เปิดใจผู้แทนการค้าไทย วีระพงษ์ ประภา: โจทย์ใหม่ในห้วงวิกฤตภาษีทรัมป์ กับความหวังเปิดตลาดยุโรปผ่าน FTA ไทย-อียู

เมื่อ พ.ศ. 2545 รัฐบาลไทยตั้งตำแหน่ง ‘ผู้แทนการค้าไทย’ ขึ้นมาในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีด้านการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อแสวงหาช่องทางและตลาดใหม่ๆ พร้อมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับประเทศต่างๆ แม้ว่าตำแหน่งนี้จะเคยถูกยกเลิกไปในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในที่สุดก็มีการตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมาใหม่และยังคงเดินหน้าทำงานสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการผลัดเปลี่ยนผู้รับตำแหน่งไปตามการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

โจทย์ของผู้แทนการค้าไทยย่อมผันเปลี่ยนไปตามบริบทสถานการณ์การค้าโลกแต่ละช่วงเวลา แต่สำหรับผู้แทนการค้าไทยภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรนั้น คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากำลังเจอโจทย์ที่ยากยิ่งกว่ายุคสมัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศแบบช็อกโลกในวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งทำให้หลายคนต่างมองว่านี่คือจุดพลิกผันให้การค้าโลกที่เราเคยรู้จักกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดกาล

ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการถูกขึ้นภาษีที่อัตรา 37% แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะชะลอคำสั่งออกไป 90 วัน แต่รัฐบาลไทยก็ไม่อาจนิ่งนอนใจและต้องเร่งทำงานเพื่อจะลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งนำภาคเศรษฐกิจไทยรับมือกับกระแสเปลี่ยนผ่านของการค้าโลกนี้ให้ได้มากที่สุด ท่ามกลางโจทย์นี้ แน่นอนว่าผู้แทนการค้าไทยต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญ

หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่คณะผู้แทนการค้าไทยชุดปัจจุบันกำลังเดินหน้าคือการเร่งเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย โดยหนึ่งในตลาดที่กำลังเป็นที่หมายมั่นปั้นมืออย่างมากคือตลาดใหญ่อย่างสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งปัจจุบันไทยกับสหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และเป็นที่คาดหวังของรัฐบาลไทยอย่างยิ่งว่า FTA ฉบับนี้จะช่วยเปิดประตูโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาลท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลกที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม หนทางนี้ก็อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะอีกด้านก็มีความกังวลจากหลายภาคส่วนว่า FTA ไทย-สหภาพยุโรปนี้ กำลังบีบให้ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ทั้งยังต้องเจอความท้าทายในการปรับตัวตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีมาตรฐานสูงในหลายด้าน และที่สำคัญข้อตกลงบางข้อก็ยังอาจส่งผลกระทบที่ลึกลงไปถึงระดับวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงทางอาหารและยาที่อาจลดลง หากไม่มีมาตรการรองรับที่ดีและครอบคลุมเพียงพอ

ภายใต้โจทย์ทางเศรษฐกิจการค้าที่ท้าทายซับซ้อนเช่นนี้ ผู้แทนการค้าไทยคิดอย่างไร และมียุทธศาสตร์อย่างไรที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟันฝ่าความไม่แน่นอนของเกมการค้าโลก รวมถึงเอาชนะความท้าทายต่างๆ ที่กำลังตามมาได้? วันโอวันชวนหนึ่งในคณะผู้แทนการค้าไทยชุดปัจจุบัน วีระพงษ์ ประภา ผู้ผ่านการทำงานในแวดวงเศรษฐกิจและองค์กรภาคประชาสังคมมามากมาย โดยเฉพาะในประเด็นด้านความยั่งยืนในภาคธุรกิจ มาเล่าวิสัยทัศน์ และถ่ายทอดประสบการณ์จากการทำงานที่ผ่านมาให้ฟัง 

วีระพงษ์ ประภา

คุณรับตำแหน่งผู้แทนการค้ามาแล้วประมาณห้าเดือน การทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ถือว่าดีครับ รู้สึกว่าผมได้เข้ามาทำงานในจังหวะเวลาที่สำคัญ เพราะพอดีกับช่วงเวลาที่เกมการค้าการลงทุนของโลกกำลังพลิกโฉม ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้แทนการค้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อนนโยบายในประเด็นนี้

ถ้าถามว่าตำแหน่งผู้แทนการค้าไทยทำหน้าที่อะไร ผมมองว่ามันมีอยู่สองส่วน หนึ่งคือการเป็น Trade Strategist ซึ่งก็คือคนที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ โดยตัวผมเองดูในส่วนทวีปยุโรปและประเทศอังกฤษ และช่วยวิเคราะห์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาด้วย นอกจากนี้ยังดูประเด็นทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความยั่งยืน สองคือการเป็นผู้สื่อสาร โดยมีโจทย์คือเราจะทำอย่างไรให้การค้าการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทย อย่างเรื่องสงครามการค้าก็ดี หรือ FTA ก็ดี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องอธิบายให้คนรับทราบ เหมือนกับว่าเราเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายสาธารณะกับสังคม

