ความอลหม่าน เรื่องของสังขาร และการตะบี้ตะบันดูหนังในเทศกาลเวิลด์ฟิล์ม

เดือนพฤศจิกายนน่าจะเป็นอีกเดือนที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคนรักหนัง ค่าที่ว่ามีเทศกาลหนังปรากฏขึ้นให้ได้ไล่เก็บไล่ดูตั้งแต่เทศกาลหนังเยอรมัน KinoFest โดยสถาบันเกอเธ่, เทศกาลภาพยนตร์จีน ณ กรุงเทพฯ, เทศกาลภาพยนตร์ไต้หวันและเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ หรือ World Film Festival of Bangkok ที่ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 16 แล้ว และถือเป็นหมุดหมายใหญ่สำหรับการ ‘เก็บหนัง’ จากทั่วทุกมุมโลกที่จะเข้าฉายในงานเทศกาล

สำหรับหลายๆ คน การวางแผนดูหนังในเทศกาลเวิลด์ฟิล์มถือเป็นเรื่องที่ต้องกระทำอย่างรัดกุม ค่าที่ว่าหนังแต่ละเรื่องจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพียงสองรอบเท่านั้น จะเก็บให้ครบต้องวางแผนแยบยล ไม่ให้ชนเรื่องอื่นหรือตัดสลับบางเรื่องไปดูวันหลัง และมีอีกเหมือนกันที่ต้องจำใจปล่อย ไม่ได้ดูเพราะหาตารางลงไม่ได้ อย่างเช่นปีนี้ที่ Phantosmia (2024) หนังความยาวสี่ชั่วโมงของ ลาฟ ดิอาซ​ (Lav Diaz -คนทำหนังชาวฟิลิปปินส์) เข้าฉายและตารางเหลื่อมชนกับหนังอีกสองเรื่อง ก็จำต้องตัดทิ้งแล้วหวังว่าสักวันหนังจะเข้าฉายโรงในรอบปกติให้ตามเก็บตามดูเองอีกครั้ง

สำหรับปีนี้ มีหนังกว่า 80 เรื่องจากทั่วโลกเข้าฉายตลอด 11 วันของเทศกาลเวิลด์ฟิล์มที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มิตรสหายหลายคนดูไปร่วมๆ คนละ 30 กว่าเรื่อง ขณะที่ผู้เขียนที่แบ่งเวลาทั้งงานราษฎรงานหลวงแล้ว ดูไปได้แค่ 19 เรื่องเท่านั้น แต่ก็แทบจะเรียกได้ว่าหายหน้าหายตาไปจากสังคมรอบตัว เพราะบางวันดูหนังร่วมห้าเรื่องติด บางวันแค่สี่หรือบางวันแค่สองเรื่องในกรณีที่หนึ่งในนั้นเป็นหนังยาวมากๆ เช่น Sterben (2024) หนังสัญชาติเยอรมันของ มัตธีอาส กลาสเนอร์ (Matthias Glasner) ที่ยาวร่วมสามชั่วโมง การตะลุยดูหนังคราวละหลายๆ เรื่องติดเองก็เป็นสิ่งที่ต้องวางแผนอย่างละเอียดไม่แพ้การวางผังหนังที่จะดู 

Sterben (2024)

เป็นธรรมชาติของงานเทศกาลที่เวลาว่างระหว่างแต่ละเรื่องนั้นห่างกันราว 10-15 นาที และถือเป็น ‘ช่องไฟ’ ที่ต้องคิดให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้าโรงว่าจะใช้ไปกับอะไรบ้าง นับตั้งแต่เข้าห้องน้ำ, สั่งกาแฟ, กินข้าว หรือแม้แต่ซื้อขนมง่ายๆ กินในกรณีที่ไม่มีเวลาเหลือแล้ว บรรยากาศการดูหนังในเวิลด์ฟิล์มจึงมักล่วงผ่านไปในลักษณะที่ทุกคนเดินสวนกันอยู่หน้าห้องน้ำ ทักทายกันด้วยการยกมือหรือพยักหน้าให้กันและกันเร็วๆ ถามไถ่กันอย่างมากที่สุดคือ “ดูเรื่องไหน” หรือไม่ก็ “ดูอะไรต่อ” หรือไม่ก็ไปปรากฏตัวอีกทีในซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านล่าง หอบขนมปังก้อนใหญ่, ขวดน้ำลิตรและบางครั้งบางคราวก็อาจมีเครื่องดื่มชูกำลังปะปนมาบ้างหากนอนไม่พอ ยิ่งกับใครที่ขับรถมา เงื่อนไขสำคัญที่ต้องวางแผนมาจากบ้านคือการหา ‘ช่องไฟ’ ระหว่างหนังแต่ละเรื่องในการออกมา ‘วนรถ’ เพราะห้างฯ อนุญาตให้จอดฟรีแค่สี่ชั่วโมง บ่อยครั้งจึงเห็นมิตรสหายวิ่งฉิวออกจากโรงทันทีที่หนังจบแล้วตรงไปที่ลานจอดรถ เพื่อจะทุลักทุเลหาที่จอดแห่งใหม่ไม่ให้ต้องเสียเงินค่าที่จอดที่ถ้าเกินเวลาแล้วน่าจะกลายเป็นมหากาพย์ด้านรายจ่ายอีกด้าน

