พร้อมแนวโน้มที่ความขัดแย้งจะขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน หลายประเทศทั่วโลกได้จัดเลือกตั้งใหญ่ขึ้นในปีนี้ บ้างได้ผู้นำหน้าเก่า บ้างผลัดเปลี่ยนสู่รัฐบาลชุดใหม่ ไม่มากก็น้อยย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนสมดุลทางยุทธศาสตร์ ความท้าทายเหล่านี้ยังเกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจที่ไม่ได้แผ่วเบาลงแต่อย่างใด และยังมีหมุดหมายความท้าทายใหญ่รออยู่ปลายปี คือผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาคมโลกในทุกมิติ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ การทบทวนภูมิทัศน์การต่างประเทศทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยกำลังมีเป้าหมายในการ ‘พาไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก’ หลังอยู่ในห้วงเวลาที่ล่าถอยจากเวทีโลกมาเกือบทศวรรษ การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวย่อมเกี่ยวพันอยู่กับการดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนำมาสู่คำถามใหญ่ว่าไทยดึงศักยภาพด้านการต่างประเทศมาใช้ได้เต็มขีดจำกัดแล้วหรือยัง

101 สนทนากับ เสกสรร อานันทศิริเกียรติ นักวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) และผู้อํานวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KATS) ถึงประเด็นที่น่าจับตามองในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์โลก สำรวจความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญ ทบทวนนโยบายเรือธงของรัฐบาลอย่าง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ผ่านสายตานักรัฐศาสตร์สำนักเกาหลี พร้อมวิเคราะห์ว่าการต่างประเทศแบบใดจะพาไทยไปจับจองตำแหน่งแห่งที่ในเวทีโลกได้

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นความคิดเห็นของเสกสรร อานันทศิริเกียรติ ไม่ใช่ในนามองค์กร

ปี 2024 เพิ่งผ่านพ้นมาเพียงครึ่งปี แต่อุณหภูมิการเมืองโลกกลับดูร้อนแรงกว่าที่เคยเป็นมา สำหรับคุณ เหตุการณ์ใดในช่วงนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิรัฐศาสตร์โลกมากที่สุด

การมองความเปลี่ยนแปลงในด้านการต่างประเทศในทศวรรษที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วควรมองแบบไปข้างหน้าและคิดถึงความท้าทายใหม่ๆ ในระยะยาว ตอนที่ผมเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ ศาสตราจารย์แพ็ก ชิน-ฮย็อน (Paik Jin-Hyun) ผู้พิพากษาศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (International Tribunal for the Law of the Sea: ITLOS) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาความขัดแย้งระหว่างประเทศเคยให้แนวทางวิเคราะห์ปัญหาระหว่างประเทศโดยมองจากสองปัจจัย

ปัจจัยแรกคือปัจจัยพื้นฐาน (underlying factor) เช่น ระบบระหว่างประเทศในช่วงเวลานั้นมีมหาอํานาจไหนเป็นใหญ่ และเป็นใหญ่แบบเบ็ดเสร็จหรือมีคนขึ้นมาท้าทาย ถ้าพิจารณาระบบระหว่างประเทศตอนนี้จะเห็นว่ามหาอํานาจใหญ่มีข้อจํากัด มหาอํานาจใหม่ก็ยังสถาปนาอำนาจไม่ลงตัว เลยยังไม่มีผู้ใดที่ถือครองอํานาจนําเบ็ดเสร็จในโลกได้ ด้วยสภาวะแบบนี้ทำให้เราเห็นแนวโน้มโลกที่จะมี ‘ผู้เล่นหน้าใหม่’ เข้าไปมีบทบาทมากขึ้น เป็น ‘The Rise of the Rest’ ที่เอื้อให้ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กอื่นๆ สามารถมีบทบาทเชิงรุกได้ ปัจจัยที่สองคือปัจจัยแบบฉับพลันทันที (immediate factor) เช่น การลอบสังหารผู้นําหรือบุคคลสําคัญ หรือการบุกโจมตีพื้นที่ที่เป็นกรณีพิพาทหรือพื้นที่ที่มีข้อขัดแย้งกันอยู่

กลับมาที่คําถามว่า 2024 มีโจทย์อะไรอยู่และเป็นโจทย์แบบไหน ผมอยากให้น้ำหนักไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเป็นภาพใหญ่ หมุดหมายสำคัญของปีนี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นําสหรัฐฯ ที่มีแนวคิดหรือแนวทางการดำเนินนโยบายแตกต่างจากที่เป็นอยู่ย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทิศทางระเบียบระหว่างประเทศ และปี 2024 ถือเป็นวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ด้วย ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยผ่อนปรนความขัดแย้งให้สหรัฐฯ และจีนหันหน้ามาพูดคุยกันมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราเห็นเจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ มาพูดคุยกับหวัง อี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ไทย ซึ่งเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่สะท้อนความพยายามในการผ่อนปรนความขัดแย้ง

ฉะนั้น แทนที่จะไล่ดูสถานการณ์ฝุ่นตลบในการเมืองโลก เราอาจต้องถอยมามองภาพใหญ่ว่าปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นอยู่หน้าตาเป็นอย่างไร และในภาพใหญ่นั้นมีปัจจัยฉับพลันใดที่จะมากระตุ้นบ้าง เรามักจะเห็นคนใช้คำว่า ‘จุดวาบไฟ’ (flash point) เวลาพูดถึงทะเลจีนใต้ ช่องแคบไต้หวัน หรือคาบสมุทรเกาหลี ถ้าขยายความคำนี้ก็คือเวลาเราจุดไม้ขีดไฟ จะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่ทำให้เกิดความร้อนจนเกิดการลุกไหม้ขึ้น ตอนนี้โลกเรามีจุดวาบไฟอยู่หลายแห่ง แต่สิ่งสำคัญคือไม้ขีดอยู่ตรงไหน และใครจะเป็นคนหยิบไม้ขีดขึ้นมาจุด ซึ่งคนหยิบไม้ขีดมีความเป็นไปได้ทั้งระหว่างคู่ขัดแย้ง คนนอกที่ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้ง ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ หรือแม้แต่ชาวเน็ตในโลกออนไลน์

บนฐานการมองที่ว่ามหาอำนาจคือตัวแสดงที่กำหนดโครงสร้างระหว่างประเทศ เราพูดได้หรือเปล่าว่าทุกความขัดแย้งเกี่ยวข้องกับมหาอำนาจ