ประเด็นที่ทีมของผมให้ความสนใจมากๆ คือเรื่องความยั่งยืน โดยเรามีภารกิจคือเราต้องการผลักดันนโยบายการค้าที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-centered Trade Policy) ผ่านการมีหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) เพื่อให้กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืนและครอบคลุมมากขึ้น นี่คือบทบาทที่เราวางแผนและเดินหน้าตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา ซึ่งต้องอาศัยการประสานงาน พูดคุย และกระชับความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ก็ถือว่าสนุกครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายมากเหมือนกัน

ที่คุณบอกว่าเกมการค้าโลกพลิกโฉมไปหมด คุณมองว่ามันพลิกอย่างไร

ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาคือเรากำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าทุกอย่างบนโลกนี้เปลี่ยนไปหมดตั้งแต่เวลาสี่โมงเย็นของวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันเป็นจุดจบหรือจุดอวสานของระเบียบโลกเสรีนิยม (Liberal World Order) ที่เรารู้จักกันมาเลยด้วยซ้ำ กฎกติกาทางการค้าระหว่างประเทศถูกพลิกเกมไปหมด ซึ่งถ้าถามถึงผลที่ตามมาตอนนี้ ก็อาจกล่าวได้เรายังอยู่ในช่วงเวลาฝุ่นตลบ และต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมในหลายประเด็น

เรื่องที่สองคือเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจของโลกอย่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจุดนี้ก็จะเป็นจุดที่ทำให้พันธมิตรหรือประเทศอื่นๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะแน่นอนว่าเมื่อสองมหาอำนาจมีการแข่งขันกัน เขาก็จะมียุทธศาสตร์หรือยุทธการบางอย่างเพื่อกดดันให้พันธมิตรเลือกข้าง เพราะฉะนั้นคำถามที่สำคัญคือประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนของจุดหักเหในการค้าโลกตอนนี้ และมันก็จะกระทบไปถึงประเด็นที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศมหาอำนาจอื่นอย่างจีนและรัสเซียจะเป็นอย่างไร และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าอื่นที่มีความสำคัญทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร

เมื่อโจทย์เปลี่ยนไปอย่างนี้ ต้องปรับยุทธศาสตร์การเจรจาการค้าไปทางไหน

ผมว่ามันมีอยู่สามประเด็น หนึ่งคือเราจะลดผลกระทบของมาตรการภาษีที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเร่งเจรจาได้อย่างไร และจะหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งผู้แทนการค้าก็จะต้องมีบทบาทในการช่วยหาทางกระจายความเสี่ยง (Diversification) ว่าจะมีแนวทางอย่างไร และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร เพราะพอเราโดนสหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีที่ 37% สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาก็ต้องได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นก็ต้องมาดูว่าเราจะมีตลาดอื่นที่จะสามารถส่งออกได้อีกไหม

และถ้าเทียบกันในมิติเชิงการแข่งขัน ก็ต้องมาดูว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้โดนไปเท่าไหร่ เช่น เวียดนามโดน 46% มาเลเซียโดน 24% และฟิลิปปินส์โดน 17% ซึ่งก็ต้องมาคิดว่าภายใต้ความแตกต่างของตัวเลขนี้ เราจะทำอย่างไรต่อสินค้าส่งออกที่คล้ายคลึงกันในแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยกับเวียดนามที่ส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกาเหมือนกัน ก็ต้องคิดว่าเราจะเชื่อมโยงไปสู่การเพิ่มผลประโยชน์ได้อย่างไร ซึ่งผมมักจะใช้คำว่า ‘Never Waste a Good Crisis’ คือเราจะเปลี่ยนแปลงความท้าทายและปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้เป็นโอกาสอย่างไร

สองคือเราจะเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้ทางกระทรวงการคลัง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิด

สามเป็นจุดที่ผมคิดว่าผมมีส่วนร่วมมากที่สุด คือเราจะเปิดตลาดใหม่ๆ ได้อย่างไร ซึ่งตอนนี้สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ก็คงต้องแข่งขันมากขึ้น เนื่องจากว่าสหรัฐอเมริกาไม่ได้ขึ้นภาษีกับเราเพียงประเทศเดียว แต่ทำไปถึงประมาณ 60 ประเทศ ทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องเร่งหาตลาดใหม่ เช่น สหภาพยุโรปที่โดนภาษีจากสหรัฐฯ ไปประมาณ 20% ก็ต้องมียุทธศาสตร์กระจายความเสี่ยงที่ชัดเจน ก็เป็นที่มาว่าทำไมเราถึงต้องการที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์และหารือเรื่อง FTA กับสหภาพยุโรปอย่างรวดเร็ว