การไล่ดูหนังในเทศกาลเวิลด์ฟิล์มจึงมีบรรยากาศของความอลหม่านอยู่เนืองๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเทศกาลหนังหรือแม้แต่กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ต้องจัดการกับเงื่อนไขด้านเวลา ผู้เขียนเองเพิ่งกลับจากเทศกาลหนังนานาชาติโตเกียว ที่แม้ไม่ได้ตะบี้ตะบันไล่ดูหนังหนักเท่าเทศกาลในบ้านเรา แต่ก็เห็นแง่มุมความวุ่นวายหลายประการ ทั้งแง่ภาษา, เวลาหรือการเดินทาง ฯลฯ และมันยังเป็นโอกาสอันดีในการได้ทำความรู้จักคนในแวดวงภาพยนตร์จากทั่วโลก ซึ่งโดยส่วนมากความอลหม่านของเทศกาลมักไม่อนุญาตให้เราได้พบเจอหรือสนทนากันได้เป็นเรื่องเป็นราวนัก และมักจะไปเจอกัน ‘รอบนอก’ อย่างเช่นปีก่อนที่ผู้เขียนไปเดินหลงทางอยู่ในสวนอุเอโนะ ก็มีนักแสดงจากเทศกาลหนังเดินเข้ามาทักเพราะสะพายกระเป๋าย่ามแจกฟรีของเทศกาลเหมือนกัน หรือปีนี้ที่ไปนั่งกินเบียร์หลังหมดวัน ก็จับพลัดจับผลูได้เจอโปรดิวเซอร์จาก The Fish Tale (2022) รวมทั้ง ซากิ มิชิโมโตะ ผู้กำกับหญิงหน้าใหม่จาก See You Tomorrow (2024)

พ้นไปจากการจัดการเรื่องเวลาซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของการไล่ดูหนังในเทศกาล อีกด้านหนึ่ง มันคือการต่อรองกับเงื่อนไขของร่างกายตัวเอง การนั่งนิ่งๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงและมีเวลาว่างให้ออกมาเข้าห้องน้ำหรือยืดเส้นยืดสายแค่ไม่กี่สิบนาทีถือเป็นเรื่องท้าทายสังขารไม่น้อย ยังไม่ต้องพูดถึงความล้าจากการใช้สมาธิดูหนังติดกันทีละสี่เรื่องห้าเรื่อง บวกรวมกันแล้วมันจึงเป็นกิจกรรมที่กินพลังงานกว่าที่ตาเนื้อจะมองเห็น 

April (2024)

ความอลหม่าน การท้าทายสังขารและการสลับสับเปลี่ยนตาราง วางแผนการใช้ชีวิตทั้งในแง่การเดินทาง การกินอยู่ หรือกะปริมาณหนังที่ต้องดูในแต่ละวันก็เป็นความบันเทิงอีกแง่มุมหนึ่งของการดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์ และสาเหตุหลักๆ ของการลงเรี่ยวลงแรงพวกนี้ก็มาจากเหตุผลง่ายๆ อย่างหนังหลายเรื่องก็เป็นหนังหาดูได้ยาก และเทศกาลหนังอาจเป็นโอกาสเดียวที่มันจะได้เข้าฉายในระบบโรงภาพยนตร์บ้านเรา อย่างเช่น April (2024) หนังสัญชาติจอร์เจียสุดเฮี้ยนที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะหาดูได้จากที่ไหนอีก, Green Border (2023) หนังขาวดำความยาวสองชั่วโมงครึ่งที่พูดถึงปัญหาผู้อพยพและมนุษยธรรมในยุโรปตะวันออก รวมทั้ง Harvest (2024) หนังพูดภาษาอังกฤษของคนทำหนังชาวกรีกที่สำรวจการมาเยือนของยุคสมัยใหม่กับการทำแผนที่ซึ่งเบียดขับคนตัวเล็กตัวน้อยออกไปจากแผ่นดิน ฯลฯ และเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานเทศกาลหนังคือบรรยากาศเช่นนี้ หลายครั้งเราเข้าโรงภาพยนตร์ไปโดยมีข้อมูลเกี่ยวกับหนังในมือน้อยเหลือเกิน อย่างคร่าวสุดอาจเป็นเรื่องย่อสองบรรทัดกับชื่อผู้กำกับและสัญชาติ ที่เหลือคือสิ่งที่เราต้องไปควานหาเอาเองระหว่างดู 