ต้องบอกว่าทุกประเด็นในโลกล้วนเกี่ยวข้องกับมหาอํานาจหมด แต่ต้องมาดูต่อว่าบทบาทที่ว่าหน้าตาเป็นแบบไหน อาจเป็นไปได้สามทาง หนึ่งคือบทบาทเชิงสร้างสรรค์ แสดงบทบาทที่มุ่งให้เกิดสันติภาพ แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน หรือมุ่งให้เกิดความสําเร็จในการบรรลุข้อตกลงหรือความร่วมมือ สองคือมีท่าทีแบบวางเฉย สําหรับมหาอํานาจ ต่อให้ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อประเด็นหนึ่งๆ อยู่ดี ซึ่งผลจะออกมาเป็นบวกหรือเป็นลบก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นประเด็นอะไร และสามคือบทบาทในรูปแบบการแทรกแซง เช่น การใช้กำลังทหารเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบอบ หรือมีบทบาทในการแทรกแซงทางการเมืองและการครอบงำทางเศรษฐกิจ

เวลาคนพูดถึงจุดวาบไฟในเอเชีย คนมักจะนึกถึงช่องแคบไต้หวัน คาบสมุทรเกาหลี และทะเลจีนใต้ มีจุดไหนที่ถูกพูดถึงน้อยกว่าที่ควรไหม

ทั้งสามพื้นที่ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งทางทหารในระดับสูง ถ้าอิงจากแนวทางที่อาจารย์ชาวเกาหลีใต้ให้ไว้ตอนต้นก็ต้องบอกว่า มีปัจจัยพื้นฐานอยู่พร้อม ขณะที่ปัจจัยฉับพลันก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ หากความขัดแย้งใหญ่จะเกิดขึ้นจริงๆ อย่างน้อยจะมีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะพากันไปสู่จุดนั้น ส่วนตัวผมเองมองว่า ความขัดแย้งใหญ่มักปรากฏอยู่ในจอเรดาร์ของผู้ที่ต้องติดตามสถานการณ์และตัดสินใจอยู่แล้ว ในทางหลักการทั่วไป กลุ่มประเทศที่มีผลต่อภูมิทัศน์การกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงและการต่างประเทศของประเทศต่างๆ มากที่สุดคือประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นเช่นนี้ทุกประเทศ ดังนั้น การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับบุคคลที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย และการมีทัศนคติที่ดีต่อเพื่อนบ้านจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติของประเทศต่างๆ

สนามแข่งขันใดของมหาอำนาจที่น่าจับตามองมากที่สุดในทศวรรษนี้

การแข่งขันทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็นอยู่ที่ด้านการทหาร ทั้งบก-เรือ-อากาศ แต่ยุคนี้ต้องเพิ่มไซเบอร์และอวกาศเข้ามาด้วย เพราะหลายประเทศในโลกที่แข่งขันกันอยู่ตอนนี้ตระหนักว่าการสู้รบทางทหารหรือสงครามเต็มรูปแบบมีต้นทุนและความเสี่ยงสูง แต่โอกาสชนะน้อย ยิ่งถ้ายืดเยื้อแบบที่เห็นจากกรณีรัสเซีย-ยูเครน ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นซับซ้อนขึ้นอีก ส่วนสมรภูมิอวกาศถือว่าเป็นอนาคต ในสภาวะที่โลกเดือดและมนุษย์อาจไม่สามารถดำรงชีวิตได้ หลายประเทศที่มีขีดความสามารถก็หันมาลงทุนกับโครงการสำรวจอวกาศกันมากขึ้น

ที่น่าห่วงมากคือการสู้รบบนโลกเสมือน เช่น คนชาติหนึ่งโพสต์โจมตีหรือแสดงทัศนคติเชิงลบต่อประเทศหรือคนอีกประเทศหนึ่งก็อาจสร้างผลกระทบในโลกจริงได้ อย่างน้อยที่สุดคือกระทบต่อบรรยากาศของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ความเห็นนั้นจะเป็นเรื่องทั่วไปหรืออาจเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว

ดังนั้น กล่าวได้ว่าโลกเสมือนกลายเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ เสียงของคนมีแสงหนึ่งคนอาจดังกว่าเสียงของคนอีกหลายหมื่นคนที่เป็นคนธรรมดา ผมติดตามอยู่หลายแพลตฟอร์มและพบว่า เวลานี้มีคนเปิด open chat หรือทำเนื้อหาในยูทูบที่ใช้ดราม่าและความเกลียดชังกัน ความไม่พอใจกันจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาสร้างยอดเอนเกจเมนต์ให้คนกดไลก์กดแชร์ เพิ่มมูลค่าให้สื่อของตัวเองโดยไม่สนใจว่าเนื้อหานั้นจริงเท็จมากน้อยเพียงใด จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ หรือทำลายความรู้สึกดีๆ ระหว่างประชาชนกับประชาชนหรือไม่ ผมว่านี่คือความท้าทายที่สำคัญมาก และอาจเป็นช่องให้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของประเทศอื่นๆ สามารถแทรกซึมเข้ามาได้โดยง่าย

จริงๆ เราพูดถึงการแข่งขันทางไซเบอร์กันมานานกว่าทศวรรษ ตอนนี้ยังมีเรื่องเอไอมาเป็นอีกความท้าทายใหม่ แต่สิ่งที่ประชาคมโลกดูจะขาดไปหรือทำไม่ได้สักทีคือการสร้างกลไกระหว่างประเทศในการควบคุมพื้นที่ไซเบอร์

เรื่องที่เป็นประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่การกำกับดูแล (governance) ของเอไอในอนาคต ว่าจะทำอย่างไรให้ได้สัดส่วน เพราะแต่ละประเทศมีความเห็นต่างกันออกไป มีทั้งฝ่ายที่เห็นว่ารัฐควรมีอำนาจกำกับดูแลเหนือแพลตฟอร์ม และฝ่ายที่เห็นว่ารัฐควรมีบทบาทให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย แต่ที่อยากชวนมองคืออาเซียนมีแนวปฏิบัติเรื่องเอไอที่น่าสนใจ เรามองไปไกลกว่าการกำหนดจุดยืนหรือท่าทีว่าแต่ละประเทศควรจัดการอย่างไร แต่อาเซียนคิดแบบครอบคลุม (inclusive) ว่าแต่ละประเทศจะใช้ประโยชน์จากเอไออย่างไรเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อาเซียนพยายามลดทอนความเป็นการเมืองให้น้อยที่สุดและพูดถึงการใช้ประโยชน์จากเอไอเป็นหลัก

อาเซียนใช้หลักลดทอนความเป็นการเมืองจัดการกับทุกความท้าทายเลยหรือเปล่า

อาเซียนยึดมั่นในระเบียบระหว่างประเทศซึ่งตั้งอยู่บนฐานของกฎกติการะหว่างประเทศที่ทุกฝ่ายยอมรับ (rules-based order) ซึ่งกฎกติกาที่ว่านี้ไม่ใช่การแบ่งแยกดํา-ขาว ไม่ใช่กฎเกณฑ์ของการบอกว่าคนนั้นผิด คนนี้ถูก ผมคิดว่านอกจากกฎบัตรอาเซียนและแผนงานต่างๆ แล้ว มีสามสนธิสัญญาสำคัญที่มักถูกลืมเวลาพูดถึงอาเซียน ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่สะท้อนหลักคิดเบื้องหลังและเป็นแนวทางให้คนที่มีใจให้อาเซียนใช้ประโยชน์ต่อได้เป็นอย่างดี