ผมเพิ่งกลับมาจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ได้เห็นว่าสหภาพยุโรปมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าต้องการหาหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้มากขึ้น และผมก็มองว่าสหภาพยุโรปก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเปิดตลาดของเรา เพราะถือเป็นตลาดคุณภาพ มีผู้บริโภคมากกว่า 448 ล้านคน แต่ตอนนี้ยังไม่มี FTA ระหว่างกัน การมี FTA ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตลาด และยังเป็นโอกาสที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการค้าการลงทุนของไทยด้วย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่ากฎระเบียบของสหภาพยุโรปค่อนข้างซับซ้อนและมีมาตรฐานสูง โดยเฉพาะมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน

วีระพงษ์ ประภา

ในการเปิดตลาดใหม่ในสหภาพยุโรปผ่าน FTA คุณมีความคาดหวังว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

FTA ไทย-อียูมีทั้งหมด 20 ข้อบท (Chapters) ซึ่งมีหลายเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย เช่น เรื่องการเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement) เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) และเรื่องตลาดการค้าและการบริการต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งโอกาสและความท้าทาย

โอกาสก็คือธุรกิจไทยจะสามารถแข่งขันและเข้าถึงตลาด 27 ประเทศในสหภาพยุโรปได้ โดยสินค้าของไทยที่จะได้ประโยชน์มีทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า อัญมณี ยา และเนื้อสัตว์แปรรูป ซึ่งเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีการส่งออกไปสหภาพยุโรปอยู่แล้ว เพียงแต่ตลาดของเขาจะเปิดกว้างขึ้น

กลุ่มสินค้าที่จะได้ประโยชน์อีกกลุ่มคือกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ แต่ที่ผ่านมายังส่งออกได้ไม่มากนัก เช่น ผลิตภัณฑ์ศิลปะและงานฝีมือ น้ำมันหอมระเหย ไม้แกะสลัก และเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งมักเป็นกลุ่มสินค้าของธุรกิจ SMEs นอกจากนี้ก็มีสินค้าอีกกลุ่มที่ปัจจุบันเผชิญภาษีและข้อกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรปสูงมาก ซึ่งการมี FTA จะช่วยเปิดตลาดให้สินค้าเหล่านี้มากขึ้น ได้แก่ สินค้าเกษตร ผักผลไม้แปรรูป ไก่ หมู น้ำตาล และนม

และอีกกลุ่มหนึ่งคืออุตสาหกรรมศักยภาพสูง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน (circular economy)  ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ของประเทศไทยที่สามารถสร้างโอกาสได้ เพราะสหภาพยุโรปมีเทคโนโลยีเหล่านี้แต่ก็ต้องการหาตลาด เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดว่าเราจะคว้าโอกาสนี้อย่างไร

แต่ในส่วนความท้าทาย มันก็คือคำว่า ‘Reciprocal’ ที่สังคมไทยคงได้ยินบ่อยในตอนนี้ หมายถึงกระบวนการแลกเปลี่ยนกัน คือเมื่อเราไปเปิดตลาดเขา เขาก็สามารถเปิดตลาดเราได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองแล้วก็จะมีทั้งผู้ได้และผู้เสีย สำหรับไทยนั้นกลุ่มสินค้าที่จะต้องเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นจากสหภาพยุโรปก็อย่างเช่นสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์นม เพราะแต่เดิมเราคิดภาษีนมนำเข้าจากสหภาพยุโรปที่อยู่ในระดับสูง เพราะฉะนั้นถ้ามี FTA เราก็ต้องหาแนวทางในการเยียวยาเกษตรกรที่อาจจะได้รับผลกระทบ

เพราะฉะนั้นในภาพใหญ่ โจทย์ของเราคือจะทำอย่างไรที่จะสามารถวิเคราะห์และสื่อสารให้เข้าใจว่าผู้ได้และผู้เสียคือใคร และจะมีนโยบายสนับสนุนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบและช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร

และจากที่ไปคุยมา ทางสหภาพยุโรปเองก็มองว่าธุรกิจของสหภาพยุโรปอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาเองก็มีนโยบายที่จะดูว่าใครจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบและจะมีแนวทางในการเยียวยาอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการยกระดับปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ของเราให้สอดคล้องกัน (Regulatory Alignment) อย่างใน FTA ก็มีตัวอย่างให้เห็นในสองข้อบท เช่น เรื่องแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบ (Regulatory Practice) และเรื่องของการต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption) แม้ประเด็นเหล่านี้จะได้รับการกล่าวถึงมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ว่าแรงกดดันจากภายนอกจะเข้ามากระตุ้นให้มันเกิดขึ้นได้จริงในทางปฏิบัติ

แต่ในการยกระดับกฎเกณฑ์ก็กลายเป็นความท้าทายของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวเหมือนกัน ภาครัฐได้คำนึงถึงเรื่องนี้และได้เตรียมแนวทางที่จะช่วยภาคธุรกิจอย่างไร