มองในภาพใหญ่ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการฉายภาพยนตร์ หากแต่เทศกาลหนังยังมีฟังก์ชันในแง่การสร้างพื้นที่ระหว่างคนทำหนังกับคนดูหนังเข้าด้วยกัน รวมทั้งเปิดพรมแดนใหม่ๆ ของการดูหนังที่อาจพาเราไปยังพื้นที่ของความรู้สึกขนหัวลุกจากการเฝ้ามองฉากการคลอดลูกของผู้หญิงแปลกหน้า, ความพะอืดพะอมจากการดูสิ่งที่รัฐกระทำต่อประชาชนในนามของความเป็นอื่น หรือการสำรวจความรู้สึกแห้งแล้งของแม่-ลูกที่ชวนตั้งคำถามถึงเงื่อนไขความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฯลฯ หนังบางเรื่องก็ไม่เป็นมิตรกับคนดูและมันก็ไม่ปรารถนาจะเป็นมิตร บางเรื่องบีบบังคับให้เราจับจ้องไปยังฉากเดิมๆ อันชวนกระอักกระอ่วนนานหลายนาที บางเรื่องก็ชวนเราสบตากับคำถามท้าทายศีลธรรมอันแหลมคม และเกือบทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่คนดูเข้าไปควานหาประสบการณ์ด้วยตัวเองในโรงภาพยนตร์

Green Border (2023) 

พ้นไปจากคนดู เทศกาลภาพยนตร์ยังเป็น ‘ตลาด’ ใหญ่ของคนทำหนังในแง่การสร้างคอนเน็กชันหรือเครือข่ายในการทำหนังต่อไปในอนาคต ไม่มากก็น้อย เทศกาลหนัง -โดยเฉพาะเทศกาลใหญ่ๆ อย่างเทศกาลหนังเมืองคานส์, เทศกาลหนังเวนิสหรือเทศกาลหนังซันแดนซ์- คือแหล่งรวมตัวของโปรดิวเซอร์, ผู้กำกับ, นักแสดง, ผู้กำกับภาพ ฯลฯ แทบจะทุกสาขาไว้ด้วยกัน และกับอีกหลายครั้ง มันก็เป็นพื้นที่แจ้งเกิดของคนทำหนังหน้าใหม่ๆ เช่น ดาร์เรน อาโรนอฟสกี (Darren Aronofsky -คนทำหนังชาวอเมริกัน), สตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์​ (Steven Soderbergh -คนทำหนังชาวอเมริกัน), ลูกัส โดนต์ (Lukas Dhont -คนทำหนังชาวเบลเยียม)

กล่าวอย่างถึงที่สุด เทศกาลหนังจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการ ‘ฉายหนัง’ หากแต่มันยังเป็นพื้นที่เสริมกลไกของตลาดภาพยนตร์ทั้งในและนอกประเทศ เป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างคนทำหนัง (ทั้งในนามผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์, นักแสดงและองคาพยพอื่นๆ) กับคนดู และเป็นสนามใหญ่สำหรับการขยายเขตแดนการดูหนังของผู้คนในประเทศหรือในเมืองนั้นๆ

ยิลส์ จาคอบ (Gilles Jacob) นักวิจารณ์และอดีตประธานเทศกาลหนังเมืองคานส์ -ซึ่งเป็นหนังในเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก- เคยกล่าวถึงความสำคัญของงานเทศกาลหนังไว้ว่า “เพื่อตรวจจับชีพจรของโลกภาพยนตร์ปีละครั้ง เพื่อรวมตัวผู้คนในสายอาชีพนี้เข้าด้วยกันเพื่อให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนกระบวนคิดต่างๆ ฉายหนังของตัวเองให้กันและกันได้ดู ร่วมสร้างธุรกิจ และเพื่อค้นหาผู้เล่นหน้าใหม่ที่เปี่ยมพรสวรรค์ เพื่อฉายแสงไปยังกระแสใหม่ๆ ของการทำหนัง เพื่อนำเสนอภาพยนตร์ที่เป็นทั้งศิลปะและมีเสน่ห์ยวนใจ เพื่อฉายงานซึ่งโดดเด่นและยากเย็นซึ่งไม่ได้รับความสนใจอย่างที่มันควรจะได้รับ เพื่อยกย่องคนทำหนังที่จะเป็นหนึ่งในชื่อเกียรติยศของเทศกาล เพื่อให้คนเบื้องหลังการทำหนังได้อยู่ในหน้าสื่อโลก เพื่อสร้างพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ ตั้งแต่ปารีสไปจนถึงลอส แองเจลิส และที่สุด เพื่อเพิ่มพลังให้คนทำหนังและโปรดิวเซอร์ปีละครั้ง เพื่อให้พวกเขามีเรี่ยวแรงในการทำหนังเรื่องต่อๆ ไป ด้วยการฉายภาพยนตร์ที่พวกเขาแสนจะภาคภูมิใจที่ได้ทำและได้ร่วมสร้างกันมา”

เทศกาลหนัง -ไม่ว่าจะในที่ใด หรือขนาดใหญ่เล็กแค่ไหน- มันจึงเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ผูกพันแนบแน่นกับมนุษย์และชีวิต ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ -ไม่ว่าจะในยุคไหนสมัยใด- บอกเล่าทั้งสิ้น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save