อย่างแรกคือปฏิญญาว่าด้วยเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และการวางตัวเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality Declaration: ZOPFAN) ซึ่งเป็นการส่งข้อความสู่โลกภายนอกว่าอาเซียนไม่ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองของใคร การรวมกลุ่มเป็นไปเพื่อป้องกันประเทศสมาชิกจากมหาอำนาจภายนอก ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่เกาหลีใต้ มีโอกาสฟังรัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ (ในขณะนั้น) กล่าวสุนทรพจน์ มีคนถามว่าฟิลิปปินส์เลือกข้างสหรัฐฯ หรือจีน เขาตอบได้น่าสนใจว่า “ฟิลิปปินส์เลือกข้างอาเซียน”

อย่างที่สองคือสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation: TAC) ว่าด้วยวิถีของอาเซียนในการไม่คุกคาม ไม่ใช้กำลัง เคารพอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ความร่วมมือที่จะมีก็ควรเป็นไปเพื่อการยกระดับความกินดีอยู่ดี การสร้างสันติภาพ และการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือมีประเทศที่ลงนามเป็นอัครภาคี (High Contracting Parties) กับอาเซียนมากกว่า 50 ประเทศแล้ว

อย่างที่สามคือสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone: SEANWFZ) ที่กำหนดให้ประเทศภาคีห้ามพัฒนา ผลิตหรือได้มา ครอบครองหรือควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ การมี SEANWFZ ช่วยเน้นย้ำท่าทีทางการของอาเซียนที่ไม่ปรารถนาจะเห็นสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น

เราเห็นผู้คนตั้งคำถามต่อบทบาทของอาเซียนในการจัดการประเด็นร่วมของภูมิภาคอยู่บ่อยครั้ง แต่คุณดูยังมีความเชื่อมั่นในอาเซียนอยู่มากเลยทีเดียว

ในฐานะคนรักอาเซียน ผมคิดว่าเสน่ห์ของอาเซียนอยู่ที่การเปิดช่องว่างให้ตัวแสดงต่างๆ สามารถมีบทบาทได้โดยสมัครใจ คนรักอาเซียนจะชอบยกตัวอย่างว่า การที่อาเซียนอยู่ได้นานขนาดนี้โดยไม่มีใครถอนตัวออกไปเสียก่อนแบบสหภาพยุโรปก็เป็นความสำเร็จแบบหนึ่งที่สะท้อนผ่านประสบการณ์ 57 ปีที่ผ่านมา อาเซียนคืออาเซียน อาเซียนไม่ประสงค์จะเป็นสหภาพยุโรปตั้งแต่แรก และ 10 ประเทศก็ตระหนักว่าถึงจะมีความขุ่นข้องหมองใจกันแค่ไหน การอยู่ด้วยกันแบบ 10 ประเทศย่อมดีกว่าการอยู่คนเดียว นี่อาจจะพอเรียกว่า ‘ความเป็นแกนกลาง’ ได้ และเป็นแกนกลางจากมุมมองของอาเซียนด้วยกันเอง

ขอโทษทีที่ผมอาจจะรักอาเซียนมากไปหน่อย แต่ผมไม่มีปัญหาถ้าใครจะตั้งคำถามหรือท้าทายอาเซียน เพราะอาเซียนเองมีข้อจำกัดจริงๆ และการตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าจะเป็นคุณต่ออาเซียนเอง โจทย์ที่ยากที่สุดของอาเซียนที่ต้องคิดต่อคือต้องตอบให้ได้ว่าประโยชน์ของอาเซียนคืออะไร ซึ่งน่าสนใจมากว่า อาเซียนมีแผนงานฉบับหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยเห็นจากการรวมกลุ่มภูมิภาคอื่นๆ นั่นคือ ASEAN Communication Master Plan (ACMP) ซึ่งฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่สอง เอกสารนี้ระบุชัดมากว่าควรสื่อสารแบบไหนกับกลุ่มเป้าหมายอะไร ใครที่ต้องทำงานด้านการสื่อสารนโยบายหรือการสื่อสารด้านอาเซียนหรือต้องเขียนเอกสารนโยบาย ผมขอแนะนำให้อ่าน

หนึ่งในสิ่งที่ได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นแบบแผนของอาเซียนคือความเป็นแกนกลาง (centrality) สำหรับคุณแล้ว นิยามของความเป็นแกนกลางแบบอาเซียนคืออะไร

ผมมีโอกาสฟังการบรรยายของ Bilahari Kausikan (อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์) จัดโดยศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาบอกว่าความเป็นแกนกลางของอาเซียนคือการที่อาเซียนทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หากแปลความหมายจากที่ Bilahari กล่าว ก็อาจคิดต่อได้ว่าประโยชน์ของอาเซียนสำหรับประเทศคู่เจรจาและประเทศอื่นๆ มีได้หลายแบบ อาทิ การเป็นเวทีให้คู่ขัดแย้งได้ปรึกษาหารือประสานประโยชน์ การเป็นพื้นที่ให้ได้แสดงภาพลักษณ์ที่ดี หรือการเป็นจุดเชื่อมโยงในทางยุทธศาสตร์ ดังที่ Amitav Acharya นักวิชาการคนสำคัญตั้งเป็นชื่อหนังสือว่า ‘East of India, South of China’ (ทางตะวันตกของอินเดีย ทางใต้ของจีน) ซึ่งหมายถึงอาเซียนนั่นเอง

มีภาพที่ผมชอบมากและมักจะใช้ประกอบการบรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ คือภาพที่แสดงว่าอาเซียนเป็นจุดตัดระหว่างความริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) กับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ อาเซียนจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทุกชาติมาแข่งกันด้วยเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อเอาชนะใจอาเซียน

ยกตัวอย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้ตอบแบบสำรวจในอาเซียนไว้วางใจมากที่สุด อ้างอิงจากผลสำรวจประจำปีของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ปีล่าสุด ก็เป็นประเทศที่ใช้โครงการความร่วมมือและเครื่องมือทางวัฒนธรรมเข้ามาเปิดพื้นที่และสร้างสายสัมพันธ์อันดีในภูมิภาค ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในช่วงทศวรรษ 1970 หลายชาติอาเซียนเคยต่อต้านญี่ปุ่นอย่างหนัก ขบวนการนักศึกษาไทยในช่วง 14 ตุลาฯ พูดถึงญี่ปุ่นว่าเป็นภัยเหลือง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็เคยเดินขบวนไล่นายกรัฐมนตรีทะนะกะ คะคุเอะอิกลับประเทศ นั่นหมายความว่ากว่าที่ญี่ปุ่นจะจับจองพื้นที่ความไว้วางใจในภูมิภาคได้ขนาดนี้ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร

อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่ใครจะมาชนะใจง่ายๆ ใช้ภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า “จีบยากจีบเย็น แถมเล่นตัวอีกต่างหาก” แต่ความยากเย็นนี่แหละที่ภาษาวิชาการทางสังคมศาสตร์อาจจะเรียกว่า ‘agency’ ที่ไม่ได้หมายถึงบริษัทโฆษณา แต่เป็นสมรรถนะในการบริหารนโยบายของตนได้อย่างเป็นอิสระหรือไม่ขึ้นต่อใครมากนัก ผมว่านี่คือความเป็น ‘แกนกลาง’ ได้แบบหนึ่งเหมือนกัน

บางครั้ง ความเป็นแกนกลางก็เป็นเรื่องของความรับรู้ได้เหมือนกัน อย่างความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้ เคยมีสื่อนำเสนอว่าเป็นความตกลงที่จีนมีบทบาทนำ ทั้งที่จริงเป็นผลงานของอาเซียน ริเริ่มกระบวนการเจรจาโดยอินโดนีเซียในปี 2011 และสรุปการเจรจาที่ไทยในปี 2019 ตอนไทยเป็นประธานอาเซียน เช่นเดียวกับเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่คนชอบบอกว่าเป็นโครงการ BRI ของจีน ทั้งที่จริงแล้ว เป็นโครงการรถไฟสิงคโปร์-คุนหมิง (Singapore-Kunming Rail Link: SKRL) ซึ่งเป็นแผนงานของอาเซียนตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity: MPAC) ที่มีมาก่อน BRI จะประกาศเสียอีก จีนเพียงเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนด้านเทคนิคและเงินลงทุน

ภาพแสดงว่าอาเซียนเป็นจุดตัดระหว่างความริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) กับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก | ที่มา Asia Power Watch

ญี่ปุ่นกำลังเดินหน้าปฏิรูปกลาโหม อีกทั้งยังเพิ่มงบประมาณในด้านนี้สูงเป็นประวัติการณ์ เราพอจะเห็นญี่ปุ่นใช้เครื่องมือทางทหารในการสร้างปฏิสัมพันธ์ในภูมิภาคบ้างไหม

ล่าสุดที่เห็นได้ชัดคือญี่ปุ่นเสนอความช่วยเหลือการพัฒนาด้านความมั่นคงต่อประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในภูมิภาคอาเซียน ก่อนหน้านี้เราจะคุ้นเคยกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance: ODA) แต่เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นมีกรอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการ (Official Security Assistance: OSA) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเพิ่งลงนามข้อตกลงจัดหาเรือลาดตระเวนขนาดใหญ่ให้แก่ฟิลิปปินส์ และปลายปีที่ผ่านมาก็ลงนามข้อตกลงความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยทางทะเลกับมาเลเซีย ซึ่งเราทราบกันดีว่าฟิลิปปินส์และมาเลเซียเป็นประเทศที่อ้างสิทธิในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ที่บังกลาเทศ ญี่ปุ่นก็สนับสนุนการพัฒนาท่าเรือมาตาบาริ (Matarbari Port) ขณะที่จีนก็ให้เงินสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือจิตตะกอง เราจะเห็นว่าทั้ง OSA และการให้ความช่วยเหลือการพัฒนาท่าเรือเหล่านี้เป็นอีกการแข่งขันกับจีนในด้านความมั่นคง[1]

หลายประเทศต่างมีเอกสารหรือแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกเป็นของตัวเอง แทบทุกอันล้วนเน้นย้ำความเป็นแกนกลางของอาเซียน ขณะเดียวกัน ไม่กี่ปีมานี้เราเห็นกลไกแบบจำกัดวง (minilateralism) เกิดขึ้นหลายวงมาก สหรัฐฯ เองก็เพิ่งสร้างการรวมกลุ่มใหม่กับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ ท่าทีเช่นนี้เรายังถือว่าอาเซียนเป็นแกนกลางอยู่ไหม

ความเป็นแกนกลางไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีบริบท อาจจะต้องดูปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยฉับพลัน และผู้นำที่ลุกขึ้นมามีบทบาทนำในประเด็นขณะนั้นด้วย สำหรับผม หากประเทศสมาชิกอาเซียนใดมีความปรารถนาที่จะมีบทบาทนำหรือพยายามแสวงหาทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ถ้าทำได้ก็ทำเลย ตราบเท่าที่สิ่งนั้นเป็นการรักษาผลประโยชน์ร่วมของภูมิภาค ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนเมษายน สถาบันการทูตเวียดนาม  (Diplomatic Academy of Vietnam) ริเริ่มให้มีการจัด ASEAN Future Forum ซึ่งเจ้าภาพบอกว่าเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระ Summit of the Future ของสหประชาชาติที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีประเทศสมาชิกซึ่งอยากมีบทบาทและมีขีดความสามารถที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้

ส่วนเรื่องที่คนมองว่าสหรัฐฯ มาแยกวง ดึงฟิลิปปินส์ไปร่วมวงกับญี่ปุ่น สำหรับผม ความเป็นแกนกลางของอาเซียนอาจไม่ใช่เป้าหมายสำหรับทุกเรื่อง สิ่งสำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาให้สำเร็จ ถ้าอาเซียนเป็นแกนกลางแล้วแก้ปัญหาได้ก็ดี แต่ถ้าเป็นแกนกลางแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ก็ไม่ต้องเป็น ผมอยากชวนปรับมุมมองใหม่ว่าเราต้องมองอาเซียนเป็นเครื่องมือหรือกลไก เป็นทางเลือกหนึ่งในทางยุทธศาสตร์ มีแล้วใช้ได้ก็ใช้ ใช้แล้วไม่เข้าท่าก็ไม่ต้องใช้ ถ้าใช้วงเล็กคุยกันแล้วจัดการปัญหาหรือความท้าทายที่ว่าได้ก็ใช้ไปเถอะ

แล้วถ้าขยับมาโฟกัสไทย เราถือว่าเป็นแกนกลางให้แก่อาเซียนหรือประชาคมโลกได้บ้างไหม เพราะเวลามีปัญหาหรือความขัดแย้งใดปะทุขึ้นเรามักจะเสนอตัวเป็นตัวกลางอยู่บ่อยครั้ง