สหภาพยุโรปมีกฎหมายหลายฉบับ เช่น EU Deforestation Regulation (EUDR) ซึ่งเป็นกฎหมายเรื่องการป้องกันการบุกรุกทำลายป่า แน่นอนว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าก็จะได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้ น้ำตาล กาแฟ หรือสินค้าที่ต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูก รวมทั้งมีกฎหมายอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นมาตรการที่ทางสหภาพยุโรปกำหนดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเขาไม่ได้เชื่อมโยงกับการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่สูงมากเกินไป ซึ่งก็จะส่งผลกระทบกับสินค้าบางประเภทที่อาจปล่อยคาร์บอนระหว่างกระบวนการผลิต

ถ้าถามว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องนี้อย่างไร คือเราต้องรับฟังภาคเอกชน ต้องพูดคุยกันว่าเขาจะสามารถปรับตัวหรือปฏิบัติตามแนวทางที่สหภาพยุโรปกำหนดได้อย่างมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าธุรกิจ SMEs (วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) จะพบความท้าทายในเรื่องนี้อยู่พอสมควร เนื่องจากปัญหาเรื่องการเข้าถึงข้อมูล เครือข่าย ทุน หรือโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงมีความกังวลว่าจะปรับตัวได้ทันหรือไม่ ซึ่งเราก็ต้องพยายามหาทางช่วยให้เขาเข้าใจและเข้าถึงข้อมูล ช่วยเป็นสะพานให้เขาเชื่อมต่อกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และต้องดูว่าเราจะมีมาตรการในเรื่องภาษีหรือแรงจูงใจให้ SMEs ปรับตัวเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านนายกฯ ให้ความสนใจและต้องการทำให้แน่ใจว่า SMEs ไทยจะไม่ถูกกีดกันออกด้วยกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้ เพราะ SMEs ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย

นอกจากนั้น รัฐบาลก็จะตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพื่อมาขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ใน FTA และดูว่าเกี่ยวข้องกับกฎกระทรวงอะไรบ้าง มีกฎหมายไทยฉบับใดบ้างที่ต้องได้รับการปรับปรุงให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกับสิ่งที่สหภาพยุโรปต้องการ รวมถึงพิจารณาว่าจะจัดการผลกระทบอย่างไร อย่างในประเด็น CBAM ก็ได้มีการพูดคุยกับสหภาพยุโรปเพื่อดำเนินความร่วมมือด้านองค์ความรู้เชิงเทคนิคและการเสริมสร้างความสามารถให้กับธุรกิจไทย เพื่อให้ธุรกิจไทยทำความเข้าใจว่ากฎระเบียบเรื่อง CBAM ของสหภาพยุโรปมีข้อกำหนดอะไรบ้าง เป็นต้น

นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็ยังมีเรื่องการยกระดับมาตรฐานอื่นๆ อีก เช่น มาตรฐานแรงงาน และสิทธิมนุษยชน เรื่องเหล่านี้ถือว่าเป็นความท้าทายเหมือนกันหรือไม่

เป็นเหมือนกันครับ มีข้อบทหนึ่งคือข้อบทว่าด้วยการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Trade and Sustainable Development) ซึ่งมีทั้งประเด็นที่ประเทศให้คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับความตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และยังมีการพูดถึงเรื่องสิทธิแรงงาน เช่นมาตรฐานในการตั้งสหภาพแรงงานตามอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เหล่านี้คือความคาดหวังของทางสหภาพยุโรปที่อยากให้รัฐบาลยกระดับมาตรฐาน แต่แน่นอนว่ากฎหมายเหล่านี้มาพร้อมกับต้นทุน เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดว่าการจัดการต้นทุนในระยะเริ่มต้น ระยะกลาง และระยะยาวจะทำได้อย่างไร

ถ้าพูดถึงเรื่องสิทธิแรงงาน ก็เป็นเรื่องที่ผมให้ความสนใจ จากประสบการณ์การทำงานของตัวเองด้วย และคิดว่าเรื่องนี้เป็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศไทยด้วย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยโดนต่างประเทศวิจารณ์ค่อนข้างมากในเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน อย่างตอนที่ประเทศไทยเคยได้ใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในประเด็นการทำประมงผิดกฎหมายหรือ IUU (Illegal Unreported and Unregulated Fishing หรือการทำประมงที่ผิดกฎหมาย) ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม แต่ได้ปลดล็อกไปในปี 2562 ประเทศไทยจึงมีบทเรียนที่จะเอามาปรับใช้ได้ โดยล่าสุดกระทรวงยุติธรรมก็ได้ดูแล้วว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและธุรกิจในสหภาพยุโรปจะสามารถล้อกับกฎหมายไทยได้อย่างไร ซึ่งจะนำไปสู่การนำเสนอกฎหมายใหม่ในประเทศไทยด้วย

