ปากท้อง
ในอดีตที่ผ่านมาผู้คนในสังคมส่วนใหญ่มักเชื่อว่า การรักษา ‘สิ่งแวดล้อม’ จะเกิดขึ้นได้ ‘ปากท้อง’ ของคนเราต้องอิ่มก่อน หรือหากเศรษฐกิจของประเทศยังไม่เจริญ อย่าหวังว่าจะมีใครสนใจสิ่งแวดล้อม
ความเชื่อเหล่านี้ฝังรากลึกแทบทุกสังคมมาเป็นเวลานานแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแทบไม่เคยมีนักการเมืองคนใดที่สนใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดที่ประกาศว่าจะจับจองกระทรวงด้านสิ่งแวดล้อมโดยไม่เหมือนกับกระทรวงด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐมนตรีที่คุมกระทรวงด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมามักเป็นนักการเมืองที่อกหักจากกระทรวงใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกรดเอ หรือกระทรวงเกรดบี จึงได้คุมเพียงกระทรวงเล็กๆ อย่างกระทรวงเกรดซี หรือกระทรวงเกรดดี อย่างกระทรวงสิ่งแวดล้อม โดยรัฐมนตรีที่มาคุมกระทรวงด้านสิ่งแวดล้อมก็ไม่เคยมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังออกมาจากพรรคการเมืองทุกพรรคเลย นอกจากเป็นคำที่สวยหรูเพื่อใช้หาเสียงเท่านั้น เช่น ลดโลกร้อน เพิ่มทางจักรยาน เป็นต้น
ทว่า ปีที่ผ่านมาผู้คนเริ่มเรียนรู้แล้วว่า การทำลายสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวเข้ามาทุกทีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกร้อน หรือปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอันแปรปรวน ที่พูดถึงกันมาอย่างยาวนานซึ่งคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าเป็นเรื่องห่างไกล แต่ปีนี้หลายคนเริ่มรู้สึกว่าการทำลายสิ่งแวดล้อมมีผลต่อมนุษย์มากขึ้นจริงๆ
หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาหมอกควันพิษในประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัมพันธ์กับความเติบโตทางเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น ปัญหาส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานครมาจากควันดำของรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ขณะที่ภาคเหนือเกิดจากปัญหาการเผาป่าและการเผาซากพืชผลทางการเกษตรคือ ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’ ทั้งในและประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนทางภาคอีสานและภาคกลางส่วนใหญ่เกิดจากการเผาซากในนาข้าว ไร่ข้าวโพดและการเผาไร่อ้อยก่อนลำเลียงอ้อยเข้าสู่โรงงานน้ำตาล โดยเฉพาะภาคอีสานที่มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ประกอบกับในฤดูกาลช่วงนั้นเกิดความกดอากาศสูงปกคลุม ส่งผลให้เกิดสภาพอากาศนิ่งและกระแสลมที่พัดจากอ่าวไทยไม่แรงพอให้เกิดการถ่ายเทอากาศ จนทำให้มลพิษทางอากาศเกิดการสะสมตัวในปริมาณมาก และระดับ PM 2.5 สูงขึ้นผิดปกติ
ฤดูร้อนปี 2567 ประเทศไทยก็เผชิญกับอากาศร้อนจัดมาตลอด ทุกพื้นที่ของประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงสุดทำลายสถิติเท่าที่เคยมีมา โดยอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 44.6-44.9 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดลำปาง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก เนื่องจากจังหวัดเหล่านี้เป็นพื้นที่ราบสูงและไม่มีป่าปกคลุมอันเกิดจากการถูกทำลายไปจำนวนมาก
ในขณะที่ป่าไม้สามารถช่วยควบคุมอุณหภูมิของโลกให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสได้ถึง 30% แต่ป่าไม้ทั่วโลกจะถูกทำลายปีละ 62.5 ล้านไร่ โดยร้อยละ 90 เป็นการถางป่าหรือเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม
ความร้อนจัดดังกล่าวทำให้น้ำทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กล่าวคือสูงเกิน 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป อีกทั้งหญ้าทะเลไทยตายกว่า 10,000 ไร่ และปะการังฟอกขาวเสียหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเผยข้อมูลในปี 2567 ว่าปะการังมีอัตราการฟอกขาวประมาณ 60–80% สภาวะดังกล่าวเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นจนปะการังเครียดและสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ในเนื้อเยื่อให้ปะการังจนเห็นโครงสร้างหินปูนสีขาว โดยต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าปะการังจะกลับคืนมาได้