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศขนาดกลางและเล็ก เราจึงต้องมองออกไปข้างนอกอยู่เสมอ ขอชวนอ่านหนังสือ ‘Thai Diplomacy: in conversation with Tej Bunnag’ ที่จัดพิมพ์โดย ISC ผมชอบคำที่ ดร.เตช บุนนาค ท่านใช้ว่า ‘internationalist’ คือการมองโลกให้กว้างกว่าตัวเอง กล่าวคือเมื่อโลกมีปัญหาหรือความท้าทาย ไทยมีบทบาทในรูปแบบของการเสนอแนวคิดหรือการเป็น ‘สะพานเชื่อมโยง’ (bridge-builder) ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือกัน จุดตั้งต้นที่ดีมากคือยุทธศาสตร์พื้นฐานที่ ‘เป็นมิตรกับทุกฝ่าย’ รู้จักปรับสมดุลและผ่อนหนักผ่อนเบา ผมว่าคำนี้สื่อแนวทางของการต่างประเทศไทยได้ตรงกว่าคำว่า ‘ความเป็นกลาง’ ซึ่งอาจผกผันไปตามมุมที่คนคนนั้นมองเข้ามา

จุดยืนเช่นนี้ช่วยสร้างตัวตนของไทยให้เป็นนักหาทางออก (solution provider) ไม่ใช่ประกาศกนักสอน (lecturer) ไทยเคยแสดงบทบาทในการประสานงานหรือเป็นตัวกลางที่พาฝ่ายขัดแย้งมาพูดคุยกัน ตัวอย่างในอดีต เช่น ปัญหากัมพูชา หรือล่าสุดจีนกับสหรัฐฯ ก็ใช้กรุงเทพฯ เป็นที่พูดคุย สิ่งนี้สะท้อนว่าไทยได้รับความไว้วางใจและเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายสบายใจ บางคนเปรียบเทียบว่าไทยคือห้องรับแขก จุดแข็งตรงนี้ทำให้เรามีที่ทางในระดับนานาชาติ

‘การทูตไผ่ลู่ลม’ เป็นคำอธิบายการต่างประเทศไทยมาช้านาน ตอนนี้โลกเปลี่ยน ไทยเปลี่ยน หลักคิดนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า

เข้าใจว่าการทูตไผ่ลู่ลมในที่นี้มาจาก Bamboo Diplomacy ซึ่งผมเห็นตรงกับ ดร.อนุสนธิ์ ชินวรรโณ ผู้อำนวยการ ISC ว่า ควรแปลคำนี้เป็น ‘การทูตไม้ไผ่’ โดยให้น้ำหนักที่ ‘ไผ่’ มากกว่าที่ ‘ลม’ เพราะลมมีอยู่ตลอด แต่ไทยในฐานะประเทศขนาดกลางโดยพื้นฐานอาจจะต้องไปกับลม เหมือนไม้ไผ่ที่เมื่อลมมากระทบก็อาจมีโอนเอนบ้าง แต่ท้ายที่สุดจะยืนหยัดอยู่ด้วยลำต้นที่แข็งแรงพอ ไม่หักโค่นง่ายๆ พูดเรื่องลมกับไผ่แล้ว ผมนึกถึงบทอาขยาน ‘วิชาเหมือนสินค้า’ ที่ต้องท่องตอนเด็กๆ ที่ว่า “ปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา เจ้าจงเอาหูตา เป็นล้าต้าฟังดูลม”

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าไม่อยากให้เรือล่มหรือลำไผ่หัก ก็ต้องดูทิศทางลม หรืออ่านบริบท-สภาพแวดล้อมให้ขาดด้วย ลมแต่ละที่มีความหนัก-เบาไม่เท่ากัน ลองเจอลมมรสุมแบบที่คาบสมุทรเกาหลีเจอสิ แต่ละประเทศเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคทั้งนั้น จะลู่ลมแค่ไหนอย่างไรก็พังแน่ เกาหลีถึงต้องพัฒนาความเข้มแข็งของลำไผ่ให้รองรับลมที่แรงพอได้ พอมามองร่วมกับไทย เห็นได้ชัดว่าเกาหลีคิดจากโจทย์เรื่องพึ่งตัวเองมากกว่าพึ่งข้างนอก การแสดงออกของเกาหลี (ทั้งสอง) เวลาที่ต้องสื่อสารกับสังคมระหว่างประเทศเลยออกจะแข็งๆ หน่อย เพราะมองว่าพึ่งตัวเองก็ได้ แม้ในความเป็นจริงจะยังจำเป็นต้องพึ่งข้างนอกอยู่มากก็ตาม

ส่วนไทยนั้นอยู่ตรงกลางภูมิภาค การอยู่ตรงกลางนี้ดีที่ไม่ต้องชนกับจีนโดยตรง และมีช่องที่จะเชื่อมโยงกับอินเดีย ขณะที่สหรัฐฯ และรัสเซียไม่สามารถแผ่ขยายอำนาจมาถึงได้โดยตรง การอยู่ตรงนี้นอกจากจะดีเรื่องความเชื่อมโยงบนแผ่นดินแผ่นน้ำแล้ว ยังเอื้อให้ไทยสามารถ ‘มองโลกให้กว้างกว่าตัวเอง’ โดยการแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในประเด็นต่างๆ และแสดงจุดยืนที่สอดคล้องหลักการระหว่างประเทศได้เต็มที่ด้วย ถ้าคิดจะทำและทำให้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดเรื่องนี้ไม่แพ้ปัจจัยภายนอก

ถึงเวลาที่ไทยควรจะมีภูมิปัญญาทางการทูตแบบใหม่ๆ ที่จะทำให้เราทันโลกกว่านี้ไหม

ผมคิดว่าคนที่ศึกษาการเมืองระหว่างประเทศแบบยืนระยะมานานพอจะมองเห็นว่า ที่จริงแล้วโลกก็มีสิ่งเดิมๆ หมุนวนกลับมาให้เห็นได้ตลอด อย่างการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ก็มีมาตลอด ส่วนตัวผมเห็นว่าปัญหาท้าทายสำคัญของไทยในอนาคตไม่ใช่เรื่องข้างนอก แต่น่าจะเป็นเรื่องข้างในมากกว่า เรื่องข้างในที่ว่าคือการแสดงศักยภาพและตัวตนของเราเวลาออกไปข้างนอก คนข้างนอกจะเชื่อถือเราได้ เราต้องเป็นคนที่ ‘เอาแน่เอานอน’ ได้ ต้องมีประสบการณ์หรือความสําเร็จที่จับต้องได้ เช่น พอพูดถึงซอฟต์พาวเวอร์ทำไมเรานึกถึงเกาหลีใต้ ก็เพราะเขาทำสำเร็จ พอไปพูดหรือแชร์ประสบการณ์ให้คนอื่นฟังก็ดูมีน้ำหนัก แต่ถ้าพูดถึงประเด็นอื่น เกาหลีใต้ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในจุดที่พูดแล้วชาติอื่นว้าวหรือเชื่อถือได้