วีระพงษ์ ประภา

อีกประเด็นที่มีคนแสดงความกังวลคือเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองเมล็ดพันธุ์พืชและสิทธิบัตรยา ที่อาจส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง เช่น ทำให้ยาแพงขึ้น และทำเกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์มาปลูกต่อได้จนส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร คุณได้นำประเด็นเหล่านี้ไปเจรจากับทางสหภาพยุโรปแล้วอย่างไรบ้างเพื่อจะลดผลกระทบในเรื่องเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด และทางฝั่งไทยเองมีแนวทางที่จะจัดการเรื่องนี้ไหม

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ผมเข้าใจความกังวลของภาคประชาสังคมทั้งในเรื่องของการเข้าถึงยา วิถีชีวิตของเกษตรกร และอื่นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อทีมเจรจาของไทยไปเจรจา เราต้องนำข้อกังวลเหล่านี้มาพิจารณาร่วมด้วย และเราก็ต้องเร่งดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือกับภาคส่วนต่างๆ ก่อนที่การเจรจาจะไปถึงข้อบทที่มีความซับซ้อนเหล่านี้มากขึ้น แต่ก็ต้องสร้างความสมดุลระหว่างการดำเนินงานให้เร็วและคุณภาพของการเจรจาด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องทำ คือการสร้างความเป็นเอกภาพระหว่างท่าทีของหน่วยงานไทยด้วยกันเอง (Internal Alignment) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและต้องอาศัยการประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเด็น เช่น เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาก็จะเกี่ยวข้องกับทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังต้องคำนึงถึงทั้งภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เรื่องเหล่านี้ก็ต้องได้รับการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด เพราะแน่นอนว่าผลประโยชน์ของคนไทยหรือของชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์จากการสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการวิจัยในยาและพันธุ์พืชเช่นกัน

เช่นเดียวกันในเรื่องมาตรการสุขอนามัยของสัตว์และการรับรองการนำเข้าสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร สินค้าปศุสัตว์ ผัก และผลไม้ ก็เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลและมีความเสี่ยงที่สินค้าจากสหภาพยุโรปจะเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยมากขึ้น เราก็มีความกังวลเรื่องโรคติดต่อและสุขอนามัยต่างๆ ซึ่งต้องมีการพูดคุยหารือในเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิดมากๆ เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและอาจกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ

ความคืบหน้าในการเจรจาประเด็นอ่อนไหวเหล่านี้เป็นอย่างไร

การเจรจารอบที่ห้าเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเราเริ่มอยู่ในจุดที่เรียกว่า Decision-making Zone หรือช่วงที่ต้องตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ที่ค่อนข้างอ่อนไหวมากขึ้น และรัฐบาลไทยมีเป้าหมายว่าต้องการจะสรุปการเจรจาให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ หากถามว่าเป็นเป้าหมายที่สูงหรือไม่ ก็ถือว่าสูง เนื่องจากการเจรจามีความซับซ้อน แต่การตั้งเป้าหมายไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี และเราก็ต้องพยายามเร่งเครื่องให้ได้เร็วที่สุด จากที่ผมหารือกับทางบรัสเซลส์ ทางนั้นก็เห็นด้วยว่าความรวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่างที่บอกว่าเราก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างความเร็วกับคุณภาพในการเจรจาด้วย เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน

นอกจากนี้ FTA ยังมีประเด็นการเจรจาเพื่อให้มีการเปิดเสรีการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วย ซึ่งในไทยก็ค่อนข้างมีความกังวลในเรื่องนี้เหมือนกัน คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

บางธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ เช่น ธุรกิจก่อสร้างที่พึ่งพาการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เมื่อมี FTA ที่จะเปิดเสรีการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ต่างชาติเข้ามาแข่งได้แล้ว ก็ต้องคิดว่าเราจะทำกันอย่างไร

ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผมว่าความโปร่งใสเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทางสหภาพยุโรปก็มีนโยบายที่จะเป็นแนวทางให้เรานำมาปรับใช้ แต่ประเด็นสำคัญอีกประเด็นอยู่ที่เรื่องการแข่งขัน เพราะเมื่อเราเปิดให้มีการแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐขึ้นแล้ว ก็ต้องดูว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัจจุบันจะต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร รวมถึงกฎระเบียบของกรมบัญชีกลางของเราในปัจจุบันจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือยกระดับอย่างไรบ้าง นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ประโยชน์อีกด้านหนึ่งคือธุรกิจไทยจะสามารถเข้าไปแข่งขันในสหภาพยุโรปได้เช่นกัน ดังนั้น ความท้าทายคือเราจะติดอาวุธให้ธุรกิจไทยเข้าไปแข่งขันกับธุรกิจในสหภาพยุโรปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการแข่งขันในฝั่งนั้นก็จะสูงขึ้นเหมือนกัน