ปะการังเป็นแหล่งอนุบาลและที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์น้ำทุกชนิด เมื่อบ้านหายไปย่อมส่งผลให้ปริมาณสัตว์น้ำที่เป็นอาหารโปรตีนหลักของมนุษย์ทั่วโลกจะต้องขาดแคลนอย่างแน่นอน
เมื่อหญ้าทะเล อาหารหลักของพะยูนค่อยๆ หายไป พะยูนสัตว์ป่าสงวนตายมากอย่างไม่น่าเชื่อ ในปี พ.ศ. 2567 มีพะยูนตายไปแล้วเกือบ 40 ตัวจากพะยูนในประเทศที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ฝั่งทะเลอันดาไม่ถึง 300 ตัว นับได้ว่าเป็นการตายจำนวนมากเป็นประวัติการณ์
จนกระทั่งเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ จากปัญหาโลกเดือดทำให้เกิดภูมิอากาศแปรปรวนวิปริตไปทั้งโลก เกิดพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศโดยเฉพาะทางภาคเหนือ หากนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมพบว่ามีปริมาณฝนมากกว่าปกติถึง 50-60% ซึ่งถือว่าเกินความสามารถของดินที่จะอุ้มน้ำได้ ส่งผลให้น้ำจึงไหลทะลักมาท่วมบ้านเรือนราษฎรจนได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ไม่นับรวมถึงความเสียหายจากน้ำท่วมภาคใต้ครั้งร้ายแรงที่สุด จากฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์จนทำให้หลายจังหวัดทางภาคใต้ก็ประสบกับวิกฤตอุทกภัย ตั้งแต่สามจังหวัดภาคใต้ไล่ขึ้นมาจนถึงจังหวัดชุมพร ซึ่งคาดว่าความเสียหายน่าจะไม่ต่างจากภาคเหนือเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าเหตุการณ์การแปรปรวนของดินฟ้าอากาศนับวันจะรุนแรงและเพิ่มความถี่จนมนุษย์ไม่อาจพยากรณ์อากาศได้เหมือนเดิมอีกต่อไป และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทรัพย์สินของผู้คนและชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ผู้คนทางภาคเหนือที่ประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันยังซ่อมแซมบ้านไม่เสร็จ บางคนเป็นหนี้เป็นสินเพื่อหาเงินมาซ่อมแซมบ้านหลายแสนบาท แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้ำกำลังจะกลับมาอีก พวกเขากังวลถึงอนาคตความไม่มั่นคงในชีวิต
ปัญหาโลกรวน อากาศแปรปรวน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป น้ำท่วม ฝนตกหนักทั่วทุกภาค ผู้คนเดือดร้อนแทบทั้งปี ท่ามกลางสถานการณ์ที่อาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคตเช่นนี้ รัฐบาลกลับไม่มีมาตรการเชิงรุกในการเตรียมความพร้อมเพื่อตั้งรับกับปัญหานี้อย่างจริงจัง การแก้ปัญหาส่วนใหญ่มักเป็นแค่งานประจำของข้าราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาไปวันๆ โดยไม่มีนโยบายหรือแผนปฏิบัติการระยะยาว เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘มาเลเซีย’ ที่มีแผนอพยพผู้คนหลานแสนคนไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยหรือการเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณภัย
ปัญหาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเป็นจุดอ่อนของนักการเมืองไทยมาช้านานแล้ว นักการเมืองส่วนใหญ่อาจมีความรู้และความเข้าใจด้านเศรษฐกิจ แต่พวกเขาแทบไม่ค่อยสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร ส่งผลให้นักการเมืองมักออกแบบนโยบายด้านเศรษฐกิจมากกว่า โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม เพราะสามารถสร้างผลงานอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปหาเสียงครั้งหน้าได้ เช่น การแจกเงิน เป็นต้น
เราเคยเชื่อว่า ‘ปากท้อง’ อิ่มก่อน ค่อยมาแก้ ‘ปัญหาสิ่งแวดล้อม’ แต่ตอนนี้ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว หากไม่แก้ไข ‘ปัญหาสิ่งแวดล้อม’ อย่าหวังว่าท้องจะอิ่มเลย เพราะชีวิตก็ไม่อาจรอดด้วย
ทุกวันนี้ผู้คนในต่างจังหวัดที่อาศัยอยู่ใกล้ป่า ใกล้ทะเล ตระหนักมานานแล้วว่า หากพวกเขาไม่รักษาป่าก็จะไม่มีน้ำมาใช้ทำนาทำสวน ไม่สามารถเก็บเห็ดหรือเก็บของป่ามากินได้ หรือคนที่อยู่ใกล้ทะเลหากไม่รักษาแหล่งน้ำก็จะไม่มีกุ้งหอยปูปลามาเป็นอาหารได้
พวกเขาเชื่อตลอดว่า “หากไม่รักษาสิ่งแวดล้อม หากไม่ดูแลธรรมชาติ อย่าหวังเลยว่า ท้องจะอิ่ม”
ความคิดนี้นับวันจะเข้ามาแทนที่ “ปากท้องต้องอิ่มก่อน จึงค่อยดูแลสิ่งแวดล้อม”