ฉะนั้น การหาที่ทางให้ตัวเองในเวทีโลกอันแสนกว้างใหญ่ควรเริ่มที่เราผลักดันเรื่องภายในให้สำเร็จหรือทำได้ดีได้เด่นกว่าคนอื่น อาจจะต้องเริ่มจากการมี ‘เอกภาพ’ ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ในทางความคิด คือเห็นตรงกันว่าจะไปในทิศทางนี้ เอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยมาถกเถียงเรื่องวิธีการ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนผู้ล่วงลับเคยกล่าวในการประชุมกลุ่มย่อยที่สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นที่ทำงานเก่าของผมว่าคนไทยมีศักยภาพในหลายด้าน แต่มีสองเรื่องที่ต้องเพิ่มเติมคือ ‘sense of urgency’ หรือความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนว่าเรื่องนี้ต้องทำตอนนี้ เดี๋ยวนี้ กับ ‘sense of purpose’ หรือความตระหนักถึงเป้าหมายที่ต้องการบรรลุร่วมกัน ทำได้ตามนี้รับรองมีซอฟต์พาวเวอร์แน่นอน

สังคมไทยถกเถียงกันถึงนิยามซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นเวลานับปีแล้ว สำหรับคุณเสกสรร ซอฟต์พาวเวอร์คืออะไร

ผมเป็นคนประนีประนอม เพราะฉะนั้น ผมจะเริ่มว่าถ้าจะคุยเรื่องนี้ก็ต้องถามก่อนว่าจะเอาซอฟต์พาวเวอร์แบบไหน ด้านวัฒนธรรมหรือด้านการต่างประเทศ สองด้านนี้ไม่เหมือนกันแต่อาจมีจุดร่วมกันได้ ถ้าถามเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ด้านการต่างประเทศ สำหรับผมคือการสร้างพลัง บารมี หรือสถานะและเกียรติภูมิของประเทศ จาก 4I

หนึ่งคือ interest ควบคู่กับ interaction เพราะจะมีอิทธิพลต่อกันได้ก็ต้องมีผลประโยชน์ผูกกันระดับหนึ่ง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน ไม่ใช่เป็น ‘nobody’ ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย

สองคือ institution หรือความเป็นสถาบันที่สามารถสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันได้ อาเซียนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน พอ 10 ประเทศขนาดกลางค่อนไปทางเล็กมารวมกัน แล้วพูดคล้ายๆ กัน ผลักดันประเด็นเดียวกัน อำนาจต่อรองก็มากขึ้น มากพอที่จะทำให้มหาอำนาจและชาติอื่นๆ ที่เป็นประเทศคู่เจรจา (dialogue partner) เข้ามาสานสัมพันธ์ด้วยการร่วมประชุมทุกปี การมีอยู่ของสถาบันทำให้โลกข้างนอกเห็นเรา ฟังเรามากขึ้น

สามคือ idea หรือ initiative คือเราเสนอความคิดที่น่าสนใจหรือริเริ่มอะไรใหม่ๆ เช่น ไทยนำเสนอ SEP for SDGs (Sufficiency Economy Philosophy for Sustainable Development Goals) เป็นการเชื่อมโยงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทยเข้ากับ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็ดูเป็นการริเริ่มอะไรในประเด็นโลกที่มีความเป็นตัวตนของไทยอยู่ด้วย

สุดท้ายคือ influencer ผมคิดว่าสิ่งที่โลกสงครามเย็น 2.0 ต่างจากสงครามเย็น 1.0 ก็คือความพลิกผันของสื่อ ในยุคก่อนทุกอย่างเป็นสื่อแอนะล็อกหมด การสื่อสาร ส่งข้อความหรือสร้างอิทธิพลบางอย่างผ่านสื่อสามารถทำได้ผ่านหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ ส่งผลกระทบแบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว แต่วันนี้เรามีพื้นที่ออนไลน์ที่รวมผู้คนซึ่งมีความคิดแตกต่างหลากหลาย พอคนเชื่อเหมือนกันมาอยู่รวมกันมากๆ สิ่งที่เชื่อร่วมกันก็กลายเป็นความจริงไปโดยปริยาย เพราะคนเลือกจะเสพสื่อตามความเชื่อของตัวเอง ดังนั้นการจะผลักดันอะไรบางอย่างให้คนเชื่อจำเป็นต้องมีอินฟลูเอนเซอร์หรือแกนนำกลุ่มก๊วน

คุณประเมินนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ตอนนี้อย่างไรบ้าง ไทยเดินไปถูกทางแล้วหรือยัง

ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลดูจะเป็นเรื่องของการส่งเสริมความนิยมและการเผยแพร่วัฒนธรรม ซึ่งสำหรับผมไม่ได้ผิดอะไร THACCA  (Thailand Creative Culture Agency) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกหลักในการส่งเสริมนโยบายนี้โดยเฉพาะ ในฐานะคนที่มีคนชวนไปพูดคุยหลายวง เห็นได้ว่าคนทำงานฟังเสียงวิจารณ์จากคนข้างนอกอยู่พอสมควร เห็นได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ อันนี้ขอชมในแง่ของวิธีดำเนินงาน THACCA มักจะบอกเสมอว่าทำ creative culture ไม่ใช่ creative content แบบ KOCCA (Korea Creative Content Agency) ของเกาหลีใต้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลเพื่อไทยทํา OKMD (สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน); Office of Knowledge Management and Development) ซึ่งมี TCDC (ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ; Thailand Creative and Design Center) อยู่ในนั้นด้วย ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ (creative economy) ที่ต่อเนื่องกลายมาเป็นคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ แบบที่รัฐบาลผลักดันอยู่ตอนนี้ในปัจจุบัน เพื่อให้มีความต่อเนื่อง ฝ่ายนโยบายก็บอกว่าต้องตราเป็น พ.ร.บ. นะ แต่ในทางปฏิบัติ คำถามเรื่องความยั่งยืนและต่อเนื่องยังมีอยู่ แม้ในอนาคตจะมี พ.ร.บ. แล้วก็ตาม

อนึ่ง ควรกล่าวด้วยว่า ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เคยเขียนบทความลงในกรุงเทพธุรกิจว่า ซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลไทยอยากไปให้ถึงคือการแพร่ขยายอำนาจในมิติของการสร้างบารมีหรืออำนาจต่อรองออกไปทั่วโลก โดยการยกระดับทักษะของคนไทย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างพลังภายในของไทยให้เข้มแข็ง

ในฐานะที่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกาหลี เราถอดบทเรียนอะไรจากเกาหลีได้บ้าง การที่เกาหลีใต้มายืนอยู่แถวหน้าของโลกด้านซอฟต์พาวเวอร์ได้ เป็นเพราะรัฐบาลหรือเอกชนมากกว่ากัน