สำหรับประเด็นนี้ ผมคิดว่าเมื่อเราก้าวเข้าไปเจรจาในข้อบทยากและซับซ้อนขึ้น มันก็คงมีอะไรน่าสนใจที่เราอาจจะมาคุยกันต่อได้

วีระพงษ์ ประภา

ถ้าให้สรุปความคืบหน้าการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปทั้งหมด ถือว่าการเจรจาไปถึงไหนแล้ว

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า FTA นี้มี 20 ข้อบท ซึ่งวิธีการเจรจาของเราคือในการเจรจารอบหนึ่ง เราคุยพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด 20 ข้อบท โดยแยกเป็นห้องๆ แต่ละห้องก็คุยกันในแต่ละข้อบท สำหรับความคืบหน้าล่าสุดจากการเจรจาครั้งที่ห้า เราสามารถเจรจาและได้ข้อสรุปไปสี่ข้อบท คือข้อบทเรื่องแนวปฏิบัติในการกำกับดูแล ข้อบทเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน ข้อบทเรื่องระบบอาหารที่ยั่งยืน และข้อบทเรื่องพิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งหมายความว่าเราเดินหน้าไปได้ประมาณ 20% และยังเหลืออีก 16 ข้อบทที่ยังต้องเร่งคุยกันในประเด็นต่างๆ ที่มีความซับซ้อน

ถามว่าจะใช้ระยะเวลานานขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถตกลงกันได้แค่ไหน และต้องยึดหลักที่ผมบอกไปว่า เราต้องรักษาสมดุลระหว่างความเร็วกับคุณภาพของการเจรจาด้วย ซึ่งเราเองก็ต้องทำให้คู่เจรจาเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับอะไร มีผลกระทบต่อเรามากน้อยขนาดไหน และมีอะไรที่เราต้องแลกเปลี่ยนไปบ้างภายใต้ประเด็นต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมี FTA แต่ผมก็หวังว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด

ไม่นานมานี้ทางรัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้ลงมติประณามไทยในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งเรื่องการส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และเรื่องคดีการเมืองในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการเรียกร้องให้ทางคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ใช้การเจรจา FTA มาเป็นตัวกดดันให้ไทยแก้ไขในเรื่องนี้ด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบให้การเจรจาต้องติดขัดหรือชะงักไปไหม

สหภาพยุโรปเองประกอบด้วยหลายสถาบัน มีทั้งคณะกรรมาธิการยุโรป คณะมนตรียุโรป และรัฐสภายุโรป โดยในการเจรจา FTA นั้น คณะกรรมาธิการยุโรปคือผู้นำการเจรจา ผ่านทางคณะกรรมาธิการด้านการค้า (Directorate-General for Trade) และองคาพยพของเขา ซึ่งก็มีบทบาทคล้ายกับกรมเจรจาระหว่างประเทศภายใต้กระทรวงพาณิชย์ของไทย แต่การประณามที่ออกมานั้นมาจากทางรัฐสภายุโรป โดยจากที่ผมได้พบกับ สส. ของรัฐสภายุโรปหลายท่าน ก็ต้องยอมรับว่าเขาให้ความสำคัญกับคุณค่าสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม มติการประณามที่ออกมาจากทางรัฐสภายุโรปถือเป็นมติที่ไม่ผูกมัด (non-binding resolution) หมายความว่าไม่ได้มีผลบังคับใช้ หรือเรามองได้ว่าเป็นเพียงข้อคิดเห็นจากรัฐสภายุโรป ขณะเดียวกันถ้าประเทศไทยมีความเห็นอะไรต่อสหภาพยุโรปในเรื่องสิทธิมนุษยชน เราก็แสดงความเห็นได้และเขาก็ยินดีรับฟังเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาประเด็นทางการเมืองเหล่านี้มาหยุดการเจรจา FTA

ทั้งนี้ ในการเจรจากับสหภาพยุโรป เรื่องการเมืองและเศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว อย่างตอนที่ประเทศไทยเกิดรัฐประหารปี 2557 สหภาพยุโรปก็ระงับการเจรจา FTA กับเรา แต่ในการที่จะให้การเจรจาคืบหน้าต่อไปได้นั้น เราอาจต้องพูดคุยแบบแยกกัน เพราะในส่วนที่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council) ส่วนทางสหภาพยุโรปเองก็มีการอภิปรายหรือลงมติเรื่องนี้เป็นประจำอยู่แล้วในระบบรัฐสภายุโรป

นอกจากนี้ จากที่คุยกับผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปที่ผ่านมา ได้ทราบว่าในภาวะที่โลกผันผวนเช่นนี้ หลายฝ่ายในสหภาพยุโรปเองก็เน้นให้เอานโยบายเศรษฐกิจขึ้นมานำนโยบายด้านการเมืองและสังคมมากขึ้น การสื่อสารจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเราต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน ผมเน้นสื่อสารให้สหภาพยุโรปทราบว่าเราเปิดรับที่จะพูดคุย รับฟัง ทำความเข้าใจ และทางสหภาพยุโรปก็ค่อนข้างชื่นชมเรามาว่าเราไม่วิ่งหนีและพร้อมที่จะรับฟังตอนที่เขาวิจารณ์ เราพร้อมที่จะเผชิญหน้า ที่ไม่ใช่ความหมายในเชิงว่าเราก้าวร้าว (aggressive) แต่หมายถึงความพร้อมที่จะเผชิญหน้าเมื่อมีจุดที่สหภาพยุโรปคิดว่ายังไม่โอเค หรือมีจุดไหนที่เราจะแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างได้

ก่อนหน้านี้ได้ถามไปแล้วว่าไทยกังวลอะไรกับการเจรจานี้บ้าง แล้วทางสหภาพยุโรปมีข้อกังวลไหม

ผมมองว่าเขาก็ค่อนข้างกังวลในแง่ที่ว่ากฎกติกาที่ค่อนข้างซับซ้อนแบบสหภาพยุโรปจะนำไปสู่การปฏิบัติจริงในประเทศไทยได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกฎอย่าง EUDR หรือ CBAM และอื่นๆ แต่ผมก็รู้สึกว่าสหภาพยุโรปค่อนข้างชื่นชมประเทศไทยมากในแง่ที่ว่าเรามีการพูดคุยและทำงานร่วมกับเขาเยอะมากในเรื่องต่างๆ อย่างในเรื่อง IUU ที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใบเหลืองแล้ว แต่เราก็พร้อมแบ่งปันบทเรียนและพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายในประเด็นนี้ โดยเรามีคณะทำงานฝ่ายไทย (working group) ในเรื่องนี้ที่ประสานงานกับเขาตลอดเวลา

ตอนที่พูดคุยกัน เขาก็ได้พูดติดตลกกับผมเกี่ยวกับเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐว่าเวลาเราไปรับประทานบุฟเฟต์ เขาก็จะบอกว่า “All you can eat.” (คุณกินได้ทั้งหมด) แต่ถ้าเป็นตามกฎของสหภาพยุโรปคือ “All you must eat.” (คุณต้องกินทั้งหมด) แปลว่าคุณต้อง “Take it or leave it.” (เลือกว่าเอาทั้งหมดหรือไม่เอาทั้งหมด) ผมก็ตอบกลับแบบตลกๆ ไปว่า “But you know it would depend whether Thailand can digest them all.” (แต่มันอยู่ที่ว่าประเทศไทยจะย่อยมันได้หมดหรือเปล่า) คือมันต้องคุยกันให้เข้าใจถึงบริบทว่าถ้าเขาให้เรากินหมด มันจะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือบริบทของไทยไหม

นอกจากนี้ก็เป็นอย่างที่บอกไปแล้วว่าสหภาพยุโรปเองก็มีความกังวลว่าธุรกิจของเขาบางประเภทจะปรับตัวได้ไหม ในเมื่อจะมีสินค้าบางประเภทที่มีคุณภาพดีและราคาย่อมเยาจะเข้าไปสู่สหภาพยุโรปมากขึ้นเหมือนกัน

วีระพงษ์ ประภา

นอกจากยุโรปที่จะเป็นช่องทางในการกระจายตลาดของไทยแล้ว ยังมีตลาดอื่นๆ ที่ผู้แทนการค้ามองไว้อยู่อีกไหมว่ามีศักยภาพและอาจจะไปสู่การเจรจาเพิ่มเติมได้

มันก็มีตลาดที่เราพอมองเห็น อย่างเช่นใกล้ๆ บ้านเราก็คือกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคกว่า 670 ล้านคน และต้องยอมรับว่าเรามีความใกล้ชิดและเชื่อมโยงกันมานานมากแล้ว ตอนนี้ก็ต้องมาคิดแล้วว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่อาเซียนจะเป็นปึกแผ่น มีความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะถ้าไปดูสหภาพยุโรป เมื่อเกิดสงครามการค้าที่ทำให้เกมกระดานการค้าโลกพลิกผันแบบนี้ เขาก็บอกว่ามันเป็นวิกฤตที่ทำให้เข้าแน่นแฟ้นกันมากขึ้น ผมจึงหวังว่าวิกฤตนี้จะทำให้อาเซียนของเราแน่นแฟ้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้มันมีก็ธุรกิจใหม่ๆ ที่อาจเป็นโอกาสให้อาเซียนได้ เช่น ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนิเวศด้านเทคโนโลยีต่างๆ เพราะการต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตอนนี้กำลังไปจบที่ว่าใครจะมีเทคโนโลยีที่ล้ำกว่ากัน และสหรัฐฯ ก็พยายามจะถอยการผลิตออกจากจีนไปที่อื่นๆ เช่น ไต้หวัน อาเซียนจึงต้องคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไร มีโอกาสที่เราจะเข้าไปเป็นห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคในการผลิตสิ่งเหล่านี้ได้ไหม ขณะเดียวกันประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนในเรื่องนี้ นี่คือเรื่องที่เกี่ยวกับความพยายามกระจายตลาดของเราเหมือนกัน