ถ้าถอดบทเรียนจากเกาหลีใต้ ผมว่าคำตอบชัดเจนคือ หนึ่ง ต้องให้ ‘เอกชนนำ-รัฐหนุน’ เพราะการจะแสวงและแสดงอำนาจไม่ควรทำโดยตัวแสดงที่เป็นรัฐ สอง ต้องมีการวิจัยตลาด ตีโจทย์ผู้ฟังหรือผู้รับสารให้แตก เท่าที่ผมติดตามอ่านผลการประชุมและการแถลงต่างๆ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนโยบายตระหนักถึงสองข้อนี้แล้ว อย่างไรก็ดี แม้แต่มหาอำนาจเองก็ไม่ค่อยแสดงออกว่าสิ่งที่ตนทำเป็นไปเพื่อการสร้างพาวเวอร์ แพ็กเกจทางนโยบายของไทย เช่น เศรษฐกิจ BCG หรืออย่างล่าสุดคือ IGNITE THAILAND สามารถช่วยสื่อสารได้ดีกว่า

แล้วเกาหลีใต้ทำอย่างไรให้แยบยล ไม่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ไปตะโกนบอกคนทั้งโลก

ต้องบอกด้วยว่าซอฟต์พาวเวอร์ที่คนไทยมองเกาหลีใต้เป็นเรื่องวัฒนธรรมเป็นหลัก ผมว่าเกาหลีใต้ก็ตะโกนนะ ตะโกนเสียงดังด้วย แค่ไม่ใช่คำว่าซอฟต์พาวเวอร์ (หัวเราะ) เรื่องแยบยลหรือไม่ ไม่เท่ากับทำให้สำเร็จ ถ้าให้ถอดบทเรียน ข้อแรก เกาหลีใต้ตีโจทย์เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นการขายของมากกว่าจะเป็นเรื่องการสร้างพลัง-บารมีในระดับระหว่างประเทศ เมื่อโจทย์เป็นเรื่องการขายของ สำหรับคนผลิตก็ต้องหาของที่ถูกใจ เขาก็ส่งทีมไปวิจัยตลาด ช่วงโควิด-19 บังเอิญโลกมีกระแสเรื่องความเหลื่อมล้ำพอดี ซีรีส์ขายดีเลยกลายเป็นอะไรที่เปิดประเด็นเรื่องพวกนี้ ผู้ฟังผู้ชมเหมือนได้หลีกหนีความจริงมาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง

ข้อที่สอง ยุทธศาสตร์ตั้งต้นของเกาหลีใต้คือการผลิตเพื่อส่งออก แต่ของไทยในช่วงทศวรรษ 1980-1990 ดูจะเน้นการผลิตเพื่อบริโภคภายใน ศิลปินที่ผมชื่นชอบในวัยเด็กส่วนมากเน้นขายคนไทย อย่างมากคือขยายตลาดเพื่อนบ้าน ละครที่ผลิตก็ดูกันเอง พอช่วงทศวรรษ 2000 ก็มีสตรีเหล็ก มีองค์บาก เชื่อไหมว่าองค์บากยังเป็นภาพยนตร์ไทยในความทรงจำของชาวต่างชาติหลายคน คลาสสิก สะท้อนตัวตน ส่วนหนึ่งของความสำเร็จมาจากความพยายามแสวงหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ เริ่มเอาซับไตเติ้ลไปใส่ ภาพยนตร์เรื่องหลานม่าเป็นตัวอย่างที่ดี พอใส่ซับภาษาอื่นก็ไปได้ไกลเลย แค่เปลี่ยนวิธีคิดเป็นผลิตเพื่อส่งออก ตั้งเป้าหมายที่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ ก็ไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว

ข้อที่สาม ผมอยากจะย้ำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ใช่กลไกเศรษฐกิจเดียวของเกาหลีใต้ เราอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่าต้องขายรถยนต์ฮุนได 1.5 ล้านคันถึงจะมีรายได้เท่าภาพยนตร์ Jurassic Park 1 เรื่อง แต่เกาหลีใต้ก็ไม่ได้เลิกขายรถยนต์ กลุ่มศิลปิน BTS สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณร้อยละ 0.3 ที่เหลือคือซัมซุง ฮุนได แอลจี ถ้าอยากจะรวย ต้องมีกระเป๋าเงินหลายๆ ใบ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ก็ทำไป บริการก็ทำไป อุตสาหกรรมอนาคตต้องทำให้สำเร็จ แล้วท้ายที่สุดจะพ่วงขายแบบมีศิลปินดังระดับโลกมาช่วยขายของได้ก็ยิ่งดี

แม้เกาหลีใต้จะประสบความสำเร็จในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านวัฒนธรรมอย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด การจะมีซอฟต์พาวเวอร์ไม่ควรมีแค่ ‘แฟนคลับ’ ของศิลปินนักแสดง แต่ควรมีคนพูดแทนหรืออย่างน้อยคือช่วยอธิบาย แก้ไขความเข้าใจผิดแทนบ้าง อย่างล่าสุดที่มีกระแส #แบนเกาหลี มีคนไปโยงความเห็นต่อลิซ่าของคอลัมนิสต์คนหนึ่งเข้ากับเรื่อง ตม. แล้วพาลไปกันใหญ่ ผมไม่เห็นจะมีคนมาปกป้องหรืออธิบายอะไรแทนเกาหลีเลยว่าเป็นคนละเรื่องกัน เห็นเพจที่ทำเรื่องเกี่ยวกับเกาหลีใต้ก็ยังขายของหรือโพสต์อะไรกันปกติ เห็นมีแต่ผมนี่แหละให้สัมภาษณ์สื่อช่วยต้อนรับคณะทัวร์ (หัวเราะ) แบบนี้แปลว่าเกาหลีใต้อาจจะไม่ได้มีซอฟต์พาวเวอร์ในไทยแบบที่เราเข้าใจเลยนะ

สัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ BTS เพิ่มให้กับ GDP ของเกาหลีใต้เทียบกับธุรกิจอื่นๆ ข้อมูลในปี 2018 | ที่มา Statista

ในฐานะที่คุณทํางานวิจัยด้านการต่างประเทศ และเป็นคนช่วยส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องอาเซียนและความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ด้วย คุณมองเห็นช่องว่างในโลกแห่งความคิดกับโลกแห่งการปฏิบัติมากแค่ไหน