นอกจากอาเซียนแล้ว ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ก็เป็นตลาดที่เราให้ความสนใจ เพราะว่าเรามี FTA ร่วมกับเขาอยู่แล้ว โดยเขาก็มีที่ตั้งภูมิศาสตร์ใกล้กับเรา มีภาคเศรษฐกิจที่สนใจคล้ายๆ กัน และเขาก็อยากที่จะใกล้ชิดกับเรามาก ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจก็คือกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างในตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งจะเป็นโอกาสให้เราเปิดตลาดใหม่ๆ ได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่ากำลังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยก็คือ OECD หรือองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ผมรู้สึกว่ามันมีประเด็นที่สอดคล้องกับ FTA ไทย-อียู ก็คือเรื่องกฎกติกา เพราะ OECD ถือเป็นแม่แบบในเรื่องกฎกติกาหรือมาตรฐานระดับสากลต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและเรื่องความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น โดยล่าสุดท่านนายกฯ เพิ่งประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ครั้งแรก และมีการตั้งคณะทำงาน 26 คณะ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ 34 หน่วยงาน ผมว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นแม่แบบเรื่องกฎกติกาเหล่านี้จาก OECD และดูว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างตรงไหน เราจะยกระดับได้อย่างไร ซึ่งก็จะช่วยให้ธุรกิจไทยเห็นภาพว่ากฎกติกาเหล่านี้จะเข้ามาช่วยให้เขาดำเนินธุรกิจกับต่างชาติ หรือเชื่อมต่อเข้ากับห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ในต่างประเทศอย่างไร

ท้ายสุดถ้าให้สรุป ยุทธศาสตร์ของผู้แทนการค้าไทยตอนนี้กำลังเดินไปทางไหน และจะนำไปสู่ความหวังอะไรได้บ้างท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกนี้

ตอนนี้เราเห็นความเคลื่อนไหวมากขึ้นในการค้าโลก เพราะแน่นอนว่าทุกประเทศต้องกำลังพยายามหาคู่ค้าที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในยามที่ระบบเศรษฐกิจผันผวนเช่นนี้ ทุกประเทศก็อยากจะเร่งเจรจาเหมือนกันหมด ไม่ได้มีแค่เราที่เร่ง อย่างในการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปเอง ก็มีชาติอาเซียนเจรจาอยู่สี่ประเทศด้วยกันคือไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนเวียดนามกับสิงคโปร์มี FTA ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราก็พบว่าชาติอื่นอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซียก็พยายามเร่งรัดการเจรจาในประเด็นต่างๆ เหมือนกัน ซึ่งประเด็นการเจรจาของเขาก็คล้ายของเรา ทั้งเรื่องสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชน หรือมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่ละชาติก็อยากเจรจาให้สำเร็จ ถือเป็นเป้าหมายที่เรามีร่วมกัน

และผมมองว่าประเทศไทยเองต้องมีจุดร่วมหรือมีความเป็นเอกภาพ ผมว่า FTA ทำให้เกิดบทสนทนาภายในประเทศที่ทำให้เรากลับมาทบทวนและพิจารณาถึงเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการค้าที่ผ่านมา หลายคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมประเทศไทยถึงช้า ไม่ได้อยู่ในหลายๆ ขบวน ผมเลยมองว่า FTA จะเป็นบทสนทนาหรือวาระของประเทศได้ในช่วงเวลาแบบนี้ มันจะทำให้เราร่วมกันคิด ร่วมกันทำงาน และหารือร่วมกันว่าสุดท้ายแล้วอะไรที่จะดีต่อประเทศไทยมากขึ้น และพอเกิดเหตุการณ์การขึ้นภาษีของทรัมป์ขึ้นมา นอกจากที่เราจะดูว่ามันเกิดผลกระทบอะไร ผมว่าเราก็สามารถพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสให้เราเกิดความเป็นเอกภาพมากขึ้น และเป็นการกระตุ้นว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินหน้าแล้วนะ เราจะไปพึ่งแค่คู่ค้าอันดับหนึ่งมากเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว คือเราก็ยังต้องเจรจากับเขาอยู่ ไม่ได้หนีห่างไปจากเขา แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเดินหน้าในทางอื่นควบคู่กันไปด้วย

MOST READ

Interviews

5 May 2024

สวนกล้วยของคนจีน-ชีวิตอาบสารเคมีของคนลาว: เสถียร ฉันทะ

101 คุยกับ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ ผู้ทำวิจัยเรื่องสวนกล้วยจีนในลาวและพม่า ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นและการคืบคลานของสวนกล้วยจีนที่ขยายไปในลุ่มน้ำโขง อย่างพม่าและกัมพูชา

วจนา วรรลยางกูร

5 May 2024

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save