ผมคิดว่าทั้งโลกแห่งความคิดทฤษฎีกับโลกแห่งการปฏิบัติยังมีจุดเชื่อมโยงกันได้อีกมาก อย่างแรกเลยคือการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสร้างข้อเสนอแนะหรือประมวลปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนว่ามีความแตกต่างทั้งในเชิงโจทย์การวิจัย วิธีวิทยา และผลที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัยเชิงวิชาการ/ทฤษฎี เวลาที่ผมได้โอกาสให้ไปบรรยายพิเศษให้นิสิตนักศึกษา ผมมักจะย้ำเสมอว่า เราต้องเป็นคนที่คิดได้หลายๆ แบบ เพราะปัญหาในโลกจะมีความซับซ้อนมากขึ้น และมีแง่มุมให้ทำความเข้าใจได้มาก ผมสรุปเป็นสองคำ คือ critical เพื่อให้เข้าใจปัญหาได้ถูกต้อง กับ practical เพื่อให้ข้อเสนอแนะที่ปฏิบัติได้จริงสมเหตุสมผล

ประเด็นที่สอง ผมเห็นคุณค่าของงานวิจัยพื้นฐานและการศึกษาทางทฤษฎี ในแง่การปฏิบัติ ทฤษฎีช่วยสร้าง ‘เรื่องเล่า’ (narratives) และ ‘ฐานการตัดสินใจ’ (justification) ที่ชอบธรรมในการปฏิบัติและสื่อสารนโยบาย ส่วนประวัติศาสตร์การทูตช่วยให้เข้าใจที่มา-ที่ไปของประเด็นปัญหาหนึ่งๆ ได้ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะบริบท ผมมีข้อสังเกตว่าในโลกเสมือนที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็มีการตัดตอนข้อมูล ความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าบริบทจะขาดหายไปมากขึ้น การผลิตสิ่งพิมพ์ด้านนี้จะช่วยเติมภาพของบริบทซึ่งเป็นที่มาและเบื้องหลังความเป็นไปของการตัดสินใจทางนโยบายในช่วงเวลาหนึ่งๆ การมีฐานความรู้ที่ดีจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของ ‘ต่อมเอ๊ะ’ ไม่ทำให้เป็นคนเชื่อคนง่ายๆ อ่านอะไรมา ฟังอะไรมาจะต้องเอ๊ะไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย และความเอ๊ะนี้มีประโยชน์ต่อทั้งงานวิชาการและงานปฏิบัติ

ประเด็นที่สาม ผมว่ามีโจทย์ทางฝ่ายปฏิบัติที่ฝ่ายวิชาการยังไม่ค่อยได้สำรวจตรวจสอบ และอยากเสนอให้จัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เช่น ประเด็นโลกหลายขั้ว ผมคิดว่ามีความเชื่อจากฝ่ายปฏิบัติว่าโลกจะเป็นหลายขั้ว แต่ทั้งในความเป็นจริงและทางทฤษฎีเป็นอย่างไรแน่ โลกที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร และจะมุ่งไปทางไหน ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนทนากัน โดยนำทฤษฎีเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย หนังสือบางเล่มที่อาจไม่ได้อยู่ในกระแสหลักก็น่านำมาคุย เช่น Turbulent Peace: The Challenges of Managing International Conflict หนังสือเล่มหนาที่ว่าด้วยการทำความเข้าใจที่มาของปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศและแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ วิชาของอาจารย์ชาวเกาหลีใต้ที่ผมเปิดไว้ตอนต้น ใช้เล่มนี้เป็นตำราหลัก ผมว่าน่านำมาทบทวนในบริบทโลกปัจจุบันเหมือนกัน อาจจะจัดสัมมนาหัวข้อ Turbulent Peace in the Age of Geopolitical Competition อะไรทำนองนี้

ประเด็นใดในด้านการต่างประเทศที่ควรได้รับความสนใจมากกว่านี้

มีสองประเด็นที่เป็นความท้าทายสำคัญในด้านการต่างประเทศ

ประเด็นแรกคือประเด็นสืบเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ในเวลานี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่เป็นเรื่องความมั่นคงและความอยู่รอด รายงานจาก World Economic Forum ชี้ว่าประเด็นสำคัญใน 10 ปีข้างหน้า 4 อันดับแรกเป็นเรื่องชีวภาพ เป็นเรื่องโลกหมดเลย ปีนี้เราเห็นแล้วว่าอากาศร้อนมาก ถ้าร้อนกว่านี้แล้วมนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้ไหม คิดแค่นี้ก็น่าหวาดหวั่นแล้ว อาเซียนอาจจะตายกันเพราะโลกร้อน-โลกรวนมากกว่าสงครามของมหาอำนาจเสียอีก อย่างปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง แผ่นดินทรุดก็อาจจะทำให้เราอยู่ที่เดิมไม่ได้ บ้านที่เราอยู่ทุกวันนี้ในอนาคตอาจจะต้องอยู่กับน้ำ เราก็จะพบปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานตามมา พม่าย้ายเมืองหลวงแล้ว อินโดนีเซียก็ย้ายเมืองหลวงแล้ว ไทยเองอาจต้องไปชำเลืองดูผลกระทบที่อาจเกิดตามมาเหมือนกัน

ผลสืบเนื่องของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศยังทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงอื่นๆ ตามมา เช่น ด้านอาหารที่อาจผลิตได้น้อยลงเพราะฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ด้านพลังงานที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ หรือแม้แต่ด้านสุขภาพจากโรคอุบัติใหม่ หรือด้านการค้า อย่างมาตรการของสหภาพยุโรปที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสีเขียวก็มีระเบียบกำหนดให้ประเทศคู่ค้าต้องปรับตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้รัฐต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจำต้องหาทางบรรเทาโดยอาจพึ่งศาลระหว่างประเทศมากขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาจากโลกดิจิทัล ที่ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจต้องเผชิญ ‘cyber pandemic’ ระบบคอมพิวเตอร์ติดไวรัสง่ายๆ แค่คลิกเดียว แถมปิดพรมแดนไม่ได้เหมือนการระบาดทางชีวภาพด้วย ปัญหาเช่นนี้เรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศและบทบาทรัฐที่เข้มแข็งกว่านี้

ความท้าทายประเด็นที่สองคือ การที่คนธรรมดาสามารถมีบทบาทในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ตั้งแต่การแสดงความเห็นในฐานะคนธรรมดาหรือผู้ใช้คนหนึ่งในโลกออนไลน์ ซึ่งหากความเห็นนั้นเป็นเชิงบวกและสร้างสรรค์ก็นับเป็นคุณ แต่ถ้าความเห็นนั้นเป็นการแสดงมุมมองเชิงลบหรือใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงโจมตีประเทศหรือคนในประเทศหนึ่งๆ ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และคงน่าเสียดายถ้าความสัมพันธ์ที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้ดีๆ อยู่ดีๆ ก็อาจจะมาพังทลายลงเพราะความเห็น (ที่อาจจะผิด) ของคนไม่กี่คน ประเด็นเหล่านี้ควรถูกแสงส่องถึงมากกว่าที่เป็นอยู่

References
1 อ่านการวิเคราะห์ของเสกสรรในประเด็นนี้เพิ่มเติมได้ที่ ญี่ปุ่นกับระเบียบทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

MOST READ

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save